วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ 24:1:2010

คราวที่แล้ว..เราจบตรงบทเพลงของนางฮันนาห์ ซึ่งนักวิชาการบางคนให้ความเห็นว่าบทเพลงของฮันนาห์ มีวิธีเรียบเรียงแล้วก็ใช้คำคล้ายกับบทสดุดี(ในหนังสือสดุดี) คือไพเราะและสละสลวย ที่สำคัญเนื้อหาไม่ได้เจาะจงที่ความทุกข์ยากของตัวเองหรือสำแดงความยินดีในพระพรที่เธอได้รับมากมายอะไร แต่บทเพลงที่ฮันนาห์ร้อง”มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง..เนื้อหาส่วนใหญ่โฟกัสที่พระเจ้า” คือมันต่าง..ต่างจากอะไร ต่างจากคำอธิฐานของอีกหลายๆคน..ที่ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง..แต่คำอธิฐานของฮันนาห์ส่วนใหญ่จะบรรยายถึงพระลักษณะอันบริสุทธิ์งดงามและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า รวมถึงบรรดาพระหัตถกิจใหญ่ๆ (ย้ำ) พระหัตถกิจใหญ่ๆ คือ ไม่ใช่พระพรจิ๊บๆของตัวเอง..เพราะต้องบอกตรงๆคริสเตียนบางคน ต่อให้ได้ยินได้ฟังหรือสอนให้ตายก็ไม่สนใจหรอก..ว่าพระเจ้าจะเคยทำให้ฟาโรห์ยอมสิโรราบต่อพระองค์ หรือพระเจ้าจะเคยแหวกทะเลแดง ทำให้มานาตกจากฟ้า ให้น้ำออกมาจากหิน เคยให้อิสราเอลชนะศัตรู ทั้งๆที่ไม่มีอะไรไปสู้เขาได้เลย...ก็ไม่เคยสนใจ ไม่ตื่นเต้น หรือแม้จะมีอัศจรรย์อะไรๆอีกมากมายในพระคำภีร์ ก็ไม่อิน...เพราะมันไม่ได้เกิดกับชั้น จะตื่นเต้นก็ต่อเมื่อ..พระเจ้าอวยพรชั้นแบบระยะเผาขน...ให้เอ็นติด ได้งานดีๆ มีเงินซื้อรถ ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่า...เพราะเขายังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง..อาจจะโดยไม่รู้ตัว นี่คือเหตุผลเบื้องต้น ถามว่าคนพวกนี้เชื่อพระเจ้ามั๊ย..เชื่อนะ แต่ยังเห็นตัวเองชัดกว่า ภาพของพระเจ้ายังไม่ชัดเจนเท่าที่ควรในชีวิตและจิตวิญญาณของเขา ส่วนฮันนาห์นั้นต่างไป เพราะคำอธิฐานเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์พูดถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มองภาพรวม(ที่สำคัญกว่าเรื่องส่วนตัวเป็นไหนๆ) จริงๆแล้ว มันไม่ง่ายหรอกที่เราจะโฟกัสพระเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องฝึก..ฝึกอย่างจดจ่อ..ขอกำลังจากพระเจ้าแล้วเราจะทำได้มากขึ้น แต่น้าตุ๊กไม่ได้บอกว่ามันผิดนะ ถ้าเราจะรู้สึกดีใจกับสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ หรือเวลาที่ได้รับพระพร มันไม่ผิด ใครๆก็ดีใจทั้งนั้นเวลาที่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ (จริงมะ) น้าตุ๊กก็ดีใจ แล้วฮันนาห์ดีใจมั๊ย..ที่ได้ลูก ฮันนาห์ก็ดีใจ จนสามารถเขียนบทเพลงออกมาได้อย่างสวยงาม เพราะตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง เราก็ต้องมีความรู้สึกตามเนื้อหนังบ้างเป็นธรรมดา เพียงแต่ตอนนี้เด็กๆโตแล้ว ก็ต้องฝึกที่จะเรียนรู้...เพื่อจิตวิญญาณจะก้าวไปอีกขั้น คือต้องฝึกที่จะเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง(อย่างแท้จริง) มองข้ามสีสรรเล็กๆน้อยๆของชีวิตไปบ้าง อย่ายึดติดหรือมองพระพรส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ(ให้มากจนเกินไป) จริงอยู่มันทำยาก..ไม่ง่ายหรอก แต่พระเจ้าจะช่วยให้เราทำได้ถ้าเราติดสนิทกับพระองค์
กลับมาที่หนังสือซามูเอลของเรา พระคำภีร์บอกว่าเมื่อฮันนาห์ได้โมทนาเป็นบทเพลงถวายแด่พระเจ้าแล้ว ครอบครัวของเธอก็เดินทางกลับบ้านที่รามาห์ไป ทิ้งซามูเอลไว้กับเอลีที่ชิโลห์เพื่อที่เขาจะได้รับใช้พระเจ้าตามที่สัญญาไว้
คำพยากรณ์กล่าวโทษพงพันศ์เอลี
เนื้อหาในบทนี้จะเป็นเหมือนฉากที่เตรียมไว้รองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในบทต่อไป พระคำภีร์ได้บันทึกเรื่องราวช่วงนี้ ด้วยการนำชีวิตของ”ซามูเอล” มาเปรียบเทียบกับ “ลูกชายทั้งสองคนของเอลี” แบบสลับกันไปเรื่อยๆจนถึงบทที่สาม(ดูตามในพระคำภีร์)เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
2:11 ซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้า
2:12-17 โฮฟนีและฟีเนหัสลบหลู่การนมัสการ
2:18-21 ซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้า
2:22-25 ความชั่วของโฮฟนีและฟีเนหัส
2:26 ซามูเอลจำเริญขึ้น
2:27-36 คำพยากรณ์ถึงการถูกพิพากษา
แล้วต่อจากนั้นใน 3:1จะกล่าวถึงการปรนนิบัติพระเจ้าของซามูเอล
ดู1ซมอ.2:12-14/15-17 เราเคยเรียนเรื่องบทบาทและหน้าที่ รวมถึงคุณสมบัติของคนที่จะเป็นปุโรหิตไปแล้วในหนังสือเลวีนิติ อพยพ แล้วก็กันดารวิถีด้วย เราถึงรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้มอบมรดกให้กับปุโรหิตและคนเลวี แต่พระเจ้าจัดเตรียมการเลี้ยงดูพวกเขาอีกแบบนึง ซึ่งพิเศษกว่า...คือพวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากเนื้อ จากทศางค์ แล้วก็ของถวายบูชาต่างๆที่คนอิสราเอลนำมาถวาย นอกจากนี้พวกเขาก็จะได้รับประทานขนมปังหน้าโต๊ะพระพักตร์
ในข้อที่12บอกว่าบุตรทั้งสองของเอลีเป็นคนอันธพาล ทำไมถึงว่าเขาเป็นคนอันธพาล..แรกเลยก็เพราะพวกเขาไม่ยอมรับส่วนแบ่งของชิ้นเนื้อตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ แต่อยากจะเลือกเฟ้นส่วนดีๆตามที่ตัวเองต้องการ ในข้อที่13-14 บอกว่า..ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อมีคนเอาเนื้อมาถวาย คนใช้ของปุโรหิตก็จะถือสามง่ามเข้าไปตอนที่เนื้อกำลังต้มอยู่ แล้วก็ใช้สามง่ามแทงเข้าไปในหม้อที่ต้มเนื้อ ติดชิ้นไหนขึ้นมาก็ชิ้นนั้นแหละที่จะเป็นของปุโรหิต..(แต่บางทีคนใช้ของโฮฟนีกับฟีเนหัส..อาจจะมีการเล็งนะ..เล็งก่อนที่จะแทงเข้าไปในหม้อเนื้ออ่ะ)
ที่หนักกว่านั้นก็คือ ในข้อที่15บอกว่า..ก่อนที่จะเผาไขมัน คนใช้ของปุโรหิตก็จะเข้ามาขอเนื้อไปก่อนเลย เพราะจะเอาไปทอด..ไม่อยากได้เนื้อต้ม เด็กๆนึกออกมั๊ยล่ะ..ว่าปุโรหิตคงจะเบื่อเนื้อต้ม เพราะรสชาติมันต้องจืดแน่ๆ (สมัยก่อนเขาไม่มีชูรส รสดี กะปิ น้ำปลานะ อย่างมากก็เกลือ...) ลูกของเอลีก็เลยอยากจะได้เนื้อสดไปทอด หรือย่างเหมือนสเต็กมั่งเพราะรสชาติมันเข้มข้นอร่อยกว่ากัน...(แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำหยั่งงี้) และถ้าคนที่เอาไปถวายบอกว่า “ขอให้เผาไขมันบนแท่นบูชาก่อนนะ แล้วค่อยเอาไป” คนใช้ของปุโรหิตยอมมั๊ย..ไม่ยอม ยังไงก็จะเอาให้ได้ และจะเอาเดี๋ยวนี้ด้วย ฟังให้ดีนะ..ไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาเผาไขมันถวายพระเจ้าให้ถูกต้องตามกฎบัญญัติซะก่อน (ไม่รู้ว่ามีการใช้กำลังข่มขู่กันมั่งป่าวเนอะ) แล้วลองคิดดูว่าประชาชนที่ไปนมัสการพระเจ้า เขาจะรู้สึกยังไง ที่มีผู้นำศาสนาอย่างงี้ และข้อที่17ก็บอกว่า..”เพราะอย่างนี้บาปของโฮฟนีและฟีเนหัสถึงได้ใหญ่หลวงมากในสายตาของพระเจ้า”
ใหญ่แน่นอน (เพราะอะไร) แทนที่ปุโรหิตจะเป็นที่พึ่งแล้วก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชนใน ทุกๆเรื่อง..กลับมาทำบาปเองซะงั้น เกิดคนทำตามขึ้นมาจะว่าไง มันเป็นไปได้...เพราะคุณเป็นผู้นำ
ดู1ซมอ.2:18-20 พอพูดถึงความชั่วร้ายของลูกชายเอลีแล้ว ข้อนี้พระคำภีร์ก็มาบรรยายถึงการจำเริญขึ้นของซามูเอลบ้าง ข้อนี้บอกว่า...ซามูเอลได้ปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ที่ชิโลห์ ส่วนฮันนาห์ก็ไปนมัสการพระเจ้าทุกปี แล้วโอกาสนี้ก็จะเป็นเวลาที่เธอจะได้เจอลูก ก็เหมือนแม่ทั่วๆไป..ที่ลูกไม่ได้อยู่ด้วย พอจะได้เจอซักทีก็ต้องมีของไปฝาก ฮันนาห์ก็ตัดชุดเล็กๆไปให้ซามูเอลทุกปี แล้วเอลีก็อวยพรฮันนาห์ ขอพระเจ้าประทานลูกคนใหม่ให้..เพราะเอลีคงสงสาร..ทุกครั้งที่เห็นฮันนาห์ต้องจากลูกทั้งน้ำตา
ดู1ซมอ.2:21 และแล้วพระเจ้าก็ทรงสำแดงพระเมตตาคุณแก่ฮันนาห์อีกครั้ง ฮันนาห์ก็เลยท้องแล้วท้องอีก จนมีลูกถึงห้าคนเป็นชายสาม หญิงสอง รวมซามูเอลด้วยก็เป็นหก...
ดู1ซมอ.2:22-25 พระคำภีร์สลับมาพูดถึงความชั่วของโฮฟนีกับฟีเนหัสอีกครั้ง ในข้อที่12-17 เราได้เห็นความบาปเรื่องเนื้อถวายบูชาที่เขาได้ทำไปแล้ว มาข้อนี้จะเป็นความบาปที่พวกเขาล่วงประเวณี (ทั้งที่เป็นปุโรหิต) ข้อนี้บอกว่า..เอลีรู้เรื่องที่ลูกของเขาทำบาปทางเพศ รู้ว่าลูกตัวเองเข้าหาผู้หญิงที่อยู่ข้างเต๊นท์นัดพบ ทั้งๆที่แต่งงานแล้ว(ตามที่ระบุไว้ใน4:19) แล้วเอลีเตือนมั๊ย..ดูเหมือนจะเตือนนะ แต่น้าตุ๊กรู้สึกว่าเอลีเตือนแบบไม่จริงจัง ดูข้อที่24เอลีแค่พูดว่า”ลูกเราเอ๋ย อย่าทำเลย พ่อได้ยินคนพูดเรื่องไม่ดีกันไปทั่ว..” อ่านตอนนี้แล้วน้าตุ๊กเห็นภาพ ขอโทษนะ..ความเหยาะแหยะในการอบรมลูกตัวเอง เอลีทำได้แค่เนี้ยเหรอ!ห้ามลูกแค่สองสามคำ แล้วพอลูกไม่สนใจเชื่อฟัง..ก็ปล่อยไป..ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะเพราะรักผิดๆ ห่วงความรู้สึกหรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เขาทำมันเป็นบาปที่กำลังทำต่อพระเจ้าซึ่งเขาเองก็รู้ เพราะในข้อที่25 เอลีบอกว่า”ถ้ามนุษย์ทำผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าก็จะทรงวินิจฉัยให้ แต่ถ้ามนุษย์ทำบาปต่อพระเจ้า..จะเหลือมั๊ยเนี่ย” แต่ยังไงก็ตามตอนท้ายของข้อที่25 พระคำภีร์ได้ยืนยันว่า “สิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงพิพากษาลูกทั้งสองคนของเอลี..” เพราะฉะนั้น การตายของเอลีกับลูกในบทที่ ๔ จะเป็นคำเตือนที่ชัดเจนว่า “พ่อแม่จะต้องจ่าย แพงแค่ไหน ถ้าไม่ยอมทำตามกฎบัญญัติของพระเจ้าในการเลี้ยงดูลูก”
ดูซมอ.2:26 เห็นมั๊ยคะ พอพระคำภีร์บรรยายความชั่วของบุตรเอลีจบ...ข้อนี้ก็สลับมาเล่าถึงพัฒนาการของซามูเอล เพื่อให้เราเห็นภาพเปรียบเทียบชัดเจน ข้อนี้บอกว่า”ฝ่ายกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้น เฉพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย” ลองนึกดูว่า..ในขณะที่เอลีก็แก่มากแล้ว ลูกชั่วทั้งสองคนของเขาก็กำลังจะขึ้นแท่นรับตำแหน่งแทนพ่อเนี่ย ธรรมิกชนของอิสราเอลจะหวาดหวั่นขนาดไหน ที่เวลามานมัสการพระเจ้าแล้วต้องเจอปุโรหิตชั่ว ก็ขนาดเอลียังอยู่ลูกยังกล้าทำขนาดนั้น ถ้าพ่อตายไป..ก็คง..ได้อีกอ่ะ เพราะฉะนั้น พระเจ้าถึงตรัสว่า ”พวกเขาจะต้องถูกประหาร” แล้ววาระแห่งการพิพากษาก็กำลังจะมาถึง ในขณะเดียวกันกับที่ซามูเอลก็โตขึ้นทุกวัน
เห็นภาพมั๊ยคะ..ว่าพระเจ้าเตรียมการไว้เป็นขั้นตอน และทันเวลาเสมอ (บางคนกำลังจะถูกดึงให้ต่ำลง และอีกคนกำลังจะถูกยกขึ้น) เพียงแต่ตอนนั้นคนอิสราเอลไม่รู้หรอก..ว่ากุมารซามูเอลนี้จะมีบทบาทแค่ไหนต่ออิสราเอล แล้วพระธรรมตอนนี้ก็เป็นหมายสำคัญถึงพระเยซูคริสต์ด้วย เปิดไปดู ลูกา2:52 คำที่ใช้เหมือนกันเลย แล้วช่วงที่พระเยซูเกิด ก็เป็นช่วงที่ศาสนาและความเชื่อของอิสราเอล กำลังตกต่ำย่ำแย่เหมือนสมัยของซามูเอล “..แล้วพระกุมารเยซูก็จำเริญขึ้น เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าและคนทั้งปวงด้วย” แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปเด็กคนนี้จะมีความสำคัญต่อมนุษยชาติขนาดไหน เช่นเดียวกับซามูเอล ที่ต่อไปเขาก็จะเป็นแม่แบบของปุโรหิตที่ดี แล้วก็ช่วยคนของพระเจ้าให้เลิกมีพฤติกรรมผิดๆ..เลิกทำบาปต่อพระเจ้า ดังนั้น เรื่องราวของซามูเอลกับพระเยซูคริสต์จึงเป็นเหมือนภาพซ้อน แค่ต่างที่..ต่างเวลา และต่างกันตรงที่ซามูเอลเป็นแค่ภาพจำลองแต่พระเยซูคริสต์เป็นของจริง
คำพยากรณ์การพิพากษาของเอลีและบุตร
ดู1ซมอ.2:29-30 พระเจ้าใช้ผู้เผยพระวจนะมาหาเอลี และได้เตือนให้เอลีนึกถึงการจัดตั้งปุโรหิตครั้งแรกตั้งแต่สมัยอพยพ รวมถึงทบทวนให้เอลีตระหนักถึงคุณสมบัติของคนที่เป็นปุโรหิต ในข้อที่ 29 พระเจ้าตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชา”ของเรา” คำว่าของเราคือเตือนให้เอลีกลับมาสังวรณ์ว่า..เครื่องบูชาเนี่ย..คนเขาเอามาถวายพระองค์ เขาไม่ได้ให้เจ้ากับบุตรชั่วทั้งสองคน
“....และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา..” ตรงนี้เองที่เอลีผิดเต็มๆ เอลีให้เกียรติลูกมากกว่าพระเจ้า การประนีประนอมกับสิ่งที่ลูกทำ มันเท่ากับว่า....”เอลีย้ายพระเจ้าไปนั่งข้างหลัง แล้วปล่อยให้ลูกตัวเองมานั่งข้างหน้าแทน” เรื่องนี้มันให้ข้อคิดกับเรานะ ต่อไปเด็กๆต้องระวังให้ดี เพราะทางที่ง่าย..หรือทางที่เราสะดวกใจบางครั้ง...มันไม่ใช่ทางที่ถูก จริงอยู่ว่าการที่เราจะเตือนใครซักคน...เมื่อเขาทำผิด บางครั้งมันก็ลำบากใจ กลัวเขาเสียใจ กลัวเขาโกรธ กลัวจะผิดใจกัน ก็เลยคิดว่าไม่พูดดีกว่าสบายใจดี...ซึ่งมันผิด เพราะพระเจ้าสอนให้เราเตือนสติซึ่งกันและกัน เพียงแต่เราต้องแน่ใจว่าเราเตือนเขาด้วยความรักจริงๆ แล้วสิ่งที่ควรจะจำไว้อีกอย่างก็คือ “วิธีพูด” มันสำคัญพอๆกับสิ่งที่เราจะพูด
...”และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกรายจากอิสราเอลชนชาติของเรา” พระเจ้าใช้คำว่า “เจ้าทั้งหลาย” เป็นพหูพจน์แน่นอน เพราะฉะนั้นคงจะอ้วนกันทั้งครอบครัว จะไม่อ้วนได้ไง...ก็ซัดเนื้อเกรดเอกันซะเต็มคราบ แถมติดมันอีกตะหาก จริงมะ..เพราะไม่ยอมให้เขาเผาไขมันทิ้งบนแท่นบูชาเลย แล้วหลายๆคำในพระคำภีร์ก็บ่งว่า “เอลี” เป็นคนอ้วนมาก เราเลยเข้าใจได้ไม่ยากว่า ความบาปของลูกชายทั้งสองคน เอลีมีส่วนผิดเต็มๆ....ไม่ยอมกำราบลูกให้เด็ดขาด (พ่อแม่หลายคนไม่กล้าเอาจริงกับลูก เพราะเกรงใจ..ไม่อยากให้ลูกเสียความรู้สึก...ซึ่งมันผิด(มหันต์) แล้วบางครั้งเตือนด้วยคำพูดอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีไม้เรียวด้วยถ้าจำเป็น
กลับมาที่เอลี เอลีไม่ใช่แค่ไม่เอาจริงกับลูก เขายังร่วมเสวยสุขกับเนื้อที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องอีกด้วย เพราะเรารู้จากพระคำภีร์ว่า..เอลีตำหนิลูกชายเรื่องความผิดทางเพศ แต่ไม่เห็นจะเคยพูดถึงเรื่องเนื้อถวายบูชา เพราะตัวเองก็คงจะติดใจในรสชาติเหมือนกัน...ถึงได้ยอมออมชอมกับความบาป ในข้อที่ 30 บอกว่า..พระเจ้าเคยพูดจริงๆ ว่าพงศ์พันธ์อาโรนจะเป็นปุโรหิตที่ปรนนิบัติ พระองค์อยู่ในพลับพลาเสมอ ..”แต่บัดนี้ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา..” (พระเจ้าจะยกเลิกสัญญารึเปล่า) ไม่ใช่..พระเจ้าไม่ได้ตัดระบบปุโรหิตไปจากพงศ์พันธ์นี้ แต่จะตัดแค่บางคนออกไป ไม่ได้ตัดทั้งตระกูล เพราะพระองค์พูดว่า “ผู้ที่ให้เกียรติเรา เราจะให้เกียรติ” (ต่อไป)
ดู1ซมอ.2:34-36 พระเจ้าทรงพิพาษาว่า โฮฟนีกับฟีเนหัส จะตายในวันเดียวกัน....แล้วพระองค์จะทรงเจิมตั้งปุโรหิตคนใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แล้วพงศ์พันธ์ของเอลีที่เหลืออยู่ จะได้รับพระพรก็ต่อเมื่อเข้ามากราบไหว้ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อคนนี้
หมดเวลาแล้วค่ะ มาต่อกันในสัปดาห์หน้านะคะ
พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น