วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ 31:1:2010

ดู1ซมอ.3:2-6 พระเจ้าทรงเรียกซามูเอลเป็นครั้งแรก ในคืนหนึ่งที่เขานอนหลับอยู่ ซามูเอลก็ได้ยินเสียกเรียก...นึกว่าเป็นเสียงของเอลีเพราะปกติแล้วเอลีคงต้องอาศัยไหว้วานให้ซามูเอลหยิบนู่นทำนี่ให้ เพราะตัวเองก็แก่มากแล้วและในข้อที่2ก็บอกไว้ชัดเจนว่า ”ตาของท่านก็เริ่มมืดมัวมองอะไรไม่เห็น” ก็คงจะได้ซามูเอลนี่แหละที่เป็นเหมือนศิษฐ์ก้นกุฏิ หรือปุโรหิตฝึกหัด แต่พอซามูเอลลุกไปหาเอลี..บอกว่าข้าพเจ้าอยู่นี่ เอลีก็บอกว่าไม่ได้เรียกเป็นอย่างงี้อยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามเอลีรู้ละ..ว่าคนที่เรียกซามูเอลคือ”พระเจ้า” เอลีก็เลยบอกซามูเอลให้กลับไปนอน แล้วถ้าได้ยินอีกก็ให้ทูลตอบว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่” เด็กๆลองคิดดู..ว่าเราตอบพระเจ้าด้วยท่าทีอย่างงี้รึเปล่า ในทุกๆสถานการณ์ที่มาถึงเราหรือทุกครั้งที่เราได้ยินเสียงของพระองค์ เราควรจะตอบพระเจ้าแบบนี้ทุกครั้ง คือ “พระองค์เจ้าข้าขอตรัสเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่” (และกระทำตาม) ไม่ใช่เงี่ยหูฟังแต่เรื่องที่ถูกใจเรา อันไหนไม่ถูกใจก็เฉไฉทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะน้าตุ๊กเคยเห็นมาแล้ว...ขนาดหายนะมันเกิดขึ้นต่อหน้า บางคนยังกล้าเมินสิ่งที่พระเจ้าเตือน..เอาแต่นั่งรอพระพรที่ชั้นอยากได้ ตรงจุดนี้เด็กๆต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินกับพระเจ้าอย่างถูกต้อง ยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางที่ทรงสำแดงกับเรา..ไม่ใช่เลือกเอาแต่ที่ชอบ เพราะพระเจ้าทรงรักเรา..การขัดเกลาของพระองค์ก็เพื่อที่เราจะงดงามขึ้น ถึงแม้บางครั้งที่โดนมันต้องเจ็บ แต่ถ้ามาจากพระเจ้าทุกอย่างคือสิ่งที่ดี..เราต้องถ่อมใจลงและยินดีที่จะเดินตาม
ดู1ซมอ.3:10-14 แล้วพระเจ้าก็มาหาซามูเอลและเรียกเขาอีก คราวนี้ซามูเอลก็ตอบออกไปอย่างที่เอลีสอนไว้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเผยพระวจนะกับซามูเอล สิ่งที่พระองค์บอก ก็คือ วาระแห่งการพิพากษาครอบครัวของเอลีมาถึงแล้ว ในข้อที่ 11พระองค์บอกว่า “..หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง” พระเจ้าไม่ได้ทรงพูดเกินเลย เพราะเดี๋ยวในบทที่4เราจะได้เห็นกันว่า ตอนที่เอลีรู้ข่าวว่าลูกถูกฆ่าตาย เขาก็หงายหลังตกเก้าอี้ตายไปเลย
ข้อที่13 บอกว่า..”เพราะบุตรทั้งสองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม” เอลีเป็นผู้รับใช้พระเจ้ามีหน้าที่ดูแลงานในวิหาร รวมถึงจิตวิญญาณของผู้คน..ซึ่งนับว่าเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ แต่เขากลับละเลยไม่ดูแลครอบครัวตัวเอง ในฉธบ.น้าตุ๊กสอนไปแล้วว่า..ความรักต้องเริ่มที่บ้านก่อน ถ้าครอบครัวคุณล้มเหลวคุณไปช่วยใครไม่ได้หรอก
ดู 1เปโตร2:5 ไม่ใช่แค่เอลี อาโรน หรือซามูเอล แต่พวกเราทุกคนคือปุโรหิต และร่างกายของเรา ก็คือพระวิหารของพระองค์ ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่(ทุกคน) ตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อในพระคริสต์ (baptize unto life) เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำสิ่งไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง ก็เท่ากับเราเหยียบย่ำพระวิหารของพระเจ้า ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเอลีแล้วก็ลูกชายของเขาเลย
ในข้อที่14 พระเจ้าทรงบอกต่อไปว่า “..ความบาปชั่วของพงศ์พันธ์เอลีนั้น จะลบล้างด้วยเครื่องสัตวบูชาไม่ได้” ต้องตายสถานเดียว แปลว่าความบาปของเอลีกับลูก...เป็นบาปที่เขาตั้งใจทำ เพราะการเผาเครื่องบูชาจะลบล้างได้แต่ความบาปที่ไม่ได้ตั้งใจ
ดู1ซมอ.3:17-18 แรกเลย ซามูเอลไม่กล้าบอกเอลี..ว่าพระเจ้าทรงตรัสอะไร แต่เอลีก็คะยั้นคะยอจนซามูเอลต้องเล่าทุกอย่างให้ฟัง ทีนี้พอเอลีรู้ว่าพระเจ้าจะลงโทษตัวเองกับลูก เอลีมีท่าทียังไง เอลีพูดว่า..”คือพระเจ้าเอง ขอพระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” หมายความว่าไง..ถ้าให้น้าตุ๊กแปลเป็นภาษาเราๆ น้าตุ๊กรู้สึกเหมือนเอลีจะพูดว่า”..ก็พระองค์คือพระเจ้า พระองค์ใหญ่สุด จะทำไงก็แล้วแต่น้ำพระทัย” ฟังเผินๆก็ดูเหมือนคนมีความเชื่อนะ เหมือนจะวางใจพระเจ้า แต่จริงๆแล้วความหมายของเอลีก็คือ..อะไรจะเกิดก็ช่างแต่ชั้นขอทำเหมือนเดิม เพราะไม่มีท่าทีใดๆจากเอลีที่จะทำให้เห็นว่า..เขาสำนึกผิด รู้สึกโศกเศร้า เอลีไม่ได้เอาขี้เถ้าโรยหัว อดอาหารอธิฐาน หรือทูลขอการอภัยจากพระเจ้าตั้งแต่คืนยันรุ่ง (เหมือนก.ดาวิด ดู2ซมอ.12:16) ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำเมื่อคำพิพากษามาถึง แม้จะยับยั้งพระอาชญาไม่ได้ แต่มันสำแดงให้เห็นถึงการสำนึกผิดและกลับใจใหม่ ตรงนี้เด็กๆต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “การวางใจในสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้” กับการที่จะเอาความเคร่งครัดศรัทธามาอ้าง (เพราะขี้เกียจทำอะไรบางอย่าง)
เช่น...เราจะมีรูปร่างหน้าตายังไง (อันนี้ปั้นไว้แล้ว) ต่อไปเราจะมีอาชีพอะไร รูปแบบชีวิตเราจะเป็นแบบไหน (อันนี้เขียนไว้แล้ว และมันต้องดีสำหรับเราแน่ๆ) หรือแม้แต่ เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ยุคสุดท้ายจะต้องมาถึง กรณีอย่างงี้ต่างหากที่เราต้องวางใจพระเจ้า ปล่อยให้เป็นไปตามน้ำพระทัยเพราะเราเชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระองค์
...แต่ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะทำสิ่งที่ผิด แล้วมาพูดว่า”ถ้าพระเจ้าจะลงโทษก็แล้วแต่น้ำพระทัย อะไรจะเกิดก็เกิด..แล้วไหนๆก็ต้องโดนอยู่แล้ว ชั้นก็เลยทำบาปต่อไป เพราะคงจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้” มันคนละเรื่องกันเลย เด็กๆต้องจำไว้เสมอ..ว่าถ้าเราทำผิดไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่กลับใจใหม่ขอโทษพระเจ้าแล้วพยายามอย่าทำอีก สำเร็จมั่งไม่สำเร็จมั่งไม่เป็นไร..เพราะพระเจ้าดูที่ใจว่าเราพยายามหรือยัง อย่าเป็นเหมือนเอลี ทำทีว่าชั้นวางใจแต่จริงๆแล้ว..ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขอะไรเลย แทนที่จะเอาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นแรงบันดาลที่จะทำตามน้ำพระทัย กลับใช้เรื่องนี้มาอ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องทำอะไรให้มันดีขึ้น
ดู1ซมอ.3:19-21 “..พระเจ้าไม่ให้วาจาของซามูเอล ตกไปแม้แต่คำเดียว” หมายถึง ทุกสิ่งที่ซามูเอลพูด จะต้องเกิดขึ้นจริง อันนี้เป็นสัญญาณที่พระเจ้ารับรองให้ซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะแท้ของพระองค์ เพราะเราเคยเรียนกันไปแล้ว..ถึงการที่จะดูว่าผู้เผยพระวจนะคนนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่ อย่างแรกก็คือ ให้ดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเกิดขึ้นจริงรึเปล่า และอีกข้อก็คือ ดูว่าถ้อยคำของเขาโน้มนำให้อยู่ในทางพระเจ้าหรือไม่
.....ในข้อที่ 20 บอกว่า”..ชนอิสราเอลทั้งปวงตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ก็รู้ว่าซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า” (ดานถึงเบเออร์เชบา เป็นสำนวนหมายถึงอิสราเอลทั้งประเทศ เพราะว่า ดานคือเมืองหนึ่งที่อยู่เหนือสุด ส่วนเบเออร์เชบาก็เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ใต้สุด) ก็ประมาณว่าตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตอนนี้ทุกคนในอิสราเอลยอมรับว่าซามูเอลคือผู้เผยพระวจนะ
ดู1ซมอ.4:1-3 บทที่๔นี้ เป็นเรื่องตอนที่คนอิสราเอลไปรบกับพวกฟิลิสเตีย ยกแรกอิสราเอลดูเหมือนว่าจะสู้ไม่ได้ เพราะในข้อที่2 บอกว่าทหารอิสราเอลถูกฆ่าไปมากถึงสี่พันคน พวกเขาก็เลยไม่เข้าใจว่า..ทำไมพระเจ้าถึงให้แพ้ เหมือนพวกเราเวลาที่มีปัญหาหรือสถานการณ์ไม่ได้อย่างใจ ก็..ทำไม..ทำไม..ทำไม พระเจ้าถึงให้เป็นอย่างงี้ แล้วบางทีก็สรุปเอาเอง เหมือนที่อิสราเอลก็ปรึกษากันเอง..โดยไม่มีการอธิฐาน..ไม่มีการทูลขอให้พระเจ้าทรงนำ แล้วก็สรุปกันเองว่า “เป็นเพราะไม่ได้พกหีบพันธสัญญาไปด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาหีบออกไปสนามรบด้วย ทีนี้ต้องชนะแน่ๆ” ข้อนี้บอกอะไรเรา..ก็บอกว่า..ตอนนี้อิสราเอลกำลังสับสนตัวเอง แทนที่จะเห็นตัวเองเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า กลับเห็นพระเจ้าเป็นผู้รับใช้แทน ถูกมะ..เพราะคิดว่าถ้าเอาไปด้วยแล้วจะทำให้ชนะ (แล้วตกลง..ใครใหญ่ล่ะเนี่ย) ตรงนี้เองที่อิสราเอล...พลาดอย่างแรง เพราะกำลังปฏิบัติต่อหีบพันธสัญญาเหมือนเป็นเครื่องลางของขลังอะไรซักอย่างที่คิดว่าต้องพกพาไปด้วยแล้วถึงจะออกฤทธิ์ หีบพันธสัญญาเป็นแค่สัญญลักษณ์ที่เตือนให้เขารู้ว่า”พระเจ้าอยู่ด้วยนะ” และความศักดิ์สิทธิ์และฤทธิ์อำนาจก็อยู่ที่พระองค์เอง มันอยู่ที่หีบซะที่ไหนล่ะ”
ดูต่อไป1ซมอ.4:5-6/8-9 พอเขาเอาหีบพันธสัญญาออกมาไว้ที่ค่ายทหาร คนอิสราเอลก็โห่ร้องอย่างกับตัวเองชนะแล้ว จนพวกฟิลิสเตียได้ยินก็เลยสงสัยว่า..โห่ร้องอะไรกัน พอรู้ว่าอิสราเอลเอาหีบพันธสัญญาออกมาที่สนามรบ คนฟิลิสเตียกลัวมั๊ย..กลัวมาก เพราะยังจำได้ถึงตอนที่พระเจ้านำคนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ แล้วมันก็ชนะไปทั่วแทบทุกที่ที่ย่างเท้าไป พวกฟิลิสเตียก็คิดว่าคราวนี้ตายแน่ แต่ไหนๆจะตายก็ขอสู้จนสุดฤทธิ์จะได้สมศักดิ์ศรี ชายชาติทหาร
ดู1ซมอ.4:10-11 ด้วยความกลัวฟิลิสเตียเลยสู้ยิบตา..ปรากฎว่า..ชนะ อิสราเอลแพ้ยับเยินใน ครั้งนี้คนอิสราเอลถูกฆ่าไปอีกสามหมื่นคน และในจำนวนนี้มีลูกชายของเอลีคือโฮฟนีและฟีเนหัสรวมอยู่ด้วย ที่สำคัญในข้อที่11บอกว่า..หีบแห่งพันธสัญญาก็ถูกพวกฟิลิสเตียยึดเอาไป..พวกเขาเอาไปทำไม..เอาไปเพราะคิดว่าถ้าใครได้ไปครอง..หีบก็ช่วยคนนั้น เหมือนตะเกียงวิเศษที่อยู่กับใคร..คนนั้นก็จะโชคดี จริงๆแล้วคริสเตียนหลายคนก็ยังมีท่าทีอย่างงี้อยู่ คือเห็นพระเจ้าเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งมันผิดแล้วก็อันตรายมาก
ดู1ซมอ.4:12-14/15-17 ข้อนี้บอกว่า...เอลีนั่งรอฟังข่าวอยู่ข้างถนน ใจคอไม่ค่อยดี เพราะอะไร ก็คงจะรู้สึกกลัวๆเพราะตอนนี้หีบพันธสัญญา..มันไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ แล้วลึกๆเอลีก็ต้องสังวรณ์ถึงคำพิพากษาของพระเจ้าแน่นอน
...ข้อที่12บอกว่า มีชายเผ่าเบนจามินคนนึงเสื้อผ้าขาดวิ่น มีดินอยู่บนศีรษะ..อันนี้เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความโศกเศร้า วิ่งจากสนามรบมาส่งข่าวที่ชิโลห์ พอชาวเมืองรู้ข่าวที่เขามาบอกก็ร้องไห้กันระงม เอลีเลยร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าเขาตามัวมองอะไรไม่เห็น ชายคนนี้ก็เลยไปบอกเอลีว่า..”อิสราเอลแพ้พวกฟิลิสเตีย แล้วลูกชายทั้งสองคนของเอลีก็ตายด้วย มิหนำซ้ำ..หีบพันธสัญญาก็ถูกยึดไป”
ดู1ซมอ.4:18 ข่าวร้ายนี้มันคงหนักหนาสาหัสเกินกว่าคนแก่วัย 98 ปีจะรับไหว เพราะข้อนี้บอกว่า..พอเอลีได้ยินอย่างงั้น ก็หงายหลังตกเก้าอี้..คอหักตายไปเลย ทุกอย่างก็เป็นไปตามคำที่พระเจ้าทรงพิพากษาไว้ งานรับใช้สี่สิบปีของเอลีก็สิ้นสุดลง สำเร็จตามพระวจนะอย่างครบถ้วนกระบวนความ
ดู1ซมอ.4:19-22 ในขณะเดียวกัน ลูกสะใภ้ของเอลี..ภรรยาของฟีเนหัสที่กำลังท้อง พอรู้ข่าวทั้งหมดก็เจ็บท้องคลอดทันที การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบาก..แต่ในที่สุดก็ได้ลูกชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อว่า ”อีคาโบด” แปลว่าพระสิริพรากไป ลูกสะใภ้คนนี้น่าจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรๆได้ดีนะ เพราะเขาคิดออกว่า”การสูญเสียหีบแห่งพระเจ้า ก็เท่ากับสูญเสียพระสิริไปด้วยซึ่งนับเป็นหายนะที่สุดแล้วของอิสราเอล
.....หีบพันธสัญญาในแผ่นดินของคนฟิลิสเตีย
ทีนี้เราจะมาดูกันว่า เมื่อพวกฟิลิสเตียแย่งเอาหีบพันธสัญญาไปแล้ว มันเป็นยังไง มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง..หีบพระสัญญาจะทำให้พวกเขาโชคดีอย่างที่คิดหรือเปล่า
ดู1ซมอ.5:1-4 หลังจากที่ยึดหีบพันธสัญญาไปแล้ว พวกฟิลิสเตียก็เอาไปไว้ในโบสถ์ของพระดาโกน ที่เมืองอัชโดด การเอาหีบของพระเจ้าแห่งอิสราเอลไปวางไว้ต่อหน้าพระดาโกน คงจะเป็นการสำแดงว่าพระดาโกนของพวกฟิลิสเตีย..เหนือกว่าพระเจ้าของอิสราเอล (เพราะชั้นจับมาเป็นตัวประกันได้สำเร็จ) ข้อที่4บอกว่า..เช้าวันรุ่งขึ้น พอพวกฟิลิสเตียเข้ามาที่วิหารพระดาโกน ก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเพราะว่า รูปปั้นพระดาโกนของพวกเขาล้มหน้าคว่ำคลุกดินอยู่ต่อหน้าหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอล แต่พวกเขาก็คงคิดว่าไม่เป็นไร..แล้วก็เอาไปตั้งที่เดิม ปรากฎว่า เช้าวันต่อมาเมื่อชาวฟิลิสเตียมาถึง ก็เห็นว่า..มันหนักกว่าเดิม เพราะคราวนี้ไม่ใช่แค่หน้าคว่ำอย่างเดียว เพราะพระดาโกนเหลือแต่ลำตัว ส่วนมือกับหัวหักกระเด็นไปอยู่ที่ธรณีประตู
ดู1ซมอ.5:5 ลองคิดดูว่าพระที่เป็นของแท้และยิ่งใหญ่จริง..ต้องให้คนมาช่วยยกไปวางบนหิ้งมั๊ย จะแตกเป็นเสี่ยงๆได้หรือไม่ หรือแตกแล้วจะหมดฤทธิ์รึเปล่า กาวตราช้างจะช่วยได้แค่ไหน แต่พวกฟิลิสเตียก็ยังคิดไม่ออกหรืออาจจะยังเย่อหยิ่งก็ได้ เพราะในข้อนี้บอกว่า แทนที่พวกเขาจะยอมรับ..ว่าพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่และเป็นของจริง กลับประกาศให้ธรณีประตูที่พระดาโกนล้มไปกระแทก..เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์แทน (ซะงั้น)
ดู1ซมอ.5:6-7/8-9 ในข้อที่แล้วพระเจ้าทรงทำให้เห็นว่ารูปเคารพไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย แล้วตอนนี้ พระองค์ก็กำลังจะสั่งสอนคนฟิลิสเตียโดยตรง...ข้อที่ 6 บอกว่า พระเจ้าทำให้เกิดโรคฝีระบาดไปทั่วเมืองอัชโดด แล้วพวกฟิลิสเตียก็รู้ดีว่าที่เป็นอย่างงี้ก็เพราะหีบพันธสัญญาเพราะในข้อที่ 7พวกเขาบอกว่า”พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือเราและอยู่เหนือพระดาโกนด้วย” คือตอนนี้ยอมรับละว่าพระเจ้าของอิสราเอลใหญ่กว่า พอปรึกษากันแล้วทางแก้ก็ดูเหมือนจะมีทางเดียว คือ..กำจัดหีบไปซะ ตกลงกันว่าจะส่งไปที่เมือง”กัท” เมืองกัทก็เป็นเมืองหนึ่งของพวกฟิลิสเตียที่ใหญ่รองจากอัชโดด แต่พอหีบไปอยู่ที่เมืองกัท...มันก็เกิดเรื่องขึ้นเหมือนเดิม คือโรคฝีก็ระบาดไปทั่วทั้งเมืองรวมถึงบริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ตายกันระเนระนาด
ดู1ซมอ.5:10-12 พวกฟิลิสเตียหาทางออกอีกครั้ง โดยพยายามจะส่งหีบพันธสัญญาไปไว้ที่เอโครน พอส่งไปปุ๊บ..ชาวเอโครนก็ร้องลั่น ประมาณว่า..นี่จะฆ่ากันรึไงถึงเอาหีบแห่งพระเจ้ามาไว้ที่นี่ พวกผู้นำของฟิลิสเตียก็เลยปรึกษากันอีกครั้ง สรุปว่า”สงสัยต้องส่งคืนเจ้าของ ถึงจะยุติเรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้นได้ ตอนนี้มันวุ่นวายไปทั่ว...เพราะคนที่ไม่ตายก็ติดเชื้อโรคฝี
เวลาหมดแล้วค่ะสัปดาห์หน้าพบกันใหม่ พระเจ้าอวยพรค่ะ

1 ความคิดเห็น:

  1. เห็นภาพชัดเลย ...นุกดี เอาอีกค่ะ.......
    เหมือนที่พี่กบพูดเลย รู้สึกมันสั้นไปจริืงแหละ

    ตอบลบ