วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่4 อาทิตย์ที่ 7:2:2010

...หีบพันธสัญญากลับบ้าน...
ดู1ซมอ.6:1-3 หีบพันธสัญญาที่ตกไปอยู่ในมือของคนฟิลิสเตียเป็นเวลา7เดือน กำลังจะถูกส่งคืนให้อิสราเอลอย่างง่ายดาย ไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องใช้กำลัง ไม่ต้องมีแม้แต่การเจรจาอะไรทั้งสิ้น พวกเขาแค่กำลังตกลงกัน...ว่าจะส่งคืนยังไงดี คนฟิลิสเตียคิดได้แค่นี้ แทนที่เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว จะยอมละทิ้งรูปเคารพเดิมๆหันมากราบไหว้วางใจในพระองค์ พวกฟิลิสเตียยังเลือก..ที่จะกำจัดพระเจ้าออกไปให้พ้น ...แล้วในข้อที่ 3 ปุโรหิตของพวกฟิลิสเตียก็แนะนำด้วยว่า “เวลาส่งกลับไป ให้เตรียมเครื่องบูชาส่งกลับไปด้วย เพื่อเป็นการไถ่บาปที่พวกเขาได้กระทำต่อพระเจ้า”
ดู1ซมอ.6:5-6 พวกฟิลิสเตียกำลังคิดว่า..จะเอาใจพระเจ้าของอิสราเอลยังไงดี พวกปุโรหิตคิดออกแค่วิธีเดียว คือทำรูปเทียมเลียนแบบปัญหาที่เกิดขึ้น “เป็นฝีห้าลูกกับหนูห้าตัว” (อันนี้น้าตุ๊กจนปัญญาจริงๆไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจของพวกเขาคืออะไร) เพราะการถวายรูปฝีกับหนู..ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแน่นอน ไม่มีเรื่องอย่างนี้ในกฎบัญญัติของพระองค์ แล้วปุโรหิตของพวกฟิลิสเตียก็มั่นใจเลยนะ..ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว..พระเจ้าน่าจะหายโกรธ และช่วยบรรเทาความโชคร้ายของพวกเขาลงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ..พวกฟิลิสเตียรู้เรื่องพระเจ้ากับประวัติศาสตร์ของคนอิสราเอลอย่างน่าทึ่งเลยล่ะ...
เพราะในข้อที่ 6 คนฟิลิสเตียเขามีการหยิบยกเอาเรื่องราวในสมัยอพยพขึ้นมาเป็นตัวอย่าง แล้วสรุปเสร็จสรรพว่า...พวกเขาจะไม่ทำพลาดเหมือนฟาโรห์ ที่ไม่ยอมปล่อยคนยิวไปทั้งที่ถูกภัยพิบัติเล่นงานจนลากเลือดแต่พวกเขาจะรีบคืนหีบไป..โดยไม่ต้องรอให้เกิดอะไรมากไปกว่านี้ (แหม..เหมือนจะฉลาดกว่าฟาร์โรห์เลยเนอะ)
ดู1ซมอ.6:10-12 คนฟิลิสเตียวางแผนการส่งหีบพันธสัญญาคืนให้อิสราเอล.. ด้วยการใส่ไปบนเกวียนที่เทียมด้วยโคแม่ลูกอ่อนสองตัว โดยที่ลูกโคจะถูกแยกออกไป แล้วปล่อยให้โคเดินไปเองอย่างอิสระ ซึ่งตามสัญชาติญาณแล้ว..มันต้องกลับไปหาลูก แต่ถ้ามันลากเกวียนตรงไปที่ของคนอิสราเอล ก็แปลว่า..พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นแน่นอน แล้วพวกเจ้านายของฟิลิสเตียก็ตามดูไปห่างๆ ปรากฎว่า...แม่วัวตรงดิ่งไปที่เมืองเบธเชเมชของอิสราเอล พอชาวอิสราเอลเห็นหีบพันธสัญญาก็ดีใจกันยกใหญ่ เชิญหีบไปวางไว้บนก้อนหิน รีบเอาเกวียนมาผ่าเป็นฟืนแล้วก็จัดแจงเผาแม่วัวเป็นเครื่องบูชา ดูต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้น...
ดู1ซมอ.6:19-20/21-7:1 พระเจ้าทรงประหารคนอิสราเอลหลายหมื่นคน เพราะเขาแอบมองหีบแห่งพันธสัญญา คงจะมีคำถามว่าทำไม..ทำไมพระเจ้าถึงฆ่าคนของพระองค์ซะมากมายขนาดนี้.....เปิดไปดูกดว.4:15/20 กฎบัญญัติของพระเจ้าคือ คนเลวีเท่านั้นที่มีสามารถจะขนย้ายหีบพระโอวาทได้ เพราะพระองค์ทรงชำระคนเผ่านี้ไว้เพื่อปรนนิบัติพระองค์ แต่ถึงอย่างงั้นในข้อที่20 ก็บอกว่าอย่าให้ใครมองของศักดิ์สิทธิ์ในอภิสุทธิสถานแม้แต่นิดเดียว ถ้าใครมองคนนั้นต้องตาย แล้วที่สำคัญชาวเมืองเบธเชเมชคงจะมองหีบพระสัญญาในลักษณะที่เป็นรูปเคารพ..เหมือนของขลังอย่างนึง อาจสงสัยว่าพระเจ้าจะอยู่ในหีบรึเปล่า พระองค์เลยต้องตัดวงจรความไม่เชื่อฟังของอิสราเอลให้เด็ดขาด เพื่อเป็นการดึงให้เขากลับมายำเกรงและเคร่งครัดในกฎบัญญัติอย่างจริงจังซะที เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อในกฎเกณฑ์ของพระองค์เสมอไม่ว่ามนุษย์จะคิดยังไง บางครั้งอาจมองว่าโหดร้าย หรือบางคราวก็สงสัยว่าทำไมพระเจ้าต้องดีขนาดนี้ด้วย..แต่นั่นก็แค่สติปัญญาของมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะอยู่กะร่องกะรอย (เพราะเปลี่ยนไปตามองค์ความคิดทั้งภายนอกภายในของแต่ละคน) แต่พระเจ้าทรงเล่นตามเกมส์ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเสถียรต่อกฎที่พระองค์ตั้งไว้เสมอ
....พอชาวเมืองเบธเชเมชตั้งสติได้ ก็ตกลงกันว่าจะส่งข่าวไปที่เมือง”คีริยาทเยอาริม” ให้มาเชิญหีบพระสัญญาไปไว้ที่เรือนของอาบีนาดับ..โดยการดูแลของเอเลอาซาร์ หีบพระสัญญาก็อยู่ที่นั่นนานถึง20ปี (ทำไมไม่เอาไปไว้ที่ชิโลห์..ก็เพราะมีหลักฐานที่แสดงว่าชิโลห์น่าจะถูกทำลายไปแล้ว)
ดู1ซมอ.7:3-4/5-6 บทที่7นี้จะเป็นบันทึกเรื่องราวตอนที่ซามูเอลเริ่มวินิจฉัยอิสราเอล ชักนำให้พวกเขากลับใจใหม่ ละทิ้งพระเทียมเท็จทั้งหมดหันมา”ปักใจตรงต่อพระเจ้า” และปรนนิบัติพระองค์ผู้เดียว ข้อที่4 บอกว่าคนอิสราเอลก็เชื่อฟัง..เลิกไหว้พระบาอัล พระอัชทาโรท หลังจากนั้น ซามูเอลก็เรียกประชุมคนอิสราเอลที่มิสปาห์ และสัญญาว่าเขาจะเป็นตัวแทนอธิฐานต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล แล้ววันนั้นก็มีการตักน้ำเทออกเพื่อถวายพระเจ้า มีการอดอาหาร..ทั้งประเทศก็คงจะหยุดกิน หยุดดื่ม เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสำนึกผิดและต้องการที่จะแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ
ดู1ซมอ.7:7-8 พวกฟิลิสเตียยังไม่ยอมลามือจากคนอิสราเอลง่ายๆ แล้วคราวก่อนฟิลิสเตียก็เป็นฝ่ายชนะด้วย เลยได้ใจ...พอได้ยินว่าคนอิสราเอลไปประชุมกันที่มิสปาห์ก็รีบยกทัพไปทำสงครามเพราะมั่นใจว่าจะต้องชนะอีก ส่วนอิสราเอลพอเห็นพวกฟิลิสเตียยกทัพมาก็ตกใจ...กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ตั้งตัวก็ไม่ทัน..หีบพันธสัญญาก็ไม่อยู่..(แต่ถึงอยู่..ช่วยมะ..ไม่ช่วยหรอก) เพราะฉะนั้น นี่เป็นสถานการณ์ที่มาจากพระเจ้า คือให้เกิดสงครามตอนที่ไม่พร้อม เพราะถ้าพร้อมทีไรมันก็ไปวางใจอย่างอื่นทุกที เลยต้องเจออย่างงี้ ความเชื่อของอิสราเอลถึงจะเต็มขนาดยอมหันมาพึ่งพาพระเจ้าอย่างสุดใจ
พวกเราก็เหมือนกัน..ถ้ายึดติดกับอะไรมากๆ บางทีพระเจ้าก็จำเป็นต้องให้เราเข้าไปอยู่ในทางตันบ้าง..ไม่มีตัวช่วย ไม่มีเงิน ไม่มีเส้น ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรเลย เพราะจุดนั้นเราจะสัมผัสชัดเจน..ว่าสิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพาและช่วยเราได้ตลอดเวลา ก็คือ“พระเจ้า” แล้วเมื่อสถานการณ์คับขันผ่านไป มันจะทำให้เรารู้สึกได้จริงๆว่าถ้าเรามีพระเจ้า...อย่างอื่นก็ไม่จำเป็น
...มันก็ไม่ง่ายอีกเหมือนกันที่จะรู้สึกอย่างงี้ได้จริงๆ แต่เราจะเชื่อได้มากขึ้นถ้าเราฝึก..ฝึกยังไง ก็แค่จัดการกับเรื่องในชีวิตประจำวันของเราให้ถูกต้อง แต่ละวันเจออะไร แล้วแต่ละเรื่องตัดสินใจยังไง เลือกเดินตามที่พระเจ้าสอนรึเปล่าหรือเลือกทำตามใจตัวเอง วิธีเรียนรู้ที่จะดำเนินกับพระเจ้า..ก็แค่เนี้ย ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องยากๆหรือเรื่องไกลๆ..มันไม่ซับซ้อนขนาดนั้น เอาแค่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า..วันต่อวันก็พอ
...และตอนนี้คนอิสราเอลก็กำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน พวกเขาพร้อมแล้วที่จะพึ่งพระเจ้าจริงๆซะที ในข้อที่8 บอกว่า..พวกเขาขอให้ซามูเอลอธิฐานเผื่อ วิงวอนให้พระเจ้าช่วยกู้ให้พ้นจากมือพวกฟิลิสเตีย
ดู1ซมอ.7:10-11 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่ กองทัพของพวกฟิลิสเตียก็มาถึง พระเจ้าก็ตอบคำอธิฐานโดยให้เกิดพายุใหญ่มีฟ้าร้องดังกึกก้อง จนกองทัพฟิลิสเตียสับสนอลหม่าน คนอิสราเอลเลยกลับเอาชนะพวกฟิลิสเตียได้..ทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม ไม่ได้ตั้งใจมารบเลยด้วยซ้ำ แล้วเมื่อกี๊..ก็ยังกลัวเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้ในข้อที่11กลายเป็นว่าคนอิสราเอลกลับเป็นฝ่ายตามฆ่าพวกฟิลิสเตียไปจนถึงเบธคาร์
ดู1ซมอ.7:12-13 เมื่อชนะพวกฟิลิสเตียแล้ว ซามูเอลก็ตั้งศิลาก้อนนึงไว้เป็นอนุสรณ์อยู่ระหว่างเมืองมิสปาห์กับเมืองเชน เรียกชื่อว่า”เอเบนเอเซอร์” แปลว่า “พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้” (แต่น้าตุ๊กอยากจะใช้คำว่า..”พระเจ้ายังอุตส่าห์ช่วยพวกเรามาจนทุกวันนี้ ทั้งๆที่ ก็ผิดกันหัวไม่วางหางไม่เว้น) หลังจากนั้นฟิลิสเตียก็ไม่มารุกรานอิสราเอลอีกเลยตลอดชีวิตของซามูเอล เพราะพระเจ้าทรงค้ำชูอิสราเอลไว้ เมืองต่างๆที่ถูกยึดไปตั้งแต่เอโครนจนถึงเมืองกัทก็ได้คืน แล้วยังมีสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับคนอาโมไรต์ด้วย ทำให้รู้สึกว่าอะไรๆก็ดีไปหมดในสมัยของซามูเอล ในข้อที่16 บอกว่า “ท่านก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปีเป็นประจำจากเบธเอลไปกิลกาล จากกิลกาลไปมิสปาห์” คือเดินสายดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง แต่ทุกครั้งที่เสร็จงานซามูเอลก็จะกลับไปอยู่บ้านที่รามาห์ นอกจากนี้ ซามูเอลก็ยังสร้างแท่นบูชาไว้ที่รามาห์ด้วย
คนอิสราเอลร้องขอกษัตริย์
ดู1ซมอ.8:1-5 พอซามูเอลเริ่มแก่ลง ข้อนี้บอกว่าท่านก็ตั้งลูกชายสองคน คือ โยเอลกับอาบียาห์ ให้เป็นผู้วินิจฉัยแทน และในข้อที่3 ก็บอกว่า “แต่ลูกชายของซามูเอลเนี่ย ไม่เหมือนพ่อ พวกเขาทุจริตและไม่สัตย์ซื่อ” ถ้าจะลองคิดดูดีๆน้าตุ๊กว่า..ตำแหน่งผวฉ.มันไม่ได้สืบทอดทางเชื้อสายนะ..แต่พระเจ้าเป็นผู้เลือก ตรงจุดนี้ทำให้น้าตุ๊กรู้สึกว่า..พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นความจริงอีกข้อหนึ่งคือ”มนุษย์ไม่สามารถสืบทอดความชอบธรรมหรือความดีทางสายเลือด” ส่วนผู้วินิจฉัยที่ดี ผู้เผยพระวจนะแท้ หรือผู้รับใช้ที่เกิดผล ที่เราได้เห็นในพระคำภีร์หรือแม้แต่ในชีวิตจริง..คนเหล่านี้เป็นพระคุณที่มาจากพระเจ้า ที่ประทานพวกเขามาตามวาระที่พระองค์เห็นสมควร เพราะฉะนั้น ในเมื่อความชอบธรรมมันไม่ได้สืบทอดทางสายเลือด มันก็ไม่แปลก..ที่ลูกของซามูเอลจะมีนิสัยบาป แล้วก็ไม่เจริญรอยตามพ่อ
..ข้อที่5 บอกว่า พวกผู้นำของอิสราเอลก็ไปหาซามูเอล แล้วบอกว่า”อยากได้กษัตริย์”โดยอ้างเหตุผลเรื่องเนี้ย..เรื่องที่ลูกชายของซามูเอลเป็นคนทุจริต
ดู1ซมอ.8:6-7 พอได้ยินคนอิสราเอลบอกว่าอยากได้กษัตริย์ ซามูเอลก็ไม่พอใจเพราะถูกทำให้รู้สึกเหมือนบกพร่องในหน้าที่ แต่หลักๆแล้วซามูเอลไม่ได้โกรธที่เขาจะปลดตัวเอง แต่ซามูเอลเข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้เป็นความผิดบาป เพราะอิสราเอลมี”พระเจ้า”เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ฉะนั้นตรงนี้ที่จะน่าโกรธก็เพราะมันไปเข้าล็อกเดิม คือพวกเขาอยากได้รูปเคารพ..วางใจในสิ่งที่จับต้องมองเห็น อยากมีกษัตริย์ตัวเป็นๆ..คงรู้สึกว่ามันอุ่นใจหรือไม่ก็คงเบื่อ..ที่จะเล่นตามเกมส์ (ที่มีกฎบัญญัติของพระเจ้าเป็นกติกา) ในข้อที่7 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “คนอิสราเอลไม่ได้ปฏิเสธเจ้า..พวกเขาปฎิเสธพระองค์ต่างหาก” พระเจ้าตรัสอย่างนี้ แปลว่าไร แปลว่าพระองค์รู้..ว่าจริงๆแล้วคนอิสราเอลคิดอะไร ยังยึดติดกับรูปเคารพขนาดไหน พวกเขาอาจจะบอกว่าอยากได้กษัตริย์เพราะลูกชายซามูเอลเป็นคนทุจริตหรือจะยกอะไรมาอ้างก็ได้หมดแหละถ้าคิดว่ามีปาก..แล้วจะพูดอะไรก็ได้ แต่ความจริงคืออะไร..ใจของพวกเขาหรือใจของเราคิดยังไง..พระเจ้ามองเห็น (ทะลุปรุโปร่ง)
ดู1ซมอ.8:8-10 ข้อนี้เหมือนพระเจ้าจะทรงปลอบใจซามูเอล เพราะพระองค์บอกว่า“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่อิสราเอลปฎิเสธพระองค์ แต่มันนิสัยอย่างงี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่พาออกมาจากอียิปต์ก็กบฎตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังดื้อเหมือนเดิม พออยู่เย็นเป็นสุขเข้าหน่อยก็คอยแต่จะลืมพระเจ้า อยากมีอิสระที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง(ทั้งๆที่เอาตัวไม่รอด) เพราะฉะนั้นจะแปลกอะไรถ้าตอนนี้พวกเขาจะไม่ยอมรับซามูเอลเพราะขนาดพระเจ้ามันยังกล้าทิ้งเลย..แล้วซามูเอลจะเหลือมั๊ยเนี่ย
..จากนั้นพระเจ้าก็บอกซามูเอลให้ทำตามที่คนอิสราเอลเรียกร้อง..แต่ก็ยังทรงห่วงพวกกบฎจนหยดสุดท้าย เพราะได้บัญชาให้ซามูเอลเตือนประชาชนให้สังวรณ์ถึง ”ราคาที่พวกเขาต้องจ่าย” สำหรับการมีกษัตริย์..ซามูเอลจึงนำพระวจนะของพระเจ้ามาถึงประชาชน
...หมดเวลาแล้วค่ะ จนกว่าจะพบกันใหม่
พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น