วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระธรรม”นางรูธ” ครั้งที่2 อาทิตย์ที่27:12:2009(จบ)

ดูนรธ.2:1-3 ตอนที่รูธกลับมาที่ยูดาห์กับแม่สามีเป็นช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาเล่ย์ พอมาถึงรูธก็สำแดงให้เห็นเลยว่า เธอเนี่ย...ตั้งใจที่จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแม่สามีอย่างแท้จริง รูธทำอะไร รูธไม่งอมืองอเท้า....ออกปากขอนาโอมีออกไปเก็บรวงข้าวที่ตกในนา (จำได้มะ ที่เคยเรียนไปแล้วฉธบ. “ที่พระเจ้าทรงมีพระบัญญัติให้ทิ้งฟ่อนข้าวในนา เพื่อที่คนยากจนจะได้อาศัยเก็บกิน”) ข้อนี้..บอกให้เรารู้ว่า ถึงรูธจะเป็นต่างชาติแต่ก็รู้ธรรมบัญญัติของชาวยิว ซึ่งน่าชมเชยมาก เพราะยิวแท้ๆบางคนไม่รู้จะจำได้ป่าว เราก็เหมือนกัน..เป็นคริสเตียนน่ะ รู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากแค่ไหน (อันนี้ต้องคิดดูให้ดี) ในข้อที่๓.บอกว่า รูธก็เลยออกไปเดินตามหลังคนเกี่ยวข้าว คอยเก็บข้าวที่เขาทำตกในนาของโบอาส ทีนี้โบอาสเป็นใคร......... ถ้าจะพูดให้เรานึกออกหรือปะติดปะต่อได้จากที่เราเรียนมา ก็คือ โบอาส เป็นลูกของสัลโมน กับนางราหับ (ราหับ ชาวเมืองเยรีโค ที่ช่วยซ่อนคนสอดแนมของอิสราเอลไว้ในสมัยที่โยชูวาจะเข้าบุกยึดคานาอัน จำได้มะ ที่สัญญาว่าจะไว้ชีวิตกันแล้วก็ให้ราหับผูกด้ายแดงไว้ที่หน้าต่าง)
แล้วโบอาสก็เป็นคนเผ่ายูดาห์ เป็นญาติสนิทที่เกิดในตระกูลเดียวกับเอลีเมเลคสามีของนาโอมีน่ะแหละ ถึงได้มีสิทธิ์แต่งงานกับรูธตามกฎบัญญัติของพระเจ้า (ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวเราก็จะได้เรียนกัน)
ดูนรธ.2:8-10 ตอนที่โบอาสกลับมาแล้วเห็นรูธกำลังเก็บข้าวตกในนา ในข้อที่5บอกว่าเขามีการสอบถามหัวหน้าคนงานแล้วว่า...รูธเป็นใครมาจากไหน พอรู้ที่มาที่ไปแล้วในข้อนี้โบอาสก็เลยพูดกับรูธว่า ”ลูกเอ๋ยจงฟัง..เจ้าไม่ต้องไปไหนหรอกนะอยู่เก็บข้าวตกที่นี่แหละ เราสั่งคนงานให้คอยดูแลเจ้าแล้ว รับรองว่า..จะไม่มีหนุ่มๆมายุ่มย่ามกวนใจเจ้า แล้วถ้าหิวน้ำก็ดื่มได้ตามสบาย พอรูธได้ยินโบอาสพูดอย่างงั้น ก็ก้มกราบลงถึงดินแล้วก็พึมพำด้วยความสงสัยว่า “ทำไมท่านต้องดีกับชั้นขนาดนี้ด้วย ความจริงไม่ต้องดีขนาดนี้ก็ได้เพราะชั้นเป็นแค่คนต่างด้าว บางคนอ่านแล้วอาจจะคิดในใจว่า..สงสัยโบอาสจะมีจุดประสงค์อื่นหรือคิดไม่ดีอะไรทำนองนั้น แต่ไม่ใช่เลย...เพราะเมื่อเรียนต่อไปแล้วเราจะได้เห็นว่า..โบอาสเป็นสุภาพบุรุษทีเดียว และในข้อที่11 บอกว่าเหตุผลของโบอาสก็คือ เพราะเขารู้เรื่องของรูธหมดแล้ว ได้ยินถึงวีรกรรมความสัตย์ซื่อที่รูธได้ปฏิบัติต่อแม่สามี ถึงกับยอมจากบ้านเกิด เมืองนอนมาอยู่กับคนต่างถิ่น คนแปลกหน้าซึ่งมันไม่ใช่เรื่องสนุก โอเค..โบอาสก็คงจะสนใจรูธอยู่บ้าง แต่เขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองตามกฎบัญญัติพระเจ้า...ด้วยการแสดงน้ำใจต่อหญิงม่ายและคนต่างด้าว...ก็เท่านั้นเอง
ดูนรธ.2:15-17 ก็เป็นอันว่ารูธได้รับความกรุณามากมายจากโบอาส ทั้งการอนุเคราะห์ข้าวปลาอาหารให้อย่างเต็มที่ แล้วโบอาสก็ยังสั่งคนเกี่ยวข้าวให้ดึงรวงข้าวจากฟ่อนทิ้งให้รูธเก็บด้วย คือเจตนาที่จะทิ้งให้เก็บ รูธจะได้เก็บข้าวได้เยอะๆ แล้วก็เยอะจริงๆเพราะในข้อที่17บอกว่า “พอเก็บถึงเย็นรูธก็ได้ข้าวไปมากถึงหนี่งเอฟาห์ ก็คือ 22ลิตรหรือประมาณ10กิโลกรัม
ดูนรธ.2:19-20 พอนาโอมีเห็นรูธเก็บข้าวกลับมาเยอะแยะก็คงแปลกใจ เลยถามลูกสะใภ้ว่าไปเก็บข้าวที่ไหนมาเนี่ย ทำไมถึงได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้ รูธก็เล่าให้ฟังตามจริงไม่ได้ปิดบังอะไร นาโอมีก็เลยบอกรูธว่าจริงๆแล้วโบอาสคือญาติสนิทของสามีรูธน่ะแหละ มาถึงตอนนี้นาโอมีคงจะคิดอะไรในใจบ้างแล้ว....ก็เลยเริ่มวางแผน...ในข้อที่20 นาโอมีพูดว่า “พระกรุณาของพระเจ้าไม่เคยขาดจากผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว..” แปลว่าไร แปลว่า..ลึกๆ แล้วนาโอมีรู้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การที่รูธได้เข้าไปเก็บข้าวตกที่นาของโบอาส..ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการของพระเจ้า ต้องมาจากพระเจ้าแน่นอน (จริงมะ เพราะเดินประสาไรถึงไปอยู่ในนาของญาติสนิทได้ ทั้งที่รูธเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร)
ดูนรธ.3:1-5 ในที่สุดนาโอมีก็ตกลงใจที่จะให้รูธเป็นหลักเป็นฐานซะที แล้วเท่าที่เห็นก็มีโบอาสนี่แหละที่เข้าตาที่สุด ที่สำคัญโบอาสก็เป็นญาติที่นับว่าสนิทด้วย นาโอมีก็เลยเริ่มชี้ทางสอนให้รูธรู้จักวิถีปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนยิว ถ้าจะพูดหยาบๆก็คือเหมือนทอดสะพานนะ แต่มันไม่ได้น่าเกลียดเหมือนที่เราเข้าใจในแบบปัจจุบัน เพราะมันเป็นวิถีปฏิบัติที่สุภาพ ถูกต้องตามธรรมเนียม และเป็นที่รู้กันว่า...ถ้าทำอย่างงี้หมายความว่าอะไร แล้ววิธีที่นาโอมีสอนให้รูธทำก็คือ “นาโอมีบอกให้รูธอาบน้ำ แต่งตัว ทาน้ำมันให้เรียบร้อย...ก็ประมาณอาบน้ำ ทาแป้ง ประพรมน้ำหอมให้สะอาดสะอ้าน แล้วลงไปหาโบอาสที่ลานนวดข้าวในเวลากลางคืน แต่คือต้องแอบๆไปอย่าให้ประเจิดประเจ้อ แล้วหาดูว่าโบอาสนอนที่ไหน..ก็ให้เข้าไปหาแล้วก็เปิดผ้าคลุมเท้าของเขาขึ้น อันนี้ไม่ใช่การยั่วยวนนะ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สุภาพและเป็นที่เข้าใจกัน “ว่าญาติสนิทมีสิทธิ์ที่จะไถ่นาของหญิงม่าย” (แล้วอยู่ดีๆการไถ่นาขายนามันมาเกี่ยวอะไรด้วย) เกี่ยว..เพราะการไถ่นามันหมายรวมถึงว่าคนๆนั้นต้องเต็มใจที่จะรับหญิงม่ายนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็ดูแลรับผิดชอบครอบครัวของเขาด้วย เพราะตามวัฒนธรรมของชาวยิวเนี่ย...มรดกตกทอดต้องเป็นของลูกชายหรือญาติสนิทที่เป็นผู้ชายเท่านั้น หญิงม่ายจะไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทีนี้ทำไมต้องเปิดผ้าคลุมเท้า.....ก็เพื่อให้หนาวแล้วจะได้ตื่น อันนี้เป็นวิธีปลุกอย่างสุภาพ พอนาโอมีสอนรูธทุกขั้นทุกตอนแล้วในข้อที่๕.ก็บอกว่า “รูธรับปากแม่สามีว่าเธอจะทำตามทุกอย่าง” (ว่านอนสอนง่ายจริงๆ)
ดูนรธ.3:6-9 คืนวันหนึ่งรูธก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพก็ลงไปที่ลานนวดข้าว ทำตามที่แม่สามีบอกทุกอย่าง ประมาณเที่ยงคืนโบอาสก็ตื่นขึ้นด้วยความหนาว เพราะอะไร...ก็รูธไปเปิดผ้าคลุมเท้าของเขาออกตามที่นาโอมีสั่งไง พอตื่นขึ้นมาเห็นผู้หญิงมานอนอยู่ปลายเท้าก็ตกใจ ถามว่าเธอเป็นใครรูธตอบว่าไง”ชั้นคือรูธคนใช้ของท่าน ช่วยกางชายเสื้อของท่านห่มคนใช้ของท่านด้วย” เนี่ยเป็นสำนวนสุภาพในการที่จะขอให้โบอาสยอมรับเธอเป็นภรรยา เพื่ออะไร...เพื่อที่รูธจะได้มีคนดูแลและสามารถที่จะมีลูกสืบสกุลต่อไปได้ ซึ่งโบอาสก็เข้าใจความหมายดี ในข้อที่10 โบอาสบอกว่า”..ขอพระเจ้าอวยพรเจ้า เพราะสิ่งที่เธอทำครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อและมีน้ำใจต่อนาโอมีมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะรูธไม่เคยคิดจะไปหาสามีหนุ่มๆไม่ว่ารวยหรือจน แต่กลับเชื่อฟังนาโอมีทุกอย่าง ซึ่งถ้ารูธเป็นผู้หญิงมักง่ายไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติของยิวหรือรังเกียจคนที่แก่กว่ามาก....รูธก็คงไม่เชื่อฟังนาโอมีในเรื่องนี้ เพราะจริงๆโบอาสนี่ก็อายุมากแล้ว...น่าจะรุ่นๆเดียวกับเอลีเมเลค (คือพ่อของสามี) ถึงตอนนี้โบอาสก็เลยรู้สึกนับถือน้ำใจของรูธมากจริงๆแล้วก็เต็มใจที่จะดูแลรูธ ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่มันยังติดอยู่เรื่องหนึ่ง...คืออะไร
ดูนรธ.3:12-13 ปัญหาเรื่องเดียวก็คือโบอาสเป็นญาติสนิทก็จริงแต่ยังมีอีกคนที่สนิทกว่า ก็หมายความว่า...มีสิทธิ์ในตัวรูธมากกว่าโบอาส โบอาสก็เลยตกลงกับรูธว่า”พรุ่งนี้เขาจะไปคุยกับญาติคนนี้เอง ว่าเขาเต็มใจที่จะดูแลรูธมั๊ย ถ้าเขาโอเค...รูธก็แต่งงานกับเขาไปเถอะ แต่ถ้าเขาปฏิเสธโบอาสก็เต็มใจที่จะรับรูธเป็นภรรยา พอคุยกันเสร็จคืนนั้นโบอาสก็บอกให้รูธนอนที่นั่น แล้วค่อยกลับไปตอนก่อนฟ้าสาง (แต่คืนนั้นโบอาสไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับรูธนะ...อย่าเข้าใจผิด) แล้วพอตอนเช้าโบอาสก็ยังตวงข้าวบาเล่ย์หกทะนานให้รูธเอากลับบ้านด้วย
ดูนรธ.4:3-4 ในข้อนี้บอกว่า”โบอาสได้ไปพบญาติคนนี้ที่ประตูเมือง (ประตูเมืองเป็นที่ชุมนุมของคนในสมัยนั้น เวลาที่มีเรื่องสำคัญหรือจะกระทำการใดๆตามกฎหมาย) แล้วโบอาสก็พูดเรื่องที่ดินที่นาโอมีอยากจะขาย...ว่าเขาสนใจที่จะซื้อมั๊ยเพราะเขาเป็นญาติที่สนิทที่สุดจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกก่อน โดยโบอาสได้มีการเชิญพวกผู้ใหญ่ให้มาเป็นพยานในการเจรจาครั้งนี้ด้วย (รอบคอบนะ) ทีแรกญาติสนิทคนนั้นตอบทันทีเลยว่า”เขาจะซื้อ”
ดูนรธ.4:5-6 พอโบอาสบอกว่า”ในวันที่เขาซื้อที่ดิน เขาจะได้รูธหญิงม่ายไปเป็นภรรยาด้วย แล้วถ้ามีลูกด้วยกัน ที่ดินนั้นก็จะตกเป็นของลูกซึ่งถือว่าเป็นเชื้อสายของผู้ตายคือมาห์โลน” แค่นั้นแหละ..ญาติสนิทคนนี้ก็เปลี่ยนใจทันที บอกกับโบอาสว่าเขาไม่ไถ่แล้ว ให้โบอาสเอาสิทธิ์นั้นไปจัดการเอง เพราะเห็นภาระและความยุ่งยาก คงต้องบอกว่าญาติสนิทคนนี้เลือกทางที่ง่ายมากกว่าทางที่ถูก (จริงมะ) .....ในชีวิตพวกเราเหมือนกัน ลองถามตัวเองดูดีๆว่าส่วนใหญ่เราเลือกที่จะทำอะไร เราตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวในแต่ละวัน เพราะพระเจ้าจะส่งสถานะการณ์มาให้เราต้องเลือกเสมอตั้งแต่เรื่องเล็กถึงเรื่องใหญ่ อาจจะเริ่มจาก... เวลาขับรถถ้าเจอไฟเหลืองแล้วเราทำไง(เตรียมเบรคหรือเหยียบสุดชีวิต) แล้วการทดลองมันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หลากหลายเรื่องราวขึ้นด้วย...อย่างเช่น ถ้าเราเจอเงินหรือไปเบิกเงินที่ธนาคารแล้วเขาจ่ายเกินให้เรามาหนึ่งร้อย...เราจะเอาไปคืนเขามั๊ย แล้วถ้าหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสนหรือหนึ่งล้านล่ะ แน่ใจมั๊ยว่าเราจะคืน (คือน้าตุ๊กยกตัวอย่างอันนี้เพราะมันล่อแหลม เนื่องด้วยมีบางคนคิดว่าอันนี้ถ้าไม่คืนก็ไม่ผิด เพราะชั้นไม่ได้ขโมย แต่ความจริงผิดเห็นๆ) เพราะฉะนั้น เด็กๆเลือกให้ดีในทุกๆเรื่องเพราะในแต่ละวันของเรา มันจะมีรายละเอียดที่เราต้องเลือกเยอะแยะมากมาย แล้วหลายๆครั้งบางคนก็เลือกทางที่ง่ายเพราะคิดว่าเลือกแล้วมันสบาย ตัดปัญหาไปเหมือนอย่างญาติสนิทของนาโอมีคนนี้
ดูนรธ.4:7-8 เมื่อญาติคนที่สนิทกว่าโบอาสยอมสละสิทธิ์ เขาก็ได้แสดงธรรมเนียมการมอบสิทธิ์นี้ให้โบอาสโดย”การถอดรองเท้ามอบไว้ให้เป็นหลักฐาน” อันนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อิสราเอลสมัยนั้นเขาทำกันเพื่อยืนยันข้อตกลงตามกฎหมายโดยมีผู้ใหญ่เป็นพยาน ก็เป็นอันว่าโบอาสก็เลยได้รับสิทธิ์ญาติสนิทของมาห์โลนมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในการนี้มันทำให้เกิดผลสามอย่างคือ
๑.เขาจะสืบเชื้อสายในนามของเอลีเมเลคและมาห์โลน
๒.ก็คือ เขาจะเป็นผู้ไถ่ที่ดินของนาโอมี
และ๓.เขาจะได้แต่งงานกับรูธอย่างถูกต้อง
ดูนรธ.4:11-12ทั้งประชาชนและผู้นำที่อยู่ในเหตุการณ์ก็บอกว่าจะเป็นพยานให้แก่รูธและโบอาส พร้อมทั้งทูลต่อพระเจ้าให้ทรงอวยพรพงพันศ์ของทั้งคู่ ให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างบรรพบุรุษ
ดูนรธ.4:13-15 ในที่สุดเมื่อโบอาสกับรูธได้แต่งงานกันเขาก็มีลูกชายคนหนึ่ง ชาวบ้านก็ร่วมกันอวยชัยให้พรขอให้ลูกคนนี้ของรูธมีชื่อเสียงเลื่องลือในวงศ์วานอิสราเอล แล้วก็ขอให้เด็กคนนี้เลี้ยงดูนาโอมียามแก่เฒ่าเพราะ....เขาเกิดจากลูกสะใภ้ที่รักและดีกับนาโอมีมากยิ่งกว่าลูกชายเจ็ดคน
นรธ.4:16-17 บุตรของโบอาสคนนี้ชื่อว่า”โอเบส”ซึ่งเป็นบิดาของเจสซี พ่อของก.ดาวิด เพราะฉะนั้นรูธก็เท่ากับเป็นย่าทวดของก.ดาวิด และก็เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์โดยตรงตามเชื้อสายด้วย
ทั้งหมดนี้คือผลของความรัก ความสัตย์ซื่อและเสียสละ เด็กๆจะเห็นว่าทั้งสามคนในเรื่องนี้ คือนาโอมี รูธ แล้วก็โบอาส ทั้งสามคนยอมทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี นาโอมีก็เป็นแม่สามีที่ไม่เห็นแก่ตัว รูธก็ทั้งรักและสัตย์ซื่อกับแม่สามีสุดชีวิต ส่วนโบอาสก็ยอมทำหน้าที่ญาติสนิทด้วยความชื่นชมยินดี ยอมไถ่ที่ให้นาโอมีแล้วก็รับรูธซึ่งเป็นหญิงม่ายมาเป็นภรรยา ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องอย่างงี้ อาจผู้ชายหลายคนทำใจรับไม่ได้นะ แต่โบอาสยอมทำอย่างเต็มใจเหมือนที่พระคริสต์เต็มใจไถ่บาปให้เรา ซึ่งถ้ามองฝ่ายวิญญาณแล้ว..สภาพเราก็ยับเยินไม่ได้ต่างจากรูธหรือนาโอมีหรอก แต่พระเยซูไม่เคยรังเกียจเราเลย....พระองค์ไถ่เราด้วยความรัก ไม่เคยบ่นว่าในความบกพร่องของเรา แล้วก็ไม่เคยเอือมระอากับความผิดซ้ำซากที่เราทำ.....ตราบใดที่เราสำนึกผิดแล้วก็กราบลงขอโทษ เราจะได้กลับสู่อ้อมกอดของพระองค์เสมอ
พระธรรม”นางรูธ”ก็จบลงแค่นี้นะคะ เพราะเป็นข้อพระคำภีร์ตอนสั้นๆมีแค่๔บท สัปดาห์หน้าเราจะมาขึ้น หนังสือซามูเอล ฉบับที่๑ แล้วพบกันนะคะ..พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น