วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระธรรม “นางรูธ” ครั้งที่ 1 อาทิตย์ที่ 13:12:2009

“นางรูธ” เป็นใคร นางรูธเป็นสตรีหนึ่งในสี่คนที่เกี่ยวข้องและถูกกล่าวถึงไว้ในพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ อีกสามคนก็คือ ทามาร์ ราหับ และนางมารีย์
น้าตุ๊กขอพูดถึงคนคุ้นเคยที่พระคำภีร์กล่าวถึงบ่อยๆก็แล้วกัน ก็จะเริ่มจาก...
อับราฮัม > อิสอัค > (ยาโคบ+นางเลอาห์) > (ยูดาห์+นางทามาร์)>(สัลโมน+ราหับชาวเยรีโค)
>(โบอาส+นางรูธชาวโมอับ)>โอเบส>เจสซี>ก.ดาวิด จากก.ดาวิดมาทางเชื้อสายของซาโลมอน และต่อมาอีกหลายชั่วคน จนมาถึงโยเซฟ สามีของนางมารีย์ที่ตั้งครรภ์พระเยซูคริสต์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
เรื่องราวของนางรูธ เป็นเรื่องที่ยังอยู่ในสมัยผู้วินิจฉัย (ยุคแห่งการกบฎ ที่อิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ แล้วต่างคนก็ต่างทำตามที่ตัวเองเห็นชอบ) แต่”นางรูธ”เป็นหนังสือที่ได้แสดงให้เห็นว่า “ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ” พอให้รู้สึกว่า อิสราเอลสมัยนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว
พระธรรมเล่มนี้เป็นตอนสั้นๆมีแค่สี่บทแต่ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญนะ พระคำภีร์ทุกบททุกตอนจะสั้นจะยาวสำคัญหมด เพราะถือเป็นถ้อยคำของพระเจ้าแล้วก็มีน้ำพระทัยของพระองค์ที่ประสงค์จะสำแดงแก่เราอยู่ในทุกตัวอักษร เด็กๆเข้าใจดีใช่มั๊ยว่าถ้อยคำพระเจ้าสำคัญยังไง เอาง่ายๆเลย..ถ้าปราศจากถ้อยคำของพระเจ้า เราจะไม่มีชีวิต ไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ จริงมะ..เพราะอย่าลืมว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกที่สามารถลอยหน้าอยู่ได้เนี่ย ก็เกิดขึ้นเพราะพระวจนะของพระเจ้า..ที่ตรัสสั่งให้มันเกิดขึ้นทีละอย่างๆ ถ้าไม่งั้นโลกนี้ก็ว่างเปล่า
จุดประสงค์ของพระธรรม”นางรูธ” ก็คือ เพื่อสำแดงให้เห็นแบบอย่างของความรัก ความเสียสละ ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าของอิสราเอล รวมถึงการยึดมั่นในวิถีปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ทั้งๆที่เขาเป็น”คนต่างชาติ” (นี่สิน่าคิด) ......เด็กๆเปิดไปดูบทที่๑ เรื่องมีอยู่ว่า...ในสมัยที่ผู้วินิจฉัยปกครองอิสราเอลอยู่เนี่ย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดการกันดารอาหารขึ้นในอิสราเอล ชายคนหนึ่งชื่อเอลีเมเลคเป็นชาวเมืองเบธเลเฮม คือเป็นคนเผ่ายูดาห์ ก็ได้พาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่แผ่นดินโมอับ(ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน) ตรงจุดนี้ก็เลยมีบางคนให้ความเห็นว่าเอลีเมเลคเนี่ย น่าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่(ความเชื่อเป็นไง) คงจะไม่ค่อยวางใจในพระเจ้าซักเท่าไหร่ (เพราะไร) พอวาระแห่งความทุกข์ยากมาถึงก็หอบหิ้วครอบครัวพาออกจากดินแดนที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ แล้วเรายังจะได้เห็นต่อไปอีกว่า.เขาอนุญาตให้ลูกๆแต่งงานกับหญิงต่างชาติด้วย อันนี้เราพูดกันตามเนื้อผ้านะ ส่วนเรื่องที่ทุกอย่างก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เรารู้อยู่แล้ว...แต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้น เราพูดถึงการดำเนินชีวิตของเขาที่ดูจะไม่เคร่งครัดในกฎบัญญัติของพระเจ้าเท่าไหร่ แล้วสมาชิกครอบครัวของเอลีเมเลคที่พากันไปอยู่ดินแดนโมอับมีใครบ้าง...ก็มีภรรยาที่ชื่อนาโอมีกับลูกชายสองคน ชื่อมาห์โลนและคิลิโอน
แต่ในขณะที่อยู่ในดินแดนโมอับ เอลีเมเลคก็เสียชีวิต ในข้อที่๔.บอกว่าลูกชายทั้งสองก็ได้ภรรยาเป็นหญิงต่างชาติ คือ เป็นชาวโมอับทั้งคู่ สะใภ้ใหญ่ชื่อ โอปราห์ แล้วสะใภ็เล็กนี่เองคือ “นางรูธ” พระคำภีร์บอกว่าเมื่อเอลีเมเลคหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไปแล้ว นาโอมีกับลูกชายแล้วก็ลูกสะใภ้ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโมอับต่อไปอีกสิบปี หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น....
ดูนรธ.1:5-7 ทีแรกก็ดูเหมือนจะอยู่กันดีตามอัตภาพ แต่ไม่นานลูกชายทั้งสอลคนของนาโอมี คือ มาห์โลนกับคิลิโอนก็เสียชีวิตด้วย ทิ้งแม่ให้อยู่ตามลำพังลองคิดดูว่านาโอมีจะระทมทุกข์ขนาดไหน แต่ยังดีที่มีสะใภ้ให้อยู่เป็นเพื่อนก็อยู่กันไปตามประสาแม่หม้าย ในข้อที่๖.บอกว่า นาโอมีได้ข่าวว่า “พระเจ้าทรงเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ในอิสราเอล ประทานอาหารให้แก่พวกเขาแผ่นดินก็เกิดผลอันอุดมมากมาย นาโอมีก็เลยเป็นไง.....อยากจะกลับไปอยู่ที่ยูดาห์บ้านเก่าของเธอกับสามี
ดูนรธ.1:8-9 พอจะกลับไปอยู่ที่อิสราเอลนาโอมีก็อนุญาตให้สะใภ้ทั้งคู่กลับบ้าน เพื่อจะได้ไปมีครอบครัวใหม่ ในข้อที่๘.นาโอมีได้พูดว่า “...ขอพระเจ้าทรงเมตตาต่อเจ้าทั้งสอง ดังที่เจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อแม่” ประโยคนี้บอกอะไรเรา ก็บอกให้เรารู้ว่าสะใภ้ต่างชาติของนาโอมีทั้งสองคนนี้น่าจะเป็นภรรยาที่ดีพอสมควร แล้วก็คงจะทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีและแม่ของสามีด้วย...ได้อย่างสมบูรณ์ นาโอมีถึงเอ่ยปากชมและขอพระเจ้าอำนวยพรให้แก่ลูกสะใภ้ทั้งคู่ แต่พอนาโอมีจูบลาสะใภ้ ทั้งสองคนก็ร้องไห้กันใหญ่
ดูนรธ.1:10-11 สะใภ้ทั้งสองคนของนาโอมีบอกว่าจะขอกลับไปอยู่ที่อิสราเอลด้วย แต่นาโอมีบอกว่า อย่าเลย..กลับบ้านตัวเองไปเถอะ เพราะถึงยังไงนางก็ไม่มีลูกชายเหลือให้สืบสกุลอีกแล้ว กลับบ้านไปยังจะมีโอกาสได้แต่งงานใหม่แล้วก็มีลูก สิ่งที่นาโอมีทำเนี้ย มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า...นาโอมีเห็นแก่ตัวมะ ไม่เลยเพราะนาโอมีสนับสนุนให้ลูกสะใภ้ไปมีครอบครัวใหม่ ไม่ได้หวงสะใภ้ไว้เพื่อให้อยู่ดูแลตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วถ้านาโอมีคิดจะทำอย่างงั้น ทำได้มะ..ได้แน่นอน (ถึงสมัยนี้ก็เหอะ ถ้าใครบังเอิญได้แต่งเข้าไปเป็นลูกสะใภ้คนจีนก็จะรู้ซึ้งเลยล่ะ..ว่าส่วนใหญ่แม่สามีก็ซูสีไทเฮาดีๆนี่เอง) ว่าแล้วทั้งสามคนก็ร้องไห้กันอีกรอบ แล้วโอรปาห์ก็จูบลาแม่สามีแล้วก็ยอมกลับบ้านไป นาโอมีก็เลยบอกให้รูธกลับไปมั่ง แล้วรูธว่าไง
ดูต่อนรธ.1:16-17เป็นไง..เกิดมาเคยเห็นมะ แม่ผัวลูกสะใภ้รักกันมากขนาดนี้..น้าตุ๊กไม่เคย นางรูธบอกว่า แม่ไปไหน..ไปด้วย ตายไหน..ตายกัน ญาติแม่..ก็เหมือนญาติชั้น พระเจ้าของแม่..จะเป็นพระเจ้าของชั้นด้วย นี่คือตัวอย่างของสตรีที่มีความสัตย์ซื่อต่อสามีและวงศ์ตระกูลของสามี สืบเนื่องจนเป็นสายใยให้รูธจงรักภักดีต่อพระเจ้า ผลก็คือรูธได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ เพราะเธอได้เป็นพงศ์พันธ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงมาบังเกิด สมชื่อ”รูธ”จริงๆเพราะรูธแปลว่า”คู่ชีวิต”แล้วหญิงที่ควรค่าจะเป็นคู่ชีวิตของใครซักคนก็ควรที่จะมีคุณสมบัติเหมือนนางรูธ เอาคล้ายๆก็ได้หรือแค่ใกล้เคียงก็พอ (จะมีมั๊ยเนี่ย)
แล้วข้อพระคำภีร์ตอนนี้ก็บอกย้ำเราอีกที ว่ายิวไม่ใช่ชนชาติเดียวที่พระเจ้าจะทรงรักและเลือกเข้ามารับความรอด แต่พระเจ้ากำหนดความรอดไว้เพื่อ...คนทุกชาติ ทุกภาษา
แล้วสุดท้าย นาโอมีก็ใจอ่อนยอมพารูธกลับมาที่ยูดาห์ด้วย ตอนไปไปกันสี่คน กลับมายังดีมีลูกสะใภ้ไม่งั้นต้องเหลือตัวคนเดียว แต่จะเหลือกี่คนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือยังไงก็ต้องกลับมาที่เบธเลเฮม..แล้วรูธก็ต้องกลับมาด้วย เพราะนี่คือส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้แล้วว่าก.ดาวิดและพระเยซูคริสต์ต้องทรงบังเกิดที่ไหน..ที่เบธเลเฮม เพราะฉะนั้น ไม่ว่านาโอมีจะต้องมาในสภาพไหนหรือเธอเองจะรู้สึกยังไง จริงๆแล้ว..ก็ไม่สำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องกลับมาเพื่อให้ทุกอย่างได้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า
ดูนรธ.1:19-21 พอนาโอมีกับรูธกลับมาถึงเบธเลเฮม ชาวบ้านก็แตกตื่นพูดกันประมาณว่า “นี่นาโอมีจริงๆหรือ” ทำไมชาวบ้านถึงแปลกใจ เชื่อว่าตอนอยู่ที่ยูดาห์เอลีเมเลคกับนาโอมีคงมีฐานะค่อนข้างดีเพราะในข้อที่๒๑.นาโอมีบอกว่าเธอมีพร้อมทุกอย่างตอนที่จากไป แต่กลับมาในสภาพที่ยากไร้แถมเหลือตัวคนเดียว เด็กๆนึกออกมะคนเราเวลาที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแล้วก็มีความทุกข์ที่ต้องสูญเสียทั้งสามีและลูก มันก็คงจะดูโทรมๆหน่อยจนคนจำแทบไม่ได้ ตามวิสัยชาวบ้านก็เลยพูดกันไปประมาณว่า “เนี่ยเหรอ นาโอมีจำแทบไม่ได้เลย..อะไรประมาณนั้น” ส่วนนาโอมีก็พูดกับชาวบ้านว่าอย่าเรียกชั้นว่านาโอมีเลย เพราะ นาโอมีมันแปลว่า “สุขสบาย” แต่ตอนนี้ชั้นไม่ได้สบายเหมือนชื่อ เพราะฉะนั้นเรียกชั้นว่า”มารา”น่าจะเหมาะกว่าเพราะมาราแปลว่า”ขม”(ขมขื่น) คำเดียวกับที่อิสราเอลเจอน้ำขมที่มาราห์ ในอพย.15
วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะคะเวลาหมดแล้ว สัปดาห์หน้าไม่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพราะเราจะฉลองคริสมาสตร์ด้วยกันที่โบสถ์ แล้วอาทิตย์ที่27:12:2009 เราจะมาต่อเรื่องของนางรูธกัน
เมอร์รี คริสมาสตร์ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น