วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 4 (จบ)

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 4 (จบ) อาทิตย์ที่ (16-8-2009)

ยชว.15:16-19 คาเลบบอกว่าใครตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์ได้ จะยกลูกสาวให้ ปรากฎว่าโอทนีเอลเป็นผู้ไปยึดครองเมืองนี้ได้ ก็เลยได้แต่งงานกับลูกสาวของคาเลบหลังจากนั้นลูกสาวก็เอ่ยปากขอน้ำพุกับพ่อ พ่อก็ตกลงยกให้ เด็กอาจจะแปลกใจว่า ขอไปทำไมน้ำพุ แต่ความจริงแล้วบ่อน้ำพุก็ค่อนข้างจะมีค่า เพราะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งหายากในแถบทะเลทราย หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วย

ประเด็นสำคัญในข้อนี้คืออยากให้จำชื่อของ”โอทนีเอล”ไว้ เพราะจะมีบทบาทต่อไปในสมัยผู้วินิจฉัยหลังจากที่โยชูวาตายไปแล้ว โอทนีเอลจะมีบทบาทในการกู้ชาติ เพราะได้รับแรงบันดาลใจที่สืบทอดมาจากคาเลบ (เรียกว่าเจริญรอยตามพ่อตาของเขา)

ยชว,10:14-16/17-18 คนเผ่าเอฟราอิมไปร้องบอกโยชูวาว่า ทำไมแบ่งที่ให้เขาน้อยทั้งๆที่เผ่าเอฟราอิมมีคนเยอะ (ประมาณนี้) โยชูวาก็บอกว่า ในเมื่อมีคนมากมายก็ถางป่าเข้าไปก็จะได้ที่มากขึ้น แต่คนเผ่าเอฟราอิมก็ดูเหมือนจะใจไม่สู้อ้างว่าคนคานาอันแถบนั้นมีรถรบทำด้วยเหล็ก (เด็กๆเห็นนิสัยที่ต่างกันของคนเผ่านี้กับคาเลบมั๊ย) ต่างกันฟ้ากับเหว ทำไมคนเผ่าเอฟราอิมถึงตั้งแง่มากมาย

เหตุผลแรก .เพราะไม่วางใจในพระเจ้าเหมือนคาเลบ กลัวรถรบของชาวคานาอัน เอาเรี่ยวแรงกำลังของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง แค่คิดก็แพ้แล้ว (จริงมะ)

เหตุผลอีกข้อหนึ่ง คือ ขี้เกียจเหยียดยาว อยากได้เขตแดนเพิ่มโดยไม่ต้องออกแรง ทั้งๆที่โยชูวาก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า ถ้าเขายอมทำงานก็จะเห็นว่าเขตแดนที่ได้รับก็ใหญ่จนเหลือเฟือแล้ว

น้าตุ๊กว่า ในสังคมมีคนที่นิสัยแบบนี้เหมือนกันนะ อยากได้รับสิ่งดีๆแต่ไม่ยอมออกแรง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ แล้วเต็มที่คือแค่ไหนอันนี้พูดยาก ทำไมถึงพูดยากเพราะพูดแล้วส่วนใหญ่จะเถียง (ประมาณว่า..ข้าทำดีที่สุดแล้ว เอ็งอย่ามารู้ดี) ตามประสบการณ์ของน้าตุ๊กเคยเห็นคนที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ แต่อยากได้บางสิ่งมาฟรีๆหรือง่ายๆมาเยอะมาก แล้วส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าตัวเองยังทำหน้าที่ไม่ดีพอแล้วมักจะโยนความผิดให้ผู้อื่นหรือไม่ก็โทษสถานะการณ์ (อย่างคนเผ่าเอฟราอิมเนี่ย) หรือไม่ก็อ้างดินฟ้าอากาศ บางรายยิ่งหนักทึกทักเอาว่าพระเจ้าคงมีพระประสงค์ให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง (พูดยากจริงๆ) เด็กๆจำเป็นต้องแยกแยะแล้วก็มีมุมมองที่รัดกุม จริงอยู่ที่บางครั้งเราต้องลำบาก หรือพบกับการทดลองเพราะพระเจ้าทรงตีสอนเรา น้าตุ๊กก็โดน.....หลายๆคนก็เคยโดนเพราะว่าเรานิสัยไม่ดีหรือทำอะไรผิด แต่สำหรับบางรายที่น้าตุ๊กเคยเจอเห็นใสๆเลยว่า you ขี้เกียจไม่ยอมทำงาน.....เลือกงาน หรืออีกประเภทหนึ่งที่ไม่ยอมนับหนึ่ง....ดีแต่คิดการใหญ่จิตใจเพ้อฝัน งานไหนดูต่ำต้อยด้อยค่าฉันไม่ทำ (ทั้งๆที่ตัวเองหรือครอบครัวก็ลำบากจะตายอยู่แล้ว) อยากให้เด็กๆจำไว้ว่าทุกอาชีพมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ส่วนที่ชอบคิดกันไปเองว่าอาชีพหนึ่งดูมีศักดิ์ศรีกว่าอีกอาชีพหนึ่ง เช่นการเป็นเจ้าของกิจการนั้นดูดีหรือมีศักดิ์ศรีกว่าลูกจ้าง อันนี้ก็ไม่จริง มันเป็นเรื่องที่มนุษย์แต่งตั้งกันไปเองเพราะชอบไปยึดติดกับรูปแบบหรือค่านิยมทางโลก

เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างงี้เราต้องพิจารณาให้ดีๆเพราะการตีสอนของพระเจ้ากับการที่คุณขี้เกียจเองนั้นมันถูกแบ่งไว้แค่เส้นบางๆ (บางจนมองแทบไม่เห็น ก็เลยเข้าทางเอาไปอ้างได้) ถ้าไม่ยอมก้มศีรษะลงอธิฐานเพราะจิตใจเย่อหยิ่งกลัวความจริง ไม่ยอมรับความสันหลังยาวของตัวเอง ก็คงหลุดยากต้องวนอยู่อีกนาน น้าตุ๊กอาจจะพูดตรงไปหน่อยเพราะอยากให้เด็กๆเข้าใจ เพราะเด็กๆยังมีความใส น้าตุ๊กจึงหวังใจว่าพวกเรายังสอนได้ แล้วน้าตุ๊กก็เชื่อจริงๆซะด้วยว่า”พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราทุกคนขยันขันแข็ง”(ในแบบและหน้าที่ๆพระองค์ทรงสร้างเรามา) อย่างคนเผ่าเอฟราอิมได้รับส่วนแบ่งของตัวเองไปแล้วแต่พื้นที่ๆแบ่งไปยังมีส่วนที่เป็นป่าเป็นเขา ก็เลยมาร้องขออยากจะเอาที่เพิ่มกับโยชูวา ส่วนโยชูวาก็ยืนยันว่าถ้าถางป่าเข้าไปก็จะมีเนื้อที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นจนเหลือเฟือ กรณีอย่างงี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของชายฉกรรจ์เผ่าเอฟราอิมที่ควรจะต้องขยันขันแข็งออกเรี่ยวแรงถางป่า เพื่อให้พ่อแม่หรือลูกเมียตัวเองได้อยู่อย่างกว้างขวางขึ้นมันถึงจะถูก

หรืออย่างหน้าที่ของพ่อแม่ พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก ดูแลให้พวกเขาดำเนินอยู่ในทางพระเจ้า ดูแลเรื่องอาหารเพื่อที่ลูกจะได้มีสุขภาพดี ดูแลปัจจัยสี่ ดูแลความประพฤติ นิสัยใจคอ หรือแม้แต่ทัศนคติและวิสัยทัศน์ของพวกเขา เพื่อที่ลูกๆจะสามารถเติบโตมาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม ดูแลเรื่องการเรียนให้พวกเขาเติบโตมาพึ่งพาตัวเองได้ แน่นอนว่าพระเจ้าทรงดูแล แต่!พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน และพระเจ้าไม่ใช่แค่ดูแลแต่พระองค์เป็นผู้ที่ปั้นลูกทุกคน เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเทศนาว่าพระเจ้าทรงปั้นเด็กทุกคนไว้60% ส่วนอีก40%เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องอบรมสั่งสอนเขา น้าตุ๊กไม่รู้ว่าจะ60/40หรือเปล่าแต่ก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงปั้นไว้เกินครึ่ง (แต่พระองค์ควบคุมอยู่100%) เหลือไว้ส่วนหนึ่งให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ (อีกแล้ว เห็นมั๊ยพระองค์จะทรงเหลือไว้ให้เป็นหน้าที่เราเสมอ แล้วคุณจะงอมืองอเท้าอยู่ได้ไง) เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีลูกแล้วไม่ดูแล ส่วนที่พระเจ้าทรงเหลือไว้ให้คุณทำนั้น........มันก็จะว่างเปล่า........มากพอที่จะทำให้คุณเหน็บหนาวได้......ในเวลาที่พวกเขาโตขึ้น

ยชว.18:9-10 ยังเหลืออิสราเอลอีกเจ็ดเผ่าที่ยังไม่ได้จับฉลากรับแบ่งที่ดิน โยชูวาเลยส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสำรวจเขตแดนในคานาอันแล้วแบ่งเป็นเจ็ดเขต หลังจากนั้นก็จับฉลากแบ่งกัน

อ่าน ยชว.18:11 เผ่าเบนจามินได้อยู่ที่เล็กของเทือกเขาที่อยู่ระหว่างเผ่าใหญ่สองเผ่า คือ ยูดาห์กับเอฟราอิม เมืองสำคัญหลายๆเมืองอยู่ในเขตของเผ่าเบนจามิน รวมทั้งนครเยรูซาเล็มก็อยู่ในเขตทางใต้ของเบนจามินด้วย

ยชว.20:1-3 ในข้อนี้พระเจ้าทรงย้ำให้โยชูวาตั้งเมืองลี้ภัย เพื่อว่าใครก็ตามที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาจะได้ไปอยู่ และพ้นจากการอาฆาตของญาติผู้ตาย เมืองลี้ภัยจะมีอยู่หกเมือง ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกสามเมือง ตะวันตกสามเมือง

หลังจากนั้น ก็มีการจับฉลากแบ่งที่ตามหัวเมืองให้แก่คนเลวีซึ่งมีทั้งหมด ๔๘ หัวเมือง และพระเจ้าทรงอำนวยการจับฉลากให้เมืองของพวกปุโรหิตได้อยู่ใกล้ๆเขตของนครเยรูซาเล็ม ตอนนั้นพวกปุโรหิตอาจจะไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมพวกเขาถึงได้อยู่ตรงนั้น แต่เพราะต่อมาเยรูซาเล็มจะเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลและเป็นที่ตั้งพระวิหารของพระเจ้าด้วย

ยชว.22:1-2/4 เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการรบและการแบ่งเขตโยชูวาก็บอกทหารสองเผ่าครึ่งที่เลือกจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกให้กลับบ้านได้ มีการชมเชยที่พวกเขารักษาสัญญาช่วยพี่น้องสู้รบจนได้รับชัยชนะ พร้อมทั้งตักเตือนให้ระวังที่จะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า เสร็จแล้วก็อวยพรส่งพวกเขากลับบ้านไป

ยชว.22:10-12 คนสองเผ่าครึ่งนี้เมื่อกลับมาที่เขตแดนของตัวเองแล้ว ก็ตั้งใจที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า แสดงให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพี่น้องฝั่งคานาอัน ก็เลยสร้างแท่นบูชาไว้ที่ชายแดน แต่พวกทางฝั่งคานาอันเข้าใจผิดคิดว่าคนสองเผ่าครึ่งคิดจะตั้งศาสนาของตัวเอง ก็เลยรวมตัวกันจะยกทัพไปทำสงครามกะพวกฝั่งโน้น

ยชว.22:18-19 คนอิสราเอลให้ฟีเนหัสบุตรของเอเลอาซาร์ เข้าไปถามคนสองเผ่าครึ่งว่า “พวกท่านคิดจะกบฎต่อพระเจ้าหรือ ทำอย่างงี้จะทำให้อิสราเอลทั้งหมดพลอยโดนลงโทษไปด้วย ถ้าแผ่นดินฝั่งนี้ไม่ดีหรือไม่สะอาดก็ข้ามไปอยู่กับพวกเราที่ฝั่งโน้นเถอะ อย่าทำอย่างงี้เลย (ฟังดูดี ช่างมีน้ำใจ)

ดูต่อไปว่าคนสองเผ่าครึ่งจะว่าไง อ่านต่อ ยชว.22:26-27/28-29

คนสองเผ่าครึ่งอธิบายว่า พวกเขาไม่ได้สร้างแท่นบูชาเพื่อตั้งศาสนาใหม่ของตัวเอง แต่ตั้งไว้เป็นพยานว่าเขาเชื่อในพระเจ้าเดียวกันกับคนฝั่งตะวันตก แท่นนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อถวายเครื่องบูชา แต่สร้างไว้เป็นพยานและที่ระลึกเท่านั้นเอง

เมื่อชี้แจงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกทางฝั่งคานาอันก็สบายใจยกทัพกลับบ้านไป คนรูเบนกับคนกาดเรียกแท่นนั้นว่า “แท่นพยาน” เพราะแท่นนั้นเป็นพยานระหว่างพี่น้องว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเดียว

มาถึงตอนสุดท้ายของหนังสือโยชูวา คือช่วงที่อิสราเอลจะทำพันธสัญญาที่เชเคมอีกครั้งหนึ่งกับวาระสุดท้ายของโยชูวา

ยชว.23:14 โยชูวากล่าวว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกนี้แล้ว” แปลว่าไร ก็แปลว่าจะตายละ รู้ตัวว่าใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็เลยเรียกประชุมบรรดาผู้นำเผ่าต่างๆของอิสราเอล แล้วโยชูวาก็บอกว่า พวกท่านได้เห็นแล้วก็ได้รู้แก่ใจแล้วว่าพระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อิสราเอลนั้น ไม่มีซักอย่างที่ล้มเหลว สำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดไว้ก็เป็นจริงตามนั้นเสมอ

ยชว.23:6-8 โยชูวาเตือนประชาชนให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า อย่าเผลอไปเอาอย่างคนต่างชาติที่หลงเหลืออยู่ในคานาอัน อย่าไปไหว้พระของพวกเขาหรือแม้แต่พูดถึงชื่อของพระเหล่านั้น เด็กๆคงรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงย้ำเรื่องนี้บ่อยมาก ทั้งโมเสสและโยชูวาก่อนตายก็เตือนคนอิสราเอลซ้ำๆเรื่องเดียวกันนี้แหละ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องสำคัญมาก และ พระบัญญัติสิบประการก็ยังบัญญัติเรื่องนี้ไว้เป็นข้อแรก

คำอำลาของโยชูวา

ยชว.24:1-2 ในตอนนี้บรรดาผู้นำของคนอิสราเอลได้พากันไปที่เมืองเชเคมอีกครั้งหนึ่งเพื่อย้ำคำสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้า ว่าพวกเขาจะสัตย์ซื่อและดำเนินตามถ้อยคำ คำสอนของพระองค์ โยชูวาเริ่มต้นอรัมภบทถึงบรรพบุรุษของอิสราเอล ตั้งแต่ที่พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมออกมาจากเมืองเออร์ในดินแดนเมโสโปเตเมีย เพราะเทราห์พ่อของอับราฮัมนั้นหลงไปกราบไหว้พระอื่น แล้วพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานดินแดนคานาอันแก่เชื้อสายของอับราฮัมแล้วพระองค์ก็ทรงกระทำให้สำเร็จดังคำสัญญา

ยชว.24:14-15 โยชูวาบอกว่า เมื่อทุกคนได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว ก็จงยำเกรงและดำเนินชีวิตด้วยความรักและซื่อสัตย์ต่อพระองค์ แต่ถ้าใครไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติพระเจ้า ก็จงเลือกซะตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องมาให้คำมั่นสัญญา แต่ส่วนตัวเขาเองโยชูวาบอกว่าเขาเลือกที่จะรับใช้พระเจ้าตลอดไป

ยชว.24:21-23 ประชาชนยืนยันกับโยชูวาว่าพวกเขาเลือกที่จะปรนนิบัติพระเจ้า โยชูวาก็ได้ย้ำกับประชาชนว่า “พวกท่านเป็นพยานปรักปรำตัวเองนะ” หมายความว่า พวกท่านพูดเองนะ ไม่ได้มีใครบังคับนะ เพราะในข้อที่๑๙ นั้นโยชูวาพูดว่า “ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ พูดคำไหนก็คำนั้น และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความหวงแหน หมายความว่าถ้าวันไหนพวกเขาทิ้งพระเจ้าแล้วหันไปหาพระอื่น พวกเขาก็จะถูกพระเจ้าพิพากษานะ โยชูวาพูดอย่างงี้เพราะคงรู้สึกว่าประชาชนอาจจะรับปากไปส่งๆ แบบขอไปทีรึเปล่า ก็เลยพูดไล่เบี้ยลองใจคนอิสราเอลประมาณว่า ”พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ส่วนพวกท่านน่ะเป็นคนบาปแถมชอบกบฎซะด้วย” (แล้วจะไหวเหรอ)

เป็นการพูดกดดันเพื่อที่จะดูว่าพวกเขายึดมั่น ยืนยันที่จะเดินตามพระเจ้าจริงมั๊ย มีความเชื่อจริงๆรึเปล่า แต่ปรากฎว่าประชาชนก็ยังยืนยันอย่างแน่วแน่ว่า “พวกเขาเลือกที่จะนมัสการพระเจ้า”

ดูต่อไปยชว.24:26-28 พอประชาชนยืนยันที่จะอยู่ฝ่ายพระเจ้าเป็นที่แน่นอนแล้ว โยชูวาก็ทำพิธียืนยันคำสัญญากับประชน และตั้งศิลาก้อนใหญ่ไว้เป็นที่ระลึกเพื่อทุกคนจะได้รู้ว่าสัญญาแล้วจะกลับคำไม่ได้ แต่การกลับคำไม่ได้นั้น เป็นสิ่งที่ดีเพราะพระองค์ทรงการันตีให้เราเหมือนกันว่า พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จดังคำที่สัญญาไว้ ไม่ว่าเราจะแย่ขนาดไหนหรือบางครั้งจะหลงเจิ่นไป ถ้าเราเป็นของพระองค์ยังไงๆก็จะทรงตามกลับมาจนได้ (แม้ว่าสภาพเราอาจจะต้องยับเยินซะหน่อย)

ยชว.24:29-31 พระธรรมโยชูวาก็จบลงที่การสิ้นชีวิตของโยชูวาและเอเลอาซาร์ โดยมีบันทึกยืนยันว่าคนอิสราเอลในสมัยนั้นได้ติดตามและปรนนิบัติพระเจ้าอย่างไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะโยชูวาได้ดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างที่ดี และก็เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะว่าผู้นำที่ดีก็มีจะส่วนสำคัญในการเป็นแบบอย่างของผู้ตาม

สุดท้าย ยชว.24:32-33 ในข้อนี้บอกว่า เขาฝังกระดูกของโยเซฟไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ยาโคปซื้อจากลูกหลานฮาร์โมพ่อของเชเคม (ก็คงจะซื้อเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว) และสุดท้ายก็เป็นบันทึกการสิ้นชีวิตของเอเลอาซาร์ ว่ามีการฝังศพท่านไว้ที่เขตเมืองของฟีเนหัส เขตเมืองที่ได้อาศัยอยู่เท่านั้น เพราะเอเลอาซาร์กับฟีเนหัสลูกของเขาเป็นปุโรหิต ก็เลยไม่ได้มีส่วนแบ่งที่ดินอะไร ร่างของเอเลอาซาร์ก็เลยถูกฝังในเขตที่ฟีเนหัสอาศัยในแดนเทือกเขาของคนเผ่าเอฟราอิม

ทีนี้น้าตุ๊กอยากจะพูดถึงโยเซฟ เด็กๆคิดมั่งมั๊ยว่า “มันน่าทึ่งแค่ไหนที่วันนี้กระดูกของเขาได้ถูกนำกลับมาฝังในดินแดนที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้ลูกหลานของโยเซฟ” ถ้าเราอ่านเรื่องนี้อย่างผิวเผินก็คงจะผ่านเลยไปอย่างไม่คิดอะไร

เปิดไปดูปฐก.50:22-26 ก่อนตายโยเซฟบอกกับพี่น้องว่า “พระเจ้าจะสำแดงพระองค์และจะพาลูกหลานของอิสราเอลออกไปจากอียิปต์แน่นอน” แล้วถ้าถึงวันนั้นก็ให้เอากระดูกของเขาไปด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ต้องหนักแน่นมากๆของโยเซฟ เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แต่โยเซฟก็ไม่ทันได้อยู่เห็นพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมา แต่ในขณะที่เขายังไม่เห็นว่าอะไรจะเป็นจริงขึ้นมา ยังสั่งลูกหลานไว้ก่อนตายประมาณว่า ถ้าพระเจ้ามาพาออกไปจากอียิปต์เมื่อไหร่.........เอากระดูกข้าไปด้วย ถ้าไม่เชื่อลึกถึงจิตใต้สำนึกแล้ว น้าตุ๊กว่า บางทีคนเราเวลาใกล้ตายก็ไม่ค่อยจะมีสติมาสนใจรายละเอียดพวกนี้ซักเท่าไหร่ (โดยเฉพาะคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า) บางคนอาจจะกลัวว่าตายแล้วจะไปไหนหรือยังห่วงอะไรซักอย่างบนโลกนี้ เสียดายนั่นเสียดายนี่สมองจะวุ่นวายมาก แต่ถ้าเป็นคนที่มีพระเจ้าและชีวิตก็ดำเนินอยู่กับพระองค์ทุกวัน จิตวิญญาณของเขาก็จะจดจ่ออยู่กับพระองค์จนลมหายใจสุดท้ายเหมือนโยเซฟ ที่มีแต่ความเชื่อมั่นคงและยังคงสั่งเสียกับลูกหลานให้ตระหนักถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษ

วันนี้น้าตุ๊กขอจบหนังสือโยชูวาไว้ที่ความเชื่อของโยเซฟ อาทิตย์หน้าเราจะมาเรียนเรื่อง"ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า" เพื่อที่เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชัยชนะในองค์พระเยซูคริสต์ เหมือนที่โยชูวามีชัยชนะเหนือแผ่นดินแห่งพันธสัญญาด้วยเชื่อในฤทธิอำนาจของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล แล้วพบกันสัปดาห์หน้า

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น