วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดินแดนคานาอัน สมัยก่อนคริสตกาล

ดินแดนคานาอัน สมัยก่อนคริสตกา วันที่ อาทิตย์ 12-7-2009

นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ดินแดนนี้มีมนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่เป็นเวลาประมาณ 9000 ปี หรือตั้งแต่ 7000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งถือเป็นชุมชนของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ส่วนยุคประวัติศาสตร์ตามพระคำภีร์นั้น เริ่มต้นที่ประมาณ 4000 ปี ก่อนค.ศ.

คานาอัน” นั้นเป็นชื่อบุตรชายของฮาม หนึ่งในลูกของโนอาห์ คือ เชม ฮาม และยาเฟท โนอาห์และครอบครัวได้อพยพจากแหลมอาระเบีย มาอยู่ที่เมือง เออร์ ในดินแดนเคลเดียหรือบริเวณเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ อิรัก

ต่อมาโนอาห์ได้ขับไล่ฮามซึ่งมีบุตรชายชื่อ คานาอัน ออกไป คานาอันจึงไปอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งสมัยนั้นได้ชื่อว่า ดินแดนคานาอัน ตามชื่อบุตรชายของ ฮาม ดังนั้น ชาวคานาอัน จึงเป็นพวกแรกที่สร้างบ้านเรือนอยู่ในดินแดน แห่งพันธสัญญานี้

ชนเผ่าพื้นเมืองเดิมในคานาอัน ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าบุกยึดและอยู่อาศัยในคานาอัน

๑.ชาวอาโมไรต์ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกอาโมไรต์สืบเชื้อสายมาจาก เชม แต่ตามข้อความในพระคำภีร์ระบุว่า เป็นเชื้อสายของ ฮาม คงเป็นเพราะเมื่อเข้ามาอยู่ในคานาอันแล้ว ชาวอาโมไรต์ได้อยู่คลุกคลีแต่งงานกับชาวคานาอันมาเป็นเวลานาน ลูกหลานรุ่นต่อมาเลยเป็นเชื้อสายของทั้งเชม และฮาม ดังนั้นจะเรียกคนอาโมไรต์หรือเรียกว่าชาวคานาอันก็ได้ ใช้แทนกันได้

๒.คนเยบุส เยบุสก็เป็นเชื้อสายของคานาอัน บุตรของฮาม จึงเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเดิมของคานาอัน เมืองสำคัญของพวกเขาก็คือ เยรูซาเล็ม ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า เมืองเยบุส

ที่ตั้ง ของเยรูซาเล็มบนเนินเขานั้น เป็นป้อมปราการอย่างดี ยากที่ศัตรูจะเอาชนะได้ ชาวเยบุสจึงเคยคิดอย่างเย่อหยิ่งว่า แค่ใช้คนง่อย พิการ ตาบอด วางกำลังไว้ตามกำแพงเมืองก็ยังสามารถป้องกันศัตรูที่มารุกรานได้ แต่ต่อมาก็ถูกก.ดาวิดของอิสราเอล เข้าบุกยึดเยรูซาเล็มได้สำเร็จ

๓.คนเปริสซี พวกนี้อาศัยอยู่ตามเทือกเขาตอนกลางของคานาอัน ในพระคำภีร์ระบุว่าพวกนี้อาศัยอยู่ที่เมืองเบธเอล เชเคม และตามชนบทของเผ่าเอฟราอิม

๔.คนฮีไวต์ อาศัยอยู่ตามเทือกเขาทางภาคเหนือของคานาอัน และบริเวณเทือกเขาเลบานอน และก็มีบางส่วนที่อพยพลงไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองเชเคม กับเมืองกิเบโอน

๕.พวกเรฟาอิม เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่เหมือนคนอานาค ที่อิสราเอลเรียกว่ายักษ์กินคน คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่กระจัดกระจายบนสองฝั่งน.จอร์แดน ในคานาอันมีหุบเขาแห่งหนึ่งชื่อว่าหุบเขาเรฟาอิม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงเยรูซาเล็ม

๖.คนฮิตไทต์ ความหมายของคนฮิตไทต์ที่พระคำภีร์กล่าวถึง ไม่เกี่ยวกับจักรวรรดิฮิตไทต์ที่ปกครองทั่วเอเชียน้อยและซีเรีย แต่หมายถึงชนเผ่าพื้นเมืองเดิมในคานาอัน ลูกหลานของพวกฮิตไทต์ที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งในคานาอัน โดยอาศัยอยู่ตามเทือกเขาตอนกลาง แถวเมืองเบธเอล เยรูซาเล็มและเฮโบรน

๗.ชาวฟีนิเซีย ฟีนิเซียเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนเหนือของปาเลสไตน์ (คานาอัน) บางทีก็เรียกว่า “ไทระ” หรือ “ไซดอน” เพราะเป็นที่ตั้งของสองเมืองนี้ ปัจจุบันคือประเทศเลบานอน ทั้งไทระ และ ไซดอนนั้น สามารถต้านทานการบุกยึดของอิสราอลไว้ได้ อิสราเอลจึงไม่เคยได้ครอบครองทั้งสองเมืองนี้ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ แต่ถึงยังไง ฟีนิเซีย ก็ยังจัดว่ามีบทบาทต่อประเทศอิสราเอลมากพอสมควร เพราะต่อไปเราจะพบเรื่องราวของพวกฟีนิเซียที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับอิสราเอลทั้งในสมัยก.ดาวิด ก.โซโลมอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของก.อาหับ ที่ได้แต่งงานกับ พระนางเยเซเบล ชาวฟีนิเซีย แล้วเอาศาสนาบาอัลเข้ามาครอบงำคึนอิสราเอล จนทำให้อิสราเอลและยูดาห์ถึงกับหันหลังให้พระเจ้า จนเป็นเหตุให้ “เยฮู” ต้องปฏิวัติ เรื่องนี้ก็จะอยู่ในสมัยของการคืนดีระหว่างสองอาณาจักรที่น้าตุ๊กสอนไปคราวที่แล้ว

๘.พวกฟีลิสเตีย พวกนี้ก็สำคัญเพราะฟีลิสเตียจัดเป็นศัตรูคนสำคัญของอิสราเอล ส่วนดินแดนของพวกฟีลิสเตียตั้งอยู่บริเวณที่ราบชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนค่อนลงมาทางใต้ และในสมัยนั้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “ทะเลของพวกฟีลิสเตีย” เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำนี้ก็ขอให้เข้าใจว่า หมายถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แล้ว ชื่อปาเลสไตน์นั้น ก็ได้มาจากชื่อของพวกฟีลิสเตียนี่เอง

เมื่อโยชูวาเริ่มนำอิสราเอลเข้ายึดครองคานาอัน เมืองที่ตีได้ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองที่อยู่บนเนินเขา แต่ไม่ค่อยจะยึดเมืองตามที่ราบได้ซักเท่าไหร่ ฟีลิสเตียนี่ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ในที่ราบที่อิสราเอลไม่สามารถจะรบชนะได้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่บางครั้งพระเจ้าของเราถูกเรียกว่า “พระเจ้าแห่งภูเขา” (เอล ชาดได ที่แปลว่า พระเจ้าแห่งภูเขา หรือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์)

ทั้งหมดที่พูดถึงนี้คือชนเผ่าสำคัญที่อาศัยอยู่ในคานาอันก่อนที่อิสราเอลจะเข้ายึดครอง ส่วนลักษณะเมืองของชาวคานาอัน จะเป็นเมืองที่มีกำแพงสูงที่ทำจากหินและดิน ป้องกันไม่ให้ศัตรูหรือสัตว์ป่าบุกรุก ภายในกำแพงก็จะมีบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น ชาวบ้านธรรมดาก็จะทำไร่ทำนาบนที่ดินเล็กๆของตัวเอง ทำงานฝีมือ หรือเป็นลูกจ้างของคนรวยๆ เช่นเจ้าเมือง เจ้าของที่ดิน หรือพวกพ่อค้า .....ส่วนนอกกำแพงจะเป็นหมู่บ้านของชาวนาและคนเลี้ยงสัตว์ ที่อยู่อย่างกระจัดกระจายไปโดยรอบ พวกเจ้าเมืองก็มักจะมีเรื่องขัดแย้งกันเสมอ บางเมืองก็ถูกโจรป่าหรือคนนอกกฎหมายมาปล้นโจมตีบ่อยๆ ......ถ้าสังเกตุดูจะเห็นว่าชาวคานาอันนั้นไม่ค่อยจะรวมตัวอยู่กันเป็นปึกแผ่นซะเท่าไหร่ ทำให้อิสราเอลเข้าบุกยึดเมืองในคานาอันได้ง่ายขึ้น

ศาสนาของชาวคานาอัน

ชาวคานาอันนับถือพระบาอัลซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ควบคุมฝน หมอก น้ำค้าง หมายถึงว่าเป็นผู้ควบคุมผลผลิตทางการเกษตร หรือดูแลปากท้องของพวกเขา พระบาอัลมีมเหสีด้วยชื่ออานาด พ่อของพระบาอัลชื่อ เอล มเหสีของเอล ชื่ออาเชราห์ แต่ในสมัยที่อิสราเอลเข้ายึดครองคานาอัน เอล ก็กลายเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น (หุ่นเชิด ก็หมายถึง ไม่มีบทบาทของตัวเองหรือไม่มีฤทธิ์อำนาจจริง)

นอกจากนี้ ชาวคานาอันก็ยังมีพระอีกมากมายหลายองค์ เช่นพระดาโกน เป็นเทพแห่งข้าวโพด ชื่อพระเหล่านี้ปรากฎอยู่ในหน้าพระคำภีร์ มีทั้งที่เคยเรียนกันไปแล้วและก็ยังเรียนไม่ถึง

เรารู้ความเป็นมาของเทพเจ้าต่างๆของชาวคานาอันจากตำนานของพวกเขาเอง พระเหล่านี้มีทั้งโหดเหี้ยม กระหายเลือด บ้าสงคราม สำส่อนทางเพศแถมชอบวุ่นวายกับมนุษย์ เพียงแค่เพื่อความสะใจชั่วครู่โดยไม่คำนึงว่าการกระทำอย่างงั้นจะไปกระทบกระเทือนใคร แต่บางเวลาก็อาจจะมีใจเมตตาบ้าง (นี่มันบทตัวอิจฉาในละครทีวีรึเปล่าเนี่ย ใครเขียนคาแร็คเตอร์ให้เทพเจ้าพวกนี้ก็ไม่รู้เนอะ)

แท้จริงแล้วพระของชาวคานาอันเหล่านี้ ก็เป็นแค่ภาพสะท้อนถึงคนที่มากราบไหว้นั่นแหละ เพียงแต่ใส่บทบาทให้เป็นเทพเจ้าเท่านั้นเอง หมายความว่าไร ก็หมายความว่า ค่านิยมหรือนิสัยของพวกเขาเป็นยังไง ชอบแบบไหน ก็เอาใส่ ตั้งให้เป็นเรื่องเป็นราวของเทพเจ้าที่เขาบูชา เพราะสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประเพณีนิยมที่พวกเขาจะกระทำตาม (พูดง่ายๆว่า ชอบแบบไหนก็ใส่บทบาทนั้นให้เทพเจ้าที่ตัวเองกราบไหว้) ........แล้วผลเป็นยังไง เทศกาลงานศาสนาของพวกเขา ก็เลยกลายเป็นวาระที่ผู้คนได้ปล่อยตัวปล่อยใจกระทำการเสื่อมทรามกันอย่างเต็มที่ ขนาดนักเขียนชาวกรีก และโรมันก็ยังตกตะลึงพรึงเพริดกับการปฏิบัติกิจทางศาสนาของชาวคานาอัน (เพราะจริงๆแล้วกรีกก็ได้ชื่อว่ามีเรื่องราวตำนานของเทพมากมายแล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวที่ค่อนข้างพิศดารอยู่เหมือนกัน แต่พอได้รู้ถึงประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนาของชาวคานาอันแล้ว เรื่องของกรีกคงจืดไปเลย)

เรื่องที่เล่าให้เด็กๆฟังนี้ ไม่ใช่เรื่องโคมลอยที่เราสร้างขึ้นมากล่าวหาเขานะ เพราะตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังพิสูจน์ได้ว่า มีการค้นพบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของชาวเมืองคานาอันในช่วงก่อนที่ โยชูวาจะเข้าไปบุกยึดว่า ผู้คนในเมืองนั้นล้มตายด้วย กามโรคกันเป็นจำนวนมาก เรียนรู้ตรงนี้กันให้เรียบร้อย จะได้เข้าใจ เพราะถ้าเรียนต่อไปเรื่อยๆแล้วพบว่ามีบางกรณีที่พระเจ้าทรงสั่งให้อิสราเอลเผาทำลายเมืองต่างๆรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ให้สิ้นซาก จะได้ไม่ตกใจ เพราะเรารู้เหตุผล รู้ที่มาที่ไป

.......ทีนี้มาพูดถึงพระเจ้าของอิสราเอลกันบ้าง พระเจ้าของเราเป็นยังไง พระเจ้าของเราต่างกับพระของชาวคานาอันอย่างลิบลับ เพราะพระเจ้านั้น คือ ความรัก และพระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์มีจริยธรรมอันดีงาม รวมถึงพระองค์ทรงห่วงใยในทุกสรรพสิ่งบนโลกที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนแค่บางกลุ่ม บางเผ่า หรือเป็นพระเจ้าของมนุษย์อย่างเดียว แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างและครอบครองทั่วทั้งมหาจักรวาลนี้พระองค์ไม่ได้เห็นแก่สิ่งใดสิ่งเดียวบนโลกนี้ ..............แต่ พระองค์ทรงรักมนุษย์ รักษ์สรรพสัตว์ทั้งปวง ทรัพยากรของโลกทุกอย่าง รวมถึงระบบสุริยะจักรวาลที่พระองค์ทรงสร้างไว้ด้วย และพระประสงค์ของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่เหนือนามใดๆทั้งปวง เพราะพระประสงค์ของพระองค์ คือ การได้เห็นทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เป็นระบบ และดำเนินอย่างถูกต้องตามวัฏจักรหรือกฎธรรมชาติที่พระองค์ทรงตั้งไว้

............แล้วการงานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีนามไหนที่จะทำได้ นอกจากพระเจ้าของอิสราเอล หรือ พระเจ้าของพวกเรานี่แหละ ต้องพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เท่านั้น ที่จะควบคุมสิ่งสารพัดในมหาจักรวาลนี้ให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะอะไร เพราะพระองค์เป็นผู้สร้าง เหมือนอย่างที่น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ว่าเวลาที่เราซื้อเครื่องใช้อะไรมาสักอย่าง เราจะรู้วิธีใช้หรือวิธีแก้ปัญหาของเครื่องใช้เหล่านั้นได้ยังไง........ก็ต้องอ่านจากคู่มือที่ผู้ผลิตเขาแนบมากับสินค้านั่นไง ถึงจะรู้ว่าต้องใช้ยังไงถึงจะตรงจุดประสงค์ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด หมายความว่า ถ้าจะให้รู้จริงแล้ว ก็ต้องถามคนผลิต เพราะคนผลิตเขาจะรู้โครงสร้าง และระบบการใช้งานอย่างละเอียด ....... พระเจ้าของเราก็เช่นกัน พระองค์เป็นผู้สร้างและเมื่อพระองค์สร้างมนุษย์ พระองค์ก็ทรงประทานคู่มือการใช้ชีวิตไว้ให้เราด้วย เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้ว่า ผู้สร้างมีจุดประสงค์อะไรในการสร้างเขาขึ้นมา และจะต้องดำเนินชีวิตแบบไหนจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด หรือเกิดผลอันดีในทุกสิ่ง และคู่มือการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็คือ“พระคำภีร์” เพราะฉะนั้น แท้จริงแล้วพระคำภีร์จึงไม่ใช่คู่มือการดำเนินชีวิตสำหรับคริสเตียนเท่านั้น แต่เป็นคู่มือการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน (ถ้าพวกเขาอยากจะมีชีวิตที่ถูกต้องและดีงาม)

เมื่อเข้าใจอย่างงี้แล้ว พวกเราควรทำอะไร สิ่งที่พวกเราควรทำก็คือ ยอมจำนนต่อพระเจ้าในทุกกรณี ถึงบางครั้งเราจะไม่เข้าใจหรือแอบไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น ก็ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด และ ไม่มีวันที่จะผิดพลาดด้วย เพราะฉะนั้น จงเชื่อและวางใจพระองค์ในทุกกรณี

วิถีของชาวคานาอัน กับ คนอิสราเอล

จริงๆแล้ววิถีชีวิตของชาวคานาอัน ไม่ค่อยต่างจากชาวอิสราเอลเมื่อครั้งที่อยู่ในประเทศอียิปต์ซักเท่าไหร่ ทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิต ค่านิยม ประเพณีนิยม รวมทั้งภาษาก็ใกล้เคียงกันมากจนแทบจะแยกไม่ออก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องยากในการที่อิสราเอลจะเข้าไปตั้งถิ่นฐานในคานาอัน คงไม่มีปัญหาเรื่องการที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ง่ายและเสี่ยงต่อการที่จะถูกชาวคานาอันครอบงำด้วย โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อและการที่จะประคองชีวิตให้อยู่ในวิถีทางของพระเจ้า

ต่อไปเมื่อเราเรียนไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่าสิ่งนี้มันสร้างปัญหาให้อิสราเอลจริงๆ ความที่มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันมาก มันคงทำให้บางครั้งพวกเขาคงแยกแยะไม่ออก ว่าเรื่องไหนทำได้ เรื่องไหนไปตามอย่างชาวคานาอันไม่ได้ น้าตุ๊กถึงย้ำนักหนา เกี่ยวกับเรื่องที่เด็กๆต้องอยู่ร่วมกับผู้คนหลากหลายในสังคมทุกวันนี้ ว่ามันสำคัญมากในการที่เราจะมีสติปัญญา วินิจฉัยว่า วัฒนธรรม ประเพณี หรือค่านิยมอันไหนที่เราเอาอย่างเขาได้ แล้วอันไหนที่ยอมไม่ได้ (เด็ดขาด)

ที่ตั้งของดินแดนคานาอัน คานาอันเป็นศูนย์กลางการติดต่อของสามทวีป คือเอเชีย อาฟริกา และยุโรป จึงทำให้คานาอันนี้เป็นศูนย์รวมของกองคาราวานการค้าต่างๆในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ตามชายฝั่งทะเลของดินแดนนี้จะมีการค้าขายกันอย่างคึกคัก ท่าเรือต่างๆจะมีการขนไม้สนสีดาร์ น้ำมัน เหล้า เหล้าองุ่น และสินค้าอื่นๆ ไปยังอียิปต์ เกาะครีต และกรีก แล้วตอนขากลับก็จะบรรทุกบรรดาสินค้าฟุ่มเฟือยและกระดาษพาพิรัส จากอียิปต์ เครื่องปั้นดินเผาจากกรีก กลับมาด้วย เพราะฉะนั้น ดินแดนคานาอันจึงเป็นที่หมายปองของหลายๆชนชาติ ใครๆก็อยากจะได้ครอบครอง

ดังนั้น บริเวณนี้จึงกลายเป็นสมรภูมิของบรรดาประเทศมหาอำนาจ และถูกอาณาจักรโดยรอบนั้นหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้าแย่งชิงและครอบครอง ......ในสายตาของชาติอื่นก็คงรวมถึงอิสราเอลด้วย เพราะหลายครั้งก็ยังได้ยินผู้คนพูดถึงอิสราเอล ประมาณว่า “ความจริงก็ไปแย่งที่คนอื่นเขามา” (อะไรประมาณนี้) แต่ถ้าตามความเห็นของน้าตุ๊ก คิดว่า อิสราเอลนั้นเข้ายึดครองคานาอันตามพระบัญชาของพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้ทำด้วยความกล้าหาญหรือความทะเยอทะยานส่วนตัวหรอก แต่พูดไปใครจะเชื่อ ยกเว้นคนของพระเจ้าด้วยกันที่จะรู้ว่า อิสราเอลไม่เคยแม้แต่จะคิดดิ้นรนให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเป็นทาสด้วยซ้ำ อาจจะคิดแหละ แต่ดิ้นรนน้อยมากแล้วก็ไม่ค่อยจะอดทนต่ออุปสรรคซักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว น้าตุ๊กว่า ป่านนี้ยิวน่าจะยังเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ หรืออย่างมาก ก็ผลัดกันมีอำนาจขึ้นๆลงๆกับเจ้าถิ่นเดิมของอียิปต์ (เหมือนอย่างสมัยโยเซฟที่ฟาโรห์เป็นพวกฮิกซอส <พวกเซม์ไมต์ เชื้อสายของเชม> พวกยิวในอียิปต์ก็สุดแสนจะสุขสำราญ คล้ายๆว่าเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่พอเจ้าถิ่นเดิมเขาชิงอำนาจกลับมาได้ ยิวก็ตกกระป๋องกลายเป็นทาส อย่างในสมัยโมเสส วัฏจักรชีวิตของยิวก็น่าจะวนๆอยู่แถวนั้นแหละ) คงไม่พากเพียรไปแย่งชิงอะไรไกลๆกับใครเขาหรอก ฝ่อจะตาย ไม่ได้กล้าหาญชาญชัยอะไรนักหนา เก่งแต่เอาตัวรอดไปวันๆ เอะอะก็จะกลับไปตายอยู่ข้างหม้อข้าว หม้อเนื้อที่อียิปต์ (ที่เราเห็นกันไปแล้ว ในหนังสือกันดารวิถี) เพราะฉะนั้นความสำเร็จเบื้องต้นในสมัยโยชูวานั้นแท้จริงคือ “ฝีพระหัตถ์และพระเมตตาคุณของพระเจ้าล้วนๆ” พวกเราว่าจริงมะ

เท่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเขาหรอก เพราะน้าตุ๊กก็รู้ว่า ตัวเองนั้นก็ไม่ได้ดีอะไรไปกว่าพวกยิวเลย อาจจะแย่กว่าเขาด้วยซ้ำ แต่เด็กๆที่เรียนพระคำภีร์อย่างต่อเนื่อง จะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงเลือก “พวกยิว” หรือ “อิสราเอล” เพราะเราจะรู้ว่ายิ่งเห็นความเป็นชนกลุ่มน้อย (เมื่อสมัยเริ่มต้น) เห็นความกบฎ เห็นความดื้อ ความขี้ลาด ความไม่อดทน นิสัยขี้บ่น เห็นแก่ตัว หรือเรียกว่ายิ่งเห็นนิสัยแย่ๆของอิสราเอลมากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นพระคุณความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าภาพที่ไม่สมบูรณ์พร้อมของคนอิสราเอลนั้นมันเป็นเสมือนพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ฝังลึกลงในจิตใจของเราว่า พระองค์ไม่ได้รักเราเพราะว่าเราเป็นคนดี หรือคนสมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่พระองค์จะทรงเลือกและเรียกเข้ามารับความรอด ไม่งั้นคนบาปจะมีหวังอะไร แล้วความเชื่อไหนก็ตาม ที่บอกมนุษย์ว่า คุณต้องดีพร้อมเท่านั้นถึงจะรอดหรือแม้แต่ได้ขึ้นสวรรค์ นั่นก็แปลว่านามนั้นหรือความเชื่อนั้นช่วยอะไรมนุษย์ไม่ได้เลย เพราะมนุษย์ไม่มีวันที่จะสมบูรณ์พร้อมและมนุษย์ก็ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว จิตวิญญาณของมนุษย์ถึงดิ้นรนแสวงหา "ผู้ที่จะช่วยให้ตัวเองรอด" (พระเยซูคริสต์ จึงทรงเป็นคำตอบสำหรับมนุษยชาติ) และพระเจ้าเท่านั้น ที่กำลังบอกเราว่า “ไม่ว่าความบาปของเรานั้นจะใหญ่โตขนาดไหน พระองค์ก็ทรงสามารถชำระเราให้บริสุทธิ์ได้” ..........และถ้าเป็นของพระเจ้าจริงๆ สิ่งที่ผูกพันเรากับพระเจ้าไว้ คือ “ความรัก” ไม่ใช่ผลประโยชน์ใดๆที่แอบแฝง เพราะฉะนั้น ต่อให้นิสัยแย่แค่ไหน เราก็จะเปลี่ยน ระบบกระบวนการ การดำเนินชีวิตของเราทั้งหมดจะเปลี่ยน เหตุผลของการตัดสินใจในแต่ละเรื่องของเราก็จะเปลี่ยน (บางคนอาจจะบอกว่า......ไม่เปลี่ยน เพราะเขาดีอยู่แล้ว ก็แล้วไป) เพราะอะไร เพราะจุดหมายในชีวิตของเราเปลี่ยนไป และเพราะเราถูกผูกพันกับพระเจ้าไว้ด้วย “ความรัก” เราจึงอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อจะให้คนที่เรารักพอใจ เราจะไม่ทำอะไรเพื่อพระเจ้าโดยคิดว่าแค่ทำไปตามหน้าที่ เราจะไม่ทำเพราะเรากลัวหรือรู้สึกถูกบังคับ เราจะไม่ทำเพราะอยากให้พระเจ้าอวยพรหรือหวังผลตอบแทน เพราะแท้จริงแล้ว เหตุผลเหล่านี้ไม่สามารถทำให้สิ่งใดผูกพันกันได้จริง เพราะมันเป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไข มีแต่ความรักเท่านั้นที่จะผูกพันทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยกันได้อย่างแนบแน่นโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น.... (ส่วนพระพรเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่พ่อแม่นั้น ย่อมอยากจะให้ของดีแก่ลูกของตนอยู่แล้ว ถ้าไม่ให้....แปลว่า........มีเหตุผล )

และเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น ถ้าเราจะเชื่อฟังพระองค์และอยากทำชีวิตของเราให้ดี ก็เพราะ "เรารักพระองค์เช่นกัน" แค่รักเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขอื่น ถึงแม้จะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง พระเจ้าก็ให้อภัยเราเสมอ “เพราะพระองค์ทรงมองดูที่หัวใจและพระองค์ทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญจากหัวใจของเราในการที่อยากทำให้พระองค์พอใจ”

ออกนอกเรื่องไปซะยาว.....

กลับมาดูกันต่อ ถึงที่ตั้งและทำเลของคานาอัน ว่าดินแดนนี้มันสำคัญยังไง มันสำคัญเพราะมันตั้งอยู่บนจุดเชื่อมระหว่างเมโสโปเตเมีย กับ อียิปต์ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกในสมัยนั้น ก็เท่ากับว่าคานาอันต้องเป็นจุดผ่านที่สำคัญของผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล จึงทำให้คานาอันเป็นดินแดนที่อ้าแขนรับเอาวัฒนธรรมทุกอย่างรวมไว้ในตัวเอง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการแผ่กระจายของค่านิยมหรือสิ่งแปลกใหม่ที่ทรงอิทธิพลมาก ใครอยากจะเผยแพร่ความคิดอะไรใหม่ๆก็ต้องมาที่นี่.......เหมือนกับไข้หวัด 2009ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเริ่มต้นที่เม็กซิโกและอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญมากในสมัยนี้ ใครๆในทุกประเทศทั่วโลกก็มีเหตุที่มักจะต้องเดินทางไปอเมริกาอยู่เสมอ แต่สมมติว่า ถ้าไวรัสชนิดนี้มันเริ่มต้นที่ประเทศเล็กๆในอาฟริกา ป่านนี้ มันก็คงจะระบาดอยู่ในวงแคบแถวๆนั้น ไม่แพร่สะพัดไปทั่วโลกได้รวดเร็วอย่างทุกวันนี้หรอก จริงมั๊ย

นอกจากนี้ รูปแบบของศิลปะและสถาปัตยกรรมของคานาอันเองก็ยังเอามาจากหลายชาติด้วยกัน อย่างเช่น วิหารและค่ายทหารของเมืองหนึ่ง อาจจะสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของอียิปต์ ....................แต่พอถัดไปอีกเมือง ก็อาจจะสร้างตามแบบของซีเรีย .............. ....หรือมีตราประทับ เหมือนของบาบิโลน แต่เครื่องทองจะออกแบบเป็นสไตน์ฮิตไทต์ ของตุรกี อย่างงี้เป็นต้น .............แล้วก็ที่เด่นชัดอีกอย่าง คือ ตัวอักษรของชาวคานาอัน ซึ่งมีรูปแบบที่ดัดแปลงมาจากทั้งของอียิปต์และของบาบิโลนผสมกัน

ทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับดินแดนคานาอัน อย่างย่อที่น้าตุ๊กเอามาสอน เพื่อให้เด็กๆมองเห็นภาพรวมของดินแดนนี้ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปเรียนรู้หนังสือโยชูวา

แล้วพบกันอาทิตย์หน้า พระเจ้าอวยพรค่ะ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น