วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เฉลยบททดสอบ “เฉลยธรรมบัญญัติ”

อธิบายบททดสอบ ส่วนที่๑.เติมคำ เฉลยเมื่อ:28-6-2009/5-7-2009
๑.คำตอบ คือ อาณาจักรสวรรค์ (เมืองบรมสุขเกษม , เยรูซาเล็มใหม่)
๒.คำตอบ คือ เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ (ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มายอมตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระความบาปให้มวลมนุษย์ทุกคนได้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย)
กรณีที่๑ ตอบ เชื่อในนามของพระองค์ หรือมีความเชื่อแล้วจะรอด ถ้าเด็กๆหมายถึงเชื่อในนามของพระเยซูคริสต์ก็ คือคำตอบที่ถูก แต่ทั้งสองคำตอบนี้ ไม่ให้คะแนน เพราะเด็กๆละพระนามของพระเยซูคริสต์ไว้ในฐานที่เข้าใจกันหรือเปล่า ไม่รู้ และคำตอบของความเชื่อนั้นต้องเจาะจง แม่นยำ และชัดเจน
กรณีที่๒ ตอบ เชื่อว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเดียว ก็ไม่ให้ ความเชื่อที่ว่า พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเดียวนั้น เป็นความเชื่อที่ถูกต้อง แต่น้าตุ๊กให้ผิด เพราะ ตอบไม่ตรงคำถาม ในโจทย์เน้นว่า “ในยุคพระคุณ” เด็กๆ เข้าใจไว้เลย ถ้าพูดถึงยุคพระคุณเมื่อไหร่นั่นหมายถึงพระคุณของ (ใคร) “พระเยซูคริสต์” นามเดียวเท่านั้นที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นเสมือนกุญแจที่จะไขไปสู่ความรอด ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ใน ยอห์น 3:16
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

นี่คือเหตุผลที่ คำตอบในข้อนี้ต้องเอ่ยถึงพระนามของพระเยซูคริสต์อย่างเฉพาะเจาะจงและชัดเจน เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่ว่า พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเดียว นั้นถูกต้องแต่คำถามในข้อนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ทรงบัญชาให้มนุษยชาติในยุคพระคุณ (หรือยุคที่พระเยซูทรงมาเกิดเพื่อไถ่บาปแล้ว) ต้องเชื่อและวางใจในองค์พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เท่านั้น ที่จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เด็กๆอย่าสับสน ที่ตอบว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเดียว ความเชื่อนี้ถูกต้อง แต่เป็นคำตอบที่ผิดสำหรับข้อนี้ เพราะตอบไม่ตรงคำถาม
๓.คำตอบคือ คำอุปมาเรื่อง “ผู้หว่านพืช” ที่พูดถึงการรับถ้อยคำของพระเจ้า ว่าแต่ละคนนั้ รับได้ไม่เท่ากัน เหมือนเราปลูกต้นไม้ลงในดินหลายชนิด มีทั้งดินดี ดินไม่ดี พื้นหินแข็งหรือแม้แต่ปลูกลงที่กลางดงหนาม
๔.คำตอบ คือ ไม่ได้ อาจจะมีบางคนที่ตอบว่า ได้ เพราะความจริงแล้วเราคุ้นเคยกับ คำว่าวัฒนธรรมและประเพณีกันมาตั้งแต่เกิด แล้วสองคำนี้ ส่วนใหญ่จะมีความหมายในทางบวก ในทางสร้างสรรค์ ฟังปุ๊บรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งดีๆ เช่น วัฒนธรรมการไหว้ของคนไทยที่หลายๆชนชาติก็ยอมรับว่า เป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม น่าชื่นชม เพราะมันสำแดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในระดับหนึ่ง (ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ในทางพระเจ้า เราไม่ได้ดูแค่นี้ เพราะอะไร เวลาเด็กๆไปทานอาหารที่ภัตตาคาร หรือ ไปซื้อสินค้าตามห้าง พนักงานก็จะ สวัสดี ขอบคุณ ยกมือไหว้ตลอด ถูกมั๊ย แต่การไหว้ของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นตัวที่วัดถึงจิตใจที่แท้จริงมากมายอะไร เพราะใครเอาเงินไปให้ ไปซื้อสินค้าหรือบริการเขาก็ไหว้หมดแหละ แต่น้าตุ๊กไม่ได้หมายถึงว่าเขาทำแบบนี้ ไม่ดี หรือไม่ถูกต้อง ไม่ใช่นะ แค่ชี้ให้เห็นว่า บางครั้งเราก็ตัดสินคน จากท่าทางหรือการแสดงออกภายนอกไม่ได้ แค่นั้นเอง)
กลับมาพูดเรื่องวัฒนธรรมกันต่อ แน่นอนการไหว้ของคนไทยเป็นวัฒนธรรมทีดีงามสมควรที่เราจะยึดถือปฏิบัติ แต่ยังไงคือสิทธิอำนาจที่คริสเตียนพึ่งพาไม่ได้
นอกจาก “การไหว้” แล้วคนไทย ยังมีวัฒนธรรม และรวมถึงประเพณีด้วยอีกหลายอย่างเช่น +ประเพณีการทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ประเพณีการทำบุญบั้งไฟต่างๆ
+ วัฒนธรรม การสวดมนต์ ไหว้พระ
+วัฒนธรรมเรื่องการเกิด เมื่อเด็กเกิดมา คนไทยจะมีการจดเวลาตกฟากคือเวลาเกิดไว้เพื่อดูดวงชะตาราศรี และมีการทำขวัญบายสีปากชามไว้เป็นเครื่องสังเวยพระภูมิเจ้าที่
+วัฒนธรรมการบวช ซึ่งเชื่อว่า เมื่อบุคคลให้ทานและรู้จักรักษาศีลก็เป็นเหตุให้เกิดในสวรรค์ได้ เมื่อเกิดในสวรรค์ซึ่งบางท่านยังติดอยู่ในกาม อันไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์ ซึ่งกามนั้นก็มีโทษนานัปการ เพราะฉะนั้นจะต้องออกบวชเพื่อหาทางแห่งความพ้นทุกข์ในที่สุดได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง คือ .......
ฟังอย่างนี้แล้ว ลองตอบอีกทีซิว่า วัฒนธรรมและประเพณีเป็นสิทธิอำนาจที่คริสเตียนพึ่งพาได้หรือไม่ ทั้งวัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละชาติก็จะแตกต่างกันออกไป ตามค่าความนิยมและความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ภูมิลำเนา น้าตุ๊กจะไม่ใช้คำว่าดีหรือไม่ดี แต่จะย้ำให้เด็กๆชัดเจนว่า วัฒนธรรมและประเพณีของมนุษย์ทุกชนชาติ ไม่ใช่สิทธิอำนาจที่เราพึ่งพาได้ เอาชัดๆก็ได้ วัฒนธรรมและประเพณี ไม่ใช่หลักของการดำเนินชีวิตที่เราจะยึดถือเป็นบรรทัดฐานและปฏิบัติตามได้ทุกเรื่อง
......ถ้าอย่างการเล่นน้ำสงกรานต์ อยากเล่นก็ไปเล่นแต่อย่ารุนแรงหรือออกนอกลู่นอกทาง เล่นได้สนุกๆ คนต่างความเชื่อกับเรานอกจากสาดน้ำกันก็มีการไปสรงน้ำพระ เราต้องไปสรงกับเขามั๊ยล่ะ แยกแยะให้ได้นะเด็กๆ
......หรืออย่างลอยกระทง อยากลอยกับเขามั่งก็ไปลอยแต่ไม่ต้องไปไหว้แม่น้ำ ลำคลองอะไรกับเขา เอาขำๆ ถือซะว่าทำกระทงเองสนุกๆแล้วไปลอยน้ำเล่น อย่างเงี้ยได้ ไม่เป็นไร แต่น้าตุ๊กว่าอยู่เฉยๆดีกว่า ไม่เปลือง แล้วก็ไม่ทำให้แม่น้ำ ลำคลองสกปรก เลอะเทอะด้วย
นี่คือ สติปัญญา การแยกแยะ ที่น้าตุ๊กอยากให้เด็กๆทุกคนมีอยู่ในตัว แยกให้ขาด ว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนยอมไม่ได้ เพราะถ้าเรามีวินิจฉัยที่ถูกต้องบนพื้นฐานของถ้อยคำพระเจ้าแล้ว เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้คนทุกสังคม ทุกวัฒนธรรม ได้อย่างกลมกลืน โดยที่ไม่ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าด้วย
๕.คำตอบ คือ ไม่ได้ ในข้อนี้ สำหรับคนที่เข้าใจชัดเจน จะตอบ ว่าพึ่งพาไม่ได้ โดยไม่ลังเล แต่สำหรับบางคนอาจจะลังเลที่จะตอบ เพราะ คิดว่า การมีเหตุผลนั้นคือ สิ่งที่ถูกต้อง นี่คือความเคยชินของเรา เพราะเด็กๆมักจะถูกสอนให้เป็นคนที่ ต้องมีเหตุผลเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จริงมั๊ย ตรงนี้ต้องตั้งใจฟังดีๆนะ ไม่งั้นเดี๋ยว ผู้ใหญ่จะมาต่อว่าน้าตุ๊กได้ ว่าทำไมสอนให้ลูกเขา กลายเป็นคนไม่สนใจเหตุผล
ในที่นี้ เราจะไม่พูดถึงเหตุผลของพระเจ้า เพราะนั่นคือ สิทธฺขาดที่เราต้องยอมจำนน แต่เรารู้เหตุผลของพระเจ้าทั้งหมดทุกเรื่องมั๊ยล่ะ (ไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะไม่พูดถึง) ส่วนการตัดสินใจในเรื่องต่างๆของชีวิตประจำวันนั้น การมีเหตุผล ยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนอยู่ เช่น
+ เด็กๆไม่ควรนอนดึก เพราะ จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ (เริ่มจากตัวอย่างง่ายๆ)
+ หรือ น้องเชอรี่ ควรเลือกเรียน โปรแกรม ศิลป์ภาษา เพราะ ไม่ถนัด ในทางคำนวน หรือวิทยาศาสตร์ (มีเหตุผลมั๊ย)
+ หรือ สมศักดิ์ ยังไม่ควรซื้อรถยนต์ เพราะ ยังมีรายได้ไม่มากพอ และยังไม่มีความความจำเป็นต้องใช้รถ (อันนี้มีเหตุผลมั๊ย) แต่เหตุผลที่ในบทเรียนและข้อสอบพูดถึงนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปพวกนี้
ในที่นี้น้าตุ๊กหมายถึง เหตุผล เรื่องความเชื่อของมนุษย์ หรือเหตุผลของมนุษย์ซึ่งหลายๆครั้ง ขัดแย้ง กับทางหรือคำสอนของพระเจ้า บางครั้งเราก็เลยยึดถือ “เหตุผลของมนุษย์” เป็นหลักการดำเนินชีวิตไม่ได้ เช่น
บางคน เชื่อว่า ถ้าทำบุญหรือทำความดี แล้วจะได้ไปสวรรค์ (สำหรับเขา ฟังดูมีเหตุผล แต่ไม่ใช่สำหรับ คริสเตียน) แล้วถ้าเราไปบอกเขาว่า “ทำบุญมากแค่ไหนก็ไม่ได้ไปสวรรค์หรอก ส่วนแค่ทำความดีอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องเชื่อในพระเยซูด้วย ถึงจะได้ไปสวรรค์” ถ้าไม่ใช่คนที่พระเจ้าเลือก เด็กๆ คิดว่าเขาจะเชื่อเรามั๊ย ไม่มีทาง เราจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลในสายตามนุษย์ทันที เพราะความเชื่อของคริสเตียนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสมเหตุสมผล เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะมาคาดคั้นหาเหตุผลเอากับความเชื่อของคริสเตียน ก็เลิกคุยได้เลย เพราะไม่มี มันเป็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นสายสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเรากับพระองค์ ที่เชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึกทางจิตวิญญาณ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น มีแต่เรากับพระเจ้าเท่านั้นที่รู้กัน เหมือนอย่างที่...โยชูวาวางหินอีกกองหนึ่งไว้เป็นอนุสรณ์ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน (ยชว.4:9) และเมื่อเท้าของปุโรหิตขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง น้ำจอร์แดนก็ไหลท่วมฝั่งอย่างเดิม (ยชว.4:18) แปลว่าศิลากองนั้นก็เป็นอันจมอยู่ใต้น้ำ ไม่มีใครได้เห็นอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นแต่อิสราเอลรู้ว่ามันมีอยู่จริง เหมือนความเชื่อของคริสเตียนที่ไม่อาจจับต้องมองเห็น หรือเข้าถึงได้ด้วยเหตุผล แต่คริสเตียนรู้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริง และความเชื่อในพระเยซูคริสต์ช่วยให้เรารอดได้จริงๆ
กรณีอย่างงี้แหละ ที่เหตุผลของมนุษย์ ไม่ใช่หลักการที่เราสามารถพึ่งพา หรือ ยึดเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตได้ (ลองมาดูเรื่องของเหตุผลอีกสักหนึ่งกรณี)
เร็วๆนี้ มีข่าวเกี่ยวกับการที่ตำรวจจับ คนค้ายา แล้วมีการลงโทษ (นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้) เรียกว่าเป็นการประจาน ทำให้อาย และเสียศักดิ์ศรี โดยการ...... เสร็จแล้วก็มี เจ้าหน้าที่ขององค์กรเกี่ยวกับการรักษาสิทธิมนุษยชน ออกมาปกป้องสิทธิในศักดิ์ศรีของคนที่ทำผิด ว่าตำรวจไม่มีสิทธิทำกับผู้ต้องหาอย่างงั้น หลังจากนั้นก็มีการโต้แย้ง วิพากย์วิจารณ์ กันอย่างมากมาย แล้วก็มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยให้ส่ง s.m.s.ไปในรายการว่าเห็นด้วยหรือไม่ ในการประจานผู้ต้องหาให้อับอาย เสียศักดิ์ศรี เป็นไปตามความคาดหมาย คือ 90 กว่า % เห็นสมควรให้ประจาน ทำให้อาย เพราะคิดว่า ไอ้ พวกค้ายานี่มันเลวจริง มันเห็นแก่ได้ มันสารพัดที่จะชั่วร้าย แล้วตำรวจผู้นั้นก็อ้างว่า ทำแบบนี้แล้ว จำนวนคนที่ค้ายาลดน้อยลง ก็เลยสมเหตุผลที่จะประจานผู้กระทำผิด
แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียน เมื่อได้เรียนรู้พระบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน พอได้ยินเรื่องนี้แล้ว เราเห็นด้วยกับฝ่ายไหน (ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ เห็นสมควรที่จะประจาน) แล้วเพราะอะไร เราถึงคิดว่าไม่ควรทำให้เขาอาย หรือเสียศักดิ์ศรี ทั้งๆที่เหตุผลของคนส่วนใหญ่ก็ฟังดูเข้าท่า แต่เรากลับไม่ได้คิดเหมือนเขา เพราะพระเจ้าทรงบัญชาไว้อย่างงี้ “แม้แต่ผู้กระทำผิด ก็ยังมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะพระเจ้าทรงสร้างเขาตามพระฉายาของพระองค์เช่นกัน” ผิดมากนัก กฎหมายก็มีโทษสูงสุดบัญญัติไว้ คือประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตก็ได้.... ทำไปเลย การที่เราไม่ประจาน หรือทำให้เขาอายเนี่ย ไม่ได้แปลว่า เขาจะได้รับโทษน้อยลง หรือเบาขึ้น หรือทำให้เสียกระบวนการทางความยุติธรรมตรงไหน ไม่ได้เกี่ยวกันเลย
........แล้วถ้าคิดดูให้ดีๆนะ คนประเภทที่เห็นด้วยกับการประจานคนผิดเนี่ย น้าตุ๊กว่า เขาคงไม่ได้เรียกหาแค่ความยุติธรรมหรอก แต่น่าจะอยากได้ความสะใจด้วย
เพราะฉะนั้น สรุปว่าสิ่งที่เราเลือกคือ เราเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พระคัมภีร์สอนไว้ว่าอย่างงี้ ฉันก็จะคิดอย่างงี้ เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าใครจะคิดยังไง คนส่วนใหญ่จะคิดว่ามีเหตุผลแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ทางของคริสเตียนอยู่ดี นี่คือตัวอย่างของ คำว่าเหตุผลที่บทเรียนและข้อสอบพูดถึง (เคลียร์มั๊ย)
......ส่วนในเรื่องของอารมณ์คงไม่ต้องพูดถึงนะ ทุกคนเข้าใจดีอยู่แล้วว่า เราใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้ แน่นอน
๖.คำตอบคือ พระคำภีร์ (ถ้อยคำพระเจ้า) ใครตอบพระเจ้า หรือพระเยซูคริสต์ ก็ให้ถูก เหมือนกัน
๗.คำตอบ คือ ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (เป็นถ้อยคำพระเจ้า หรือคำสอนพระเจ้า)
๘.คำตอบคือ พระเยซูคริสต์ หรือพระบุตรพระเจ้า ตอบนอกเหนือจากนี้ ให้ผิด เพราะความหมายในข้อนี้ เจาะจงถึงพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่ถ้อยคำ หรือ พระคัมภีร์
๙.พระเจ้า เป็นสิ่งที่เราเคารพ บูชาสูงสุด พระองค์ไม่เคยสำแดงรูป ลักษณะของพระองค์แก่มนุษย์ +ส่วนพระเยซูคริสต์ ก็เป็นสิ่งที่เรารักและเทิดทูนสูงสุดเช่นกัน เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า หรือพระบุตรของพระเจ้า ดังนั้น ๒ สิ่งนี้ต้องไม่ใช่คำตอบของข้อนี้แน่นอน เพราะคำว่ารูปเคารพที่พระคำภีร์กล่าวถึงนั้น มีความหมายในเชิงลบ ส่วนไม้กางเขน ไม่ใช่รูปเคารพ เราประดับไม้กางเขน เป็นสัญญลักษณ์ หรือเพื่อระลึกถึงการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนเพื่อเราเท่านั้น ย้ำอีกที”การกระทำของพระองค์บนไม้กางเขนเท่านั้นที่สำคัญ” ไม่ใช่ตัวไม้กางเขน การประดับไม้กางเขน ไม่ได้แปลว่าเรา ยึดไม้กางเขนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเครื่องลางของขลัง แต่ ถ้าเมื่อไหร่ที่ใจเรา คิดว่าไม้กางเขนคือวัตถุมงคลที่จะช่วยให้เราสมหวังบางอย่างได้ เมื่อนั้น ไม้กางเขนจะกลายเป็นรูปเคารพสำหรับเราในทันที เช่น พกไม้กางเขนเข้าไปในห้องสอบด้วย เพราะคิดว่า จะทำให้สอบผ่าน (ทั้งๆที่ เราไม่ตั้งใจเรียน) หรือ เอาไม้กางเขนติดตัวไว้เสมอ เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีแต่คนรักใคร่ ทั้งๆที่นิสัยแย่มาก (เหมือนมีคาถาเมตตามหานิยม ) อย่างงี้เป็นต้น
ดังนั้น คำว่ารูปเคารพ หมายถึง อะไรก็ตามที่เราให้ความสำคัญ ให้ความไว้วางใจ หรือยกให้เป็นหลักสำคัญของชีวิต มากกว่า พระเจ้า (ในข้อนี้ อาจจะต่างจาก ความหมายของอาหารที่เสื่อมสิ้นไปในข้อ๒๑นิดหน่อย เพราะจะเน้นถึง สิ่งที่เป็นมนุษย์ยึดถือเป็นวัตถุมงคลด้วย ส่วนอาหารที่เสื่อมสิ้นไป ในข้อ ๒๑ ความหมายจะเน้นถึงการขวนขวายใน ทรัพย์สินทางโลก รวมถึงการคาดหวังในตัวมนุษย์มากเกินไป จนทำให้เราผิดหวัง แต่ถามว่า อาหารที่เสื่อมสิ้นไปเป็นรูปเคารพหรือไม่ คำตอบก็คือเป็น ตราบใดที่เรายึดติดกับมันหรือขวนขวายเสาะแสวงหามากจนเกินไป มันก็เป็นรูปเคารพเช่นกัน น้าตุ๊กถึงบอกว่าสองข้อนี้ คำตอบ จะคล้ายๆกัน แทบไม่ต่างกันเลย )
ส่วน รูปเคารพที่เราพูดถึงในข้อ๙นี้มีทั้งที่เป็นวัตถุ จับต้องมองเห็นได้ เช่น รูปปั้นพระต่างๆ ปูชนียสถาน วัตถุมงคล เครื่องลางของขลัง สายสิญจน์ ผ้ายันต์ หัวโขน น้ำมนต์ ตุ๊กตาไล่ผี หรืออะไรต่างๆอีกเยอะแยะ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจินตนาการของมนุษย์ รวมทั้งที่เป็นบุคคลด้วย ตัวอย่างเช่น ต้องไปให้คนนั้นคนนี้เจิม ซะหน่อย ถึงจะรู้สึกดี หรือ ต้องไปกราบอาจารย์ปู่องค์นั้นซะหน่อย เพื่อความป็นสิริมงคลของชีวิต ไม่งั้นจะรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย (พอดีกว่า เพราะตอนนี้น้าตุ๊ก รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย) อย่างงี้เป็นต้น
๑o.+ส่วน ที่เป็นนามธรรม คือ ที่มองไม่เห็น ได้แก่ ความหลงใหลฝักใฝ่ในลาภ ยศ สรรเสริญ หรือในตัวบุคคล มากจนเกินเลย
ข้อนี้หลายคนตอบได้ดีมาก ตอบว่าสิ่งที่เรายึดติดกับมัน (มากเกินไป) , การยึดติดกับบางสิ่งมากเกินไป ,หรือ ตอบว่า ความคิดของตนเอง ก็ถูกต้อง เพราะ หลายๆครั้ง ความเชื่อมั่นในความคิด หรือสติปัญญาของตัวเองมากจนเกินไป ก็เป็นเหตุให้คนเรายกเอาความคิดของตัวเองเป็นรูปเคารพไปโดยไม่รู้ตัว คำตอบทั้งหมดที่พูดมานี้ถือว่าครอบคลุม และชัดเจน น่าพอใจมาก เพราะแสดงว่าเด็กๆเข้าใจชัดเจนดี
บางคนตอบว่า ภูติผี วิญญาณ เทวดา ให้ถูก เพราะเถียงไม่ได้ว่า พวกนี้ก็มองไม่เห็นเหมือนกัน เพียงแต่ตอบไม่ค่อยตรงประเด็นเท่าไหร่ แต่ให้ถูก เพราะเถียงไม่ออก เดี๋ยวจะหาว่าไม่แฟร์
๑๑.คำตอบ คือ ผิดพระบัญญัติข้อที่๓. อย่าเอ่ยพระนามพระเจ้าในทางที่ไม่เหมาะสม เพราะ เมื่อใครๆเขาก็รู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นลูกพระเจ้า ถ้าเราไปทำนิสัยแย่ๆให้ใครต่อใครเห็น เด็กๆคิดดูว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง (อ๋อ+เป็นคริสเตียน คนของพระเจ้าแล้วนิสัยอย่างงี้นี่เอง) เราเสียคนเดียวมั๊ย ใครเสียด้วย
๑๒.ให้ถูกทั้งโลภมาก และ ลักทรัพย์
๑๓.คำตอบคือ...สถาบันครอบครัว
๑๔.ตอบได้ทั้ง โลภมากและลักทรัพย์ เช่นกัน แต่พี่อ้อ +ตอบได้ดีมาก ตอบว่า หนูคิดว่าป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่นด้วย และเป็นการโลภอยากได้ของผู้อื่นด้วย เขาเลยตอบทั้งสองข้อ ถือว่าคิดได้ละเอียด รอบคอบมากๆ
๑๕.เปิดไปดู มธ.22:34-39(อ่านพร้อมกัน) ตอบ พระเยซูคริสต์
๑๖.คำตอบ คือ การอธิษฐาน และ อ่านพระคำภีร์(ถ้อยคำพระเจ้า)
๑๗.คำตอบ คือ พระคำภีร์ หรือ ถ้อยคำพระเจ้า
+พี่เอ๋ย ตอบว่า “สารนั้นต้องทำให้เราอยู่ในทางของพระเจ้า” ให้ถูก เพราะดูแล้ว คิดว่าพี่เอ๋ยตอบตามความเข้าใจและถูกต้อง ตรงประเด็น เพราะจุดประสงค์ของพระคัมภีร์ก็คือเป็นคู่มือให้มนุษย์ดำเนินอยู่ในทางหรือในพระมรรคาของพระเจ้า นั่นเอง
+พี่อ้อ ตอบว่า “พระเจ้าเป็นผู้ประทานทุกสิ่งให้เรา แต่ควรอธิษฐานทุกครั้ง” นั่นคือ ความเชื่อ และ วิธีสื่อสารที่ถูกต้องเช่นกัน อาจจะไม่ค่อยตรงประเด็น แต่ตอบด้วยความเข้าใจ และถูกต้อง ก็ให้เหมือนกัน
๑๘.คำตอบ คือ ในชีวิตของ “พระเยซูคริสต์”
พี่แก้ว พี่พลอย แอนนา ตอบได้ดีมาก ตอบว่า”พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยความรัก และ ความเสียสละ” คือมีคำขยายที่ย้ำให้เห็นถึงความงดงามของพระเยซูอย่างชัดเจน
๑๙.ตอบ ไม่ได้ มันผิดธรรมชาติ เพราะเราต้องสำแดงความรักกับบุคคลในครอบครัวของเราก่อน ถ้าเชื่อพระเจ้าทั้งบ้าน ก็ต้องมีการพูดคุยถึงความรักของพระเจ้ากับคนในครอบครัวก่อน ความคิดความอ่าน เป้าหมายในชีวิตของทุกคนในครอบครัวก็ต้องไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่สามีคิดอย่าง ภรรยาคิดอย่าง ลูกคิดไปอีกทาง แล้วเที่ยวไปสำแดงความรักนอกบ้าน ทั้งๆที่ในครอบครัวตัวเองยังล้มเหลว อันนี้มันเป็นไปไม่ได้ ความรักต้องเริ่มต้นที่บ้าน เมื่อความรักความเข้าใจที่บ้านมีมากมายเหลือล้นแล้ว มันจึงจะสามารถหลั่งไหลไปสู่บุคคลรอบข้างหรือคนภายนอกได้ นี่คือกฎเกณฑ์ที่แท้จริงตามธรรมชาติ
๒o. อ่าน ยอห์น 6:47-51 / 14:6-7คำตอบ คือ พระเยซูคริสต์เท่านั้น +ถ้าตอบ พระธรรม หรือ ถ้อยคำพระเจ้า ข้อนี้ไม่ให้ เพราะพระคำภีร์บอกไว้ชัดเจนว่า พระเยซู คือทางเดียว
ที่สำคัญที่สุด ในการที่มนุษย์จะได้รับความรอด หรือ มีชีวิตนิรันดร์
๒๑.อาหารที่เสื่อมสิ้นไป ที่เป็นวัตถุ ได้แก่ ทรัพย์สิน เงินทอง หรือที่เป็นบุคคล ไม่ว่าใคร ก็เป็นอาหารที่เสื่อมสิ้นได้ทั้งหมด ถ้าเราฝากความหวัง หรือ คาดหวังที่จะพึ่งพิงใครก็ตาม มากจนเกินไป แทนที่จะพึ่งพิงในพระเจ้า เรื่องนี้น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้วอย่างชัดเจนว่า มันไม่มีเหตุผลที่เราจะไปฝากความหวังหรือคาดหวังใดๆมากจนเกินไปในตัวมนุษย์ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะเขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา เขาก็เหนื่อยเป็น รู้จักร้อน รู้จักหนาว รู้จักหิว รู้จักเบื่อ มีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง พอๆกันกับเรา ดังนั้น จะต้องมีสักวันที่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังหรือน้อยใจเสมอไม่มากก็น้อย เพราะอะไร เพราะมนุษย์นั้นก็จำกัดด้วยกำลัง สติปัญญา และความสามารถในทุกๆด้าน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจถึงความจริงในเรื่องนี้แล้ว ต่อไป.
............เราก็จะผิดหวังน้อยลง.....เพราะเราไม่คาดหวังใหญ่โตในตัวมนุษย์
............เราก็จะไม่ตีอกชกตัวมากมาย........เมื่อไม่ได้ดั่งใจหรือผิดหวังในสิ่งที่คนอื่นทำ แต่ เราจะโกรธน้อยลง เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ยอมรับความจริงได้มากขึ้นและมีมุมมองที่ฉลาดขึ้นทั้งนี้เพราะเราเลิกแสวงหาหรือคาดหวัง ความสมบูรณ์พร้อมในตัวมนุษย์ เพราะเรารู้ว่า ความสมบูรณ์พร้อมนั้นมีอยู่ใน “องค์พระเยซูคริสต์ผู้เดียว” ในยอห์น6:27บอกไว้ชัดเจนว่า พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่เป็น อาหารแห่งชีวิต ที่ไม่มีวันเสื่อมสิ้นไป แปลว่าอะไร ก็แปลว่า พระองค์คือทางแห่งความจริง และความรอดทางเดียวเท่านั้น ถ้าผู้ใดเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ จะไม่มีวันผิดหวังเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ คนที่เชื่อในพระองค์จะยังคงปลอดภัยเสมอ ทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ จริงอยู่ ว่าเราจะต้องตายจากโลกใบนี้ แต่เรามั่นใจได้เลยว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่และเป็นชีวิตนิรันดร์ ในทางกลับกัน ใครก็ตามที่แสวงหา ทรัพย์สิน เงินทอง วัตถุสิ่งของ หรือ แม้แต่ไปฝากความหวังไว้ในตัวมนุษย์ เมื่อถึงวันที่เขาต้องจากโลกนี้ไป สิ่งเหล่านี้ช่วยอะไรเขาได้มั๊ย นี่แหละ คือ ความหมายของอาหารที่เสื่อมสิ้นไป
ส่วนที่เป็นนามธรรม ได้แก่ การฝักใฝ่ ขวนขวายในชื่อเสียง เกียรติยศ คำสรรเสริญ หรือแม้แต่ความคลั่งไคล้ ในบุคคลใด บุคคลหนึ่งมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็น ดารา นักร้อง นักกีฬา หรือใครก็ได้ที่เรายกให้เป็นidol ก็เท่ากับแสวงหาอาหารที่เสื่อมสิ้นทั้งนั้น เพราะเราควรจะยกให้พระเจ้าเป็นidolของเราเพียงผู้เดียว
๒๒.ถ้าตอบตามพระคำภีร์ก็จะตอบว่า “ถ้าโบยเกินกว่านั้น เกรงว่าเขาจะเป็นที่ดูถูกของพี่น้อง” ตอบว่า การลงโทษควรมุ่งเน้นให้อกาส ปรับปรุง แก้ไขพฤติกรรม ถือว่าดี เพราะตอบตามความเข้าใจที่เรียนมา
คำตอบที่ดีที่สุด คือ พี่แอม กับ แอนนา ตอบว่า แม้ผู้กระทำผิดก็มีศักดิ์ศรีตามที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นตามแบบพระองค์ และพระเจ้าประสงค์ที่จะรักษาชีวิตมนุษย์ไว้ (อันนี้ถูกต้อง ชัดเจน)’’
๒๓.คำตอบที่ดีที่สุดคือ เขมิกา กับมะปราง ตอบว่า เพราะคนๆเดียว(คืออาดัม)สามารถนำความบาปไปสู่มนุษย์ทุกคนได้ฉันใด ในทางเดียวกัน คนๆเดียว คือองค์พระเยซูคริสต์ ก็สามารถไถ่ถอนมนุษย์ทั้งปวงให้หลุดพ้นจากความบาปได้เช่นกัน
บางคนตอบว่า เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ล้วจะรอด ก็ถูกเหมือนกัน เพราะความหมายเดียวกัน (ถือว่าตอบตามความเข้าใจได้ถูกต้อง)
๒๔.คำตอบ คือ อิสราเอล ,อิสราเอลที่กระทำผิด หรือคนที่ได้ดี มีความสุขแล้วลืมพระเจ้า
๒๕.ตอบ โยชูวา

ส่วนที่๒.เลือกคำตอบที่ถูก
๑.ตอบ ข.เพราะทรงสร้างมนุษย์ทุกคนตามพระฉายาของพระองค์ (มีบางคนตอบ เพราะมนุษย์บริสุทธิ์ มนุษย์ไม่เคยบริสุทธิ์ มาตั้งแต่ที่อาดัมตกลงไปในความบาปแล้ว)
๒.ตอบ ข.สิ่งที่ออกมาจากปาก (ออกมาจากใจ) +บางคนตอบ ความกลัว ความกลัวก็เป็นความบาปอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเรากลัว แปลว่าเราไม่วางใจพระเจ้า แต่ในข้อนี้ น้าตุ๊กอ้างถึง (มาระโก7:15-23 ) คำตอบจึงต้องเป็นข้อ ข.เท่านั้น
๓.ตอบ ค.มนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองทั่วทั้งมหาจักรวาล แม้ว่ามนุษย์บางคนจะรู้จักหรือไม่รู้จัก , เชื่อหรือไม่เชื่อ พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้าของทุกสรรพสิ่งบนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกอยู่ดี พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของผู้ที่เชื่อพระองค์เท่านั้นแต่พระองค์เป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคนแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่เชื่อพระองค์ก็ตาม เพราะฉะนั้น พระบัญญัติของพระเจ้า แท้จริงจึงเป็นหลักของการดำเนินชีวิตที่มีไว้เพื่อมนุษย์ทุกคน
+ พี่ใหม่ กับ พี่มายด์ ตอบอิสราเอล ประมาณว่า ใครไม่เชื่อพระเจ้า ฉันไม่ให้ใช้บัญญัติสิบประการ
๔.ตอบ ค.ถูกทุกข้อ เพราะ การรักพระเจ้า “ในเวลานอนลงนั้น” หมายถึง ทั้งเวลาหลับ เวลาเจ็บป่วย , เวลาสุขสบาย (ที่ในพระคำภีร์ใช้คำว่า นอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด หรือ ริมน้ำแดนสงบ) นอกจากนี้ก็ยังหมายถึง เวลาที่หยุกพักจากการรบ , หรือยามที่บ้านเมืองสงบจากศึก สงคราม หรือแม้แต่เวลาตาย ก็อยู่ในความหมายของคำว่า “นอนลง” ทั้งสิ้น
๕.ตอบ ค.ถูกทุกข้อ ความหมายของ การรักพระเจ้าในเวลาที่ “ลุกขึ้น” มีอะไรบ้าง ............ เวลาออกศึกสงคราม , เวลาที่ต้องยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง , นอกจากนี้ยังรวมถึง เวลาที่มีการเกิด เวลาตื่นนอนตอนเช้า เวลาที่มีปัญหาหรือมีอุปสรรคบางอย่างเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งหมดนี้ก็รวมอยู่ในคำว่าในเวลา “ลุกขึ้น”
๖.ตอบ ข.ให้ถ้อยคำพระเจ้าควบคุมการกระทำทุกอย่างของเรา เพราะชาวฮีบรูนั้น ถือว่ามือเป็นตัวแทนของการเคลื่อนไหวทุกอย่าง ดังนั้น การสั่งให้เอาพระบัญญัติของพระเจ้าพันไว้ที่มือ แปลว่า ให้ถ้อยคำพระเจ้าควบคุมการกระทำทุกอย่างของเรา
๗.ตอบ ก.ให้ถ้อยคำพระเจ้าควบคุมการมอง ความคิด และการตัดสินใจของเรา
เพราะชาวยิวเชื่อว่า นัยน์ตานั้นเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่าคนๆนั้นเป็นอย่างไร เย่อหยิ่งหรือถ่อมตัว โลภมากหรือมักน้อย ใจแคบ ใจกว้าง ดังนั้นถ้าปราศจากความยำเกรงพระเจ้า ไม่จารึกถ้อยคำของพระองค์ไว้ที่หว่างคิ้วหรือนัยน์ตาทั้งสองข้าง ทุกคนก็จะมีสายตาที่อวดฉลาด และเชื่อในการตัดสินใจของตนเอง แทนที่จะดำเนินชีวิตตามถ้อยคำของพระเจ้า
๘.ข้อนี้หลายคนตอบ ค.ถูกทุกข้อ คงเพราะเข้าใจว่า ผู้ที่อยู่กับพระคริสต์ในมื้อสุดท้ายก็เท่ากับได้เข้ามหาสนิทกับพระองค์เหมือนกัน (ใช่มั๊ย) แต่คำถามน้าตุ๊กหมายถึง วิธีที่เป็นไปได้ หรือวิธีที่สามารถทำได้ทุกคน ในการดื่มเลือดและกินเนื้อของพระคริสต์ (มีส่วนร่วมในการตายเพื่อไถ่บาปของพระองค์นั่นเอง) เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นการเข้าพิธีมหาสนิทกับพระองค์เท่านั้น เพราะการอยู่กับพระองค์ในมื้อสุดท้ายนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาส มีเพียงสาวกไม่กี่คนที่จะได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในมื้อสุดท้าย เพราะฉะนั้นข้อนี้เลยไม่ใช่คำตอบที่ทุกคนสามารถทำได้
สรุปว่าคำถามของน้าตุ๊กคงไม่เคลียร์ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ เด็กๆก็เลยสับสน
๙.ตอบ ข.อธิฐานเผื่อซึ่งกันและกัน
๑o.ตอบ ค.ทุกคนต้องพึ่งในพระคุณของพระเจ้า
๑๑.ตอบ ข.รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ จำไว้ให้แม่นนะคะเด็กๆ ไม่มีเรื่องไหนสำหรับคริสเตียนที่จะสำคัญเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว พระเยซูคริสต์เองก็ทรงบอกไว้ว่า การรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของเรานั้น เป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และ ข้อต้น
หมายความว่า การรักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจนั้น เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอันดับแรกของคริสเตียน ส่วนเรื่องการประกาศหรือเรื่องอื่นๆนั้นก็สำคัญ แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่รองจากเรื่องนี้ทั้งสิ้น
๑๒.ตอบ ก.องค์พระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์ระบุไว้ว่าอย่างงี้ ก็ต้องเป็นอย่างงี้ ถึงแม้บางคนอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ+ทำไมต้องขนาดนั้น แต่ความจริงแล้ว พระประสงค์ของพระเจ้าในข้อนี้มีความหมายให้เชื่อฟังอย่างเคร่งครัดเท่านั้นเอง เพราะเป็นที่รู้กันว่าคริสเตียนนั้นสำคัญมากในการที่เชื่อฟัง และเคร่งครัดปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้า ดังนั้นการที่พระองค์จะบัญชาให้เราเชื่อฟังใครอย่างเคร่งครัดนั้น จึงเป็นการเข้าใจง่ายที่จะเปรียบเทียบให้เชื่อฟังเหมือนฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งหมายถึงให้เชื่อฟังอย่างเคร่งครัดและไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ไม่ได้หมายถึงให้เรายกสามีขึ้นมาเทียบเสมอพระเจ้า ส่วนการเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้งนั้น ทุกคนไม่ต้องกังวล เพราะแน่นอน พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือบรรดาผู้ที่เป็นสามีอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าสามีไม่ทำหน้าที่ในส่วนของตนให้ถูกต้อง พระเจ้าจะทรงจัดการเขาเอง
๑๓. ตอบ ค.พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร เห็นมั๊ย พระเจ้าทรงบัญญัติถึงความรักและความเสียสละระหว่างสามี ภรรยาไว้ได้อย่างยุติธรรม ไม่มีใครน้อยหน้าใคร ฉันก็เชื่อฟังเธออย่างมากมายเพราะฉะนั้นเธอก็ต้องทุ่มเทเสียสละให้ครอบครัวอย่างสุดกำลังเหมือนกัน
๑๔.ข้อนี้มีหลายคน สับสน ตอบว่า ให้หย่ากันได้ในบางกรณี จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ ค่านิยมของยุคสมัยก็เปลี่ยนไปมาก แต่ถึงยังไงเราก็ต้องยึดถือปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้าเป็นหลัก ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงบอกไว้อย่างชัดเจนใน มัทธิว19:3-12 “ เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” การหย่าร้างนอกเหนือจากการที่ภรรยาเป็นชู้กับชายอื่น ก็ถือว่าผิดประเวณี สรุปแล้วก็คือ บรรทัดฐานที่เด็กๆจะต้องเรียนรู้ไว้ก็คือ พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้ใดหย่าร้างกัน เพราะสถาบันครอบครัวหรือการที่เราจะมีครอบครัวนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอามาล้อเล่น นึกจะแต่งก็แต่ง แต่งแล้วไม่ดีก็เลิก เราคิดอย่างงี้ไม่ได้ ต้องจำไว้ว่าพระเจ้าไม่โปรดให้ใครหย่าร้างกัน แต่งแล้วก็แต่งเลยคุณต้องรับผิดชอบสิ่งที่คุณเลือกและอยู่กับมันไปตลอดชีวิต
ในตอนท้ายของข้อนี้ พระเยซูทรงบอกไว้ว่า “มิใช่ทุกคนจะรับประพฤติตามข้อนี้ได้ เว้นแต่ผู้ที่ทรงให้ประพฤติได้” ข้อคิดที่เราได้จากคำพูดนี้ของพระเยซูก็คือ แต่เราไม่มีสิทธิไปตัดสินหรือกล่าวโทษผู้อื่นที่เขาหย่าร้าง เพราะพระองค์บอกไว้แล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติข้อนี้ได้ ส่วนผู้ที่ทำได้ก็ทำได้เพราะพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่เรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราก็มีแค่ เลือกให้ดี คิดให้รอบคอบ ดูให้แน่ใจ อธิฐานให้มากเข้าไว้ ท่องอยู่ในใจเสมอว่า เลือกแล้วเลือกเลย ห้ามหย่า ส่วนเรื่องของคนอื่นนั้นไม่ต้องไปยุ่ง เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา
๑๕.ตอบ ก.เครื่องมือหากิน
๑๖.ตอบ ข.ให้เอ้อเฟื้อต่อคนยากจน
๑๗.ตอบ ค.ให้โอกาสปรับปรุงพฤติกรรม
๑๘.ตอบ ค.พระเจ้าทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ให้ปรากฎชัดในธรรมชาติ
ข้อนี้ คนที่ตอบผิด แปลว่าขาดเรียน เพราะส่วนใหญ่ถ้าเข้าเรียนจะจำได้ทุกคน เพราะน้าตุ๊กภูมิใจเสนอมากๆ จำได้มั๊ย ! ทั้งรูปแบบของปลาอาร์เชอร์ และ วงจรชีวิตของแซลมอน
....เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระปัญญาของพระองค์ผ่านทางธรรมชาติที่มองเห็นได้ง่าย รอบๆตัวเรานี่แหละ ทั้งต้นไม้ใบหญ้า หรือในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถ้าเพียงแต่เราจะหันไปมองหรือให้เวลากับธรรมชาติสักนิด เราก็จะได้เห็นอัศจรรย์มากมายที่พระเจ้าทรงสำแดงผ่านสิ่งเหล่านี้ โดยที่เราไม่ต้องไปแสวงหาความอัศจรรย์ที่เข้าใจยาก หรือ สิ่งลี้ลับซับซ้อนให้วุ่นวาย เพราะเราสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ง่ายๆผ่านทางธรรมชาติรอบๆตัวเรานี่แหละ ชัดเจนที่สุด
๑๙.ตอบ ข.อิสราเอลจะอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
๒o.ตอบ ค.ผลักให้ลูกออกไปฝึกบิน
ทิ้งท้าย : น้าตุ๊กยกตัวอย่างคำตอบของบางคน เพื่ออธิบายให้ทุกคนเห็นภาพ หรือ บางครั้งก็แค่ขำๆกันในชั้นเรียนของเรา ไม่ถือว่าเอามาขายกันนะจ๊ะ

พระเจ้าอวยพรค่ะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น