วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 1

หนังสือ โยชูวา อาทิตย์ที่19/7/2009

ประวัติของโยชูวา

โยชูวา มีอีกชื่อหนึ่งว่า โฮเชยา ที่ระบุไว้ใน กดว.13:8 เป็นคนเผ่าเอฟราอิม เกิดและเติบโตในอียิปต์ ตลอดเวลาที่โมเสสนำชาติอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ มุ่งหน้าสู่คานาอันนั้น โยชูวาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า เขาเป็นผู้ที่กล้าหาญและเข้มแข็ง ที่สำคัญที่สุด “เขาสัตย์ซื่อและเชื่อวางใจพระเจ้า อย่างสุดกำลัง” เรียกว่ามีชื่อเสียงดี ในการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ............เรารู้จากหนังสืออพยพว่า โยชูวาเป็นขุนพลคนสำคัญในการสู้รบกับชาวอามาเลข (ถ้าเด็กๆจำได้) นอกจากนี้เราก็ได้เห็นว่า โยชูวาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปบนภูเขาซีนายกับโมเสส ในขณะที่โมเสสไปเข้าเฝ้าพระเจ้าตามลำพัง และคอยเฝ้าโมเสสอยู่ใกล้ๆที่พลับพลาด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับโมเสสมาก โยชูวาก็เลยได้เรียนรู้ทั้งประสบการณ์และบุคคลิกความเป็นผู้นำจากโมเสสมาเป็นอย่างดี จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำต่อจากโมเสส

ลักษณะหรือเนื้อหาของหนังสือโยชูวา

โยชูวา เป็นหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับการรบเพื่อเข้าครอบครองแผ่นดินคานาอัน แต่จะไม่เน้นรายละเอียดเกี่ยวกับสงครามที่ยืดเยื้อซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่สงครามครั้งนี้กินเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะเน้นให้เห็นถึง พระลักษณะของพระเจ้า และ น้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อ คนอิสราเอล มากกว่า จุดประสงค์ที่สำคัญของพระธรรมเล่มนี้ ก็คือ เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ว่า“ชัยชนะในแผ่นดินคานาอันของอิสราเอลนั้นขึ้นอยู่กับความสัตย์ซื่อและไว้วางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ” เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีการยกย่องใครก็ตามขึ้นมาเป็นวีรบุรุษคนสำคัญ นอกจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว .........และถ้อยคำที่เป็นเสมือนกุญแจแห่งความสำเร็จที่พระเจ้าทรงตรัสกับโยชูวาก็คือ....เปิดไปดู ยชว.1:6-7 / 1:9 /1:18 ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงหนุนใจโยชูวาและชาวอิสราเอลก็คือ “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” จริงๆแล้ว นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าที่มีความหมายมากกว่าที่คิดและยังต้องใช้หนุนใจพวกเราอยู่จนทุกวันนี้ (เดี๋ยวเราจะค่อยๆเรียนกันไป)

โครงร่างของหนังสือโยชูวา แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน

๑.การเคลื่อนพลเข้าสู่คานาอัน ๒.การทำสงครามและชัยชนะของอิสราเอล

๓.การจัดสรรแผ่นดิน ๔.การทำพันธสัญญาที่เชเคมและวาระสุดท้ายของโยชูวา

ส่วนที่๑ การเคลื่อนพลเข้าสู่ “คานาอัน”

ดู ยชว.1:1-3 คำว่า “ทุกตำบลที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้กับเจ้าทั้งหลายดังที่เราสัญญาไว้..” คำนี้เป็นเหมือนคำรับรองของพระเจ้าว่า อิสราเอลจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เพียงแต่ “จงลุกขึ้นยกข้ามน.จอร์แดนนี้” นี่เป็นคำสั่งจากพระเจ้าที่มีความหมายว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมความสำเร็จ ในการเข้าครอบครองแผ่นดินไว้ให้แก่อิสราเอลแล้ว แต่อิสราเอลต้อง ลุกขึ้น ต่อสู้เองด้วย ถึงจะได้ครอบครองดินแดนแห่งพันธสัญญา เพราะถ้าอยู่เฉย หรือมัวแต่หวาดกลัวไม่ยอมยกข้ามไปรบกับเขา จะได้ครอบครองดินแดนนี้มั๊ย (ไม่มีทาง) ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่า เขาจะได้รับชัยชนะแต่ถ้าไม่ลงมือทำในส่วนของตัวเอง ก็คงไปไม่ถึงจุดหมาย

เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะตามประสบการณ์ของน้าตุ๊ก นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น้าตุ๊กได้เรียนรู้ ว่า”พระเจ้าจะทรงเว้นช่องว่าง หรือ ขั้นตอนใด ขั้นตอนหนึ่ง ไว้ให้เราทำเองเสมอ ไม่ว่าในเรื่องใดๆก็ตาม จริงอยู่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อเรา รวมทั้งกำหนดชัยชนะไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกครั้งเราจะต้อง “ลุกขึ้น” ทำบางอย่างเอง หรือกล้าที่จะเดินผ่านสถานการณ์แย่ๆด้วยตัวของเราเอง

เหมือนในสถานการณ์นี้ของคนอิสราเอล สงครามฝ่ายโลกของเขากำลังจะเริ่มต้น แต่สงครามฝ่ายวิญญาณเริ่มขึ้นก่อนแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ข้ามไปฝั่งโน้น ถ้าพวกเขาเชื่อความคิดตัวเอง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองมองเห็น แทนที่จะเชื่อวางใจในพระเจ้า พวกเขาคงไม่กล้าข้ามไปหรอก เพราะอะไร เพราะในสายตามนุษย์ อิสราเอลไม่มีอะไรที่จะไปสู้เขาได้เลย

แล้วถามว่า ทำไมพระเจ้าต้องวัดใจเรา หรือเว้นบางอย่างให้เราทำเอง ในเบื้องต้นก็เพื่อที่เราจะเติบโตและแข็งแรง เหมือนอย่าง พ่อ แม่ที่รักลูก ถามว่ารักแล้วก็จัดเตรียมสิ่งต่างๆที่ดีไว้ให้พร้อม แต่พ่อแม่จะรองมือ รองเท้าทำทุกอย่างให้ลูก โดยไม่เหลืออะไรไว้ให้ลูกทำเองเลยรึเปล่า ไม่ใช่แน่นอน เพราะทุกคนรู้ดีว่า นั่นเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม พระเจ้าของเราก็เป็นเหมือนพ่อที่รักลูกและอยากให้ลูกเติบโต มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมักจะเว้นช่องว่างหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ให้เราทำเองเสมอ”

ดูยชว.1:12-15 เราคงยังจำเรื่องราวของ สองเผ่าครึ่ง กันได้นะ ที่พวกเขาร้องขอแผ่นดินทางฟากตะวันออกของน.จอร์แดนกับโมเสส เรื่องนี้ก็มีข้อคิดให้เราเหมือนกัน....เราลองมาทบทวนเรื่องราวของคนสองเผ่าครึ่งนี้กันหน่อย

ตอนที่โมเสสนำคนอิสราเอลมาถึงที่ราบโมอับนั้น ปรากฎว่า พอคนเผ่ารูเบน กาด กับพวกมนัสเสห์ครึ่งเผ่า เห็นความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนนี้ปุ๊บ...ก็ใจเร็วด่วนได้ ออกปากขอดินแดนฝั่งตะวันออกกับโมเสสทันที สิ่งนี้ชี้ให้เห็นอะไร ก็ชี้ให้เห็นว่า “ พวกเขาเลือกในสิ่งที่ตามองเห็น ไม่ได้เลือกสิ่งที่พระเจ้าเตรียมให้” จริงมั๊ย

ต้องเรียกว่า..พวกเขาเลือกที่จะเชื่อตัวเอง พวกเขาเลือกวัตถุ คือดินแดนที่เห็นว่า สุดแสนจะอุดมสมบูรณ์ รีบจองเลย ลืมหมดว่าเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ที่ไหน แล้วก็ไม่เฉลียวใจด้วยว่า.....ถ้าที่ฝั่งนี้มันดีจริง ทำไมพระเจ้าถึงเตรียมฝั่งโน้นไว้ให้ จริงมะ

แล้วเป็นยังไง พระคำภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์ในสมัยต่อมาว่า ดินแดนของคนสองเผ่าครึ่งนี้ถูกข้าศึกรบกวนมากเพราะ เป็นที่ราบไม่มีภูเขาหรือแม่น้ำล้อมเป็นเขตแดนป้องกัน พี่น้องอิสราเอลที่อยู่ฝั่งคานาอันต้องส่งกำลังมาช่วยรบอยู่เป็นประจำ แล้วในสมัยที่อัสซีเรียแผ่ขยายอำนาจครั้งใหญ่ “คนสองเผ่าครึ่งนี้ก็ถูกเนรเทศแล้วก็กวาดไปเป็นเชลยก่อนพี่น้อง” นี่ก็คือผลที่เขาเลือกเอง

...........ในทางเดียวกันกับ คริสเตียนทุกวันนี้ หลายคนได้รู้จักและก็ได้เชื่อในพระเยซูแล้ว แต่กลับให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็น มากกว่าที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ หรือให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุสิ่งของทางโลกมากเกินไป เหมือนคนสองเผ่าครึ่งที่เห็นแก่ความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนฝั่งตะวันออก จนหลงลืมเมืองแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ทางฝั่งตะวันตก

เรียกว่าเชื่อสายตาและความคิดของตัวเอง มากกว่าเชื่อพระเจ้า อุตส่าห์ติดตามพระเจ้ามาตั้งแต่อียิปต์ บุกป่าฝ่าดงมาไม่รู้เท่าไหร่พอมาถึงจริงๆแล้ว กลับเลือกที่จะไม่เข้าไป มาสะดุดแค่หยากเยื่อเส้นบางๆที่เป็นเพียงทรัพย์สินทางโลก (เด็กๆพอนึกภาพออกมั๊ย)

แล้วปัจจุบันนี้ คริสเตียนที่เป็นประเภทเดียวกับคนสองเผ่าครึ่งนี้ ก็มีไม่น้อย เผลอๆจะมีมากกว่าพวกที่เลือกจะอยู่ในคานาอันด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้จะมีความเชื่อที่ครึ่งๆกลางๆ พวกเขาจะเลือกทำเฉพาะสิ่งที่เขาชอบ มาหาพระเจ้าเฉพาะเวลาที่เขาต้องการ หรือเลือกที่จะเชื่อฟังและกระทำตามแค่บางเรื่อง(โดยไม่รู้สึกผิด) น้าตุ๊กเคยสอนแล้วว่า ความเชื่อ มีแค่สองอย่าง คือ เชื่อกับไม่เชื่อ เท่านั้น ถ้าเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง หรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็แปลว่าไม่เชื่อ ไม่มีคะแนน 50เต็ม100 หรือ70เต็ม100 มีแค่0กับ100คะแนนเต็ม

...........แล้วความพ่ายแพ้ในสงครามก่อนใคร ของสองเผ่าครึ่งนี้ มีความหมายทางฝ่ายวิญญาณด้วยเหมือนกัน เพราะเรื่องนี้เป็นภาพที่สะท้อนให้เรารู้ว่า ถ้าเราทำตัวเหมือนคนสองเผ่าครึ่งนี้ คือไม่ติดตามหรือเชื่อฟังพระเจ้าให้ตลอดลอดฝั่ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาหรือการทดลอง “เราก็จะเป็นคนแรกๆที่จะล้มลงในความบาปหรือถูกล่อลวงได้ง่ายกว่าคนอื่น”

ดูยชว.2:1-3 เมืองแรกที่ต้องตีคือ เยรีโค เพราะเยรีโคตั้งขวางทางเป็นปราการด่านแรกที่จะผ่านเข้าสู่คานาอัน โยชูวาใช้วิธีส่งคนไปสอดแนมเมืองนั้นตามกลยุทธ์ที่ได้เรียนรู้มาจากโมเสส แล้วคนทั้งสองก็เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีที่ชื่อ ราหับ ...ที่เลือกเข้าไปในบ้านของโสเภณี ก็เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ ผิดสังเกต เพราะปกติบ้านของหญิงโสเภณีก็จะมีคนที่มาซื้อบริการเข้าๆออกๆมากหน้าหลายตาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถึงยังไงก็ยังไม่พ้นสายตาของชาวเมืองเยรีโคอยู่ดี กษัตริย์ถึงให้คนไปบอกราหับว่า ให้ส่งตัวคนอิสราเอลออกมา แล้วราหับว่ายังไง...

ดูยชว.2:4-7 ราหับซ่อนคนสอดแนมทั้งสองของอิสราเอลไว้บนหลังคา แล้วบอกคนที่มาตามจับว่า มีผู้ชายมาหาเขาจริงแต่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็กลับออกนอกประตูเมืองไปแล้วตอนพลบค่ำ มาดูกันว่าทำไมราหับถึงทำอย่างงี้

ดูต่อในยชว.2:8-10 ในข้อนี้ราหับบอกว่า เธอรู้แล้วว่า”พระเจ้าประทานแผ่นดินคานาอันนี้ให้กับอิสราเอลแล้ว” และชาวคานาอันเองก็กลัวจนตัวสั่น เพราะพวกเขาได้ยินถึงการอัศจรรย์มากมายหลายอย่างที่พระเจ้าทรงทำเพื่อชาวอิสราเอล ทั้งการข้ามทะเลแดง และการรบชนะกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ มันคงไม่ธรรมดาในสายตาของคนต่างชาติ เพราะอย่าลืมว่าอิสราเอลหรือพวกฮีบรูเนี่ย เคยเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนเล็กๆที่ไม่น่าจะมีพิษสงอะไร ถึงจะมีกำลังคนค่อนข้างมากแต่ชั้นเชิงการรบและกลยุทธ์ทางสงคราม น่าจะยังสู้คนชาติอื่นไม่ได้ แล้วทำไมถึงสามารถชนะประเทศที่มีความเจริญกว่า แล้วก็น่าจะมีประสบการณ์ทางการรบมากกว่าด้วย เพราะสมัยที่ฮีบรูเป็นทาสอยู่ในอียิปต์คงจะไม่เคยไปรบกับใครหรอก เมื่อพระเจ้าปล่อยให้เป็นอิสระ แล้วตั้งให้อิสราเอลเป็นประเทศ พวกเราคงจำได้...ว่าพระเจ้าต้องสอนให้หมดทุกอย่าง...ทั้งการสำรวจจำนวนประชากร การจัดเตรียมกำลังทางทหาร อายุเท่าไหร่ มีหน้าที่อะไร หรือแม้แต่การเคลื่อนขบวนค่าย..ใครจะไปก่อนไปหลัง พระเจ้าคิดให้หมด

ตรงจุดเนี้ย ทำให้เรารู้ว่าชัยชนะของอิสราเอลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างชัดเจน แล้วก็หวาดกลัวพระเจ้าของอิสราเอลอย่างมากด้วย เพราะพวกเขารู้ว่า ลำพังฝีมือของพวกยิวหรือฮีบรูเร่ร่อนนี่ก็คงไม่เท่าไหร่ แต่พระเจ้าที่ทรงนำอยู่ข้างหน้า อิสราเอลนั่นต่างหากที่น่ากลัว

ดูต่อยชว.2:11-14 ในข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า ราหับนั้นมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มหัวใจ เรียกว่าไม่มีข้อสงสัยเลยทีเดียว เพราะดูจากคำพูดที่เขาใช้ อย่างเช่น “ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง” ถ้าคนที่ไม่เชื่อจะไม่ยอมรับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างนี้ ถึงจะเห็นการอัศจรรย์มากมายหรือคนตายฟื้นขึ้นมาต่อหน้า ถ้าไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ

แล้วอีกคำพูดที่ชัดเจนมาก ก็คือ “บัดนี้ ขอท่านสาบานให้ดิฉันในพระนามพระเจ้า..” รู้จักสาบานในพระนามพระเจ้า อันนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าไม่เชื่อว่ายิ่งใหญ่จริงจะอัญเชิญมาเป็นพยานในความเป็น ความตายของตัวเองมั๊ย ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ มนุษย์มักจะต้องนึกถึงสิ่งที่ตัวเองคิดว่าศักดิ์สิทธิ์จริง หรือช่วยตัวเองได้จริง น่ายำเกรงจริงๆเท่านั้นถึงจะยกขึ้นมากล่าวอ้าง ที่น้าตุ๊กบอกว่า ไม่ธรรมดา เพราะอะไร ราหับเป็นคนอิสราเอลรึเปล่า ไม่ใช่เลย เธอเป็นชาวเมืองเยรีโค นั่นหมายถึงเป็นคนต่างชาติ

เด็กๆเคยมีเพื่อนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนมั๊ย แล้วพอเขาได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ก็เชื่อทันที แถมรู้จักอธิษฐานในนามพระเยซูด้วย เคยเจอมั๊ยล่ะ อาจจะมีนะ แต่มันหายากมาก มักจะเป็นกรณีพิเศษที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะพระองค์จะทรงกระทำการงานผ่านคนๆนั้นจริงๆ เหมือนอย่างราหับเนี่ย

แล้วภาพชีวิตของราหับก็เป็นเหมือนเสียงของพระเจ้าที่ฝังอยู่ในใจเราอีกครั้งว่า ไม่ใช่แค่คนที่ดีพร้อมหรือคนที่ดูสูงส่งไร้ตำหนิเท่านั้น ที่จะได้รับความรอด เพราะราหับเป็นโสเภณี ดูแล้วต่ำต้อยมากในสายตามนุษย์ แต่พระเจ้าก็ยังประทานความเชื่อให้เธอได้รับความรอด ในเวลาต่อมาราหับได้แต่งงานกับคนเผ่ายูดาห์และกลายเป็นพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์อีกด้วย เพราะฉะนั้น เราตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้เลย ว่าใครจะรอดหรือไม่รอด เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้พิพากษาและพระองค์ทรงมองที่จิตใจ

สรุปว่าในข้อนี้ ราหับช่วยคนสอดแนมของอิสราเอลเพราะมีความเชื่อในพระเจ้า และสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายการมาสอดแนมของคนอิสราเอลให้ใครรู้ ฝ่ายคนสอดแนมของอิสราเอลก็รับปากว่า จะไม่ทำร้ายเธอและครอบครัว ก็เรียกว่าเป็นการให้สัญญาต่อกัน

ดูยชว.2:18 ผู้สอดแนมบอกราหับว่า ในวันที่อิสราเอลบุกเข้ามาให้ราหับรวบรวมคนในครอบครัวเข้ามาไว้ในบ้าน แล้วเอาด้ายสีแดงผูกไว้ที่หน้าต่างแล้วจะปลอดภัย ด้ายสีแดงก็เป็นเครื่องหมายเล็งถึงโลหิตของพระเยซูคริสต์ เช่นเดียวกับเลือดแกะที่ทาวงกบในวันปัสกาที่ประเทศอียิปต์ สถานการณ์ก็คล้ายๆกัน ถ้าเด็กๆสังเกตดูจะเห็นว่าพระเจ้าทรงประทานหมายสำคัญที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ไว้เป็นระยะๆ เพื่อบอกเป็นนัยน์ถึงการที่จะเสด็จมาของพระองค์ อาจจะต่างที่ ต่างเวลาหรือสถานการณ์ แต่มีความหมายเหมือนกันคือความรอด

ดูต่อในยชว.2:22-24 ในข้อนี้บอกว่า การที่ผู้สอดแนมกลับมาอย่างปลอดภัยนั้น นับเป็นความสำเร็จก้าวแรกของอิสราเอล ที่มีส่วนในการสร้างความมั่นใจให้พวกเขาอย่างมาก

แล้วมาต่อกันสัปดาห์หน้านะคะ วันนี้เวลาหมด

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น