วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่5 อาทิตย์ที่ 31:10:2010

สองสัปดาห์ก่อน..เราจบลงที่เรื่องของ”มีคาล” ภรรยาของดาวิด..(เด็กๆพยายามคิดทบทวนตามหน่อยนะคะ) มีคาล..แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน ที่ดาวิดไปเต้นรำร่วมกับประชาชน..ด้วยความชื่นชมยินดีอย่างสุดๆ เพราะ”มีคาล” ถือตัว..ว่าเธอเกิดมาก็เป็นลูกกษัตริย์ คือ ซาอูล แล้วตอนนี้ก็ยังได้เป็นภรรยาของกษัตริย์อีก คือ ดาวิด
วันนี้เราเลยจะมาเสริมเรื่องนี้กันนิดนึงก่อนที่จะขึ้นบทที่7 คือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ท่าทีของมีคาลต่อกษัตริย์ดาวิด โดยสัมพันธ์กับท่าทีของพวกฟาริสีต่อพระเยซูคริสต์ในพระคำภีร์ใหม่ “ ตรงจุดนี้ มันมีเรื่องที่ทำให้เราสามารถมองภาพได้กว้างขึ้น..ชัดเจนขึ้น เพราะกษัตริย์ดาวิด คือภาพจำลองของพระเยซูคริสต์ ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนปฏิบัติบัติต่อดาวิด รวมถึงที่ดาวิดตอบสนองต่อผู้อื่น ก็มักจะมีภาพสะท้อนด้วยเสมอ อย่างที่”มีคาล” กล่าวโทษดาวิดนี้..มันเป็นภาพเดียวกับที่พวกธรรมมาจารย์และฟาริสีกล่าวโทษพระเยซู..
ให้เราเปิดไปดู มัทธิว9:10-11
ข้อนี้บอกว่า เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูร่วมรับประทานอาหารกับคนเก็บภาษีแล้วก็คนบาป พวกเขาก็ไปพูดติติงพระเยซูกับเหล่าสาวกประมาณว่า..อาจารย์ที่พวกท่านนับถือ ทำไมถึงไปคลุกคลีกับคนพวกนั้น คือพวกฟาริสีเนี่ย..เขาจะสำคัญว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม..สูงส่ง เพราะรู้กฏบัญญัติของพระเจ้า แล้วก็จะไม่สุงสิงคลุกคลีกับคนต่ำต้อย คนต่ำต้อยในสายตาของพวกเขาก็คือ โสเภณี คนเก็บภาษี ขอทาน รวมถึงคนต่างชาติ..ที่ไม่ใช่ยิว ซึ่งอันนี้..มันเป็นทัศนคติเดียวกันกับมีคาล..เป๊ะ..เพราะมีคาลก็ตำหนิดาวิดประมาณนี้ คือ ไม่รู้จักไว้ตัว..เป็นถึงกษัตริย์แต่กลับไปเต้นรำทำเพลง คลุกคลีตีโมงกับคนธรรมดา ตรงจุดนี้ ลองสังเกตดูให้ดี..ว่าฟาริสีกับมีคาล..มีอะไรที่เหมือนกัน
...ฟาริสีเป็นผู้นำจิตวิญญาณของพวกยิว..ถือว่าเป็นคนมีเกียรติ
...ส่วนมีคาลเกิดมาฐานะสูงส่ง..อยู่เคียงข้างกษัตริย์ตลอด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหมือนกัน คือ ทั้งคู่ยืนอยู่ในจุดที่มี”อำนาจ” แล้ว”การมีอำนาจ” ก็สามารถพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ได้เหมือนกัน เพราะเวลามีอำนาจคนเราจะทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่เขาเลือกทำ..มันจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
ดูต่อมัทธิว 9:12-13 ในข้อนี้ พระเยซูทรงตอบพวกฟาริสีว่า..”คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่า”นอกรีต” หมายความว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยคนบาป คนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี..หรือใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองยังบกพร่อง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือแม้แต่บกพร่องไปซะทุกเรื่อง ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว..ก็คงไม่ต้องการให้ช่วย เพราะฉะนั้น คนที่นิสัยเหมือนพวกฟาริสีกับมีคาลก็มักจะไม่ร้องหาพระเจ้า..ไม่ยอมรับพระเยซู เพราะไร..เย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับความช่วยเหลือจากใคร ทีนี้ เราไปดูกันว่าพระเยซูทรงกล่าวโทษพวกฟาริสียังไงบ้าง
ดู ลูกา 11:42 “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายทศางค์..แล้วละเว้นความชอบธรรมและความรักพระเจ้าเสีย” แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร อย่างพวกเรา..ถ้าถือว่าชั้นมาโบสถ์ทุกอาทิตย์ แต่มานั่งๆแค่พอเป็นพิธี หรือถวายสิบลดแล้วก็คงพอ แต่ไม่เคยสนใจที่จะดำเนินกับพระเจ้าด้วยความรัก ไม่สนใจว่าพระเจ้าสอนอะไร หรือทำแบบไหนถึงจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า..ก็คงจะผิดซะแล้ว ใครก็ตามที่คิดอย่างงั้น..ก็ไม่ต่างกับพวกฟาริสี ข้อที่42 พระเยซูทรงบอกต่อไปว่า..”สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย” มันเป็นการดีที่เราจะมาโบสถ์ทุกอาทิตย์ ช่วยงานพันธกิจ ถวายสิบลดด้วยความเชื่อฟัง แต่ต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญสุดที่พระเจ้าทรงสอนไว้ ก็คือ “รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” แต่พวกฟาริสีทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ดูต่อ..
ลูกา 11:43-44 “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับที่กลางตลาด..” ไม่ใช่แค่พวกฟาริสีที่ชอบอยู่ในฐานะที่มีเกียรติ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน เพราะมันรู้สึกดีที่ได้เป็นคนสำคัญ พิเศษกว่าคนอื่น หรือมีคนมากราบไหว้ สรรเสริญ แล้วฟาริสีก็จะถือว่าตัวเองเป็นปุโรหิต รู้พระบัญญัติของพระเจ้า.. ”แต่ก็แค่รู้” ไม่ได้ใส่ใจจริงจังที่จะทำตาม แถมยังเอาตำแหน่งหน้าที่มาหัวโขน..เป็นเครื่องมือหาความสำคัญใส่ตัว พระเยซูถึงได้ทรงกล่าวโทษคนพวกนี้ตรงๆ..ว่าดีแต่นั่งทำตัวเป็นคนสำคัญ ถือตัวว่าวิเศษกว่าคนอื่น แล้วก็ตั้งแง่รังเกียจคนที่ต่ำต้อย ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่พระเยซูทำอย่างสิ้นเชิง เพราะพระเยซูไม่ใช่แค่ไม่ถือพระองค์ แต่พระองค์ทำในสิ่งที่..หลายๆคนไม่ทำด้วย..อย่างล้างเท้าให้เหล่าสาวกอย่างเงี้ย เราลองถามตัวเองก็ได้..ว่าเกิดมาชาตินี้เคยคิดจะล้างเท้าให้ใครมั๊ย..แม้แต่แม่ตัวเองก็เถอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่พระเยซูทรงทำนั้น..ความถ่อมพระองค์ลงถึงจุดต่ำสุดก็คือ....
เปิดไปดู ฟิลิปปี 2:5-8 “ทรงยอมสละสภาพพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฎพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว ก็ทรงถ่อมลงเชื่อฟังจนถึงมรณา..” ลองคิดดูถ้าเป็นเรา..ไม่ต้องพูดถึงขนาดจะต้องมรณาหรอก แค่จะให้ถ่อมนิดๆหน่อยๆ ยังทำใจยากเลย..
สมมติว่าเราเป็นลูกเจ้าของบริษัท แล้วพ่อแม่ก็อยากให้ได้ปกครองดูแลกิจการต่อ ก็เลยคิดว่าลูกน่าจะรู้งานทุกอย่างนะ เลยให้ไปเป็นภารโรงก่อน..เราจะรู้สึกยังไง น้าตุ๊กว่า..ไม่ต้องถึงขนาดให้เป็นภารโรงหรอก บางคนแค่ให้ไปเป็นพนักงานธรรมดาๆคนนึง ยังไม่อยากเป็นเลย..เพราะไร..ก็ชั้นเป็นถึงลูกเจ้าของบริษัท จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องทำถึงขนาดนั้น ในเมื่อชั้นเป็นลูกเจ้าของ อีกหน่อยชั้นก็ต้องได้ครอบครองบริษัทนี้อยู่ดี แล้วจะทำอย่างงั้นไปเพื่ออะไร..
พอจะเห็นภาพรึยัง..ว่าพระเยซูคริสต์ทำถึงขนาดไหน พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ลูกเจ้าของบริษัทนะ พระองค์เป็น”พระเจ้า” แล้วพระองค์ทำอะไร ลดตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์..ไม่ใช่มนุษย์ที่สูงศักดิ์ แต่เป็นลูกช่างไม้ธรรมดา ไม่ได้เกิดในวังที่หรูหรา แต่เป็นโรงนาซอมซ่อ ต่อจากนั้น พันธกิจที่พระองค์ทรงทำเพื่อไถ่เรา ก็ไม่ใช่ชัยชนะในแบบที่มนุษย์ประทับใจ พระองค์ยอมถูกข่มเหง ทำร้าย สุดท้ายถูกฆ่าจนตายแบบยับเยินไม่มีชิ้นดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระองค์ “ยอมถ่อมลง” เพื่อเรา แล้วเราล่ะ..คิดจะยอมถ่อมเพื่อพระองค์แค่ไหน ไม่ต้องไปคิดถึงภารกิจสูงส่งหรอก เอาง่ายๆ ใครมองหน้าหน่อยก็อยากจะไปต่อยมันแล้ว โดนขับรถปาดหน้า..ก็ยอมไม่ได้ ต้องไปปาดคืน..ไม่งั้นเสียศักดิ์ศรี ดีไม่ดียิงกันตายไปเลย (ไร้สาระจริงๆ)
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วพวกฟาริสีเนี่ย..แทบจะไม่รู้จักพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ มัวแต่คิดว่าชั้นคือผู้รู้แจ้ง..รู้จริงในกฎบัญญัติของโมเสส หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ..วิเศษกว่าคนอื่น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่..
กลับมาที่ 2ซมอ.7:1-3 ข้อนี้บอกว่า..เมื่อดาวิดสร้างพระราชวังเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ทรงให้เขาได้พักสงบจากการศึกสงคราม ในช่วงนี้..คงเป็นเวลาที่ดาวิดกำลังเต็มล้นด้วยความสุข เพราะเหมือนจะประสบความสำเร็จในทุกด้าน ได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแล้ว พระราชวังที่งดงามก็สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว หีบพันธสัญญาก็ได้มาอยู่ที่เยรูซาเล็มเรียบร้อยแล้ว เด็กๆนึกภาพดู..ว่าตอนนี้ดาวิดจะสุขขนาดไหน พอมีความสุขมาก..มันก็ล้น แต่จะล้นออกทางไหน..แต่ละคนไม่เหมือนกัร อย่างดาวิดสุขล้นจนคิดว่า..เขาน่าจะสร้างพระนิเวศน์ให้พระเจ้า ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ดาวิดกำลังคิดจะสร้างที่อยู่ใหม่ให้พระเจ้า เพราะมองไปมองมา..ตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในวังอลังการใหญ่โต แต่หีบพระสัญญาอยู่ในเต๊นท์ผ้า (ที่สุดแสนจะธรรมดา) ส่วนนาธันผู้เผยพระวจนะฟังแล้วก็บอกว่า..”ขอเชิญทรงกระทำทั้งสิ้นตามพระประสงค์ของฝ่าพระบาท..” แปลว่าเห็นด้วยเหมือนกัน แต่พระเจ้าจะทรงเห็นด้วยมั๊ย ดูต่อไป
2ซมอ.7:4-7 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เจ้าจะสร้างนิเวศน์ให้เราอยู่หรือ..” ว่าไงนะ..ดาวิด เจ้าจะสร้างบ้านให้เราอยู่หรือ !!! “ตั้งแต่วันแรกที่พวกเจ้าได้รู้จักเรา เราไม่เคยอยู่ในนิเวศน์ แล้วก็ไม่เคยพูดซักคำว่า..เราอยากอยู่ในวิหารที่ทำด้วยไม้สนสีดาร์” ข้อที่ 6 พระเจ้าตรัสว่า..”นับแต่วันที่เราพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนถึงวันนี้ เราก็ไปมากับเต๊นท์พลับพลา” แปลว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้วว่าพลับพลาก็ใช้การได้ดี ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง หรือเกิดปัญหาเพราะพลับพลา..มันดูกระจอก ดังนั้น พระวจนะคำที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านนาธัน เป็นสิ่งที่ทั้งนาธันและดาวิดต้องเอากลับไปคิดใหม่ เรื่องอะไร..ใครกันแน่เป็นผู้ให้และใครเป็นคนรับความช่วยเหลือ พระเจ้าต่างหากที่เป็นคนมอบทุกอย่างให้ แต่ตอนนี้ คล้ายๆว่าดาวิดกำลังจะหลงประเด็นไป..อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดู2ซมอ.7:8-9 “เราเอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า เพื่อให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล..” ไม่ว่าดาวิดจะทำอะไร พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย..พระองค์ทรงช่วยกำจัดศัตรูให้ดาวิด พระองค์ทรงมอบความสำเร็จให้ ตอนนี้ ดาวิดกำลังประสบความสำเร็จ และอยู่ในจุดที่เรียกว่า”มีอำนาจอยู่ในมือ” แล้วอำนาจหรือความสำเร็จ ก็มักจะทำให้คนเปลี่ยนไป ฮอร์โมนของความเย่อหยิ่งมันจะหลั่งออกมา..ทุกคน ไม่ได้บอกว่าดาวิดผิดหรือคิดไม่ดีที่จะสร้างวิหารให้พระเจ้า แต่ตอนนี้ เค้ากำลัง”ล้ำเส้นไป” (นิดนึง ด้วยความไม่ตั้งใจ) ถึงได้เผลอคิดจะช่วยพระเจ้า..ด้วยการจะสร้างที่อยู่ให้พระองค์
เปิดไปดู ฉธบ.8:12-14 “เกรงว่าเมื่อพวกเจ้าอยู่ดี กินดี มีทุกอย่างพร้อม แล้วใจก็จะผยองขึ้น” นี่คือ ถ้อยคำที่พระเจ้าเตือนไว้ผ่านทางโมเสส และตอนนี้ ดาวิดก็เกือบจะติดกับในเรื่องเดียวกัน แล้วสิ่งที่พระเจ้าเตือนดาวิดก็เป็นบทเรียนที่คริสเตียนทุกคนควรจะต้องจำใส่ใจไว้ว่า.. “จิตวิญญาณที่เติบโต หรือความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการทำบาป แต่ความสุขสบายหรือแม้แต่จิตวิญญาณที่เติบโต มันกลับเป็นตัวทดลองให้เราทำบาปได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ” เหมือนดาวิด..จุดที่เขาได้อยู่สุขสบายในวัง..กลับอันตรายต่อจิตวิญญาณมากกว่า..ตอนที่ต้องหนีซาอูลหัวซุกหัวซุนอยู่ตามถ้ำ เพราะตอนนั้น มันหลังกระแทกฝา ไม่มีตัวช่วย ชั้นต้องอยู่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว มันเลยเห็นพระเจ้าชัดเจน เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเลยอยากจะบอกว่า..”เราบางคนยากจนก็ดีแล้ว” ถึงต้องลำบากบ้างก็เป็นสิ่งดี เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า..อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเรารวย มีอำนาจ หรือสุขสบาย หลายคนอาจไม่ชอบคำนี้ แต่น้าตุ๊กจำเป็นต้องพูด เพราะมันคือความจริง...
ดู2ซมอ.7:11-12 หลังจากที่พระเจ้าทรงติติง..จนดาวิดเห็นภาพแล้ว..ว่าพระเจ้าไม่ต้องการวิหาร พระองค์ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องใช้มัน เพราะฉะนั้น พวกเราเลิกคิดได้เลยว่า..พระเจ้าผู้เที่ยงแท้จะทรงโปรดปรานอยู่แต่ในที่ที่เลิศหรูอลังการ หรือพระเจ้าต้องสถิตอยู่กับคนที่ภูมิฐาน ฐานะดี..ไม่ใช่ ข้อที่11 พระเจ้าทรงบอกว่า..”เราจะให้เจ้ามีราชวงศ์..” นี่คือ การเสริมทับจากพระเจ้า..ที่จะให้ดาวิดได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากขึ้นไปอีก ตอนนี้ ดาวิดคิดว่า..พระเจ้าให้เขามากเกินพอ มาไกลเกินฝันแล้วใช่มั๊ย ถึงได้คิดอยากจะตอบแทนพระองค์ซะเหลือเกิน แต่สำหรับพระเจ้าสิ่งที่ดาวิดได้รับในวันนี้..เล็กน้อยมาก..ไม่ใช่แค่นี้ที่พระเจ้าทำได้ ข้อนี้พระเจ้าสัญญาว่า..”จะให้ดาวิดมีราชวงศ์” คือ ไม่เหมือนซาอูล..ที่การครองราชย์จบสิ้นแค่ที่ตัวเค้า ข้อที่12 พระเจ้าบอกว่า..”เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งครองบัลลังก์ต่อจากเจ้า..” ข้อนี้ ในระยะเวลาอันใกล้ หมายถึง ซาโลมอน เพราะข้อที่13 บอกว่า “เขาจะเป็นผู้สร้างวิหาร (ฝ่ายโลก) และข้อที่14 บอกว่า “..ถ้าเขาทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวแห่งบุตรมนุษย์” แน่นอน อันนี้ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ เพาะพระองค์ ไม่มีวันทำผิด แต่ข้อนี้ก็เป็นหมายสำคัญถึงพระเยซูคริสต์ด้วยที่จะทรงเป็นผู้สร้างคริสตจักรหรือวิหารฝ่ายวิญญาณในอนาคต
2ซมอ.7:13 ”เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศน์เพื่อนามของเรา..” พระเจ้ากำลังจะบอกเราว่า..การสร้างวิหารหรือคริสตจักรนั้น..เป็นสิ่งที่ดี แล้วคริสตจักรใหญ่โตหรูหราก็ไม่ได้เป็นสิ่งชั่วร้ายเสมอไป แต่สิ่งสำคัญที่ทั้งดาวิดและเราต้องจำไว้ก็คือ อย่าหลงประทับใจกับอาคาร..บุคคลที่ดูหรูหราภูมิฐาน หรือเอาความดูดีภายนอกมาตัดสินการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า เพราะฉะนั้น “ดาวิดไม่ผิดที่อยากจะสร้างนิเวศน์ให้พระเจ้า แต่ผิดที่ประเมินคุณค่าจากรูปลักษณ์ภายนอก” ของพลับพลา..ว่ามันกระจอก แล้วอีกอย่างที่เราต้องจำไว้คือถ้าพระเจ้าอยากให้สร้างหรือทำอะไรก็ตาม..พระองค์จะกำหนดเองทุกอย่างว่าต้องสร้างแบบไหน เมื่อไหร่ อย่างไรและจะให้ใครเป็นคนทำ เพราะทุกอย่างต้อง”โดยพระองค์และเพื่อพระองค์” ไม่มีคำว่า “โดยเรา เพื่อ พระเจ้า”
ดู2ซมอ.7:14-15 “เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา” ต่อไปดาวิดจะมีบุตรหลายคน และบุตรเหล่านี้จะเป็นบุตรของพระเจ้า “ถ้าเขาทำผิด เราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวแห่งบุตรมนุษย์” และโดยทางสัญญานี้..ความรักมั่นคงของพระเจ้าจะไม่พรากไปจากพงศ์พันธ์ของดาวิดและพวกเราด้วย ข้อที่16 พระเจ้าบอกว่า..ราชวงศ์และบัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์ แปลว่าอยู่ตลอดไป โดยทางพระเยซูคริสต์ ผู้ช่วยให้รอดที่จะทรงมาบังเกิดทางเชื้อสายของดาวิด สิ่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าพระพรที่ดาวิดได้รับมากมายหลายเท่าอย่างเทียบกันไม่ได้
ท่าทีของดาวิดในการตอบสนองพระเจ้า
ดู2ซมอ.7:18-19/20-22 พอนาธันเผยพระวจนะพระเจ้าเสร็จเรียบร้อย ดาวิดก็ไปเฝ้าพระเจ้าทันที และทูลพระเจ้าว่า..”ข้าแต่พระเจ้าข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงเพียงนี้..” ดาวิดสำนึกและถ่อมใจทันทีที่ถูกพระเจ้าเตือน เขาคิดได้ทันที..จริงๆแล้วเราเป็นใครมาจากไหน ก็ไอเด็กเลี้ยงแกะกะโปโลที่ไม่ได้ดีเด่นอะไร หรือมีความสำคัญอะไร แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่พาให้เขามายืนอยู่ตรงจุดนี้ มีทุกอย่างเพียบพร้อม และสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยทันที..ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานราชวงศ์ให้แก่เค้า ข้อที่20 บอกว่า “ดาวิดจะกราบทูลอะไรได้อีกเล่า...” คือ ดาวิดยอมรับว่าตัวเองคิดพลาดไป นี่คือบุคคลิกที่คริสเตียนทุกคนพึงมี นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง..และน่ารักที่สุดที่เราควรทำเมื่อถูกท้วงติง เพราะมันสำแดงถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ข้อที่22 ดาวิดกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดๆเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยินมา”
ตอนนี้ ดาวิดจำตัวเองได้ละ ว่าเขาเป็นใคร..มาจากไหน ถึงได้โมทนาสรรเสริญพระเจ้า..ด้วยความยำเกรงต่อข้อเท็จจริงที่พระเจ้าชี้ให้เห็น..ว่าจริงๆเขาเป็นคนธรรมดา มาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลได้ก็ด้วยพระคุณของพระเจ้า แท้จริงแล้วจุดนี้เอง คือ หัวใจสำคัญของการนมัสการพระเจ้า เพราะเป็นการถ่อมใจลงนมัสการอย่างแท้จริง ความถูกต้องและสิ่งสำคัญของการนมัสการพระเจ้าอยู่ตรงนี้..ที่หัวใจเรานี่ ไม่ใช่อาคารใหญ่โตหรูหราหรือสิ่งที่ตามองเห็นแล้วประทับใจ
หมดเวลาแล้วค่ะ..พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น