วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่ 4 อาทิตย์ที่ 10:10:2010

จากวันที่ซามูเอลไปเจิมตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ที่บ้านเบธเลเฮม มาถึงวันนี้ที่ดาวิดขึ้นครองบัลลังก์ของอิสราเอล..นับเป็นเวลาประมาณ15ปี...กว่าที่พระสัญญาของพระเจ้าจะเป็นจริงในชีวิตของดาวิด..เพราะฉะนั้น สิ่งที่เด็กๆเรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ..การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับของชีวิตคริสเตียน..เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า..ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เราจำเป็นต้องรู้จักที่จะอดทนและรอคอยเวลาของพระเจ้าทั้งเรื่องราวของโลกนี้และโลกวิญญาณ..
ดู2ซมอ.5:6 “เยบุส”..เยรูซาเล็ม”..”ไซออน”..หรือ”ศิโยน” ก็คืออันเดียวกัน..เป็นเมืองที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมอบให้อิสราเอล เมื่อสัญญาแล้วว่าจะยกให้..อิสราเอลก็มีหน้าที่แค่ต้องลุกขึ้นทำส่วนของตัวเอง คือ ยกทัพไปทำสงคราม เราเคยเรียนกันไปแล้วว่า..พระเจ้าทรงเตรียมความสำเร็จไว้ให้แล้วแต่เราต้องกล้า..ที่จะลุกขึ้นทำในส่วนของตัวเองด้วย แต่..ตลอดเวลาที่อิสราเอลได้เข้ามาในดินแดนคานาอัน พวกเขาไม่เคยครอบครองเยรูซาเล็มได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสมัยของโยชูวา..ผู้วินิจฉัย มาจนถึงสมัยของซาอูล ก็ยังไม่มีใครที่จะลุกขึ้นจัดการกับชาวเยบุสอย่างจริงจัง แต่ดาวิดรู้ดีว่ามันถึงเวลาแล้วที่อิสราเอลจะต้องครอบครองเยบุสให้ได้อย่างเด็ดขาดตามบัญชาของพระเจ้า แล้วอีกอย่างเยบุสหรือเยรูซาเล็มก็เหมาะมากที่จะเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เพราะมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา..มีหุบเขาล้อมรอบแล้วก็มียอดเขาหลายแห่ง ยากที่ใครจะมาโจมตีได้ ในข้อนี้ชาวเยบุสพูดถึงได้พูดล้อเลียนทำนองว่า “ใช้แค่คนตาบอดกับคนง่อยก็ป้องกันเมืองไว้ได้แล้ว” คิดว่าพูดอย่างงี้แล้วดาวิดจะกลัวมั๊ย..ไม่มีทาง
ดูต่อไป 2ซมอ.5:7-8 ไม่มีปัญหาสำหรับดาวิด ข้อนี้บอกว่า..ดาวิดยึดที่กำบังเข้มแข็ง คือ เมืองศิโยนหรือเยรูซาเล็มได้สำเร็จในที่สุด ข้อที่8 บอกว่า..ในวันนั้น ดาวิดพูดกับคนอิสราเอลว่า..ใครจะโจมตีเมืองเยบุส ก็ให้ขึ้นไปตามทางน้ำไหล ไปสู้กับคนง่อยแล้วก็คนตาบอด..”ผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง” ความหมายตรงนี้ เป็นแค่การพูดล้อเลียนกลับของดาวิด มันแปลว่าดาวิดเกลียดชังคนง่อยกับคนตาบอดรึเปล่า..เปล่าเลย ดาวิดเกลียดชังพวกเยบุสที่พูดจาดูหมิ่น ถากถางคนอิสราเอลต่างหาก (เด็กๆต้องเข้าใจให้ถูกต้องนะ)
เพราะท้ายข้อที่8 นี้ บอกว่า..หลังจากนั้นเป็นต้นมามีการพูดกันในหมู่ของผู้ติดตามดาวิดว่า..อย่าให้คนง่อยกับคนตาบอดเข้ามาในนิเวศน์ของพระเจ้า คือเอาไปเข้าใจผิดกัน..ว่าดาวิดเกลียดคนง่อยกับคนตาบอด ซึ่งจริงๆแล้ว..ไม่ใช่ เพราะเดี๋ยวอีกหน่อยเราจะเห็นว่า..ดาวิดให้คนไปตามหาเมฟีโบเชทลูกโยนาธานที่เป็นง่อยให้มาร่วมโต๊ะเสวยทุกวัน (เป็นการสำแดงความรักต่อโยนาธานพ่อของเขา) ข้อที่9 บอกว่า หลังจากนั้น ดาวิดก็ประทับอยู่ที่เยรูซาเล็ม แล้วใครๆก็เรียกเยรูซาเล็มว่าเป็น”เมืองของดาวิด”
ดู2ซมอ.5:11-12 ข้อที่10 บอกว่า ดาวิดก็เข้มแข็งและเจริญขึ้นเรื่อยๆ แล้วเวลาที่ประเทศมั่นคงขึ้น กระแสตอบรับจากประเทศรอบด้านก็มีสองแบบ คือ ตั้งตัวเป็นศัตรู กับ ยอมรับในฐานะพันธมิตร ข้อนี้บอกว่า..ฮีราม ก.เมืองไทระ เลือกที่จะสนับสนุนอิสราเอล โดยการช่วยจัดเตรียมการสร้างพระราชวังใหม่ในเมืองที่ดาวิดเพิ่งยึดมาได้ ฮีรามจัดหาให้ทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และก็แรงงาน ทำให้ดาวิดพอใจมาก ข้อที่11 บอกว่า ดาวิดเพิ่งจะรับรู้ถึงความสำเร็จของตัวเอง ก็ต่อเมื่อพระราชวังสร้างจะเสร็จแล้ว เหมือนเวลาที่เราประสบความสำเร็จหรือได้อะไรซักอย่างที่รอมานานแสนนาน นานจนบางครั้งเราลืมมันไปแล้ว แต่พอทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมา เราก็จะนึกได้ว่า..สุดท้ายพระเจ้าก็ทรงรักษาสัญญาและประทานให้ตามที่ทรงบอกไว้จริงๆ แล้วการสร้างพระราชวังของดาวิดก็สอดคล้องกับพระธรรมสุภาษิตข้อนึงด้วย ให้เราเปิดไปดู
สภษ.24:27 “..หลังจากเตรียมหน้าที่การงานของเราเสร็จแล้ว ก็จงสร้างบ้านเรือนของเจ้า” พระคำภีร์ข้อนี้ สอนว่า ให้เราเตรียมงานของเราให้พร้อมซะก่อนแล้วค่อยสร้างบ้าน เรื่องนี้จริงแท้ที่สุดทุกยุคทุกสมัยด้วย อย่างในสมัยก่อนอิสราเอลเป็นสังคมเกษตรกรรม พวกเขาจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาให้กับงานในไร่นาซะก่อน หลังจากปลูกข้าวเสร็จแล้ว ระหว่างรอข้าวออกรวงค่อยหันมาใส่ใจสร้างบ้านเรือน อย่างงี้ถึงจะเรียกว่าเป็นการใช้เวลาเรียงตามลำดับความสำคัญได้อย่างถูกต้อง เหมือนดาวิดตอนนี้..คือเมื่อ”งาน” ในฐานะกษัตริย์ของเขาสำเร็จลงแล้ว ดาวิดก็สร้างบ้านคือ พระราชวังที่เยรูซาเล็ม..เอาไว้เป็นที่อยู่ของตัวเองและครอบครัว
หรือแม้แต่คนในสมัยนี้ ก็ควรที่จะจัดการหางานที่เหมาะสมกับตัวเองให้เรียบร้อบซะก่อน..ค่อยสร้างบ้าน ซื้อบ้าน หรือตั้งหลักแหล่งที่อยู่อาศัยของตัวเอง ไม่ใช่อยู่ดีๆนึกอยากได้คอนโดหรือบ้านในเมืองก็ไปซื้อไว้..ไปดาวน์ไว้..ตกแต่งจนเรียบร้อย เสร็จแล้วค่อยหางานทีหลัง เสร็จแล้วแล้วก็ไปได้งานที่อยู่นอกเมืองหรือหนักหน่อยก็หางานไม่ได้ บ้านที่ซื้อไว้ก็โดนยึดไปเลยเพราะไม่มีเงินผ่อน ผิดพลาดไปหมดเพราะไม่เรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้องตามที่พระคำภีร์สอน..ว่าอะไรควรทำก่อน ทำหลัง..
ดู2ซมอ.5:13-16 จริงๆแล้ว การที่มีครอบครัวใหญ่..ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่มั่นคงในสมัยนั้น แต่ถ้าพูดอย่างแฟร์นะ..เดิมทีดาวิดก็มีลูกและภรรยาอยู่หลายคนแล้ว แต่ข้อที่13 นี้บอกว่า..ดาวิดยังได้ทั้งสนมและมเหสีจากเยรูซาเล็มเพิ่มอีกหลายคน ซึ่งจุดนี้ทำให้เรามองเห็น”ความเยอะไป”ในเรื่องนี้ของดาวิด จริงๆข้อนี้..คงมีจุดประสงค์ที่จะบันทึกชื่อของลูกๆดาวิดไว้ให้เราได้รู้จัก แล้วค่านิยมของคนตะวันออกในสมัยนั้นก็เป็นอย่างนี้ ต้องมีภรรยาเยอะๆ ลูกเยอะๆ ถึงจะดูภูมิฐาน ตอนนี้ ดาวิดก็คงจะดูภูมฐานน่าดู..เพราะเต็มสูตรเลยในการเป็นผู้มั่งคั่งแห่งเยรูซาเล็ม
แต่..ความจริงก็คือ ไม่มีใครเลยที่จะถูกละเว้นจากกฎแห่งเชื้อบาปที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ อย่างในเวลาที่มนุษย์ประสบความสำเร็จ..ฮอร์โมนแห่งความภาคภูมิ (จริงๆแล้วคือ ฮอร์โมนแห่งความเย่อหยิ่ง) มันก็หลั่งออกมาทุกคน..รวมทั้งดาวิดด้วย น้าตุ๊กก็เลยรู้สึกว่าพระคำภีร์ข้อนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงอันตราย..ที่มักจะมาพร้อมกับความสำเร็จของมนุษย์ ถ้า..ดาวิดยังปล่อยใจกับเรื่องนี้มากเกินไป แล้วเราก็จะได้เห็นว่า..สุดท้ายเขาก็ล้มลงในเรื่องนี้จริงๆ
ดู2ซมอ.5:17-18 ในขณะที่ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระเลือกที่จะขอเป็นพันธมิตร แต่ฟิลิสเตีย..เลือกเป็นศัตรู ยกมาทำสงครามทันทีที่รู้ว่าดาวิดได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล..สังเกตดูลักษณะที่พระคำภีร์บันทึกไว้เหมือนจะเจาะจงมาที่ดาวิด เหตุผลหนึ่ง คือ ฟิลิสเตียคงเห็นดาวิดเป็นบุคคลอันตราย..ถึงเลือกที่จะป้องกันตัวเองไว้ก่อน โดยการกำจัดดาวิดและอิสราเอลซะ เพราะเขาเคยคลุกคลีกับกองทัพของฟิลิสเตีย ตอนที่ไปขอลี้ภัยอยู่กับก.อาคีช ถ้าเจ้าเมืองอีกสี่คนไม่ยืนกรานให้ดาวิดออกไปจากกองทัพป่านนี้ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างงั้น ดาวิดก็คงต้องได้รู้กลยุทธ์ของฟิลิสเตียมามากพอสมควร เพราะฉะนั้น ถ้ามองตามหลักยุทธศาสตร์ของการปกครอง ก็ต้องนับว่าฟิลิสเตียตัดสินใจถูก เพราะดาวิดอันตรายสำหรับเขามากๆ
ดู2ซมอ.5:19-20 เมื่อฟิลิสเตียยกทัพมา ดาวิดลงไปอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง แล้วทูลถามพระเจ้าว่า..เขาควรจะทำยังไง ควรยกทัพไปสู้กับฟิลิสเตียมั๊ย..เด็กๆจะเห็นว่า ดาวิดมีความสัตย์ซื่อในการแสวงหาน้ำพระทัยมากๆ จะทำการเล็กการใหญ่แต่ละครั้ง..ดาวิดอธิษฐานตลอด..ถามพระเจ้าก่อนทุกครั้ง ดาวิดชัดเจนแล้วก็เสมอต้นเสมอปลายมากในเรื่องนี้ เพราะตอนนี้ ถึงดาวิดได้จะรับความสำเร็จมากมาย แต่เขาก็ยังสำแดงให้เราเห็น..ว่าเขาสัตย์ซื่อที่จะให้พระเจ้าทรงนำ แล้วในครั้งนี้ พระเจ้าก็ตอบเขา..ว่าให้ไปสู้กับพวกฟิลิสเตีย แล้วพระองค์จะประทานความสำเร็จให้ แล้วครั้งนั้น ดาวิดก็ชนะจริงๆ ข้อที่21 บอกว่า..คนฟิลิสเตียทิ้งรูปเคารพไว้ พวกของดาวิดก็มาขนเอาไป เอาไปทำไรในข้อนี้ไม่ได้บอก แต่ในพศด.14:12 บันทึกไว้ว่า พวกเขาเอาไปเผาทำลาย
ดู2ซมอ.5:22-25 ตามสไตน์ของผู้ที่เคยมีศักดิ์ศรีเหนือกว่า..ฟิลิสเตียไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ข้อนี้บอกว่า พวกเขายกทัพมาอีกครั้ง..กระจายกำลังอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม ซึ่งเป็นลักษณะการตั้งแนวรบเหมือนครั้งแรก ดาวิดคงคิดเหมือนกัน..ว่าถ้าใช้กลยุทธ์แบบเดิม..จะได้ผลมั๊ย แต่ดาวิดไม่กังวล..เพราะเขาก็แค่ไปทูลถามพระเจ้าแล้วก็ทำตามที่พระองค์บอก..ก็เท่านั้น ไม่ว่าศัตรูจะมาไม้ไหนก็กดดันดาวิดไม่ได้ เพราะดาวิดมีพระเจ้าที่ทรงนำอยู่ข้างหน้า เด็กๆก็มีพระเจ้าทรงนำอยู่ข้างหน้า ถ้าเราทำเหมือนดาวิด..ก็จะไม่มีเรื่องไหนกดดันหรือทำให้เราเครียดได้มากมาย แน่นอน มันไม่ง่ายที่จะ”นิ่ง”กับสถานการณ์แย่ๆ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ เพียงแต่เด็กๆต้องเริ่มฝึกฝนซะตั้งแต่วันนี้ ข้อที่23 พระเจ้าทรงบอกให้ดาวิดไปสู้กับฟิลิสเตียแต่คนละวิธีกับคราวที่แล้ว คือแทนที่จะปะทะกันหน้าต่อหน้า ครั้งนี้พระเจ้าให้ดาวิดอ้อมไปข้างหลัง แล้วห้ามโจมตีจนกว่าจะได้ยิน”เสียงกองทัพเดินอยู่บนยอดต้นโพธิ์..”
ส่วนเสียงมันจะเป็นลักษณะไหน..เราไม่ต้องไปสงสัยหรอก เอาเป็นว่าครั้งนี้ก็เป็นการอัศจรรย์อีกครั้งนึงที่พระเจ้าทรงกระทำให้อิสราเอลได้รับชัยชนะก็แล้วกัน
ดู2ซมอ.6:1-2 เมื่อได้ปกครองอิสราเอล พร้อมทั้งสร้างบ้านคือพระราชวังที่เยรูซาเล็มเรียบร้อยแล้ว ดาวิดก็อยากจะไปเอาหีบพันธสัญญากลับมาเก็บไว้ที่เยรูซาเล็ม เพราะตั้งแต่ที่ฟิลิสเตียส่งหีบพันธสัญญาคืนให้อิสราเอลเพราะโดนภัยพิบัติอย่างหนักแล้ว ตอนนั้นคนอิสราเอลก็ทำในสิ่งที่ไม่ต่างเท่าไหร่ พระเจ้าจึงทรงพิพากษาให้ตายไปหลายคนเหมือนกันเพราะคนอิสราเอลมองหีบพันธสัญญาเป็นรูปเคารพ ตั้งแต่นั้นหีบพันธสัญญาก็เลยค้างอยู่ที่บ้านของอาบีนาดับ..มาจนถึงตอนนี้ แล้วดาวิดก็กำลังปรึกษาหารือกับพวกผู้นำของอิสราเอล..ว่าจะไปเอาหีบพันธสัญญากลับมาไว้ที่บ้านตัวเอง
ดู2ซมอ.6:3-4 พอไปถึงบ้านของอาบีนาดับ คนอิสราเอลก็เอาหีบพันสัญญาใส่เกวียนใหม่ที่เตรียมไว้ พอเสร็จเรียบร้อย..พวกเขาก็ออกเดินทาง โดยมีอาหิโยลูกชายของอาบีนาดับเดินนำหน้า ทั้งดาวิดและประชาชนชื่นชมยินดีกันมาก มีการร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลองกันมาระหว่างทาง แต่ทั้งข้อ3และข้อ4 ..พระคำภีร์มีการย้ำไว้ว่า..คีรียาทเยอาริม..บ้านของอาบีนาดับเนี่ย..ตั้งอยู่บนเขา เยรูซาเล็มเองก็เต็มไปด้วยหุบเขา แล้วระหว่างทางก็ลุ่มๆดอนๆ ขบวนเกวียนของหีบพระสัญญาก็คงจะต้องขึ้นเขาลงห้วยกันอยู่หลายรอบ คือ การเดินทางก็ทุลักทุเลพอสมควร จนในที่สุด ขณะที่พวกเขากำลังไชโยโห่หิ้วกันอยู่ ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น..
ดู2ซมอ.6:6-7 ข้อที่6บอกว่าพอมาถึงลานนวดข้าวของนาโคนวัวตัวนึงเกิดสะดุด (พระคำภีร์ไม่ได้บอกว่ามันสะดุดอะไร) แต่คงจะทำให้เกวียนเสียหลัก..แล้วพอเกวียนเสียหลักหีบก็คงจะเสียศูนย์..อุสซาห์ลูกชายของอาบีนาดับอีกคนที่เดินอยู่ข้างเกวียนก็เลยเอื้อมมือไปจับหีบไว้..อาจจะโดยอัตโนมัตินะ เหมือนเวลามีคนส่งของให้..เราก็รับทันที ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า..เขาส่งอะไรให้ แล้วควรจะรับหรือไม่รับดี อุสซาห์ก็คงจะอารมณ์เดียวกัน หรืออย่างมากก็คงทำใจไม่ได้ถ้าหีบพระสัญญาจะคว่ำลงมา..ก็เลยเอื้อมมือไปรับ ปรากฎว่า..ถูกปุ๊บตายปั๊บ ข้อที่7 บอกว่า พออุสซาห์แตะต้องหีบพันธสัญญา..เขาก็นอนตายอยู่ตรงนั้นเลย
ดู2ซมอ.6:8-10 จากที่ยินดีปรีดา..ก็เปลี่ยนเป็นทั้งตกใจ ทั้งกลัว แล้วก็โกรธด้วย ข้อนี้บอกว่า..ดาวิดไม่พอใจเพราะพระเจ้าทรงทลายอุสซาห์ คำว่า”ทลาย” เนี่ย..น้าตุ๊กคิดว่า คือปฏิกริยาที่เป็นอัตโนมัติเช่นกัน เพราะมนุษย์ที่มีเชื้อบาปไม่สามารถที่จะแตะต้องความบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าได้ จริงๆเข้าใกล้ยังไม่ได้เลย..เรื่องจะสัมผัสไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้น การทลายมาเหนืออุสซาห์คงจะเป็นลักษณะที่เฉียบพลัน ดาวิดที่กำลังดีใจอยู่..ตอนนี้เริ่มไม่พอใจ เขาคงรู้สึกไม่เข้าใจ..ว่าพระเจ้าทำลายแผนการเขาทำไม เพราะทุกอย่างที่ทำไป..เขาก็ทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า แต่พระเจ้ากลับทำลายงานฉลองนี้..เพราะอะไร (เดี๋ยวมีคำตอบ) ข้อที่10 บอกว่า..ดาวิดเลยถอดใจ ทั้งผิดหวัง สับสน แล้วก็งง เพราะตอนนี้เขายังไม่รู้ว่า..เพราะอะไร หรือทำผิดอะไร ทุกอย่างถึงเป็นอย่างงี้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ดาวิดกังวลที่จะเอาหีบเก็บไว้ใกล้ตัว เลยตัดสินใจเอาหีบไปไกลๆ คือไปไว้ที่บ้านของโอเบดเอโดม (ดูไปแล้ว..ดาวิดปฏิบัติกับหีบพันธสัญญาเหมือนพวกฟิลิสเตียทุกอย่าง ตั้งแต่เอาใส่เกวียน..แล้วพอเกิดเหตุร้าย ก็เลือกที่จะเอาหีบพันธสัญญาไปไว้ไกลๆ (ดู1ซมอ.6:1-16)
ดู2ซมอ.6:11-12 หีบพระสัญญาที่ดาวิดไม่ต้องการ เพราะคิดว่าเป็นเหตุของความเดือดร้อน ตอนนี้ที่อยู่กับโอเบดเอโดม กลับทำให้โอเบดเอโดมรวมทั้งบริวารทั้งหมดได้รับพระพร เราไม่รู้หรอกว่าเขาได้รับพรเรื่องอะไรเพราะพระคำภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ แล้วตอนนี้เรื่องพระพรที่พวกเขาได้รับก็รู้ถึงหูดาวิด ข้อที่12 นี้บอกว่า ดาวิดเลยไปเอาหีบคืนมาไว้ที่เยรูซาเล็มด้วยความยินดี แล้วดาวิดทำยังไงถึงเอาหีบพระสัญญามาได้อย่างราบรื่น..ผู้เขียนหนังสือ2ซมอ.นี้ไม่ได้บันทึกไว้ให้เราเข้าใจชัดเจน แต่ผู้เขียนหนังสือ1พศด.มีคำตอบ
เปิดไปดู1พศด.15:13-15 ดาวิดพูดกับคนเลวีว่า..เพราะพวกเขาไม่ได้มาหามหีบพันธสัญญาเมื่อครั้งที่แล้ว..พระเจ้าจึงทรงพิโรธ คือ จริงๆแล้วการเคลื่อนย้ายพระที่นั่งเครูบหรือหีบพันธสัญญานี้ ต้องทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้อย่างเคร่งครัด (จำได้มะ ที่เคยเรียนกันในอพยพ และกันดารวิถี)
เปิดไปดูกดว.4:4-6/15 พระเจ้าบัญชาไว้หมดอย่างละเอียดพลับพลาต้องเป็นยังไง สร้างโดยวัสดุอะไร กว้างยาวเท่าไหร่ เวลาเคลื่อนไป ใครเดินก่อนเดินหลัง แล้วใครมีหน้าที่อะไรก็ต้องทำตามที่พระเจ้ากำหนดไว้อย่างถูกต้อง..จะสลับกันไม่ได้ ในข้อนี้ พระเจ้าทรงบอกชัดเจนว่าเวลาจะเคลื่อนของบริสุทธิ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง”หีบพระสัญญา” วงศ์วาน”โคฮาท”เท่านั้นที่จะเป็นคนหาม “หาม”..ไม่ใช่ให้ใครก็ได้เอาใส่เกวียนแล้วลากไปตามสะดวก เพราะฉะนั้น นี่เป็นเรื่องของความเชื่อฟังอย่างเคร่งครัดในกฎบัญญัติของพระเจ้า แล้วก็ไม่สำคัญที่เราจะคิดว่าจะสมเหตุผลแค่ไหน ถ้าพระเจ้าสั่งไว้เราต้องใส่ใจที่จะกระทำตาม แต่ความผิดพลาดในครั้งนี้ ดาวิดกับคนอิสราเอลอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะละเลยหรือฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าหรอก คงจะลืมมากกว่า..จะผิดก็ตรงที่ทำอะไรตามสบายมากไป ลืมนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า..ก็เลยประมาทไปนิดนึง (แต่เสียหายเยอะ)
ดู2ซมอ.6:16/20 เมื่อหีบพระสัญญามาถึงเยรูซาเล็ม ก็มีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ ดาวิดเต้นรำถวายพระเจ้า..เป็นการร้องเพลงเต้นรำที่ดาวิดชื่นชมยินดีอย่างเต็มล้น เหมือนเวลาที่บางครั้งเราร้องเพลงนมัสการแล้วอินแบบสุดๆ น้ำตาไหล ตอนนี้ดาวิดกำลังอยู่ในอารมณ์แบบเดียวกัน แต่ข้อที่16 บอกว่า ขณะที่ทุกคนกำลังยินดีกันอย่างเต็มที่ มีคาลลูกซาอูล..ภรรยาที่ดาวิดเพิ่งได้คืนมา..กลับไม่ปลื้ม ยืนแอบมองอยู่ข้างหน้าต่าง..แล้วก็นึกตำหนิดาวิดอยู่ในใจ พอดาวิดกลับมาอวยพรครอบครัว มีคาลก็ต่อว่าดาวิดอย่างหนัก แล้วก็ใช้คำค่อนข้างแรง เพราะข้อที่20 เธอพูดว่า “วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้รับเกียรติมากมายเลยนะ เพราะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าสาวใช้ของข้าราชการ อย่างกับคนถ่อยแก้ผ้าด้วยไม่มีความอาย”
ดู2ซมอ.6:21-23 มีคาลคงรู้สึกว่าดาวิดวางตัวไม่เหมาะสมกับที่เป็นกษัตริย์ ไม่สำรวม แต่งตัวไม่สมฐานะ แล้วยังร้องเพลงเต้นรำหลุดโลกต่อหน้าประชาชน แต่ดาวิดบอกมีคาลว่า..เขากำลังแสดงความชื่นชมยินดีถวายแด่พระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ แล้วมันก็ตรงกับหลายๆเพลงที่เราร้องกันเมื่อเช้านี้ ที่บอกให้..จงยินดี ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบคุณพระเจ้า มันยิ่งทำให้เราแน่ใจว่าดาวิดไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วดาวิดก็ไม่ได้เปลือยกายด้วย เขาใส่เอโฟดผ้าป่านเหมือนที่ปุโรหิตใส่ ถ้ามีคาลจะรู้สึกไม่สมฐานะก็คงคิดไปเอง แล้วดาวิดก็เข้าใจว่ามีคาลยังรับไม่ได้ ถึงไม่ยอมรับด้วยความถ่อมใจว่า..พระเจ้าเลือกเขาแทนซาอูล..พ่อของเธอแล้ว ข้อที่21 ดาวิดถึงได้พูดย้ำกับมีคาลว่า..พระเจ้าเลือกเขาแทนพ่อของมีคาลแล้วนะ ทุกอย่างก็ต้องเป็นตามนั้น..มีคาลควรจะยอมรับแล้วก็เข้าใจอะไรๆให้มากกว่านี้ แล้วข้อที่22 ดาวิดก็ยืนยันกับมีคาลว่า..คอยดูนะ..เขาจะถ่อมลงและให้เกียรติประชาชนมากกว่านี้อีก เพราะเขาแสวงหาศักดิ์ศรีในแบบของพระเจ้า ไม่ใช่แบบที่มนุษย์คิด ดูแล้วมีคาลก็คงจะมีเลือดพ่อมากอยู่ หรืออาจจะเพราะได้ไปเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว..(รึเปล่า)..ถึงได้เปลี่ยนไป อันนี้ น้าตุ๊กคิดเอง แต่สรุปแล้วเธอก็ถูกตัดพงศ์พันธ์ออกไป จะเพราะพระเจ้าปิดครรภ์ให้เป็นหมันหรือดาวิดไม่เข้าหาอีกเลย..ก็ไม่รู้ จะยังไงก็ตามข้อที่23 บอกว่า..มีคาลตายไปโดยไม่มีลูกซักคน ซึ่งถือเป็นความอาภัพอับจนมากๆของผู้หญิงในสมัยนั้น
หมดเวลาแล้วค่ะ เราอาจจะไม่พบกัน1-2สัปดาห์นะคะ เพราะน้าตุ๊กมีภาระกิจที่จะต้องไปเชียงราย จนกว่าจะพบกันใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น