วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2 ซามูเอล ครั้งที่ 6 อาทิตย์ที่ 7:11:2010

ดู 2ซมอ.8:1-2 ฟิลิสเตีย หรือ ฟิลิสไตน์ ซึ่งปัจจุบันคือ “ปาเลสไตน์”เป็นประเทศที่สร้างปัญหาให้อิสราเอลมาตลอดตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัย มาจนสมัยของซาอูล..โยนาธานก็ต้องลุกขึ้นปราบพวกฟิลิสเตีย จนทำให้เกิดชนวนการรบครั้งใหญ่ แล้วครั้งนึงดาวิดก็ออกไปปราบโกลิอัท..มีการไล่ล่ากันไปจนถึงประตูเมือง ท้ายบทของหนังสือ1ซมอ.พวกฟิลิสเตียก็ยกมาโจมตีอิสราเอลอีก..ครั้งนี้ฆ่าซาอูลกับลูกตาย และพวกฟิลิสเตียหรือปาเลสไตน์นี้ก็ยังคงมีปัญหากับอิสราเอลมาจนถึงปัจจุบัน !!!
พระคำข้อนี้บอกว่า ตอนนี้ ดาวิดปราบพวกฟิลิสเตียได้แล้ว..ยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้ ข้อที่ 2 บอกว่า..ก.ดาวิดรบชนะพวกโมอับ และวัดเขาด้วยเชือก โดยให้นอนเรียงกันบนพื้น..วัดแล้วก็ฆ่าทิ้งซะ 2ส่วน3 ที่เหลือส่วนนึงก็รอดชีวิตไป..” เหมือนเวลาเราแบ่งกลุ่มในชั้นเรียน ก็จะให้ทุกคนยืนเข้าแถว แล้วก็นับ 1..2..3 เพื่อแบ่งนักเรียนเป็นสามกลุ่ม แล้วก็ว่าไป..ว่าจะให้กลุ่มไหนทำอะไร แต่ดาวิดวัดแล้วเอา 2ใน3 ไปฆ่า..อย่าคิดว่ามันเป็นการโหดร้าย เพราะความจริงคือ ดาวิดยังอุตส่าห์ไว้ชีวิตคนโมอับส่วนนึง
ดู2ซมอ.8:3-5 หลังจากที่ดาวิดควบคุมฟิลิสเตีย..ซึ่งอยู่ทางตะวันตก และโมอับ..ที่อยู่ทางตะวันออกของอิสราเอลได้แล้ว ก.ดาวิดก็มุ่งไปที่เมืองโศบาห์..ซึ่งอยู่เลยขึ้นไปทางทิศเหนือ แล้วก็ยึดเมืองนี้ได้ ข้อที่5 บอกว่า..คนซีเรียที่อยู่เมืองดามัสกัสยกไปช่วยก.ฮาดัดเอเซอร์ รบกับอิสราเอล เพราะคงมองว่าดาวิดชักจะเป็นตัวอันตราย แต่สุดท้ายก็แพ้ไปทั้งคู่ ข้อที่6 บอกว่า ดาวิดมีการวางกองกำลังของอิสราเอลไว้ในที่ต่างๆหลายแห่ง จุดนี้ดูจะต่างจากที่ผ่านมา เพราะเมื่อก่อนศัตรูมักจะเป็นฝ่ายมาวางกองกำลังในอิสราเอล หมายความว่า ตอนนี้อิสราเอลจะไม่เป็นฝ่ายถูกกดดันจากรอบด้านอีกต่อไป แล้วความสำเร็จทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ดาวิด
ดู2ซมอ.9-10 ข้อนี้บอกว่า ฝ่าย โทอิ ก.เมืองฮามัท พอรู้ข่าวว่าดาวิดรบชนะฮาดัดเอเซอร์ ก็เลือกที่จะศิโรราบกับดาวิดทันที โดยส่งลูกชายคนโตมาถวายเครื่องบรรณาการ เหตุผลนึงที่เค้าเลือกทำอย่างงั้นก็เพราะโทอิกับฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกันมาก่อน ข้อที่10 บอกว่า ก.ฮามัทเอาทั้งเครื่องเงิน เครื่องทอง ทองสัมฤทธิ์มากมายมาถวายดาวิด ดาวิดก็รวบรวมไว้ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า แล้วต่อไปเราจะเห็นว่า..ของพวกนี้ก็ถูกเอามาใช้ตอนซาโลมอนสร้างวิหารให้พระเจ้า ตามที่บันทึกไว้ใน 1พศว.18:8
ดู 2ซมอ. 8:13-14 ยังมีบันทึกต่อไปว่า..ดาวิดไปกวาดล้างคนซีเรียในหุบเขาเกลืออีก 18000 คน ซึ่งข้อนี้มีหมายเหตุข้างล่างว่าเป็นคนเอโดม เพราะการบันทึกในภาษาฮีบรูมันมีข้อแตกต่างกันอยู่หนึ่งตัวอักษร แล้วท้ายข้อ14นี้ กับใน1พศว.18:12 ก็บ่งว่าเป็นคนเอโดม ซึ่งเอโดมเนี้ยจะอยู่ทางทิศใต้..ของอิสราเอล นั่นก็หมายความว่า..พระคำภีร์กำลังสื่อให้เห็นถึงชัยชนะรอบด้านของดาวิด เพราะกวาดล้างไปทั่วทุกทิศ..ทั้งตะวันตก ตะวันออก ทิศเหนือ แล้วสุดท้ายก็ทิศใต้ และผลสืบเนื่องจากชัยชนะรอบด้าน..ทำให้ดาวิดต้องเพิ่มคณะบริหารบ้านเมืองอีกหลายตำแหน่ง ตามที่ได้บันทึกไว้ในข้อที่ 15-18
บทที่ 9 “สัจกรุณา”ของดาวิดต่อเมฟีโบเชท (ลูกชายที่เป็นง่อยของโยนาธาน)
ดู2ซมอ.9:1-3 “ในพงศ์พันธ์ของซาอูล ยังมีใครเหลืออยู่บ้าง” ดาวิดถาม เพราะเขาต้องการตอบแทนโยนาธาน ด้วยการทำดีต่อวงวานศ์ของซาอูล..ตามที่เคยสัญญาไว้ ในข้อนี้เราจะเห็นว่า..ดาวิดเป็นคนที่สัตย์ซื่อต่อคำสัญญามากๆ เพราะปกติ..คนส่วนใหญ่ ถ้าเคยสัญญาไว้อย่างดาวิด ก็อาจจะรักษาสัญญาเหมือนกัน..ถ้ามันเห็นหน้ากันอยู่..ว่าเอ๊ย..คนนี้ลูกเพื่อนนะ เราต้องช่วยดูแล เพราะสัญญากับเพื่อนเอาไว้ แต่ถ้าเหมือนดาวิดอย่างงี้..คือ อยู่มาตั้งนานก็ยังไม่เจอเชื้อสายของซาอูลเลยซักคน ส่วนใหญ่ก็จะไม่ดิ้นรนไปเสาะแสวงหามาเป็นภาระ แต่ดาวิด..ไม่ใช่ ดาวิดให้คนไปตาม”ศิบา”มาทันที..ที่รู้ว่าเค้าเป็นคนของซาอูล มาถึงก็ถามว่าตอนนี้ยังเหลือใครบ้างมั๊ยที่เป็นลูกหลานของซาอูล ศิบา บอกว่ายังเหลือลูกของโยนาธาน คนนึงที่เป็นง่อย คือ เมฟีโบเชท
ดู 2ซมอ.9:5-7 พอได้ยินปุ๊บว่ายังเหลือคนนึง ดาวิดรีบสั่งให้ไปพาตัวมา พอมาถึงเมฟีโบเชทก็ก้มลงกราบดาวิด ด้วยความกลัวจนตัวสั่น..เพราะไม่รู้ว่าดาวิดเรียกเขามาทำไม จะเรียกมาฆ่าทิ้งเพื่อกำจัดพงศ์พันธ์ของซาอูลให้สิ้นซากรึเปล่า เพราะจริงๆแล้วกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ก็มักจะทำกันอย่างงั้น ที่จะมาโอบอุ้มค้ำจุนเชื้อสายของราชวงศ์เดิมไว้..เหมือนดาวิดเนี่ย..หายาก ดาวิดก็เหมือนจะรู้ว่าเมฟีโบเชทคิดอะไร ข้อที่7 ดาวิดเลยปลอบใจว่า..”อย่ากลัวเลย”
ที่เรียกมาเนี่ย..เขาแค่อยากจะสำแดงความรักแล้วก็อยากจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับโยนาธาน แล้วดาวิดก็บอกเมฟีโบเชทว่า..เขาจะคืนที่ดินที่เป็นของซาอูลทั้งหมดให้เมฟีโบเชท แล้วต่อไปเมฟีโบเชทจะได้ร่วมโต๊ะเสวยกับดาวิดตลอดไป คงเป็นอารมณ์ที่คิดถึงโยนาธานมาก..มีลูกไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดี ประมาณนั้น
ดู2ซมอ.9:8-9 “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นผู้ใดเล่า ซึ่งฝ่าพระบาทจะทอดพระเนตรสุนัขตายอย่างข้าพระบาทนี้” พอได้ยินดาวิดพูดอย่างงั้น..เมฟีโบเชทคงรู้สึกโล่งใจ แล้วก็ซาบซึ้งในความกรุณาของดาวิด เขาบอกกับดาวิดว่า..เขาเป็นเหมือน”สุนัขตาย”เท่านั้น คำนี้..คงทำให้ดาวิดคุ้นสุดๆ เพราะเป็นคำเดียวกับที่ดาวิดเคยใช้เรียกตัวเอง..ตอนที่คุยกับซาอูล(ใน1ซมอ.24:14) ความหมายของเมฟีโบเชทคือ จริงๆแล้วดาวิดไม่จำเป็นต้องมาสนใจเขาก็ได้ เพราะเห็นชัดเจนว่าเขาพิการ ถึงจะดูไม่มีพิษมีภัยแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน “เมฟีโบเชทคงไม่เข้าใจว่าดาวิดมาเสียเวลากับเขาทำไม เหมือนที่บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่า"พระเจ้าตามหาและเรียกเรามาเพื่ออะไร” ในเมื่อเราไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระเจ้าเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดาวิดทำในพระธรรมข้อนี้เป็นหมายสำคัญที่สำแดงให้เห็นถึงรูปแบบของกษัตริย์ที่พระเจ้าจะประทานให้ คือ พระเยซูคริสต์ แล้วพวกเราก็คือ”เมฟีโบเชท”..ที่เป็นง่อยฝ่ายวิญญาณ..ไร้ค่ามาก แต่พระเจ้าก็ทรงมีความรักมั่นคงและสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของเรา คือ อับราฮัม พระองค์เลยตามเรากลับมา เหมือนที่ดาวิดไปตามเมฟีโบเชทมาเพราะเห็นแก่โยนาธานพ่อของเขา
ดู2ซมอ.10:1-2 ข้อนี้เป็นบันทึกการเสียชีวิตของนาหาช ก.คนอัมโมน นาหาชคนเดียวกับที่ซาอูลทำสงครามด้วยเพราะเขาขู่จะควักลูกตาคนอิสราเอล แต่ข้อนี้ บอกไว้ชัดเจนว่า..เขาเป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรกับดาวิด จะไปคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เราไม่รู้ อาจจะ..ในช่วงที่ดาวิดหลบหนีซาอูล รึเปล่า..ไม่แน่ใจ อันนี้แค่สันนิฐาน ในฐานะเพื่อนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันดาวิดเลยส่งผู้แทนไปแสดงความเสียใจเพื่อให้เกียรตินาหาชในพิธีไว้อาลัย ข้อที่ 2 ดาวิดบอกว่า..”เราจะซื่อตรงต่อฮานูนโอรสของนาหาช ดังที่บิดาของเขาซื่อตรงต่อเรา” คือ ตั้งใจดีจริงๆที่จะสานต่อความสัมพันธ์กับฮานูนลูกของนาหาช
ดู2ซมอ.10:3-4 พอคณะผู้แทนของดาวิดไปถึง ที่ปรึกษาของก.องค์ใหม่คือฮานูน ก็ให้คำปรึกษาที่แย่มาก..หาว่าการกระทำครั้งนี้ของดาวิด..ไม่น่าไว้ใจ ทำเป็นส่งคนมาแสดงความเสียใจ แต่จริงๆแล้ว สงสัยจะมาสอดแนมเพื่อหาช่องโจมตีทีหลัง ฮานูนฟังแล้วก็เชื่อ เลยจับคนของดาวิดมา”โกนเคราออกครึ่งนึง แล้วก็ตัดเสื้อผ้าบางส่วนให้แหว่ง เสร็จแล้วก็ปล่อยตัวกลับไป” จงใจหาเรื่องกันชัดๆ เพราะสำหรับคนฮีบรูหรือยิว..เคราถือเป็นสัญญลักษณ์ของศักดิ์ศรี จับเขาโกนออกหมดก็ถือว่าหยามกันมากแล้ว..นี่อะไร..โกนของเขาครึ่งเดียว แถมยังทำเสื้อผ้าเขาแหว่ง คือ เอาเขาเป็นตัวตลก เสร็จแล้วไล่กลับบ้าน..แบบนี้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจาก อยากจะมีเรื่อง แล้วคณะผู้แทนก็เหมือนทูตสมัยนี้..จริงๆแล้วต้องได้รับการคุ้มครองอย่างดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น การกระทำของฮานูนเหมือนจะประกาศชัดว่าอยากทำสงครามกับดาวิด เนี่ย..อิทธิพลของที่ปรึกษา
ดู2ซมอ.10:5-6 พอดาวิดรู้ข่าว..ก็ส่งคนไปรับคณะผู้แทนของเขาทันที เป็นห่วงมาก..รู้ว่าต้องอายกันสุดๆ ดาวิดเลยสั่งให้คนของเขาพักอยู่ที่เยรีโคก่อน พอเคราขึ้นจนดูดีแล้วค่อยกลับมาที่เยรูซาเล็ม จริงๆแล้ว..ข้อที่6 เพียงแต่บันทึกว่า “คนอัมโมนทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด” ไม่มีตรงไหนบ่งว่าดาวิดสั่งทำสงครามก่อน มีแต่คนอัมโมนที่ร้อนตัวเตรียมตั้งทัพจะไปรบกับอิสราเอล แถมยังมีการไปตระเวนจ้างทหารซีเรียจากอีกหลายแห่งมาช่วย เตรียมจะรบกับอิสราเอล
ดู2ซมอ.10:9-11 ในเมื่อพวกอัมโมนแสดงออกว่าอยากจะมีเรื่อง..ดาวิดก็จัดให้ อิสราเอลเลยยกไปทำสงครามกับคนอัมโมนและทหารรับจ้างชาวซีเรีย ทางฝ่ายอัมโมนกับพันธมิตรแบ่งกองกำลังเป็นสองส่วน หวังจะโจมตีอิสราเอลทั้งหน้าหลัง แต่โยอาบก็ทันเกมส์เขาเลยแบ่งกองทัพเป็นสองกลุ่มเหมือนกัน กลุ่มแรกจะไปจัดการกับพวกซีเรีย..โดยมีโยอาบเป็นคนนำการรบ อีกกลุ่มนึงจะไปรบกับพวกอัมโมนโดยการนำของอาบีชัย..น้องของโยอาบ ทั้งสองกองตกลงกันว่า..ถ้าใครเสียท่าอีกฝ่ายนึงจะไปช่วยทันที แล้วโยอาบก็สำแดงความเชื่อในพระเจ้าโดยการหนุนใจทุกคน เพราะข้อที่ 12 เขาพูดว่า..”จงมีความกล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และขอพระเจ้าทรงกระทำตามน้ำพระทัย”
ดู2ซมอ.10:13-14/15-16 ปรากฎว่า..ทหารซีเรียสู้ไม่ได้เลย หนีกระจายไปต่อหน้าต่อตาโยอาบ ส่วนคนอัมโมนพอเห็นซีเรียแพ้..ก็เสียขวัญ รีบหนีจากอาบีชัยเข้าไปปกป้องเมืองหลวงไว้ ทหารอิสราเอลเห็นอย่างงั้นก็พากันกลับมาที่เยรูซาเล็ม เพราะดาวิดคงตั้งใจว่าจะหยุดอยู่แค่นั้น แต่เป็นฝ่ายซีเรียที่ไม่ยอมเลิกลา..แพ้ไม่รู้จักแพ้ ยังสงสัยอยู่..เลยรวมตัวกันอีกครั้งนึง คราวนี้ไปตามพวกที่อยู่ฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดนมาด้วย..กะว่าจะเอาชนะอิสราเอลให้ได้ ส่วนดาวิดพอรู้ข่าวการรวมตัวของพวกซีเรีย ก็เลยยกทัพข้ามน.จอร์แดนไปทำสงครามกับพวกซีเรีย..ให้หายสงสัย คราวนี้ ซีเรียแพ้ยับเยิน เสียหายหนักกว่าคราวที่แล้ว..ก็เลยคิดออก..ว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะต่อกรกับกษัตริย์และประชากรของพระเจ้า กษัตริย์ซีเรียที่เหลือเลยยอมจำนนขอสงบศึกกับอิสราเอลแล้วก็ไม่กล้าไปช่วยพวกอัมโมนอีกเลย
ดาวิดกับนางบัทเชบา
3-4 บทที่ผ่านมา เราได้เห็นความสำเร็จในจุดสูงสุดแล้วก็ภาพลักษณ์ที่สวยงามของดาวิดไปแล้ว แต่ในบทที่11-12 จะเป็นอีกแบบนึง เราจะเห็นแง่มุมที่เป็นคนละขั้วกับสิ่งที่ดาวิดทำในบทที่เราเรียนจบไป เพราะบทต่อไปนี้เราจะได้เห็นความตกต่ำแบบสุดๆของดาวิด ยิ่งเคยเห็นความชอบธรรมของเขามากเท่าไหร่ เวลาที่ตกลงไปในความบาปภาพก็จะชัดมากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้น บทต่อไปจะเป็นเสียงย้ำเตือนเราอีกครั้งว่า “ความสำเร็จฝ่ายโลก หรือแม้แต่จิตวิญญาณที่เติบโต ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการทำบาป” แล้วถ้าวันนี้หรือวันก่อนๆเราเคยชนะเนื้อหนังของตัวเองได้..มันก็ไม่ได้แปลว่า เราจะชนะตลอดไป เด็กๆถึงจำเป็นต้องติดสนิทกับพระเจ้า......อธิฐานและร้องขอให้พระองค์ช่วยอยู่ตลอดเวลา อย่างดาวิดถึงจะเป็นเงาของพระคริสต์ แต่ก็เป็นแค่”เงา” เพราะยังไงดาวิดก็ยังเป็นคน และขึ้นชื่อว่าคน..ยังไงก็ไม่มีวันจะที่จะสมบูรณ์พร้อม เราทุกคนรู้ว่าความสมบูรณ์พร้อมมีอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น อย่าคาดหวังมากมายกับมนุษย์ จงรักและเข้าใจในแบบที่เค้าเป็น ไม่ใช่ที่เราอยากให้เป็น
ดู2ซมอ.11:1 ข้อนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากบทที่10เลย..เรารู้ว่าคนซีเรียแพ้อิสราเอลแล้ว แต่คนอัมโมนที่จ้างพวกนี้มาช่วย..ยังแพ้ไม่ขาด เพราะตอนที่พวกเขาหนีกลับไปปกป้องเมืองหลวง ซึ่งน่าจะคือเมือง“รับบาห์” (ปัจจุบันก็คือ อัมมาน ของจอร์แดน) ตอนนั้น ดาวิดไม่ได้ติดใจตามไปโจมตีต่อ ข้อนี้บอกว่า..”เมื่อถึงฤดูแล้งบรรดากษัตริย์ก็ยกทัพไปรบ” คือ หน้าแล้งจะเป็นช่วงที่ประเทศต่างๆนิยมออกไปทำสงคราม เพราะสภาพอากาศมันเหมาะสม ตอนนี้ก็เลยเป็นเวลาที่อิสราเอลจะไปสะสางปัญหาที่ค้างคาอยู่กับพวกอัมโมน ดาวิดสั่งโยอาบให้เกณฑ์ทหาร..รวมทั้งชายอิสราเอลทั้งหมดให้ไปรบกับพวกอัมโมน แต่”ตัวเองไม่ไป”..เพราะท้ายข้อที่1 นี้บอกว่า..”แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม” น้าตุ๊กอ่านข้อนี้แล้วรู้สึกขัดๆตั้งแต่ตอนนี้เลย..เอ๊ย มันแปลกๆนะ แล้วดาวิดเป็นไร..ทำไมไม่ไปรบ นิสัยอย่างงี้มันไม่ใช่ดาวิดนะ
ดู2ซมอ.11:2-3 การนำทัพออกสู่สนามรบเป็นหน้าที่โดยตรงของกษัตริย์ แล้วดาวิดก็เคยทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี..มาตลอด จนถึงตอนนี้ ดาวิดไม่ใช่แค่..ไม่ไปรบ ข้อที่2 บอกว่า..”อยู่มาเวลาเย็นดาวิดทรงลุกจากพระแท่น..” เราตื่นนอนตอนไหน ข้อนี้บอกว่า เดี๋ยวนี้“ดาวิดตื่นเย็น” เสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นลั้นลาอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง แล้วแน่นอนดาดฟ้าพระราชวังต้องอยู่สูงกว่าบ้านทุกหลัง กษัตริย์จะได้มองเห็นทิวทัศน์ระยะไกลได้ชัดเจน เดินไปเดินมา..วิวระยะไกลคงไม่ค่อยสวย เพราะมันมีวิวใกล้ๆน่าสนใจกว่า พระคำภีร์บอกว่า..ดาวิดมองลงมาเห็นผู้หญิงคนนึงสวยมากซะด้วย..กำลังอาบน้ำ ดาวิดไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าดาวิดเห็นน้อย..เห็นมาก แต่จะเห็นแค่ไหนก็ไม่มีความผิด..ถ้าดาวิดเห็นแล้วก็”เลิกมองซะ”หยุดอยู่แค่นั้น แต่มันไม่ใช่เพราะ ข้อที่3 บอกว่า ดาวิดติดใจจนต้องใช้ให้คนไปสืบมา..ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
ได้ความว่า..[เธอชื่อบัทเชบา”เป็นภรรยา” ของอุรีอาห์..คนฮิตไทต์] ต่อให้ไม่เลิกมองก็ยังไม่แย่ซะทีเดียว..ถ้ามันติดใจมากจนลืมไม่ลง ก็ไม่แปลกถ้าดาวิดจะอยากรู้ต่ออีกนิดนึง..ว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” แต่เมื่อคำตอบมันแทงออกมาชัดเจนแล้ว..ว่านี่คือ บัทเชบา “ภรรยาของอุรีอาร์” แปลว่าเขา”แต่งงานแล้ว”แล้ว ดาวิดก็น่าจะหยุด.. เพราะ สิ่งที่ดาวิดต้องตระหนักคือ เฮ้ย..นี่เมียชาวบ้าน
ดู2ซมอ.11:4-5 ข้อนี้บอกว่า..ทั้งที่รู้ว่าบัทเชบามีสามี “ดาวิดก็ยังจะใช้ผู้สื่อสารไปรับนางมา” แอบเห็นเขาอาบน้ำ..ก็ไม่เลิกมอง รู้ว่าเขามีสามีแล้ว..ก็ยังจะเอา ใจไม่เคยคิดที่จะหยุดการกระทำของตัวเอง ไม่คิดจะยำเกรงความบาป เพราะฉะนั้น เด็กๆคิดตามให้ดี..ความบาปอันนี้ของดาวิด..ไม่ใช่ accident..ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง หรือทำไปโดยไม่รู้ตัว แล้วดาวิดก็ไม่ได้ถูกจู่โจม..ให้ต้องตัดสินใจพลาด..เพราะไม่มีเวลาคิด แต่ดาวิดเห็น..แล้วก็คิด..คิดแล้วก็ทำ เขาจงใจก่อร่างสร้างความบาปอันนี้ด้วยตัวเอง..จนถึงที่สุดด้วย จริงๆแค่คิดก็ผิดแล้ว การแอบคิดเรื่องชู้สาวกับคนที่แต่งงานแล้ว..ก็ถือว่าผิด แต่เรื่องอย่างงี้มันสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่ายมาก เพียงแต่เราต้องรีบ”หยุด”ความคิดหรือความบาปให้เร็วที่สุด เพราะสิ่งนี้มันเหมือนมะเร็ง ถ้าตัดเร็วก็มีโอกาสรอด แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็นเนื้อร้ายที่กัดกินเราไปจนตาย เหมือนดาวิดที่ต่อไปจะต้องลากเลือด เพราะ”ไม่ยอมหยุด” เพราะข้อที่4 นี้บอกว่า..แล้วดาวิดก็ได้สมสู่กับบัทเชบาสมใจปรารถนา เสร็จแล้วก็ส่งนางกลับบ้านไป ดาวิดคิดว่าเรื่องจะจบแค่นั้นหรอ..เปล่ามันไม่จบง่ายๆ เพราะบัทเชบาท้อง..
ดู2ซมอ.11:6-7 พอรู้ว่าบัทเชบาท้อง..ดาวิดสั่งคนไปบอกโยอาบ..ว่าให้ส่งตัวอุรีอาร์กลับมา ลักษณะว่า..จะให้อุรีอาร์มารายงานสถานการณ์ในสนามรบ เพราะข้อที่7 บอกว่า พออุรีอาร์มาถึง ดาวิดก็ทำเป็นถามนู่น..ถามนี่ โยอาบเป็นไงบ้าง..พวกทหารสบายดีมั๊ย แล้วรบกันไปถึงไหนแล้ว..ประมาณนี้ แต่พระคำภีร์ก็ไม่ได้บันทึกว่าอุรีอาร์ตอบว่าไงมั่ง..เพราะนั่นคงไม่ใช่ประเด็น เพราะ ตอนนี้ดาวิดไม่ได้ใส่ใจเหล่าทหารกับการรบจริงๆ เขาแค่กำลังพยายามจะทำบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ตัวเองอยู่ โยอาบกับอุรีอาร์เลยถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะดาวิดกำลังจะใช้เขาเป็นเครื่องมือปกปิดความบาปของตัวเอง..
ดู2ซมอ.11:8-9 หลังจากที่ทำเป็นเนียน..นั่งฟังรายงานสถานการณ์สนามรบจากอุรีอาร์แล้ว ข้อนี้บอกว่า ดาวิดก็ทำเป็นใจดี..อนุญาตให้อุรีอาร์ กลับบ้านและ”ล้างเท้า” พร้อมทั้งลูบหลังตบรางวัล..ด้วยการให้คนนำของประทานจากพระราชาตามไปด้วย” คือ มันเป็นธรรมเนียมที่เมื่อกลับบ้านแล้ว ทุกคนก็จะ”ล้างเท้า”ขึ้นบ้าน..รับประทานอาหาร และพร้อมที่จะเข้านอน เพราะฉะนั้น ความหมายของข้อนี้ก็คือ ดาวิดกำลังกล่อมให้อุรีอาร์กลับบ้านไปพักผ่อน และ หลับนอนกับเมียซะ [“แหม..ไปรบตั้งนาน คงจะคิดถึงกันแย่ละ ไปๆกลับไปนอนกะเมียซะให้หายคิดถึง” เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก..ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวกษัตริย์จะให้คนจัดข้าวปลาอาหารอย่างดีไปให้..] ถ้าเป็นสมัยนี้ดาวิดคงจะเตรียมดินเนอร์ใต้แสงเทียนไว้ให้อุรีอาร์กับบัทเชบาเพื่อ...บิ๊วท์ อัพ เต็มที่... แต่อุรีอาร์ไม่ติดกับ !!!เพราะคงพอจะเข้าใจว่าดาวิดคิดจะทำอะไร จุดนี้เลยทำให้เรารู้สึกว่า..อุรีอาร์น่าจะต้องรู้ระแคะระคายว่าดาวิดทำไรไว้ อุรีอาร์ถึงรู้ทันแผนชั่วของดาวิดและไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือปกปิดความบาปให้เค้า เพราะข้อที่ 9 บอกว่า อุรีอาร์ไม่ยอมกลับบ้านตามที่ดาวิดหวัง..คืนนั้นทั้งคืนเค้านอนที่ประตูเมือง แปลว่า มีพยานด้วย..ว่าเขาไม่ได้ไปนอนกะเมีย เพราะที่ประตูเมืองจะเป็นที่ๆมีข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ด้วยเยอะแยะ เพราะจะต้องคอยอารักขากษัตริย์
กำลังสนุกเข้มข้นทีเดียวค่ะ แต่หมดเวลาแล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น