วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่8 อาทิตย์ที่4:4:2010

บททบทวน
ประเด็นหลักในบทที่ 1-8 ก็คือ อิสราเอลต้องการกษัตริย์..พระเจ้าก็ทรงจัดให้ตามที่พวกเขาร้องขอ และซาอูลคือคนที่พระเจ้าเลือก..ตามรายละเอียดในบทที่ 9-10 พอมาถึงบทที่ 11 นาหาชคนอัมโมนก็มาข่มขู่คนอิสราเอล ทำให้ซาอูลที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วยโกรธมาก..เขาส่งข่าวในเชิงบังคับไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล ว่าถ้าใครไม่ออกมาช่วยพี่น้อง..วัวของคนบ้านนั้นจะถูกสับเป็นท่อน การนั้นก็ส่งผลให้คนอิสราเอลออกมารวมตัวกันเยอะมาก และในที่สุดภายใต้การนำทัพของซาอูล..อิสราเอลก็ชนะพวกอัมโมน ประชาชนก็แห่กันยกย่องซาอูล เป็นการใหญ่ จนในบทที่ 12 ซามูเอลต้องเตือนสติคนอิสราเอล..ว่าอย่าหลงมองภาพกษัตริย์สวยหรูจนเกินจริง เพราะแท้จริงแล้วคือพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยกอบกู้อุ้มชูอิสราเอลรวมทั้งพวกเราด้วย..มาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่มนุษย์คนไหนทั้งนั้น พอมาถึงบทที่ 13 ดูเหมือนว่าซาอูลก็เริ่มที่จะแสดงบทบาทด้านลบออกมาหลายอย่าง ทำให้สถานการณ์ของเขากับคนอิสราเอลดูแย่ลงมาก แล้วผลจากการที่โยนาธานบุกไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตียก็ทำให้พวกฟิลิสเตียโกรธมาก..พวกเขายกกองทัพขนาดใหญ่โตมโหฬารขึ้นมา..ตั้งใจว่าจะบดขยี้อิสราเอลให้แหลกลาญ
อีกครั้งที่ซาอูลเรียกพี่น้องให้มาร่วมรบ..แต่ครั้งนี้มีคนอาสาน้อยมาก แล้วในจำนวนที่น้อยอยู่แล้วเนี่ย..พอเห็นกองทัพขนาดยักษ์ของฟิลิสเตียก็แตกหนีกระจัดกระจายไป ซาอูลหมดความอดทนเพราะรู้สึกว่านี่มันคับขันมาก ซามูเอลมัวทำอะไรอยู่..ถึงไม่มาถวายบูชาพระเจ้าซักที..จะรบก็รบไม่ได้ ซาอูลก็เลยคิดว่า..เนี่ยคือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นก็น่าจะมองข้ามหรือละเลยกฎบางอย่างไปบ้างนะ เพราะมันสุดวิสัยจริงๆ..(คิดอย่างงี้ถูกมั๊ยคะเด็กๆ) เด็กๆจำไว้เลย..ว่าเราไม่สามารถเอาความทุกข์ยากมาอ้าง..แล้วก็ถือโอกาสละเมิดกฎบางข้อของพระเจ้าไป เหมือนอย่างซาอูลที่ไม่อดทนรอให้ถึงที่สุด แต่เลือกที่จะเผาเครื่องบูชาเองโดยไม่เคารพกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ การกระทำครั้งนี้ของเขาสำแดงให้เห็นอะไรมั่ง
ข้อแรกก็คือ ซาอูลขาดสำนึกที่ลึกซึ้งในสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้กระทำ ไม่รู้ขอบเขตหน้าที่ของตัวเอง ขึ้นชื่อว่ากษัตริย์..ถึงจะมีสิทธิอำนาจมาก แต่กษัตริย์ของอิสราเอลต้องอยู่ใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และยังต้องฟังคำปรึกษาของปุโรหิตด้วย เพราะฉะนั้น การที่ซาอูลทำอย่างงี้มันทำให้เห็นว่า ซาอูลขาดจิตสำนึกในงานที่พระเจ้ามอบหมายให้
และอีกข้อนึงก็คือซาอูลไม่มั่นคงในความเชื่อ อันนี้ชัดเจน เพราะถ้าเขามีความเชื่อที่มั่นคง เขาก็จะไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์ที่คับขัน จนขาดสติแล้วเผลอทำอะไรโง่ๆอย่างงี้
แต่ถึงจะโง่หรือร้ายกาจแค่ไหน ตลอดมาในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลก็สำแดงให้เราเห็นแล้ว..ว่าหลายครั้งมากที่พระเจ้าใช้ ”คนที่อ่อนแอและโง่เขลา” จนทำให้คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดต้องตกตะลึงไปตามๆกัน คราวที่แล้วเราจบลงในบทที่13:14 ตรงที่ซามูเอลตำหนิว่าซาอูลโง่มากที่ทำอย่างงี้ แล้วก็ประกาศว่าราชวงศ์ของท่านจะต้องจบลงแค่นี้ เพราะพระเจ้าได้เลือกคนที่จะมาเป็นกษัตริย์แทนซาอูลแล้ว ซามูเอลบอกด้วยว่ากษัตริย์คนใหม่นี้จะเป็นผู้ที่พระเจ้าชอบพระทัยมาก เพราะเขาจะกระทำตามพระทัยของพระเจ้าจนถึงที่สุด
ดู1ซมอ.13:17-19 คำว่ากองปล้นของพวกฟิลิสเตียหมายถึง”กองกำลังพิเศษ” มีหน้าที่ปล้น ฆ่า เผาทำลาย ถ้าปล่อยให้พวกนี้ปล้นไปเรื่อยๆอิสราเอลก็ถึงการพินาศ ข้อที่19 บอกว่า “คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอลก็ไม่มี..” เพราะตอนนั้นยุคเหล็กเข้ามาถึงพวกฟิลิสเตียแล้ว แต่คนฟิลิสเตียไม่ยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีเรื่องเหล็กให้กับคนอิสราเอล กลัวว่าพวกฮีบรูจะผลิตอาวุธเป็นแล้วจะกลืนยาก สมัยนั้นฟิลิสเตียเลยเป็นต่ออิสราเอลเพราะมีทั้งดาบเหล็ก หอกเหล็ก รวมถึงล้อรถม้าก็ทำด้วยเหล็ก เพราะฉะนั้นดูแล้วความเจริญมันก็ห่างกันหลายขุมอยู่
ดู1ซมอ.13:20-23 “อิสราเอลทุกคนต้องไปฟิลิสเตียเพื่อลับผาล ขวาน และจอบ” เพราะพวกเขาซื้อเครื่องมือทางการเกษตรมาจากฟิลิสเตีย แล้วเวลาจะซ่อมบำรุงเครื่องมือพวกนี้ก็ต้องกลับไปให้พวกฟิลิสเตียทำในราคาครั้งละหนึ่งพิม
ข้อที่22บอกว่า “ทหารของอิสราเอลก็เลยไม่มีอาวุธเหล็ก แต่ซาอูลกับโยนาธานมี” ก็ธรรมดาเนอะของหายาก แต่ที่สำคัญมีแล้วทำประโยชน์อะไรรึเปล่า
ดู1ซมอ.14:1-2 อิสราเอลกำลังอยู่ในภาวะคับขัน..ขาดทั้งกำลังและอาวุธ แต่ดูเหมือนซาอูลจะยังใจเย็นมัวนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นทับทิม แล้วขณะที่ซาอูลนั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้..โยนาธานลูกชายของเขากลับเป็นฝ่ายวางแผนที่จะไปจัดการกับพวกฟิลิสเตีย โดยที่ไม่บอกให้พ่อรู้..เพราะอะไร โยนาธานคงรู้ดีอ่ะ..ว่าพ่อคิดยังไง เขารู้ว่าพ่อไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกฟิลิสเตีย แต่โยนาธานคิดไม่เหมือนพ่อ..เขาไม่ต้องการให้พวกฟิลิสเตียมาสร้างปัญหาให้อิสราเอลอีกต่อไป เด็กๆดูดีๆ..พระคำภีร์ตอนนี้ พยายามชี้ให้เราเห็นความแตกต่างอย่างมากของพ่อกับลูก
ดู1ซมอ.14:6 โยนาธานไม่ใช่แค่ไม่นิ่งดูดาย แต่สิ่งที่เขาพูดกับทหารถือเครื่องอาวุธเนี่ย..มันสำแดงให้เห็นถึงความเชื่อที่หนักแน่น แล้วก็มีจุดยืนที่แน่นอนด้วย โยนาธานพูดว่า”ให้เราข้ามไปยังกองทหารของคนที่ไม่ได้เข้าสุนัต..” คนที่ไม่ได้เข้าสุนัต จริงๆแล้วก็คือคนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล แต่ในที่นี้หมายถึงพวกฟิลิสเตีย แล้วความหมายของโยนาธานก็คือ..คนพวกนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระเจ้าเหมือนอิสราเอล เพราะฉะนั้น..ชั้นไม่กลัว โยนาธานยังพูดต่อไปว่า..”บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะไม่มีอะไรขวางพระเจ้าได้ถ้าพระองค์จะช่วย..แล้วคนมากคนน้อยก็ไม่เกี่ยว” คำพูดนี้แหละที่ทำให้เรารู้จักโยนาธานมากขึ้น..ว่าเขามีจิตสำนึกของความเชื่อขนาดไหน แล้วจิตสำนึกของความเชื่อแบบโยนาธานเกิดขึ้นได้ยังไง มันเกิดขึ้นเพราะ..โยนาธานรู้จักที่จะเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจากประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เหมือนพวกเรา..ที่จะต้องเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจาก..พระคำภีร์ จิตสำนึกของความเชื่อมันถึงจะเกิดขึ้นได้
ดู1ซมอ.14:8-10 คำพูดของโยนาธานในข้อนี้ยังทำให้เรารู้ว่า..โยนาธานรู้จักพระเจ้า เขารู้พระลักษณะของพระองค์ และยังรู้อีกด้วยว่า..พระเจ้าไม่ได้ประสงค์ให้คนของพระองค์ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของคนอื่น นอกจากจะมีจิตสำนึกของความเชื่อแล้ว โยนาธานยังรู้จักแสวงหาหมายสำคัญจากพระเจ้าอีกด้วย เพราะข้อที่ 9-10 โยนาธานบอกว่า..เขาจะไปแสดงตัวให้พวกฟิลิสเตียเห็น แล้วถ้าพวกนั้นลงมาไล่เขา..เขาก็จะไม่ขึ้นไปสู้ ถือว่าพระเจ้าไม่เปิดประตู แต่ถ้าพวกฟิลิสเตียพูดจาท้าทายให้เขาขึ้นไปหา (แน่จริงก็เข้ามาสิ..อะไรประมาณเนี้ย) โยนาธานก็จะลุยเลย และจะถือว่าสิ่งนี้เป็นสัญญาณจากพระเจ้าให้รบได้ แล้วโยนาธานก็มั่นใจว่าเขาจะชนะเพราะพระเจ้าอนุญาตแล้ว
ดู1ซมอ.14:11-12 พอโยนาธานตกลงเรื่องหมายสำคัญกับพวกทหารแล้ว เขาก็ปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อให้พวกฟิลิสเตียเห็น พอพวกฟิลิสเตียเห็นโยนาธานกับทหารนำร่อง..ก็คิดว่าเป็นคนอิสราเอลที่หลบซ่อนอยู่ตามซอกตามรู ก็เลยร้องเรียกบอกว่า..มานี่ดิ บอกไรให้ (อ้าว เข้าทาง) โยนาธานกับพวกรับทันทีว่านี่เป็นหมายสำคัญจากพระเจ้า..(ไฟเขียว) เขาต้องชนะแน่นอนเพราะพระเจ้าส่งสัญญาณตอบมา
ดู1ซมอ.14:13-15 จริงๆแล้วก็ไม่เข้าใจ..ว่าพวกฟิลิสเตียจะเรียกโยนาธานขึ้นไปทำไม เพราะตัวเองก็อยู่ที่สูง ถ้าจะฆ่าโยนาธานก็ง่ายนิดเดียว แต่น้าตุ๊กคิดเองนะว่า..เขาคงตั้งใจจะเรียกโยนาธานกับผู้ช่วยขึ้นไปทำอะไรขำๆให้ดู..เอาเป็นตัวตลกอะไรประมาณเนี้ย เพราะเราเคยเห็นหลายครั้งว่าคนสมัยนั้น พอจับตัวประกันได้ก็ชอบเอามาเป็นตัวตลก อย่างแซมสันที่ถูกพาออกมาเล่นตลกให้พวกฟิลิสเตียดูในวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่เว้นแม้แต่..พระเยซูคริสต์ของเรา ตอนที่ทหารโรมันจับพระองค์ไว้ก่อนจะเอาไปตรึงกางเขน พวกเขาก็เห็นพระองค์เป็นตัวตลก แล้วก็พากันเยาะเย้ยอย่างสนุกสนาน น้าตุ๊กเลย(อุปทาน)เห็นภาพนี้ในแบบเดียวกัน เพราะพวกฟิลิสเตียคงคิดว่า..แค่อิสราเอลขี้กลัวสองคนคงไม่มีปัญหามั้ง แต่ปรากฎว่า..พอโยนาธานคลานขึ้นไปได้ เขาก็ใช้ดาบฟันคนฟิลิสเตียไม่ยั้ง ที่รอดจากดาบโยนาธาน..ก็ถูกทหารที่ตามมาข้างหลังเก็บเรียบ ใช้เวลาไม่นานพวกดูต้นทางของฟิลิสเตียก็ตายเกลี้ยง นี่คือผลของความเชื่อ โยนาธานถวายเกียรติพระเจ้าด้วยการเชื่อวางใจ พระเจ้าก็ให้เกียรติโยนาธานด้วยชัยชนะ (ที่เกินกำลังของมนุษย์) และในข้อที่ 15 ก็บอกว่า..พระเจ้าทรงทำให้แผ่นดินไหว จนกองทหารของพวกฟิลิสเตียเกิดความวุ่นวาย (ดูต่อไปว่าเกิดไรขึ้น)
ดู1ซมอ.14:16 นักวิชาการพูดถึงการเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนั้นว่า การไหวแต่ละครั้งเนี่ย..พื้นโลกจะม้วนขึ้นในแนวตั้งประมาณ 2 นิ้วแล้วก็ถี่ประมาณ 240 ครั้งต่อนาที มันก็เลยทำให้แผ่นดินม้วนไปมาเหมือนคลื่นในทะเล ทีนี้พวกฟิลิสเตียมีดาบอ่ะ..ภาพที่เห็นก็เลยเหมือนพวกเขาฟันกันเองเพราะต่างคนต่างล้ม “พระคำภีร์บอกว่ามันเป็นความกลัวที่พระเจ้าส่งลงมา”
ยามของซาอูลที่เห็นเหตุการณ์..ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แผ่นดินไหว แผ่นดินเคลื่อน แผ่นดินเลื่อนหรือแผ่นดินแยกเขาไม่รู้ เราก็ไม่รู้ แต่โอเค..ไม่ว่ารายละเอียดมันจะตามนี้เลยมั๊ย..ก็ไม่เป็นไร เพราะผลลัพธ์เหมือนกัน..คือพวกฟิลิสเตียตายไปเยอะมากด้วยฝีมือของพวกเดียวกัน โดยที่อิสราเอลยังไม่ทันต้องทำอะไรเลย
ดู1ซมอ.14:17 พอเกิดความวุ่นวายในหมู่พวกฟิลิสเตียขึ้น อย่างแรกที่ซาอูลทำ คืออะไร..สั่งให้นับกำลังคน..แล้วดูว่าใครหายไป ทำไมซาอูลไม่นึกถึงพระเจ้าล่ะ..เพราะเวลาที่มีเรื่องไม่ธรรมดา(หรือแม้แต่เรื่องธรรมดาๆก็ตาม)เกิดขึ้น ..คริสเตียนทุกคนก็จะนึกถึงพระเจ้าเป็นอย่างแรก..(ไม่ใช่เหรอ) แต่ทำไมซาอูลสงสัยมนุษย์ และดูเหมือนจะไปติดใจโยนาธานมากกว่า และที่สำคัญพอเช็คดูก็ปรากฎว่าคนที่หายไปก็คือ..โยนาธานกับทหารคนสนิท(จริงๆซะด้วย) แต่ซาอูลคงไม่แปลกใจ เขาคงรู้สึกว่า..เอ๊ะทำไม ไอ้ลูกคนนี้มันอยู่ไม่สุขซะที คราวก่อนก็ทีนึงละ..โยนาธานก็ไปตีเขาที่เกบาห์จนพวกฟิลิสเตียโกรธ..ถึงได้ยกขโยงกันมาก่อกวนอยู่เนี่ย มาครั้งนี้..พอเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นโยนาธานอีกที่หายไป..
ที่เรามองภาพซาอูลอย่างงี้..เพราะดูเหมือนเขาจะชอบนั่งเล่น หลบแดดอยู่ใต้ต้นทับทิมมากกว่า เหมือนคริสเตียนบางคนที่ไม่ยอมลุกขึ้นทำอะไรบางอย่าง..ที่พระเจ้าอยากให้ทำ เช่นเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความคิด ก็ไม่มีใครอยากทำเพราะมันจะยากแล้วก็ไม่สนุก เพราะฉะนั้น..ถึงสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำมันจะเป็นผลดีกับเราขนาดไหน ก็จะมีหลายคนที่เป็นเหมือนซาอูล คือ ไม่อยากขยับ..เพราะนั่งเล่นใต้ต้นไม้มันสบายกว่าเยอะ (นอนตากแอร์อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้ว) ชั้นอยู่ของชั้นอย่างงี้ดีแล้ว..จะให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอะไรให้มันขัดใจตัวเองนักหนา เด็กๆคิดอย่างงี้ไม่ได้..ถึงมันจะยากแต่ถ้าพระเจ้าบอกให้ทำ..ก็ต้องทำ แล้วชีวิตของเราจะดีขึ้นแน่นอน
ดู1ซมอ.14:18-20 ซาอูลบอกอาหิยาห์ให้เอาหีบพันธสัญญาออกมา อาหิยาห์คือ..ปุโรหิต ที่อยู่กับเขาในตอนนั้น..เพราะซามูเอลก็ทิ้งเขาไปแล้ว ซาอูลให้เอาหีบออกมาทำไม เพราะต้องการจะแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ความวุ่นวายในหมู่พวกฟิลิสเตียดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พอซาอูลเพ่งดูชัดๆเขาก็เห็นว่าพวกฟิลิสเตียกำลังตั้งตัวไม่ติด เลยคิดว่า..ถ้าฉวยโอกาสลงมือตอนนี้ต้องชนะแน่ เพราะฉะนั้นในข้อที่19 ซาอูลถึงสั่งปุโรหิตว่า..”หดมือไว้ก่อน” แปลว่าไรเนี่ย..เปลี่ยนใจไม่ถามพระเจ้าไง พอเห็นสถานการณ์เข้าท่าก็ชะล่าใจ ไม่สนแล้วว่าพระเจ้าจะว่าไง เพราะเห็นใสๆว่า..โจมตีตอนนี้ชนะแน่ ว่าแล้วก็..บุกไปเลย (เนี่ย..นิสัย) แล้วก็ชนะซะด้วย..แต่!ไม่ใช่เพราะซาอูลตัดสินใจถูกที่ไม่ถามพระเจ้า แต่เพราะพระเจ้าจะให้เกียรติโยนาธานอยู่แล้วตั้งแต่แรก ที่เขามีความเชื่ออย่างกล้าหาญ นี่ต่างหาก คือ เหตุผลที่อิสราเอลได้ชนะในวันนั้น พระคำตอนนี้น่าสนใจมาก..
เพราะมันทำให้เราเข้าใจ..ถึงทุกวันนี้ ถ้าบางครั้งจะมีบางคน..ที่ดูแล้วทำไม่ถูกจริงๆแต่ทำไมยังเอาพระเจ้ามาอ้างได้..ก็ให้นึกถึงcaseนี้เป็นตัวอย่าง เพราะรูปแบบของสถานการณ์ก็คงประมาณกัน..ที่พระเจ้าเมตตาจะให้เกียรติโยนาธาน เลยบันดาลให้อิสราเอลชนะ ซาอูลก็ต้องพลอยชนะไปด้วย..มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าเขาจะคิดว่าตัวเองเก่ง ทำถูก พระเจ้าเข้าข้าง เพราะสถานการณ์มันพาให้คิดไปอย่างงั้น แต่คนประเภทนี้จะหลงผิดได้ไม่นาน(ถ้าเขาเป็นของพระเจ้าจริงๆนะ)พระเจ้าก็จะไม่ปล่อยให้หลงเจิ่นไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจ เพราะยังมีโอกาสที่จะกลับใจใหม่ได้..เวลาหมดแล้วค่ะ
สุขสันต์วันอีสเตอร์ค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น