วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 7 อาทิตย์ที่ 21:3:2010

ดู1ซมอ.12:14-15 ข้อนี้ซามูเอลบอกว่า..ถ้าท่านทั้งหลายรวมถึงพระราชาของท่าน จะยำเกรงพระเจ้า เชื่อฟังและสัตย์ซื่อต่อพระองค์ ก็โอเค..ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคนอิสราเอลยังกบฎ อยากทำอะไรๆตามใจตัวเอง(ด้วยความเย่อหยิ่ง) พระหัตถ์ของพระเจ้าก็จะต่อสู้พวกเขา คือพวกเขาก็ต้องถูกพระเจ้าลงโทษอยู่ดี และกษัตริย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ซึ่งสรุปแล้วก็เหมือนเดิมอ่ะ การมีกษัตริย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในเรื่องนี้..ยังไงพระเจ้าก็ยังคงเป็นผู้ที่ครองอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอลและของพวกเราทุกคนด้วย..ยังไงพระองค์ก็ใหญ่สุด เพราะฉะนั้น ตอนนี้ซามูเอลกำลังเตือนสติคนอิสราเอลให้สำนึก เพราะไม่ว่าจะมีกษัตริย์หรือไม่มี..(จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ) อิสราเอลก็ต้องเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ (และมนุษย์ทุกคนก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าอยู่ดี)
ดู1ซมอ.12:16-18 “บัดนี้ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่..” คำนี้มีความหมายกลายๆ..ว่าให้ทุกคนตั้งสติ หยุดคิดพิจารณาถึงเรื่องราวต่างๆที่พวกเขาทำลงไป และเตรียมใจรับคำพิพากษา ซามูเอลประกาศชัดเจนว่า..การพิพากษาจะมีขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งตามปกติดูเก็บเกี่ยวเนี่ย..จะไม่มีฝน แต่ซามูเอลขอให้พระเจ้าส่งพายุฝนมาในฤดูเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ผลผลิตทางการเกษตรก็จะเสียหาย ซึ่งนั่นหมายความว่า..ความอดอยากปากแห้งก็จะตามมา ข้อที่18บอกว่า พระเจ้าทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองในวันนั้นด้วย เหมือนเป็นการตอบรับคำร้องของซามูเอล และสิ่งนี้ทำให้ทุกคนเห็นว่า..ซามูเอลยังคงเป็นคนของพระเจ้า..เป็นผู้เผยพระวจนะแท้ที่พระเจ้าการันตีอยู่
ดู1ซมอ.12:19-20 “ขอท่านอธิฐานต่อพระเยโฮวาห์..เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย”..เพิ่งคิดได้ คนอิสราเอลเพิ่งจะสำนึก ทั้งๆที่ซามูเอลพูดแล้วพูดอีก..ว่าการขอกษัตริย์ของพวกเขาเนี่ย..มันเผยให้เห็นบาปที่อยู่ในใจ แต่ก่อนหน้านี้พูดยังไงก็ไม่ฟัง ต้องให้คำพิพากษามาถึงตัว..อิสราเอลถึงตาสว่าง นี่แหละมนุษย์..ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา..ก็คืออาการนี้เลย พอคิดได้ก็บอกซามูเอลว่าอธิฐานให้หน่อย..พระเจ้าจะได้ไม่เอาถึงตาย คือแค่หนักเป็นเบาก็ยังดี
แปลกมะ..เมื่อกี๊ยังเห่อซาอูลอยู่เลย เพราะเพิ่งนำทัพให้อิสราเอลชนะคนอัมโมนได้ แต่พอโดนพระเจ้าพิพากษารีบหันมาพึ่งซามูเอล การช่วยกู้จากมือของมนุษย์กลายเป็นเรื่องเล็ก คนอิสราเอลเริ่มคิดออก..ว่าเรื่องที่ใหญ่และน่ากลัวกว่าก็คือ การช่วยกู้จากพระอาชญาของพระเจ้า ข้อที่20 ซามูเอลบอกประชาชนว่า..อย่ากลัวเลย แต่พวกเขาต้องละทิ้งการติดตามในสิ่งอนิจจังทั้งปวง สิ่งอนิจจังก็คือ..ทุกอย่างที่ไม่ใช่พระเจ้า (คำนี้หลายคนฟังแล้วคงขัดใจ) แต่จงเชื่อและหวังใจในพระองค์อยู่เสมอ แต่อิสราเอลตอนนี้ก็กำลังคาดหวังกษัตริย์มากจนเกินเลย หวังใจว่าซาอูลจะมาเป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเขาอยู่ดีมีสุข..และช่วยนำพาความรอด (พ้นจากเงื้อมมือศัตรู) มาให้แก่พวกเขาได้ เหมือนคริสเตียนบางคนก็มองภาพผู้นำเกินความจริง หลงผิดคิดไปว่าอนาคตของคริสตจักรหรืออนาคตของตัวเองนั้น ขึ้นอยู่กับมนุษย์บางคนซึ่งมันไม่ใช่ แน่นอนเราต้องให้เกียรติและเคารพในตัวผู้นำ แต่ไม่ใช่เอาเขาเป็นรูปเคารพแทนที่จะเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เรื่องนี้น้าตุ๊กสอนไปแล้วอย่างละเอียดในฉธบ. ใครที่พลาดก็ไม่เป็นไร ถ้าเด็กๆเข้าชั้นเรียนอย่างสม่ำเสมอมันก็จะต่อกันติด เพราะจริงๆแล้วพระคำภีร์ก็จะพูดเรื่องเดียวกันซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา แค่ต่างที่ต่างสถานการณ์เท่านั้นเอง
ดูหนังสือยอนห์ 6:27-29 “อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป” อาหารที่เสื่อมสิ้นไปหมายถึงอะไร..ก็ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทั้งทรัพย์สินเงินทอง วัตถุสิ่งของ พระอื่นที่เทียมเท็จ หรือแม้แต่ตัวมนุษย์ด้วยกันเองก็นับเป็นอาหารที่เสื่อมสิ้นเช่นกัน...เพราะในส่วนของอิสราเอลตอนนี้ จริงๆแล้วก็ไม่ผิดที่จะมีกษัตริย์เป็นผู้นำ แต่ผิดที่พวกเขาไปวางใจและฝากความหวังในตัวมนุษย์ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์เขาก็ไม่ต่างอะไรจากเรา ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ทุกคนที่เรารักและรักเรา..ล้วนแต่เหนื่อยเป็น หิวเป็น เจ็บเป็น มีอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆ ไม่คงที่ เพราะฉะนั้น ไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่งเขาต้องทำให้เราผิดหวัง ไม่มากก็น้อยเพราะความอดทนและศักยภาพของเขามีจำกัด..ก็คนเหมือนกันอ่ะ แล้วเราจะคาดหวังอะไรมากมายในตัวมนุษย์..ทำไมไม่หวังในพระเจ้าที่ทรงเสถียร ดังนั้นในข้อที่29 พระเยซูถึงบอกว่า “งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา” และท่านที่พระองค์ทรงใช้มา คือ องค์พระเยซูคริสต์เอง น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่า..ต่อไปนี้ห้ามคาดหวังในพ่อแม่หรือเลิกรักในตัวผู้อื่น แล้วก็เลยตั้งใจว่าจะไม่มีแฟน..อย่าคิดอย่างงั้น แน่นอนให้เรารักใครๆรอบข้างเหมือนเดิม..แต่จงรักอย่างพระเจ้า รักด้วยความเข้าใจ..ว่าก็คือมนุษย์คนนึงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน เพื่อนหรือใครๆก็ตามที่เข้ามาในชีวิตเรา จงรักเขา..แต่รักในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น คาดหวังได้มะ..ได้แน่นอน..แต่ในระดับหนึ่ง เพราะถ้าไม่สมหวังเราก็จะไม่เสียใจเยอะแยะ..เพราะไม่ได้ทุ่มสุดตัว
เพราะฉะนั้น ย้ายความหวังอันเลอเลิศของเราไปไว้ที่พระเจ้าซะ..จะได้ไม่ผิดหวัง แล้วเด็กๆจะพบกับอิสระภาพที่เกินความเข้าใจ เพราะจะไม่มีใครหรือเรื่องอะไรมาทำให้เราเสียใจได้มากมายอีกเลย เด็กๆจะเติบโตอย่างมั่นคง..และสง่างาม ไม่ใช่โตมาเป็นคนใจแคบ ใครแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้..สะดุดเขาไปทั่ว เพราะคนอย่างงี้จะสร้างความปวดหัวให้สังคมอย่างมาก ไม่ว่าจะในสถาบันไหนก็ตาม น้าตุ๊กไม่เคยคาดหวังให้เด็กๆมีศักยภาพสูงส่งมากมาย หรือต้องเป็นคนโดดเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้สังคม ขอแค่ให้เด็กๆเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้า ทีละเล็กทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ..แค่นั้นพอ เพราะนั่นคือสิ่งที่จะเกิดผลได้อย่างงดงาม..เกินความเข้าใจของมนุษย์
ดู1ซมอ.12:23-25 ซามูเอลบอกว่าอย่าให้เขาเผลอทำบาป ด้วยการหยุดอธิฐานเพื่อคนอิสราเอล..เพราะอะไร ถ้าเป็นเราก็อาจจะมีอารมณ์อยากสมน้ำหน้าเหมือนกันนะ ก็เตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่ฟังซักที จนความวิบัตมาตั้งอยู่ตรงหน้าแล้วถึงจะคิดได้..แถมยังมีหน้ามาขอให้ช่วย ถ้าเราเป็นซามูเอลจะยังช่วยมั๊ย..ช่วยพูดกับพระเจ้าให้ยกโทษให้คนอิสราเอลอ่ะ ตรงนี้ไม่ง่ายนะ แต่ซามูเอลบอกว่าเขาจะไม่ยอมทำบาปด้วยการหยุดรับใช้พระเจ้า คือหยุดอธิฐานเพื่อประชาชน แต่จะยืนหยัดในการโน้มนำให้พวกเขาดำเนินอยู่ในทางที่ถูกที่ควร
สงครามกับคนฟิลิสเตีย ดู1ซมอ.13:2-3 ในตอนนี้บอกว่า ซาอูลจัดกำลังทหารไว้ 3000 คน โดยให้สองพันคนอยู่กับเขาที่มิคมาช ส่วนอีกหนึ่งพันให้อยู่กับโยนาธานที่กิเบอาห์(โยนาธานก็คือลูกชายของซาอูล) ข้อที่3 บอกชัดเจนว่า..โยนาธานได้ตีทหารของพวกฟิลิสเตียจนพ่ายแพ้ แต่ข้อที่4 บอกว่า สิ่งที่คนอิสราเอลได้ยินคือ ซาอูลคือผู้รบชนะพวกฟิลิสเตีย เนี่ย..เริ่มละซาอูล ขนาดความดีของลูกยังจะเอามาเป็นของตัวเอง เพราะข้อที่3 บอกว่า”ซาอูลเป็นผู้ประกาศข่าวนี้ให้คนฮีบรูได้ยิน “ถึงชัยชนะครั้งนี้จะยังไม่ใหญ่โตอะไร แต่ความเย่อหยิ่งของซาอูลรวมทั้งของเราด้วย..มันก็เริ่มจากจุดเล็กๆอย่างงี้แหละ เพราะฉะนั้น”อย่าออมชอมให้กับความบาป..เพราะไอ้เรื่องเล็กๆนี่แหละตัวดี”
ดู1ซมอ.13:5-7 “กองทหารของคนฟิลิสเตียนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล” อิสราเอลเอลมีเท่าไหร่ ตอนแรกซาอูลเตรียมไว้สามพันแล้วก็มีการเรียกมาสมทบอีก แต่ก็คงไม่มากมายอะไร เพราะพระคำภีร์บอกต่อไปว่า..อิสราเอลคับขัน จนต้องไปซ่อนอยู่ตามถ้ำและซอกหิน...ภาพที่กิเดโอนต้องไปนวดข้าวในบ่อย่ำองุ่นกลับมาทันที ที่แย่กว่านั้น..ข้อ7 บอกว่า..บางคนก็หนีข้ามน.จอร์แดนกลับไปฝั่งตะวันออกเลย ที่ยังเหลืออยู่กับซาอูลก็กลัวจนตัวสั่น
ที่เป็นอย่างงี้..เพราะอิสราเอลลืมเงยหน้ามองฟ้า พวกเขาลืมโฟกัสที่ข้างบน คือ..(พระเจ้า) มัวแต่มองสิ่งที่ตาเห็น ประเมินความสำเร็จจากสิ่งที่ตัวเองมี แล้วจะเหลือมั๊ย..ก็เห็นอยู่ทหารของฟิลิสเตียมีมากเหมือนเม็ดทราย..แล้วพวกเขามีอะไร มีทหารแค่ไม่กี่พันหรืออย่างมากก็หมื่น..เพราะงั้นตายแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลในวันนั้นหรือพวกเราในวันนี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะมันไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ฟ้านี้ พระคำของพระเจ้าที่สอนคนอิสราเอลในวันนั้นก็สอนเราในวันนี้ด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเจอปัญหา..เด็กๆอย่าประเมินความสำเร็จด้วยสิ่งที่เรามีหรือเราเป็น อย่าเอาตัวเองหรือสิ่งที่ตามองเห็นเป็นที่ตั้งหรือเป็นตัววัดความสำเร็จ เด็กๆต้องมองที่ข้างบน โฟกัสที่พระเจ้า ใช่!ชั้นกระจอกแต่พระเจ้าของชั้นยิ่งใหญ่สูงสุด ย้ำ..พระเจ้าใหญ่สุด ใหญ่กว่าเทพเทวดา รวมถึงพระเทียมเท็จ และผีมารซาตานทั้งปวง แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราใครจะขวางเรา เพราะงั้นจะไม่มีซักเรื่องเดียวที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเรา..วางใจได้เลย
ดู1ซมอ.8-10 ก่อนที่คนอิสราเอลจะทำอะไรก็ตาม..พวกเขาจะต้องเผาเครื่องบูชาถวายพระเจ้าก่อนและคนที่จะทำหน้าที่นี้ได้คือปุโรหิตเท่านั้น นี่เป็นกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ข้อนี้บอกว่า..ซามูเอลบอกให้ซาอูลรออยู่ที่กิลกาล 7วัน แล้วเดี๋ยวเขาจะตามมา..เพื่อถวายบูชาพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ทรงทดสอบความอดทนของซาอูลด้วยการให้ซามูเอลมาถึงจนเกือบจะนาทีสุดท้าย..แต่ไม่ใช่ไม่ทันแล้วก็ไม่ได้มาสายด้วย แต่ซาอูลรอมะ..ไม่รอ
โอเค..“เราพอจะนึกภาพออก..ถึงความร้อนใจของซาอูล ข้าศึกก็ประชิดตัว กำลังของฝ่ายตรงข้ามก็เยอะจนน่ากลัว แถมประชาชนก็ขวัญหนีดีฝ่อหลบไปอยู่ตามถ้ำตามรูกันหมด เพราะงั้นซาอูลคงรู้สึกว่า..นี่มันคับขันจนทนแทบไม่ไหว..แล้วซามูเอลมัวไปทำอะไรอยู่“ ในที่สุดซาอูลก็หมดความอดทน เขาสั่งให้คนไปเอาเครื่องเผาบูชากับเครื่องศานติบูชามาให้ แล้วก็จัดแจงเผาเองเสร็จเรียบร้อย ข้อที่10 บอกว่า..ทันทีที่ซาอูลเผาเสร็จซามูเอลก็มาถึง แล้วก็ไม่ใช่ซาอูลที่ไปต่อว่าซามูเอลที่เพิ่งมา แต่ซาอูลรู้ตัวทันทีว่า”เขาเป็นฝ่ายผิด” เพราะในข้อนี้ยังบอกด้วยว่า..ซาอูลออกไปต้อนรับและยังก้มลงคำนับซามูเอล
ดู1ซมอ.13:11-12 ซามูเอลตกใจที่ซาอูลกล้าละเมิดกฎของพระเจ้า เขาพูดกับซาอูลว่า..นี่ท่านทำอะไรลงไป ซาอูลบอกว่า..ก็ข้าศึกมาประชิดแล้วประชาชนก็สติแตก เขาจะรบก็รบไม่ได้เพราะยังไม่ได้ทูลขอพระกรุณาจากพระเจ้า จริงๆก็ไม่ได้อยากทำหรอกนะแต่จะทำไงได้..นี่ก็ข่มใจอยู่ตั้งนานนะ..กว่าจะตัดสินใจเผาเครื่องบูชา เนี่ย..นิสัยซาอูล ทำผิดแล้วไม่เคยยอมรับ แต่จะหาข้อแก้ตัวตลอด (แล้วครั้งนี้ก็จะไม่ใช่ครั้งเดียว ที่เราจะได้เห็นนิสัยแย่ๆของเขา) แล้วเหตุผลของซาอูลก็ใช้การไม่ได้ด้วย..เพราะถึงยังไง เด็กๆต้องจำไว้..ว่าเราไม่สามารถที่จะเอาเหตุสุดวิสัยหรือความทุกข์ยากของเรามาอ้าง..เพื่อที่จะทำบาปได้
ดู1ซมอ.13:13-15 ซามูเอลตำหนิซาอูลตรงๆเลย..ว่าเขาโง่มากที่ทำอย่างงี้ เพราะเขาได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน กฎบัญญัติของพระเจ้าทุกเรื่องจริงๆแล้วเป็นแค่ด่านพิสูจน์ความเชื่อฟังของเรา จะละเมิดเรื่องไหนก็ผิดเท่ากัน เพราะมันวัดกันแค่ว่า”เราเชื่อ..หรือไม่เชื่อ” เหตุผลไม่เกี่ยว เหมือนยุคพระคุณนี้ พระเจ้าบอกต้องเชื่อพระเยซู เหตุผลล่ะ?..ถึงแม้จะมีแต่สำคัญมะ..ไม่สำคัญ มันสำคัญแค่ว่า..บอกให้เชื่อแล้วเชื่อหรือเปล่า..แค่นั้น เหตุผลอื่น..ไม่ต้อง
และคำพิพากษาก็มาถึงทันที..ข้อที่14ซามูเอลบอกว่า..ราชวงศ์ของซาอูลจะต้องจบลงแค่นี้ เพราะพระเจ้าได้เลือกชายคนนึงขึ้นมาแทนที่และกำหนดให้เขาเป็นกษัตริย์แทนซาอูลแล้ว
ราคาของความไม่เชื่อ..แพงมากทุกยุคทุกสมัย สำหรับซาอูลการไม่เชื่อฟังกฎของพระเจ้าทำให้เขาต้องสูญเสียทั้งราชวงศ์ ลูกชายของเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะสืบราชบัลลังก์ ส่วนมนุษย์ทุกคนในปัจจุบันนี้..ถ้าไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็ต้องจ่ายแพงเช่นกัน เพราะต้องแรกมาด้วยความตายทางจิตวิญญาณนิรันดร์..ไม่มีวันได้รับความรอด ซึ่งกว่ามนุษย์บางคนจะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของสิ่งนี้..มันก็อาจจะสายไปแล้ว
หมดเวลาแล้วค่ะ จนกว่าจะพบกันใหม่..พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น