วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 5 อาทิตย์ที่ 1:11:2009

เยฟธาห์ ตอนที่ ๑ ผวฉ.10:6-18/11:1-33
อิสราเอลกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก พระองค์จึงขายเขาไว้ในมือของคนอัมโมนและคนฟิลิสเตีย คนอัมโมนเริ่มโจมตีเผ่าทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดนก่อนแล้วจึงข้ามมาตีทางฝั่งตะวันตกยึดครองเขตแดนของคนอิสราเอลได้มากพอสมควร แล้วอีกด้านหนึ่งพวกฟิลิสเตียก็บุกเข้ามายึดเขตแดนริมฝั่งทะเลทางภาคใต้ อิสราเอลถูกข่มเหงอยู่นานสิบแปดปีก็ทนไม่ไหวก็เลยร้องทุกข์ต่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าทรงตอบว่ายังไงดูผวฉ.10:11-14 พระเจ้าทรงตอบว่า “กี่ครั้งแล้วที่เราช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากมือของศัตรูนับตั้งแต่ออกจากอียิปต์ แล้วเมื่อสุขสบายพวกเจ้าก็ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระอื่น เพราะฉะนั้น เราจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว จงไปร้องทุกข์ต่อพระเหล่านั้นที่พวกเจ้าเลือกปรนนิบัติ ไปขอให้พระพวกนั้นช่วยเจ้าสิ” (ดูซิจะช่วยได้มั๊ย)
คนอิสราเอลก็สำนึกผิดกลับใจใหม่ (เพราะเลือดมันเข้าตา) ก็เลยละทิ้งพระอื่นหันมาปรนนิบัติพระเจ้า (อีกครั้ง) พระเจ้าก็ทรงใจอ่อน (อีกครั้ง..เช่นกัน นี่แหละ..คือพระลักษณะของพระเจ้า...ที่ปรากฎชัดเจนในหนังสือผู้วินิจฉัย คือทรงพระกรุณาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด)
ในครั้งนี้พระเจ้าก็ทรงเลือก”เยฟธาห์”ให้มาเป็นผู้ปลดปล่อยอิสราเอล เยฟธาห์คือใคร....เยฟธาห์เป็นผู้ที่มีชีวิตค่อนข้างที่จะโลดโผน พระคำภีร์บอกว่า เยฟธาห์เป็นลูกของกิเลอาดที่เกิดกับหญิงโสเภณี
ทีนี้เมื่อเยฟธาห์โตขึ้นก็เลยเป็นที่รังเกียจของพี่น้อง ก็คือลูกๆที่เกิดจากเมียแต่ง พี่น้องของเยฟธาห์ได้ผลักไสไล่ส่งเขาให้ออกไปจากครอบครัว เพราะไม่ต้องการให้เยฟธาห์มีส่วนร่วมในมรดก เยฟธาห์ก็เลยต้องร่อนเร่ไปอยู่เมืองโทบ แล้วพอโตขึ้นมาก็คบค้ามั่วสุมอยู่กับพวกนักเลง (ตามประสาคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ไม่มีใครชี้นำถูกผิด) แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังคงเห็นว่า งานนี้เยฟธาห์นั้นเหมาะสมที่สุด ...... พวกผู้นำเผ่าต่างๆก็เลยไปหาเยฟธาห์เพื่อที่จะเชิญให้เขามาเป็นคนฝึกกองทหารของอิสราเอล ก็คือให้มาเป็นคล้ายๆผู้นำหรือผู้บัญชาการทหารน่ะแหละ เพราะเห็นว่าเยฟธาห์เป็นคนสมบุกสมบัน แล้วเด็กๆว่าเยฟธาห์จะคิดยังไง ในเมื่อตอนเป็นเด็กก็เนรเทศเขาไป..ให้ระหกระเหิน แต่มาตอนนี้กลับมาขอให้ช่วย เยฟธาห์ก็คิดหยั่งงี้แหละก็เลยไม่ยอมตกลงง่ายๆ เขายื่นข้อเสนอกับพวกผู้นำว่าถ้าจะให้เขาตกลง ก็ต้องสัญญาว่าจะให้เขาได้เป็นผู้นำชาติตลอดไปด้วย พวกผู้ใหญ่ก็ตอบตกลงตามที่เยฟธาห์ขอทุกอย่าง
หลังจากนั้นเยฟธาห์ก็เริ่มปฏิบัติการขั้นต้น (คือใช้วิธีไปเจรจายอมความก่อน น้าตุ๊กว่า..เยฟธาห์จัดว่าเป็นนักเลงที่เก๋าพอสมควรนะ ไม่ได้เป็นอันธพาลเลือดร้อน...ที่เอะอะก็ท้าตีท้าต่อย) เยฟธาห์ได้ส่งผู้สื่อสารไปหากษัตริย์คนอัมโมน ถามเลย..ตามประสานักเลง ว่า”ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า” ถ้าจะแปลเป็นภาษาเรา ก็คือ
“ไม่พอใจอะไรเหรอ ถึงได้มาหาเรื่องกัน”
ทางฝ่ายคนอัมโมนก็บอกว่า “ ดินแดนฝั่งตะวันออกที่พวก you อยู่เนี้ย จริงๆแล้วเป็นของชั้น เพราะฉะนั้น ชั้นจะเอาคืน “
เยฟธาห์ตอบอย่างใจเย็น โดยให้เหตุผลสามข้อก็คือ
๑.อิสราเอลยึดเขตแดนทางภาคตะวันออกจากชนชาติที่พระเจ้าทรงพิพากษาคือดินแดนของพวกอาโมไรต์ ไม่ได้ยึดเขตแดนของพี่น้อง (ซึ่งก็คือพวกโมอับ อัมโมน แล้วก็เอโดม) เพราะพระเจ้าไม่ได้อนุญาต
๒.พระเจ้าเป็นผู้บัญชาให้อิสราเอลยึดกิเลอาด คือดินแดนที่ว่าเนี้ย เพราะฉะนั้น อิสราเอลจะฝืนคำสั่งพระเจ้าไม่ได้ อีกอย่าง..พวกเขาเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว...ว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ทำตามพระบัญชาของพระเจ้า (อย่างตอนที่ต้องวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี นั่นก็เพราะพระเจ้าบอกให้เข้าไปยึดครองคานาอัน แต่พวกเขาไม่ยอมทำตามก็เลยต้องโดนอย่างงั้น)
เหตุผลข้อที่๓.กษัตริย์โมอับในสมัยนั้น ซึ่งก็คือ บาลาคถ้าเด็กๆจำได้ (บาลาค กับ บาลาอัม) เยฟธาห์บอกว่า..บาลาคก็ไม่เห็นจะว่าหรือทำอะไรได้เลย ตอนที่อิสราเอลยึดครองกิเลอาด แล้วจะมาหาเรื่องอะไรกันตอนนี้ แต่ไม่ว่าเยฟธาห์จะพูดยังไงคนอัมโมนก็ไม่ฟัง....ก็คือยืนกรานที่จะทำสงครามกับคนอิสราเอล
เยฟธาห์ก็เลยยกกองทหารผ่านดินแดนกิเลอาดไปถึงเขตแดนของคนอัมโมน แล้วพระเจ้าก็ทรงสถิตกับเขา คือจริงๆพระเจ้าพร้อมที่จะประทานชัยชนะให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความเชื่อที่ผิดเพี้ยน ส่วนหนึ่งก็เพราะเยฟธาห์เติบโตมาในสังคมที่ค่อนข้างล่อแหลม คืออยู่ในดงนักเลง ก็เลยทำให้ความเชื่อในทางพระเจ้าของเขายังไม่ค่อยจะสมบูรณ์.....เขาก็เลยออกปากบนกับพระเจ้าว่า”ถ้าเขาเอาชนะคนอัมโมนได้ ใครก็ตามที่ออกมาจากประตูเรือนเพื่อต้อนรับเขาเป็นคนแรก จะต้องถูกเผาเป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้า”
อันนี้เป็นการบนบานเพราะขาดความรู้ พูดง่ายๆสิ่งที่เยฟธาห์ทำเนี้ย มันทำให้เราเห็นว่าคนอิสราเอลในสมัยนั้นมีความเชื่อที่ผิดเพี้ยนมาก... แล้วก็คงลืมกฎบัญญัติของพระเจ้ากันหมดแล้ว
เพราะกฎบัญญัติของพระเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่าห้ามฆ่าคน แต่สิ่งที่เยฟธาห์กำลังทำเนี้ยมันเป็นพิธีกรรมของคนคานาอัน ไม่ใช่กฎบัญญัติของพระเจ้า.....
ว่าแล้วเยฟธาห์ก็ยกไปรบกับคนอัมโมน พระคำภีร์บอกว่า..พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้กับเขา เยฟธาห์ก็เลยชนะรวดยี่สิบหัวเมือง คนอัมโมนก็หมดฤทธิ์ อิสราเอลก็ได้เป็นไทอีกครั้ง
เยฟธาห์ ตอนที่๒
(บุตรีของเยฟธาห์) ผวฉ.11:34-40
เมื่อรบชนะเสร็จสรรพเยฟธาห์ก็กลับบ้าน พอมาถึง”ลูกสาว”คนเดียวก็ถือฉาบเต้นโลดออกมาต้อนรับ... พอเยฟธาห์เห็นลูกสาวออกมาต้อนรับเป็นคนแรกเท่านั้นแหละ (ลมแทบใส่) นึกขึ้นได้ว่าเคยบนอะไรไว้กับพระเจ้า ว่าแล้วก็พิราบร่ำรำพันกับคำบนบานของตัวเอง ที่บอกว่าใครที่ออกมาต้อนรับเขาเป็นคนแรกจะต้องถูกฆ่าเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วตอนนี้คนที่ต้องถูกฆ่าก็คือ...ลูกสาวตัวเอง
ลูกของเยฟธาห์ก็ช่างสัตย์ซื่อ บอกพ่อว่าไม่เป็นไร...พ่อบนอะไรไว้ก็ทำตามนั้นเถอะ แต่เขาขอเวลาทำใจซักสองเดือน หลังจากครบสองเดือนลูกสาวของเยฟธาห์ก็ถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาตามที่พ่อบนไว้ นี่ล่ะนะ..บทเรียนของคนที่ขาดความรู้ในทางพระเจ้า ทำให้ต้องพบความสูญเสียโดยใช่เหตุ เพราะถ้าเยฟธาห์มีความเชื่อและติดสนิทกับพระเจ้ามากกว่านี้ เขาจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้โปรดให้ใครใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องเซ่นสังเวย (ถูกมะ).... พระคำภีร์บอกต่อไปว่า หลังจากนั้นก็มีธรรมเนียมที่ลูกสาวคนอิสราเอลจะมีการไปร้องไห้ไว้ทุกข์ ให้ลูกสาวของเยฟธาห์ทุกปีๆละ๔วัน
เยฟธาห์และคนเอฟราอิม ผวฉ.12:1-7
คนเอฟราอิมมาพูดกับเยฟธาห์ว่า”ไปรบกับคนอัมโมนทำไมไม่ชวนชั้น เพราะฉะนั้นชั้นจะเผาบ้านเธอ” (อ้าว) เอาอีกละ...คนเอฟราอิม จำได้มะคราวก่อนก็ไปต่อว่ากิเดโอน...หาว่าไปรบแล้วไม่ชวน แต่กิเดโอนใจเย็นรู้จักใช้คำพูดยกยอปอปั้น...ก็เลยไม่ผิดใจกัน
แต่เยฟธาห์เนี่ยนิสัยเขาติดจะเป็นนักเลง ก็เลยตอบกลับด้วยท่าทางขึงขังว่า
“เมื่อหลายปีก่อนคนเผ่าตะวันออกเคยไปขอให้คนเผ่าเอฟราอิมมาช่วยขับไล่ศัตรู แต่ก็ไม่เห็นมาช่วยซักที ครั้งนี้ก็เลยไม่อยากจะเรียก” และในข้อที่๔บอกว่า คนเอฟราอิมได้กล่าวถากถางคนกิเลอาด (คนเผ่าตะวันออก)ว่า...
“เจ้าคนกิเลอาด เจ้าเป็นคนหลบหนีของชาวเอฟราอิม ท่ามกลางคนเอฟราอิมและมนัสเสห์” พูดอย่างงี้แปลว่าไร (แถวบ้านน้าตุ๊กเรียกว่า..อยากมีเรื่อง) คือเขาหาว่า”คนเผ่าตะวันออกเป็นคนขี้ขลาด...ไม่เอาพี่น้อง” แล้วถ้าคิดดูให้ดีคำว่า"กิเลอาด"เนี่ย..มันคือชื่อของวงศ์ตระกูลเและที่สำคัญมันเป็นชื่อ"พ่อ"ของเยฟธาห์ด้วย (เล่นพาดพิงถึงบรรพบุรุษกันเลยนะ) เยฟธาห์เองก็ไม่ใช่คนใจเย็น (เหมือนกิเดโอน) พอได้ยินคนเอฟราอิมพูดอย่างงี้....ก็เลือดขึ้นหน้า ชวนสมัครพรรคพวกให้จับอาวุธเพื่อแก้แค้นคนเอฟราอิม พร้อมทั้งยึดท่าข้ามน.จอร์แดนไว้แล้วไม่ยอมให้คนเอฟราอิมข้ามผ่าน....ทีนี้พวกของเยฟธาห์จะรู้ได้ไงว่าคนไหนเป็นคนเอฟราอิม วิธีก็คือให้พูดคำว่า”ชิบโบเลท”เพราะพระคำภีร์บอกว่า คนเอฟราอิมจะออกเสียงคำนี้ไม่ได้ แต่จะออกเป็น “สิบโบเลท” เพราะฉะนั้นถ้าพูดชัดก็โอเค...ไปได้ แต่ถ้าสิบโบเลทเมื่อไหร่ ก็ฆ่าทิ้งเลย (งานนี้คนเอฟราอิมเจอของแข็งเข้าให้..ไม่เหมือนตอนที่ตั้งแง่กับกิเดโอน) แล้วครั้งนั้นก็มีคนเอฟราอิมก็ถูกฆ่าตายไปถึงสี่หมื่นสองพันคน
หลังจากที่เยฟธาห์ช่วยอิสราเอลให้หลุดพ้นอำนาจของคนอัมโมนได้แล้ว...เขาก็ได้เป็นผู้นำชาติตามที่ได้ตกลงไว้กับผู้ใหญ่แต่เยฟธาห์ปกครองอิสราเอลอยู่เพียงหกปีก็สิ้นชีวิต
หลังจากนั้นอิสราเอลก็มีผู้วินิจฉัยอีกสามคนที่พระคำภีร์บันทึกเรื่องราวไว้เพียงสั้นๆ ชื่อ อิบซาน...เอโลน...อับโดน เด็กๆเปิดไปดู...
อิบซาน ผวฉ.12:8-10 เอโลน ผวฉ.12:11-12 อับโดน ผวฉ.12:13-15
พระคำภีร์ก็ได้บันทึกเรื่องราวของผู้วินิจฉัยทั้งสามคนนี้ไว้เพียงสั้นๆ นักวิชาการบอกว่าทั้งสามคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนมีฐานะ แล้วก็เป็นคนในตระกูลที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลในสมัยนั้น
แซมสัน ตอนที่๑ ผวฉ.13:1-25
ดูผวฉ.13:1-5 คนอิสราเอลทำความชั่วอีกครั้ง...ทรยศและหันหลังให้พระเจ้า พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของชาวฟิลิสเตียซึ่งเป็นศัตรูที่แข็งแรง...น่ากลัวกว่าศัตรูอื่นๆทั้งหมดในสมัยนั้น และอิสราเอลก็ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของฟิลิสเตียนานสี่สิบปี จนกระทั่งถึงสมัยของซามูเอลฟิลิสเตียก็ยังเป็นศัตรูคนสำคัญทั้งในสมัยของก.ซาอูลแล้วก็ก.ดาวิด
ในครั้งนี้คนที่พระเจ้าทรงเลือกให้มาช่วยกู้อิสราเอลจากมือพวกฟิลิสเตีย (ก็แรงพอกันกับคนฟิลิสเตีย) คือ”แซมสัน” ในข้อที่สามบอกว่า ”พระเจ้าส่งทูตของพระองค์มาปรากฎแก่แม่ของแซมสันซึ่งในตอนนั้นพระคำภีร์ระบุว่า “เป็นหมัน" แต่ทูตของพระเจ้าบอกกับแม่ของแซมสันว่า เจ้าจะตั้งครรภ์แล้วออกลูกเป็นผู้ชายและเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด (นาศีร์คืออะไร) จริงๆก็เรียนกันไปแล้วในหนังสือกดว. ..ทบทวนกันอีกทีเด็กๆเปิดไปดูกดว.6:1-4/5-8 สรุปแล้วนาศีร์ก็คือผู้ที่รักษาตัวให้บริสุทธิ์เพื่อถวายแด่พระเจ้า โดยที่เขาต้องรักษากฎเกณฑ์ตามที่พระเจ้าบัญญัติไว้คือไม่ดื่มเหล้าองุ่นรวมถึงทุกอย่างที่ได้จากต้นองุ่นไม่ว่าสดหรือแห้ง.....ห้ามตัดผม.....และอีกข้อคือไม่เข้าใกล้หรือแตะต้องศพ(เพราะถือว่าเป็นมลทิน)
ผวฉ.13:24-25 ในที่สุดแซมสันก็ได้เกิดมาอย่างอัศจรรย์เพราะจริงๆแล้วแม่เขาเป็นหมัน แล้วยังโตขึ้นพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษที่พระเจ้าประทานให้อีกด้วย หลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราไปติดตามกันต่อในตอนที่๒ สัปดาห์หน้านะคะ.....วันนี้เวลาหมด พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น