วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 8 (ตอนจบ) อาทิตย์ที่ 29:11:2009

เรื่องของคนเลวีและภรรยาน้อยของตน
ดูผวฉ.19:1-4 มีชายเลวีคนหนึ่ง ที่ภรรยาน้อยเกิดนอกใจและหนีเขา กลับไปอยู่บ้านเดิมกับพ่อที่เขตของเผ่ายูดาห์ เลวีคนนี้ก็ตามไปง้อเพราะยังรักเมียคนนี้อยู่ พอได้คืนดีกันแล้วพ่อตาก็ดีใจจนไม่อยากให้กลับไป ก็เลยมีการหน่วงเหนี่ยวให้กินอยู่หลับนอนกันอยู่หลายวัน จนถึงวันที่ห้าเลวีคนนี้กับภรรยาน้อยถึงได้เดินทางกลับบ้าน
ดูผวฉ.19:11-15 พอเดินทางมาใกล้ถึงเมืองเยบุส (ซึ่งก็คือ เมืองเยรูซาเล็ม) ก็ใกล้จะเย็นแล้ว คนรับใช้ของเขาก็แนะนำให้หยุดพักค้างคืนที่เมืองนี้ แต่คนเลวีไม่ยอมเพราะชาวเมืองเยบุสหรือชาวเยรูซาเล็ม..เป็นคนคานาอันไม่ใช่คนอิสราเอล ชายเลวีก็เลยบอกให้รีบเดินทางต่อไปอีกหน่อย แล้วค่อยไปพักค้างคืนที่เมืองกิเบอาห์ในเขตของเผ่าเบนจามินจะดีกว่า เพราะเป็นคนอิสราเอลด้วยกัน (คิดว่า..น่าจะปลอดภัยดี) แต่พอมาถึงเมืองกิเบอาห์ก็มืดแล้ว พวกเขาก็เลยไปนั่งอยู่ที่ลานเมืองแล้วก็ไม่มีใครมาชวนให้ไปพักที่บ้านเลย ซึ่งตามปกติคนสมัยก่อนถ้าเห็นใครมาเยือนถึงเรือนถึงถิ่นก็มักจะต้อนรับขับสู้อย่างดี ไม่เหมือนสมัยนี้...หรืออย่างน้อยก็ต้องสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วยิ่งถ้าได้ความว่าเป็นคนอิสราเอลเหมือนกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน ก็ยิ่งจะต้องดูแลเป็นพิเศษ...แต่นี่ไม่ใช่
ดูผวฉ.19:16-18 / 19-21 ยังโชคดีที่มีชายแก่คนนึงซึ่งเป็นคนเอฟราอิม(คนบ้านเดียวกัน)ผ่านมาเห็นแล้วเข้ามาทักทาย พอไต่ถามที่มาที่ไปกันเรียบร้อยแล้วก็ชวนให้ไปนอนที่บ้าน ไม่งั้นคงต้องนอนกันที่ลานเมือง แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็กินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วเป็นไงต่อ...
ดูผวฉ.19:22-24 ในขณะที่กำลังดื่มกินกันอย่างเพลิดเพลิน ก็มีพวกนักเลงซึ่งเป็นชาวเมืองกิเบอาห์ (หมายความว่า เป็นคนอิสราเอลด้วยกันเนี่ย) มาทุบประตูบ้าน ร้องบอกให้ส่งชายเลวีคนนั้นออกไปให้พวกเขาสังวาส คือต้องการที่จะร่วมหลับนอนกับเพศเดียวกัน (พูดง่ายๆเป็นเกย์น่ะแหละ) แล้วชายแก่ที่เป็นเจ้าของบ้านก็บอกนักเลงพวกนั้นว่า
”อย่าทำอย่างงี้เลย เอาอย่างงี้มั๊ย เรามีลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์อยู่คนนึงกับเมียน้อยของชายคนนี้ จะเอาไปทำอะไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียว..คืออย่าทำลามกกับผู้ชายด้วยกันเลย
ดูผวฉ.19:25-26/29-30 ข้อนี้บอกว่า “เมื่อชายเลวีเห็นท่า..ว่า พวกนักเลงคงจะไม่ยอมง่ายๆ ก็เลยจับเมียตัวเองผลักออกไปให้คนพวกนั้น..” (อันนี้เลยไม่รู้ว่า จริงๆแล้วไม่รักเมีย หรือว่ารักมาก...แต่ชั้นกลัวกระเทยมากกว่า เลยยอมส่งเธอไปตายแทน) ปรากฎว่าเมียก็เลยโดนข่มขืนจนตาย ชายเลวีก็อุ้มศพเมียกลับบ้านแล้วจัดการหั่นออกเป็นสิบสองท่อน คืออันนี้เป็นวิธีของคนอิสราเอลในสมัยนั้น ในการที่จะเรียกพี่น้องเผ่าต่างๆให้มาช่วยแก้แค้นหรือมาช่วยรบกับศัตรู
ดูผวฉ.20:1-2/12-14 หลังจากที่ชายเลวีได้ส่งชิ้นส่วนของภรรยาไปให้อิสราเอลทุกเผ่าแล้ว คนอิสราเอลทั่วประเทศก็มารวมตัวกัน พอสอบถามเรื่องราวความเป็นมาของเหตุร้ายจากชายเลวีเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นพ้องต้องกันว่า พวกอันธพาลที่เป็นชาวเมืองกิเบอาห์เนี่ย..สมควรที่จะโดนลงโทษ พวกเขาก็เลยยกกันไปที่เผ่าเบนจามิน ในชั้นแรก.คนอิสราเอลก็ขอให้เผ่าเบนจามินส่งตัวพวกที่ทำผิดออกมารับโทษ แต่ชาวเผ่าเบนจามิน..ไม่ยอม กลับเข้าข้างคนเมืองกิเบอาห์ที่ทำผิด แล้วก็ยังตั้งท่าเตรียมจะรบกับอิสราเอลทั้งประเทศอีกด้วย
ดูผวฉ.20:18-21 ก่อนที่จะไปรบกับเผ่าเบนจามิน อิสราเอลทูลถามพระเจ้าว่า..เผ่าไหนที่ควรจะนำหน้าไปในการรบ ซึ่งพระเจ้าทรงตอบว่า “ให้ยูดาห์นำไป” ถ้าเด็กๆจำได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ยูดาห์นำหน้า เปิดไปดู ผวฉ.1:1-2
ครั้งนั้น อิสราเอลก็ถามพระเจ้าว่าใครจะนำหน้า พระเจ้าก็ตอบเหมือนครั้งนี้ว่า “ให้ยูดาห์นำไป” สงสัยมั๊ย...ว่าทำไมพระเจ้าถึงให้ยูดาห์นำหน้าตลอด เพราะต่อไปพระเยซูคริสต์จะทรงมาบังเกิดอยู่ในเชื้อสายของเผ่ายูดาห์ เพราะฉะนั้น ตรงนี้คือความหมายฝ่ายวิญญาณ....ที่พระเจ้าตั้งใจจะบอกเป็นสัญญาณให้เรารู้ว่า ต่อไปพระองค์จะทรงโปรดให้”พระเยซูคริสต์”เป็นผู้ช่วยให้รอด และจะนำอยู่ข้างหน้าประชากรของพระองค์ในสงครามฝ่ายวิญญาณ....เสมอ...เช่นกัน
กลับมาที่เรื่องของเผ่าเบนจามิน..ในครั้งแรก..ปรากฎว่าทหารของอิสราเอลกลุ่มใหญ่ถูกเผ่าเบนจามินฆ่าตายไปสองหมื่นกว่าคน ทั้งๆที่มีเบนจามินมีคนน้อยกว่าตั้งเยอะแต่อิสราเอลทั้งประเทศก็ยังเอาชนะไม่ได้ พวกเขาก็เลยไปร้องคร่ำครวญต่อพระเจ้า แล้วทูลถามพระองค์ว่า “พวกเขาทำถูกมั๊ยเนี่ยที่มารบรากับพี่น้องตัวเอง” พระเจ้าก็ทรงตอบว่า “รบไปเถอะ" แล้วในข้อที่๒๕ ก็บอกว่า “วันที่สอง คนเบนจามินก็ฆ่าฝ่ายอิสราเอลไปอีกหมื่นกว่าคน”ทีนี้อิสราเอลทำไง
ดูผวฉ.20:26-28 เมื่อการยกไปครั้งที่สองดูเหมือนว่าจะยังสู้เผ่าเบนจามินไม่ได้ คนอิสราเอลก็ขึ้นไปไว้ทุกข์ ร้องคร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ “เบธเอล” แล้วก็ทูลถามพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “จริงๆแล้ว พวกเขาทำถูกมั๊ย..ที่ไปรบกับพี่น้องตัวเองหรือพวกเขาคิดผิด ถึงทำท่าเหมือนจะแพ้ทั้งสองครั้ง” พระเจ้าก็ทรงยืนยันว่า “ให้รบต่อไป..แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเจ้าจะชนะ..” (เรื่องตอนนี้ให้ข้อคิดอะไรเราบ้าง)
อย่างน้อยที่สุดเด็กๆควรจะจำไว้เป็นตัวอย่าง ว่าบางครั้ง..ถึงแม้พระเจ้าจะทรงยืนยันทางที่เราเลือกเดินแล้ว แต่พระองค์อาจต้องการให้เราเรียน...ที่จะรู้จักกับความล้มเหลวซะก่อน เพราะอะไร...เพราะมันดี...ความล้มเหลวดีสำหรับทุกคน
แล้วบุคคลที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม..ทุกคน “ต้องเคยล้มเหลว” เพราะความล้มเหลว ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นอันยิ่งใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคิดอย่างงั้นแต่กลับจะมองหา”แพะ” ทุกครั้งที่เกิดความล้มเหลว (เด็กๆเข้าใจคำว่าหาแพะมะ) ก็คือ โทษอย่างอื่นไว้ก่อน...เวลาเกิดความผิดพลาด เพราะมันรู้สึกสบายใจดี แล้วก็อุ่นใจกว่าที่ได้สรุปว่า ปัญหาหรือความเดือดร้อนอันนี้มันเกิดเพราะ ”คนอื่น” ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ชั้น หาน้อยมาก..ที่จะโทษตัวเอง หรือยอมรับสถานะการณ์ตามความจริง (เพราะอะไร) เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ดูปฐก.3:11-13
พอพระเจ้าถาม..(อาดามโทษใคร) อาดามก็โทษเอวา (แล้วเอวาว่าไง) เอวาก็โทษงู...เนี่ยคำตอบ คือเราก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษไง ก็ดีเอ็นเอเดียวกัน มันเลยอยู่ในสายเลือด แต่ถ้าเราฝึกฝนที่จะเปลี่ยนแปลง (ทำได้มะ) เดี๋ยวนี้ทำได้แล้ว....เพราะเรามีพระเยซูคริสต์ ชนะได้ทุกอย่าง..แม้แต่สันดานบาปที่ฝังอยู่ในสายเลือด
........แล้วเด็กๆควรจะมีทัศนคติยังไงกับความล้มเหลว เราต้องมองว่า “ความล้มเหลวหรือความทุกข์ยากของชีวิต..คือวาระแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง”(อย่างกล้าหาญ) ไม่ว่าสถานะการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ก็ให้เรามองว่า..ช่วงเวลานี้ คือ โอกาสที่เราจะได้พัฒนาวุฒิภาวะอย่างแท้จริง (แปลว่าอะไร) ก็จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวทั้งร่างกาย..ความคิด..และจิตใจ ดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ตามสมควร แบบปัญหามา..ปัญญามี ไม่ใช่เจอปัญหาแล้วไปไม่เป็น เอาแต่โทษนั่นโทษนี่ไปวันๆ
มีผลสำรวจของ”นิตยสารไทม์”เกี่ยวกับคนตกงานก็บันทึกไว้อย่างน่าทึ่งว่า “คนที่ผ่านมรสุมชีวิตหรือเจอปัญหาหนักๆมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะสามารถเรียนรู้วิธี”การกระดอน”กลับมาสู่ภาวะปกติได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ที่น่าหดหู่หรือสิ้นหวัง” (อันนี้เป็นสำนวนของฝรั่ง) ซึ่งแปลง่ายๆว่า “คนที่ล้มเหลวบ่อยๆมักจะรับมือกับปัญหาได้ดีกว่า เพราะไร..ชั่วโมงบินสูง...เลยปรับตัวเก่ง เจออะไรก็ไม่ค่อยตกใจ...ชินละ....เจอมาเยอะ มันก็เข้าที่เข้าทางเร็วเป็นธรรมดา ถูกมะ.. (อันนี้ก็เป็นกฎของธรรมชาติที่พระเจ้าตั้งไว้)
เพราะฉะนั้น...ต่อไปถ้าเด็กๆต้องพบกับปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิต ก็ขอให้เผชิญหน้ากับมัน....อย่างกล้าหาญ และมองว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้และเติบโต โอบกอดมันไว้ ซึมซับทุกความรู้สึกเพราะมันก็แค่อีกเรื่อง...ที่จะผ่านไป ไม่มีเรื่องไหนที่จะไม่ผ่านไป ที่สำคัญพระเจ้าก็ทรงมองอยู่...ว่าเราเลือกที่จะสู้หรือยอมแพ้ เหมือนอย่างที่คนอิสราเอลกำลังเผชิญอยู่ในบทเรียนของเราตอนนี้ คือคล้ายๆว่าจะสู้ไม่ได้มาสองครั้งแล้ว แต่พวกเขาเลือกที่จะทำอะไร ในความล้มเหลวสองครั้งที่ต้องเรียกว่า....พระเจ้าทรงนำ....ด้วยนะ (ทรงนำจริงๆเพราะพระคำภีร์บอกไว้ชัดๆว่า...ก่อนที่จะรบอิสราเอลถามพระเจ้าตลอด...แล้วพระเจ้าก็บอกให้ไป แต่ยังสู้ไม่ได้ถึงสองครั้ง) แล้วถ้าเรื่องอย่างงี้เกิดขึ้นกับเราบ้าง...เราเลือกที่จะทำอะไร เราจะเลิกเชื่อพระเจ้ามั๊ย แต่คนอิสราเอลเขาเลือกที่จะเชื่อฟังต่อไป...
ดูผวฉ.20:35-36/46-48 ในการโจมตีเผ่าเบนจามินครั้งที่สามนี้ อิสราเอลมีการวางยุทธศาสตร์การรบอย่างรอบคอบ โดยกองทัพของอิสราเอลแกล้งถอยร่นกลับไป คือทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ก่อนในตอนแรก เพื่อล่อให้ทหารของเผ่าเบนจามินออกมาจากเมืองกิเบอาห์ เสร็จแล้วก็ให้ทหารอิสราเอลอีกกลุ่มนึงที่แอบซุ่มอยู่ ยกมาโจมตีเผ่าเบนจามินจากข้างหลัง ปรากฎว่าสำเร็จ คราวนี้...เผ่าเบนจามินแพ้กระจายจนแทบสูญพันธ์ เพราะสุดท้ายในข้อที่๔๗.บอกว่า “เหลือทหารเบนจามินแค่หกร้อยคนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้” ที่เหลือตายเรียบ
ดูผวฉ.21:6-8/10-12 หลังจากที่โจมตีเผ่าเบนจามินจนยับเยินแล้ว ชาวอิสราเอลก็เกิดสงสารเบนจามินเผ่าน้อง นึกเสียใจที่ทำรุนแรงไปหน่อย...คิดว่าต่อไปประเทศอิสราเอลคงต้องขาดไปเผ่านึง เพราะเบนจามินเหลือแต่ผู้ชายแค่หกร้อยคนแล้วพวกเขาก็ปฏิญาณไว้..ว่าจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับคนเผ่าเบนจามินเด็ดขาด..” เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างเบนจามินต้องสูญพันธ์แน่
แล้วสุดท้ายก็มีทางออก เพราะถามไปถามมาก็ได้ความว่า.......ชาวยาเบชกิเลอาด ไม่ได้ไปช่วยพี่น้องรบกับคนเบนจามิน ซึ่งในข้อที่๕.ได้บอกไว้ว่าพวกเขาปฏิญาณไว้อย่างแข็งแรงว่า ใครที่ไม่ได้มาร่วมประชุม...ก็คือไม่ได้มาช่วยรบจะต้องโทษถึงตาย ว่าแล้ว..ก็จัดแจงยกทัพไปสำเร็จโทษชาวเมืองยาเบชกิเลอาด ฆ่าทุกคน...เหลือไว้แต่หญิงพรมจรรย์สี่ร้อยคน ก็จัดการพากลับมาที่คานาอัน...แล้วยกให้เป็นภรรยาของชายเผ่าเบนจามิน แต่ก็ไม่พอ ขาดอีกสองร้อยคน....จะไปหาที่ไหน
ดูผวฉ.21:20-21/23-24 อุบายต่อไปในการหาผู้หญิงอีกสองร้อยคน ให้ชายเผ่าเบนจามิน ก็คือ “ฉุด” แต่ฉุดแบบพอเป็นพิธีแค่ทำทีให้รู้ว่า..นี่ชั้นไม่รู้เรื่องด้วย แต่จริงๆแล้วรู้เห็นเป็นใจกันเกือบทุกฝ่าย และแผนก็คือ ให้ชายเผ่าเบนจามินสองร้อยคนที่ยังไม่มีคู่....ไปฉุดผู้หญิงที่ออกมาเต้นรำตอนงานเทศกาลประจำปีที่ชิโลห์แล้วพากลับบ้านไปเลย ก็เป็นอันว่าไม่มีใครผิดคำสาบาน...พ่อแม่ก็ไม่ผิดเพราะไม่ได้เต็มใจยกให้ เขามาฉุดไปเอง
ในที่สุด เผ่าเบนจามินก็ได้ภรรยากันครบถ้วนทั่วหน้า ก็เลยสามารถดำรงเผ่าพันธ์ของตัวเองสืบเชื้อสายต่อไปได้ อิสราเอลก็เลยยังอยู่ครบทั้งสิบสองเผ่า
ปิดท้ายในข้อที่๒๕.พระคำภีร์ยังคงย้ำคำว่า”..สมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ ทุกคนต่างก็กระทำตามที่เห็นชอบ” เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหาจริงๆ อย่างที่น้าตุ๊กสอนไปแล้ว...ว่าเราจะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ แต่ต้องให้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเครื่องชี้ขาด..ในสิ่งที่เราจะทำ
บทสรุป
ดูผวฉ.2:19 พระคำภีร์บอกว่าเมื่อผู้วินิจฉัยแต่ละคนตายไปอิสราเอลก็กบฎหนักยิ่งกว่าเดิม เขามิเคยงดเว้นความชั่วที่เคยกระทำ หรือหายจากทางดื้อดึง...” เพราะอะไร..ทำไมถึงงดเว้นไม่ได้ แล้วก็ดื้อไม่หายซักที เพราะนี่คือ “ธรรมชาติบาป”ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ก็เลยฝืนไม่ได้ต้องทำอยู่เรื่อย.....น้าตุ๊กอ่านเจอบทความอันหนึ่ง เขาบอกว่า “ธรรมชาติ” แปลว่า ความจริงที่ก่อกำเนิดหรือความจริงที่ดำรงอยู่...ส่วนในพจนานุกรมแปลว่า ”ที่เป็นไปเอง” (คืออะไรก็ตามที่...มันเป็นเอง..ไม่ได้แกล้งทำ) ก็ถูกทั้งสองอย่างเลย เพราะพระคำภีร์บันทึกไว้...ว่ามนุษย์เริ่มทำบาปครั้งแรกตอนไหน..ตอนก่อกำเนิด คือ ปฐมกาล...เริ่มจากอาดาม (ถูกมะ) มันเลยเป็นบาปตามธรรมชาติที่ยังคงอยู่ในตัวมนุษย์...ไม่หายไปไหน แล้วมนุษย์ก็ต้องทำอยู่เรื่อยเพราะ”มันเป็นไปเอง“ ควบคุมไม่ได้ก็เลยต้องวนเวียนทำซ้ำซากอยู่อย่างงั้น
ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยคนอิสราเอลหรือแม้แต่เรา...ทุกคนก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรความบาปที่ไม่มีวันจบสิ้น" เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในหนังสือผู้วินิจฉัย
เด็กๆดูต่อไปในผวฉ.3:9-10 ข้อนี้บอกว่า เมื่อทรงเลือกโอทนีเอลแล้ว “พระวิญญาณก็ทรงสถิตหรือสวมทัพโอทนีเอล” (และผู้วินิจฉัยทุกคน) สังเกตให้ดี...นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลในสมัยก่อน (หรือในยุคของพันธสัญญาเดิม) คือประทานชัยชนะที่มาจาก”การทรงสถิต”ของพระองค์ผ่านทาง”ผู้วินิจฉัย” ซึ่งต่างไปจากยุคพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทาน”พระวิญญาณ”ให้ทรงสถิตกับ”เราทุกคน”ที่เชื่อในพระองค์...
ดู1โครินธ์ 6:19-20 “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน” (ตรงส่วนไหน) “ที่หัวใจ” นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้าของเรา (พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก) กับ พระอื่น...เพราะพระเจ้าของเราไม่ทรงสถิตในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเหมือนพระอื่น (เช่นอยู่ในรูปปั้น รูปภาพ ปูชนียสถาน วัตถุสิ่งของ หรือแม้แต่ในพระวิหาร) เพราะในสมัยที่อาณาจักรยูดาห์ถูกทำลาย นครเยรูซาเล็มที่ตั้งของพระวิหารในสมัยนั้นก็ถูกเผาไปด้วย เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลยกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่พระองค์เลือกที่จะสถาปนาความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไว้ที่ “หัวใจของมนุษย์”....ที่พระองค์สร้าง
ดูยอห์น3:16-17 แต่เพราะพระเจ้าทรงรักโลกและรักมนุษย์ พระองค์จึงทรงเตรียมทางแห่งความรอดไว้ให้พวกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ในวันนี้การช่วยกู้ของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวผู้วินิจฉัยหรือใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป แต่อยู่ในตัวพวกเราทุกคน....(อันนี้ต้องจำไว้ให้ดี) .เราทุกคนได้ชื่อว่าเป็น”วิหารของพระเจ้า”และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ ทุกวันนี้คริสเตียนถึงไม่ต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากใครที่ไหน เพราะผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริงอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู คนที่อ่อนแอ...ก็จะค่อยๆเข้มแข็ง (ค่อยๆนะค่อยๆทีละน้อย) ที่เคยเป็นปัญหา....ก็จะกลายเป็นสันติสุข แล้วอะไรก็ตามที่เคยยาก....มันก็ง่ายขึ้นเมื่อเรามีพระเยซูคริสต์....น้าตุ๊กขอจบหนังสือผู้วินิจฉัยไว้ตรงนี้นะคะ สัปดาห์หน้าคงจะเป็นการทดสอบ (ความเข้าใจ และความสนใจของเด็กๆด้วย) เพื่อประเมินประสิทธิภาพทั้งการเรียนและการสอน พระเจ้าอวยพรค่ะ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น