วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่7 อาทิตย์ที่ 15:11:2009

แซมสัน ตอนที่๔ (แซมสัน กับ นางเดลิลาห์) ผวฉ.16:4-22
พระคำภีร์บันทึกว่า...ช่วงหลังของชีวิตแซมสันก็ไปหลงรักผู้หญิงอีกคนชื่อ”เดลิลาห์” พอพวกหัวหน้าของคนฟิลิสเตียรู้เข้า ก็เลยไปหาเดลิลาห์แล้วบอกว่า ”ถ้าเดลิลาห์ล้วงความลับหรือหลอกถามแซมสันได้ ว่าพละกำลังของเขามาจากไหน แล้วมีวิธีไหนบ้างที่จะปราบเขาได้” พวกฟิลิสเตียจะให้เงินเดลิลาห์.....คนละ1100 แผ่น (หรือว่า 1100 เชเขล ) เงิน 1 เชเขลหนักประมาณ 11.5 กรัม เพราะฉะนั้น 1100 เชเขลก็เท่ากับ 12650 กรัม หรือ ประมาณ 12.6 กิโล (ตาโตมะ) เดลิลาห์ก็เลยโอเค หลังจากนั้น เดลิลาห์ก็ตั้งหน้าตั้งตาเพียรถามแซมสันอยู่นั่นแหละว่า “..จะทำยังไงถึงจะจับตัวและมัดเขาให้อยู่หมัด” แซมสันก็โกหกไปถึงสามครั้ง หลอกให้ใช้สายธนูหนังที่ยังไม่แห้งมั่ง ให้ใช้เชือกใหม่มั่ง
หลังสุดก็หลอกว่าต้องเอาผมเจ็ดปอยของเขาทอเข้าไปในเครื่องทอผ้าแล้วเขาจะหมดแรง แต่พอเดลิลาห์ลองเทสต์ดูแล้ว แซมสันก็สะบัดหลุดทุกครั้ง
ความจริงแซมสันน่าจะเอะใจมั่งเนอะ มาหลอกถามวิธีทำร้ายกันซะงั้น เรื่องของเรื่องก็คงจะรักมากจนไม่คิดที่จะระวังอะไร สุดท้าย...เจอไม้ตายของผู้หญิง ในข้อที่๑๕บอกว่า เดลิลาห์ ตัดพ้อกับแซมสันว่า “เธอพูดได้ยังไงว่าเธอรักชั้น ในเมื่อใจเธอไม่ได้อยู่กับชั้นเลย” แซมสันก็เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่เจอไม้นี้เข้าให้..ใจก็เริ่มอ่อนระทวย ข้อที่๑๖.บอกว่า เดลิลาห์เองก็รบเร้าคาดคั้นทุกวัน จนแซมสันเบื่อแทบจะตาย ก็เลยบอกความจริงไปจนได้ว่า ”ชั้นไม่เคยตัดผมเลย เพราะชั้นเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด ถ้าโกนผม เรี่ยวแรงกำลังของชั้นก็จะหายไปด้วย”
แค่นั้นแหละ เดลิลาห์ก็รีบให้คนไปส่งข่าวถึงพวกฟิลิสเตีย....บอกว่าคราวนี้ไม่พลาดแน่ แล้วเดลิลาห์ก็ให้คนย่องเข้าไปตัดผมของแซมสันตอนที่เขาหลับอยู่ ส่วนพวกฟิลิสเตียพอได้ข่าวปุ๊บก็รีบมาพร้อมเงินที่สัญญาว่าจะให้...ถ้าหลอกแซมสันได้ ครั้งนี้ พอเดลิลาห์พูดว่า”แซมสัน คนฟิลิสเตียมาจับตัวท่านแล้ว” แซมสันยังตื่นขึ้นมาพูดว่า “ชั้นก็จะสลัดหลุดเหมือนทุกครั้งน่ะแหละ”
ในข้อที่ 20 บอกว่า “แซมสันไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ละท่านไปเสียแล้ว” เพราะอะไร...เพราะก่อนหน้านี้แซมสันก็ทำผิดกฎของนาศีร์แทบทุกข้ออยู่แล้ว เหลืออยู่ข้อเดียวก็คือยังไม่ได้ตัดผม แล้วแซมสันก็ไม่เคยที่จะยับยั้งใจตัวเองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง”เรื่องผู้หญิง”...เสียมากเป็นพิเศษ
และแล้ว..เมื่อเขาได้ละเมิดกฎข้อสุดท้ายที่เหลืออยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างแซมสันกับพระเจ้าก็เป็นอันสิ้นสุด พระเจ้าก็ทรงถอนฤทธิ์อำนาจออกจากตัวเขา ข้อที่๒๑.บอกว่า “คนฟิลิสเตียก็มาจับตัวแซมสันแล้วก็ควักลูกตาทิ้ง”หลังจากนั้น ก็จับล่ามโซ่แล้วให้ไปโม่แป้งอยู่ในคุก
มรณกรรมของแซมสัน ผวฉ.16:23-31
พอปราบแซมสันได้ชาวฟิลิสเตียก็ดีใจ เลยฉลองกันเป็นการใหญ่เพื่อสรรเสริญเทิดทูนพระดาโกนเทพเจ้าของพวกเขา ในข้อที่๒๕บอกว่า”เมื่อจิตใจของเขาร่าเริงเต็มที่แล้ว เขาจึงพูดว่า..ไปเรียกแซมสันมาเล่นตลกให้เราดู” คำว่า”เมื่อจิตใจร่าเริงเต็มที่...หมายถึงพอสนุกกันเต็มที่ ก็ให้คนไปเอาตัวแซมสันออกมาเล่นตลกให้ดู” ความจริงถ้าสนุกกันเต็มที่แล้วก็น่าจะพอนะ...จบได้ แต่นี่ยังต้องการความบันเทิงในลักษณะที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอีก” เพราะอะไร อาการแบบนี้มีอย่างเดียว ก็คือ “เมา” ทำให้เราเห็นภาพเลยว่าคงจะเป็นการฉลองที่กินดื่มกันอย่างเต็มขนาด
ว่าแล้วเด็กคนนึงก็ไปจูงแซมสันออกมา แซมสันก็บอกเด็กคนนั้นว่า “ช่วยพาเขาไปยืนพิงที่เสารองรับพระวิหารหน่อย” เด็กที่จูงน่าจะคิดว่า..แซมสันคงจะเมื่อยเลยพาแซมสันไปยืนพิงเสาค้ำพระวิหาร
แล้วแซมสันก็อธิฐานต่อพระเจ้า..ว่า
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นคนฟิลิสเตียเพื่อตาข้างหนึ่งในสองข้างของข้าพระองค์” คำอธิฐานนี้แสดงให้เห็นว่า..สุดท้ายแซมสันก็ยอมจำนนต่อพระเจ้า ร้องทูลขอกำลังจากพระองค์และครั้งนี้พระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานของเขา แซมสันก็รวบรวมกำลังทั้งหมดพังเสาของวิหาร จนวิหารพังลงมาทับเจ้านายของพวกฟิลิสเตียและประชาชนทั้งหมดในนั้น ในข้อที่๒๗.บอกว่ามีคนอยู่เต็มตึกนั้น แค่บนหลังคายังนับได้สามพันคน แล้วคิดดูข้างล่างจะเยอะขนาดไหน แล้วในข้อที่ 30 ก็บอกว่า”ดังนั้น คนที่แซมสันฆ่าตายพร้อมกับตัวเองนี้ มีจำนวนมากกว่าคนที่เขาได้ฆ่าตอนที่มีชีวิตอยู่” (นี่ขนาดขอแก้แค้นเพื่อตาข้างเดียวนะ ถ้าขอเพื่อตาสองข้าง คงจะหนักกว่านี้) ที่สำคัญคนที่ถูกวิหารทับตายก็มีทั้งเจ้าเมือง นายทหาร แล้วก็บรรดาผู้นำคนสำคัญของพวกฟิลิสเตียรวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ถึงครั้งนี้อิสราเอลจะยังกำจัดพวกฟิลิสเตียได้ไม่สิ้นซาก แต่แซมสันก็ช่วยได้เยอะ..เพราะจากวันนั้นพวกฟิลิสเตียก็อ่อนกำลังลงไป
เรื่องของ มีคาห์ ตอนที่๑ ผวฉ.17:1-13
“มีคาห์”ไม่ใช่เรื่องของผวฉ. แต่เรื่องของมีคาห์เป็นเหมือนภาคผนวกของธรรมเล่มนี้ ที่หยิบยกเรื่องราวบางกรณีมาเป็นตัวอย่าง เพื่ออะไร...เพื่อให้เห็นว่าในสมัยผวฉ.เนี่ย ความผิดบาปมันปกคลุมอิสราเอลจนทั่วไปหมด (แล้วเรื่องของมีคาห์..ก็เป็นแค่บางกรณีเท่านั้น เพราะฉะนั้นความจริงน่าจะมีเรื่องหยั่งเงี้ยเกิดขึ้นเยอะในอิสราเอลสมัยนั้น)
เรื่องนี้ก็คือ มีชายอิสราเอลคนหนึ่งชื่อมีคาห์ขโมยเงินแม่ไป แล้วก็ได้ยินแม่สาปแช่งคนที่ขโมยอย่างรุนแรงมากก็เลยกลัว เปลี่ยนใจไปรับสารภาพกับแม่..ว่าตัวเองเนี่ยเป็นคนเอาไปแล้วก็คืนเงินให้แม่ พอแม่ได้เงินคืนก็ดีใจ ในข้อที่๒.แม่ของมีคาห์ได้พูดว่า “...ขอให้พระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด เงินรายนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อลูกให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ..” บางคนอ่านตอนนี้แล้วงง... งงว่า...เฮ้ย! พูดได้ไงว่า”เงินนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อทำรูปเคารพ” น้าตุ๊กก็บอกไม่ต้อง..งง อิสราเอลสมัยนั้นเชื่ออย่างเพี้ยนสนิท
ในข้อที่๕.บอกว่า “มีคาห์คนนี้มีเรือนพระหลังหนึ่งขาทำรูปเอโฟดและรูปพระ แล้วมีคาห์ก็แต่งตั้งลูกของเขาคนนึงของเขาให้เป็นปุโรหิต.” (ของศาลเตี้ยตั้งเองนี่แหละ) ทีนี้คำว่า”เรือนพระ” เด็กๆนึกภาพ ศาลพระภูมิ (นึกออกมะ) ประมาณนั้นแหละที่มีคาห์ทำ (ขอโทษที่ต้องขอพาดพิงเพราะมันทำให้เด็กๆเห็นภาพชัดเจน) ถ้าใหญ่หน่อยก็ศาลเจ้า..แล้วก็จะมีคนดูแล แบบเดียวกับที่มีคาห์อุปโหลกลูกตัวเองขึ้นมาเป็นปุโรหิต สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ มีคาห์เนี่ยหลงผิดทุกเม็ด ทั้งสร้างรูปเคารพ ยกมันขึ้นมาเป็นเรื่องเดียวกับพระเจ้า แล้วยังตั้งลูกตัวเองที่เป็นคนเผ่าเอฟราอิมเนี่ย...ให้เป็นปุโรหิต ซึ่งตามกฎบัญญัติของพระเจ้าคนเอฟราอิมเป็นปุโรหิตได้มั๊ย ต้องคนเลวีเชื้อสายอาโรนเท่านั้น (ถูกมะ)
หลังจากนั้น ไม่นานก็มีคนเลวีผ่านมาที่บ้านของมีคาห์ มีคาห์ก็ได้ชวนให้เขามาเป็นปุโรหิตประจำบ้าน จริงๆจะเรียกว่า”จ้าง”ก็ได้นะ เพราะดูเหมือนจะมีการตกลงเรื่องค่าตอบแทนกันด้วย คือ จ่ายเงินให้ปีละสิบแผ่น ให้เครื่องแต่งตัวหนึ่งสำรับพร้อมอาหาร เหมือนเป็นแพ็คเกจเวลามีโปโมชั่นยังไงยังงั้น (ซึ่งเรื่องอย่างเงี้ย..ก็ไม่มีในพระบัญญัติของพระเจ้า).....เพราะฉะนั้น ผิดทุกข้อ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เนี่ยคือประเด็นสำคัญที่พระคำภีร์ตอนนี้อยากจะชี้ให้เราเห็น
ในข้อที่ 17:6. (อ่าน) “...ทุกคนก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ” หลายๆปัญหาบนโลกนี้มันก็เกิดขึ้นเพราะคำนี้แหละ (แล้วทำไมหลายๆครั้งเราถึงทำตามที่ตัวเองเห็นชอบไม่ได้) เพราะสิ่งที่ดี สิ่งที่น่าพอใจ หรือแม้แต่สิ่งที่มนุษย์คิดว่าถูกต้อง หลายครั้งก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจะยึดเอาความพอใจหรือความเห็นชอบของมนุษย์เป็นหลักการหรือมาตรฐานการดำเนินชีวิต..ไม่ได้ คือเราจะทำอะไรตามความพอใจของเรา..ไม่ได้ (แม้ว่าบางครั้งเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม) ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราขับรถ สมมติว่าทางของเราไฟเขียว และเราเห็นแล้วว่ามีรถคันหนึ่งฝ่าไฟแดงมา แต่ชั้นก็จะไปเพราะถือว่าชั้นถูก ทางของชั้นไฟเขียว แบบนี้ปัญหาเกิดมั๊ย เกิดแน่นอนแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก แต่ปัญหาก็เกิด (เพราะอะไร ) เพราะเราเลือกที่จะทำตามใจตัวเอง ถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ก็เลยไม่ยอมให้รถที่ฝ่าไฟแดงมาผ่านไปก่อน ยอมไม่ได้ แกผิด เพราะฉะนั้น..แกต้องเบรค ยังไงชั้นก็จะไม่เบรค (ถ้าคิดหยั่งงี้ เดี๋ยวได้ไปเบรคอยู่แถวๆอกอับราฮัม) ส่วนเรื่องของฝ่ายที่ฝ่าไฟแดงนั้น ไม่ต้องพูดถึงมันผิดเต็มประตู และกระทำตามที่ตัวเองเห็นชอบอยู่แล้ว แต่ประเด็นนี้ น้าตุ๊กอยากจะชี้ให้เห็นว่า "หลายครั้งแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก เราก็จะทำตามที่เราเห็นชอบไม่ได้" เราต้องทำตามที่พระเจ้าเห็นชอบ (ยังไงล่ะ)อย่างเรื่องนี้ ทางของเราไฟเขียวก็จริงแต่ถ้าเห็นรถฝ่าไฟแดงมา เราก็ต้องเป็นฝ่ายยอม...รอให้เขาไปก่อน คิดอย่างมีความรัก คิดอย่างยอมเสียสละตามอย่างพระเยซูคริสต์ อย่าเอาไปเป็นอารมณ์ ปัญหาก็จะไม่เกิด ที่น้าตุ๊กเลือกเรื่องขับรถมาเป็นตัวอย่างก็เพราะมันเห็นภาพชัดเจนที่สุด..แล้วเวลาขับรถปัญหามันเกิดได้ทุกเวลาไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด
....และความจริงสติปัญญาของมนุษย์มีจำกัดแต่ไม่ค่อยรู้ตัว มนุษย์ชอบนึกว่าตัวเองเก่ง รู้ดี...อย่างน้าตุ๊กเคยดูสารคดีอันหนึ่ง ที่นักวิจัยเขาเสี่ยงชีวิต พยายามที่จะดำน้ำลงไปให้ได้ลึกที่สุด โดยมีอุปกรณ์ที่ช่วยปรับความดันของร่างกายให้สามารถอยู่ในที่ลึกมากๆได้ชั่วคราว แล้วที่สุดก็ได้ลงไปในที่ลึกขนาดที่แสงแดดส่องไม่ถึง...มืดสนิท แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจเพราะว่ามีสัตว์น้ำแปลกๆมีแสงในตัวเองที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนเต็มไปหมด แล้วก็มีนักวิจัยบางกลุ่มสรุปว่า “บรรดาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักแล้วก็เคยเห็นเนี่ย...จริงๆแล้วมันน่าจะแค่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก” เด็กๆเข้าใจมะ สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น มันแปลว่าไร...แปลว่าจริงๆแล้วมนุษย์รู้น้อยมาก อันนี้แค่เรื่องสปีชีของสัตว์น้ำเท่านั้นนะ แล้วเรื่องอื่นๆอีกหลายล้านเรื่องล่ะ ถ้ารวมกันแล้วน้าตุ๊กว่า...มนุษย์รู้จริงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของทุกเรื่องในมหาจักรวาลนี้ (ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของน้าตุ๊ก ใครที่บังเอิญมาอ่านแล้วไม่เห็นด้วย..ไม่ว่ากัน) ที่พูดมาทั้งหมดก็แค่อยากให้เด็กๆเห็นภาพว่า....จริงๆแล้วมนุษย์ไม่ได้ฉลาดมากมายอะไร แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก มนุษย์ถึงต้องพึ่งพระเจ้า เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องก็คือ “เราต้องกระทำตามที่พระเจ้าเห็นชอบ ไม่ใช่ตัวเราเองเห็นชอบ” ถึงแม้บางครั้งมันจะขัดใจ หรือทุกข์ยากลำบากบ้าง...ก็ทำเถอะ เพราะสุดท้ายแล้ว...คุ้มแน่นอน
มีคาห์ ตอนที่2 ผวฉ.18:1-31 (มีคาห์และคนเผ่าดาน)
พระคำภีร์ช่วงนี้บันทึกเรื่องราวของมีคาห์กับคนเผ่าดาน ข้อที่๑.เลยบอกว่า”คนเผ่าดานยังเที่ยวหาที่ดินอันจะเป็นมรดกของตนเพื่อจะได้พักอาศัย เพราะจนบัดนี้แล้วมรดกในหมู่คนอิสราเอลยังไม่ตกแก่เขา” หมายความว่า เมื่อสมัยที่โยชูวาแบ่งเขตแดนในคานาอันให้เผ่าต่างๆของอิสราเอลเนี่ย เผ่าดานเขาได้สิทธิ์ตรงเขตแดนที่ติดกับฝั่งทะเล ตั้งอยู่ระหว่างเผ่าเอฟราอิมกับยูดาห์ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่แล้วสองเผ่านี้ก็มีการเอาเปรียบบ้าง..รุกล้ำเนื้อที่ของเผ่าดานบ้าง แล้วก็ยังมีพวกฟิลิสเตียที่อยู่ตามชายทะเลมารุกราน ผลักดันให้เผ่าดานต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ เนื้อที่ของดานก็เลยน้อยไปเรื่อย (โดนพวกฟิลิสเตียรุกล้ำก็ว่าไปอย่างเนอะ ไอ้ที่โดนเอฟราอิมกับยูดาห์เอาเปรียบเนี่ย..น่าเสียใจกว่า พี่น้องกันแท้ๆ) เหมือนพวกเราที่เป็นคริสเตียนเนี่ย ถ้าโดนคนอื่นที่เป็นคนไม่เชื่อพระเจ้าเขาเอาเปรียบหรือทำร้าย เราทนได้ ทนได้มากกว่า..แต่ถ้าถูกคริสเตียนด้วยกันทำให้เสียใจเนี่ย...เราจะรู้สึกเจ็บมาก เพราะเราจะรู้สึกว่าคนที่เชื่อพระเจ้าไม่น่าจะทำอย่างงี้ (ถูกมะ) แต่ยังไงก็ตามเด็กๆต้องจำไว้ว่า “พระดำรัสของพระเจ้าก็บอกให้เรารักกัน” อภัยให้กัน มีอะไรก็ต้องอดทนยอมๆกันไป เพราะเด็กๆเคยเรียนไปหลายครั้งแล้วว่า..ไม่ได้มีแต่คนที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่สามารถมาเชื่อพระเจ้าหรือเข้ามารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ได้ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็ควรให้โอกาสกัน ทุกคนต่างก็เป็นทางที่ยังสร้างไม่เสร็จ..อยู่ระหว่างกำลังปรับปรุงด้วยกันทั้งสิ้น ขอให้เรารักพี่น้องในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่แบบที่เราต้องการให้เขาเป็น ถ้ามีเรื่องไหนที่จำเป็นต้องเตือนสติกันเพราะพี่น้องของเราทำผิด เด็กๆต้องถามตัวเองให้แน่ในใจก่อนว่า"เราเตือนเขาด้วยความรักจริงๆหรือเตือนเพราะอยากจะกล่าวโทษเขา" เพราะสิ่งไหนที่ทำโดยปราศจากความรักมันก็ไร้ค่าและมักเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น ถ้าเราจะต้องเตือนใคร เราควรจะอธิฐานขอพระเจ้าทรงค้นลึกในจิตใจของเราซะก่อนและขอการทรงนำจากพระองค์ด้วย
ในที่สุดเผ่าดานก็เลยตัดสินใจว่าจะย้ายที่อยู่ ก็เลยส่งตัวแทนไปสอดแนมหาที่อยู่ใหม่ ระหว่างทางคนเผ่าดานที่ออกไปสำรวจหาที่อยู่ใหม่ก็ผ่านไปทางบ้านของมีคาห์ที่เผ่าเอฟราอิม พวกเขาแวะทักทายกับคนเลวีที่มีคาห์แต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต (ประจำตำหนักของตัวเอง) แล้วหลังจากที่ต้อนรับขับสู้อย่างดี ปุโรหิตของมีคาห์ก็อวยพรคนเผ่าดาน หลังจากนั้นคนเผ่าดานก็ออกเดินทางต่อไปถึงเมืองลาอิชที่อยู่เหนือสุดของดินแดนคานาอัน ปรากฎว่าถูกใจเมืองนี้ เพราะเป็นดินแดนเงียบสงบ อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญคนที่นี่ดูไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ อยู่กันอย่างสงบแล้วก็ดูไม่ค่อยจะระวังอะไร คงจะเข้ายึดครองได้ง่าย ว่าแล้วคนสอดแนมก็กลับมาบอกพี่น้องเผ่าดานให้เตรียมทำสงคราม แล้วก็ย้ายที่อยู่
ระหว่างที่คนเผ่าดานยกกันไปที่เมืองลาอิชเพื่อทำสงคราม พวกเขาก็ผ่านบ้านของมีคาห์อีก แทนที่จะแวะเพื่อตอบแทนน้ำใจ เพราะบ้านนี้เคยต้อนรับเขาอย่างดีเมื่อครั้งที่มาสอดแนม กลับชวนพรรคพวกให้ปล้นบ้านของมีคาห์ ทำทีเข้าไปทักทายถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วคนที่เคยมาสอดแนมห้าคนก็เดินเข้าไปขโมยของ ขโมยอะไรรู้มะ ขโมยรูปเคารพ พวกรูปแกะสลัก รูปพระ แล้วก็เอโฟด (จะบ้าตาย)
นี่แสดงว่า เพี้ยนกันทั่วหน้าไม่ใช่แค่เผ่าเดียว...แล้วไงต่อไป ปุโรหิตอุปโหลกของมีคาห์ก็ทำท่าจะโวยวาย ถามคนเผ่าดานว่า “ ทำงี้หมายความว่าไง” คนเผ่าดานก็บอกปุโรหิตของมีคาห์ “ให้เงียบๆไว้ แล้วคิดดูให้ดีว่าจะอยู่เป็นปุโรหิตของคนๆเดียว หรือว่า...จะไปกับพวกเขา แล้วได้เป็นปุโรหิตของคนทั้งเผ่า... มันรุ่งกว่ากันเยอะนะ แค่นั้นแหละ ในข้อที่๒0 บอกว่า”.ใจของปุโรหิตก็ยินดี..” แล้วก็ โดดตามเขาไปเลย ไปกับพวกเผ่าดาน (ซะงั้น)
ฝ่ายมีคาห์กับเพื่อนบ้านข้างเคียงก็ตามไปจะทวงของคืน คนเผ่าดานก็หันมาถามมีคาห์หน้าตาเฉย “ว่า พาพวกมาทำไมเยอะแยะ” มีคาห์ก็บอกว่า “ ก็พวกเธอขโมยพระของชั้นไปหมด แล้วก็ยังเอาปุโรหิตของเขาไปด้วย ยังจะมีหน้ามาถามอีก ว่าตามมาทำไม “ คนเผ่าดานก็เลยไม่อ้อมค้อมสวมบทบาทอันธพาล ขู่จะฆ่ามีคาห์ยกครัว เพราะถือว่ามีกำลังมากกว่า มีคาห์ก็เลยต้องยอมถอย...กลับบ้านไป เพราะสู้ไม่ได้
หลังจากนั้น คนเผ่าดานก็ยกไปตีเมืองลาอิช แล้วก็ชนะอย่างง่ายดาย เพราะไม่มีใครมาช่วย เนื่องจากเมืองนั้นอยู่กันอย่างสันโดดไม่ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับเมืองอื่น ดานก็เลยได้สร้างเมืองของตัวเองขึ้นที่นั่น แล้วก็เปลี่ยนชื่อเมืองจาก”ลาอิช” เป็น “ดาน” พร้อมทั้งเอารูปพระ เอโฟดที่ขโมยมา กับปุโรหิตของมีคาห์ สถาปนาขึ้นเป็นรูปเคารพของเผ่าดาน ต้องเรียกว่า ตั้งศาสนาของตัวเองเลยทีเดียว พระคำภีร์บอกว่า พวกเขาหลงผิดอยู่อย่างงั้นตลอดสมัยที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าตั้งอยู่ที่ชิโลห์ หลงผิดกันจนกระทั่งต้องตกไปเป็นเชลย
เวลาหมดแล้วค่ะ สัปดาห์หน้าเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ขอให้พี่น้องทุกคนร่วมใจกันนมัสการสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างสุดใจ และทุกวันนี้ไม่ว่าข่าวภัยพิบัติ โรคระบาด ความวุ่นวายทางสังคม เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คริสเตียนทุกคนจะปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์เสมอ ปลอดภัยแม้จะตายหรืออยู่ก็ตาม น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กๆจำพระลักษณะของพระเจ้าของเราไว้ให้ดีๆ ในพระคำภีร์ได้เปิดเผยถึงพระลักษณะของพระองค์ไว้หลายครั้ง และพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและไม่เปลี่ยนแปลงจากวานนี้ วันนี้และสืบๆไปเป็นนิตย์
อพยพ 34:6-7 “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ
ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดง
ความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด
การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้......”
โยนาห์ 4:2 “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา
ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ”
เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเชื่อว่าวันนี้ก็เช่นกันไม่ว่าโลกจะถูกกำหนดไว้ให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง คริสเตียนก็มีความหวังในพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระกรุณาเสมอ เรามีสิทธิ์ได้รับพระกรุณาจากพระองค์ ตลอดจนการกลับพระทัยไม่ลงโทษ เช่นเดียวกับที่หลายๆคนในพระคำภีร์เคยได้รับมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในส่วนของเราให้ดีที่สุด ถ้าพอจะช่วยรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมได้บ้างก็ทำไป ที่สำคัญ “คริสเตียนทุกคนจงร่วมใจกันอธิฐานอย่างเซ้าซี้" เพื่อประเทศไทยและเพื่อโลกใบนี้ของเรา ดังเช่นที่อับราฮัมอธิฐานเพื่อเมืองโสโดม (ปฐม.18:22-33) แล้วบางทีพระเจ้าอาจจะทรงยับยั้งพระอาชญาของพระองค์ไม่ลงโทษโลกใบนี้ หรืออาจจะทรงผ่อนหนักให้เป็นเบาเพราะเห็นแก่ผู้ชอบธรรมของพระองค์ แต่อย่างไรก็ตามขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนแผ่นดินโลกและในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย เพราะเราเชื่อแน่ในใจว่า “ทุกอย่างจะเป็นผลดีต่อทุกคนที่รักพระองค์เสมอ” ดังนั้น น้าตุ๊กขอหนุนใจฝากไว้ เพื่อเด็กๆจะไม่กังวลมากจนเกินไปกับข่าวสารทุกวันนี้
พบกันสัปดาห์ที่ 29:11:2009 ซึ่งจะเป็นตอนจบและบทสรุปของหนังสือผู้วินิจฉัยแล้ว อย่าพลาดนะคะ
พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น