เมื่อซาโลมอนทำบาป..เที่ยวไปนมัสการ ปรนนิบัติพระของคนต่างชาติ ที่สุดแล้วการพิพากษาก็มาถึง พระเจ้าบอกว่าจะปลดพงศ์พันธ์ของเขาออกจากราชบัลลังก์ของอิสราเอล แล้วสถาปนาข้าราชการคนนึง ซึ่งก็คือ “เยโรโบอัม”ขึ้นมาแทน คราวที่แล้วในบทที่11 อาหิยาห์..ผู้เผยพระวจนะ ได้ทำการเจิมตั้งเยโรโบอัมเป็นที่เรียบร้อย พระเจ้าตรัสย้ำผ่านอาหิยาห์ว่า..พระองค์จะไม่ปล่อยให้วงศ์วานของดาวิดสูญสิ้นไป..เพราะเห็นแก่ดาวิด พระองค์ย้ำเรื่องนี้หลายครั้งเพราะพระคำข้อนี้ เป็นหมายสำคัญที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ พระเจ้าบอกว่าเพื่อดาวิดจะมี ”ประทีปดวงหนึ่ง”ต่อหน้าเราในเยรูซาเล็มเสมอ ซึ่งจริงๆแล้ว”พระเยซูคริสต์”ก็คือประทีปดวงนั้นที่พระเจ้ากล่าวถึง เพราะพระองค์จะทรงมาบังเกิดในเผ่ายูดาห์ตามเชื้อสายของดาวิด เพราะฉะนั้น ยังไงยูดาห์ก็ต้องอยู่..เพราะพระเจ้าจะทรงค้ำชูเผ่ายูดาห์ไว้..ไม่ให้หายไปไหน เพื่อน้ำพระทัยของพระองค์จะได้สำเร็จอย่างครบถ้วนบริบูรณ์..
ดู1พกษ.11:37-38 แล้วพระเจ้าก็ทรงย้ำเงื่อนไขเดิมกับเยโรโบอัม..ว่าถ้าเขาเชื่อฟังพระเจ้า และดำเนินอยู่ในทางทั้งสิ้นของพระองค์เหมือนดาวิด พระเจ้าก็จะอยู่กับเขาและจะสร้างให้เขาเป็นราชวงศ์ที่มั่นคง เยโรโบอัมจะได้ปกครองอิสราเอลอย่างกว้างขวางตามใจชอบ (กว้างขวางจริงๆ..ก็พระองค์ทรงอุตส่าห์ยกให้ถึงสิบเผ่า) แต่น่าเสียดาย..เพราะเรียนๆไปเราจะเห็นว่าเยโรโบอัมก็ทำไม่ได้อีกตามเคย มีอีกประเด็นที่น่าสนใจ ในข้อที่40 บอกว่า “ฉะนั้นซาโลมอนจึงทรงหาช่องจะประหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ลุกขึ้นหนีเข้าไปในอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และอยู่ในอียิปต์จนถึงซาโลมอนสิ้นพระชนม์” ข้อนี้ ทำให้เรามองเห็นความเย่อหยิ่งของซาโลมอนอย่างชัดเจน..เพราะเมื่อการพิพากษามาถึง ซาโลมอนไม่ได้ยอมจำนนต่อพระเจ้า..เราไม่เห็นท่าทีที่สำนึกผิด ขอพระเจ้ายกโทษ หรือกลับใจใหม่ด้วยน้ำตานองหน้าเหมือนดาวิด..ไม่มี ซาโลมอนกลับหาทางกำจัด”เยโรโบอัม”คนที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ แล้วซาโลมอนก็คงจะมองหาเยโรโบอัมมานานแล้วล่ะ..เพราะรู้แล้วว่าพระเจ้าจะเลือกข้าราชการคนนึงของเขา..ก็คงหาตัวได้ไม่ยาก เด็กๆคิดดู..ซาโลมอนที่เคยยำเกรงพระเจ้า..คนเดียวกับที่สร้างพระวิหารใหญ่โตถวายพระเจ้า ตอนนี้กำลังบังอาจจะลบล้างพระวจนะของพระเจ้าไม่ให้เป็นจริงด้วยการฆ่าเยโรโบอัม..คงคิดว่าถ้าเยโรโบอัมตายๆไปซะ สิ่งที่พระเจ้าพูดไว้จะได้เป็นหมัน คิดได้ไง..แล้วมันจะเป็นไปได้มั๊ย..ไม่มีทาง ทำไปทำมาซาโลมอนเริ่มเหมือนซาอูลเข้าไปทุกที.. มาทรงเดียวกันเลย พอรู้ว่าพระเจ้าเลือกดาวิดให้เป็นกษัตริย์แทนเขา ซาอูลก็ตั้งหน้าตั้งตาหาทางฆ่าดาวิดจนแทบพลิกแผ่นดิน แต่จนแล้วจนรอด..ก็ไม่สำเร็จ (ไม่น่าเชื่อ..ว่าซาโลมอนจะเป็นไปได้ขนาดนี้)
ดู1พกษ.11:42-43 แล้ววาระสุดท้ายของก.ซาโลมอนก็มาถึง ข้อที่42 บอกว่า ซาโลมอนปกครองอยู่เหนืออิสราเอลทั้งหมด40ปี แล้วก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ ตอนนั้นคือช่วงปีก่อน คศ.931 จริงๆแล้วเขาควรที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่านี้ แต่เพราะ”ไม่เชื่อฟัง”..ไม่ตั้งมั่นอยู่ในทางของพระเจ้า ซาโลมอนเลยต้องจบชีวิตลงด้วยวัยแค่ 60ปี เพราะพระเจ้าก็เตือนแล้ว ตอนที่อวยซาโลมอน..พระองค์บอก..จะให้สติปัญญาพร้อมทั้งความมั่งคั่งแก่ซาโลมอน แล้วถ้าซาโลมอนรักษาบัญญัติของพระองค์ พระเจ้าก็จะให้ชีวิตที่ยืนยาวแก่เขาด้วย แต่ซาโลมอนก็มาเสียท่าเอาตอนปลาย ทั้งที่เริ่มต้นดี..ดาวิดก็ปูทางไว้ แต่ในที่สุดก็ถูกบรรดามเหสีชักจูงให้หลงผิดไปแล้วไม่กลับใจใหม่ด้วยนะ จุดนี้ เขาไม่เหมือนดาวิดเลยแม้แต่นิดเดียว..ไม่มีพระคำตอนไหนบันทึกไว้..ว่าซาโลมอนสำนึกผิด เสียใจ กลับใจใหม่อธิฐานต่อพระเจ้าด้วยน้ำตานองหน้า พอถูกพิพากษา ดูเหมือนว่า..ซาโลมอนจะเฉยๆ ชิลด์ๆ แล้วก็รอแต่จะฆ่าคนที่พระเจ้าจะเอามาแทนเขา เพราะฉะนั้น จุดนี้ก็ย้ำให้เราเห็นชัดเจนว่า..”ความชอบธรรมและความเชื่อไม่ได้สืบทอดกันทางสายเลือดหรือพันธุกรรม” พ่อแม่ดีหรือมีความเชื่อ..ก็ไม่ใช่ว่าลูกจะดีหรือมั่นคงในพระเจ้าด้วยเสมอไป ส่วนพ่อแม่ที่ไม่ชอบธรรมหรือไม่ได้เชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้แปลว่าลูกต้องเป็นเหมือนพ่อแม่..หลายคนมาเชื่อพระเจ้าทั้งที่พ่อแม่ไม่เชื่อก็มีเยอะ
ดู1พกษ.12:1-3/4-5 เมื่อซาโลมอนสิ้นพระชนม์ บุตรชายของเขา คือ เรโหโบอัมก็ได้ขึ้นครองราชย์แทน ข้อที่1 บอกว่า..คนอิสราเอลได้ไปเจิมตั้งเรโหโบอัมที่เมืองเชเคม ปกติแล้วการเจิมตั้งกษัตริย์..ส่วนใหญ่เขาจะทำกันที่เมืองหลวง อย่างอิสราเอลตอนนั้นก็ยังเป็นเยรูซาเล็ม แต่ดูเหมือนคนอิสราเอลจะเรียกร้องให้ไปสถาปนาเรโหอัมที่เมืองเชเคม ข้อที่2 บอกว่า พอซาโลมอนตาย คนอิสราเอลก็ไปตามเยโรโบอัมกลับมา แล้วคนอิสราเอลสิบเผ่ากับเยโรโบอัมก็ไปหาพระราชาเรโหโบอัม..พร้อมกับข้อเรียกร้องหนึ่งข้อ..แค่ข้อเดียวเท่านั้นคือ “ขอลดหย่อนภาษี” เพราะแต่เดิมซาโลมอนเก็บภาษีหนักมาก พระคำภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ว่าเก็บกี่เปอร์เซ็นต์..รู้แต่ว่าหนัก แล้วจริงๆคนสิบเผ่านี้ก็คงมีเหตุผล..ที่จะไม่พอใจ แล้วก็ไม่พอใจมานานแล้วด้วย เพราะไร..ถ้าเราดูตามลักษณะภูมิประเทศของอิสราเอลแล้ว ผลผลิตทางการเกษตรโดยรวมของประเทศ..ส่วนใหญ่แล้วมาจากสิบเผ่าทางเหนือ แต่เมื่อซาโลมอนเก็บภาษีจากพวกเขาแล้วก็เอามาบำรุงเมืองหลวง คือเขตของยูดาห์ซะเป็นส่วนมาก เพราะกษัตริย์ลงทุนไปเยอะ ทั้งสร้างวิหาร พระราชวังอะไรต่างๆเยอะแยะมากมาย คนสิบเผ่าทางตอนเหนือที่ถูกเรียกภาษีอย่างหนักก็คงจะไม่พอใจมานานแล้ว พวกเขาแค่รอเวลา..หาจังหวะที่จะเรียกร้องขอลดหย่อนภาษี เลยคิดว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีเพราะเป็นช่วงของการเปลี่ยนรัชกาล ก็เลยพากันมาร้องขอต่อพระราชาเรโหโบอัม ฝ่ายเรโหโบอัมก็บอกว่า..ขอเวลาสามวันแล้วเขาจะให้คำตอบ..
ดู1พกษ.12:6-7 ข้อนี้ บอกว่า..เรโหโบอัมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษา คือ ปกติกษัตริย์ก็จะมีคณะที่ปรึกษา ซึ่งครั้งแรกนี้เรโหโบอัมก็ไปปรึกษาผู้อาวุโส..ที่เคยเป็นที่ปรึกษาของซาโลมอน ผู้อาวุโสก็บอกว่า..ยอมเถอะ..นะ เพราะภาระที่ประชาชนแบกรับอยู่เนี่ย..มันหนักจริงๆ แล้วมันก็คงไม่แฟร์กับเขา เพราะฉะนั้น พระราชาควรจะยอมผ่อนปรนแล้วประชาชนจะได้จงรักภักดีต่อก.เรโหโบอัมตลอดไป แต่ข้อที่8 บอกว่า คำปรึกษาของพวกผู้อาวุโส..ไม่ถูกใจเรโหโบอัม เขาก็เลยหันไปปรึกษาคนรุ่นใหม่..ที่โตมาด้วยกัน คนรุ่นเดียวกันนี้บอกว่า..อย่าไปสนใจ ขอให้ลดใช่มะ..พระองค์เพิ่มเข้าไปอีก กดไว้..อย่าไปยอม เพราะเดี๋ยวจะได้ใจไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พระองค์เป็นกษัตริย์นะ..จะให้ประชาชนมาชี้นิ้วสั่งได้ไง..ที่ปรึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ก็แนะนำประมาณนี้ ต่อให้เรายังไม่รู้ผลลัพธ์ว่าคำปรึกษาของใครจะดีกว่ากัน แต่ถามว่า ระหว่างผู้อาวุโสที่ทำงานให้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ กับ เด็ก..ที่โตมาด้วยกันเนี่ย..ควรจะเขื่อใคร ดูแค่อายุก็รู้แล้วว่าประสบการณ์มันต่างกัน แต่เรโหโบอัมเชื่อเพื่อน ถูกใจคำแนะนำของคนรุ่นเดียวกันมากกว่า..เลยพากันย่อยยับไป เนี่ย..อิทธิพลของที่ปรึกษา
ดู1พกษ.12:15 ข้อนี้ บอกว่า ที่เรโหโบอัมเลือกเชื่อเพื่อน..ก็เป็นมาจากพระเจ้า เพราะการตัดสินใจครั้งนี้..เลยทำให้เกิดความแตกแยก แล้วอาณาจักรก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายตามที่พระเจ้าตรัสไว้ แต่ถ้าคิดให้ดีๆจะรู้ว่า ครั้งนี้คนอิสราเอลสิบเผ่า..เอาจริงนะ แล้วพวกเขาก็พร้อมจะแยกตัวอยู่แล้ว เพราะข้อที่3 บอกไว้ว่า พอซาโลมอนตายปุ๊บ..พวกเขาก็ไปตามเยโรโบอัมกลับมาเลย กลับมาทำไม..ก็มาเป็นผู้นำของพวกเขา นี่ก็ทำให้เห็นว่าคนสิบเผ่าเขาวางแผนไว้แต่แรกเลย..ว่าถ้าเรโหโบอัมปฏิเสธไม่ยอมทำตามข้อเสนอนะ..เขาจะแยกตัวทันที แล้วมันก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ เพราะ”พระเจ้าทรงให้เป็นไปอย่างงั้น”เพื่อที่พระวจนะของพระองค์จะได้สำเร็จ แต่ถ้าเรามองฝ่ายโลกเราก็จะเห็นว่า เรโหโบอัมก็ไม่ฉลาดด้วย.. เด็กๆจำไว้เลย ถ้าเราจะปรึกษาใคร เราต้องดูด้วยว่าคนๆนั้นมีวินิจฉัยหรือดุลยพินิจแค่ไหน แล้วยังไงคนที่อาวุโสหรือคนที่มีประสบการณ์ก็ต้องเก๋าเกมส์กว่าอยู่แล้ว โอเค..ในคนรุ่นใหม่อาจจะไฟแรงกว่า..มีความคิดสร้างสรรค์ แต่สำหรับการประเมินผลหรือสถานการณ์ในเรื่องเดิมๆแล้วยังไงก็สู้คนที่มีชั่วโมงบินสูงกว่าไม่ได้แน่นอน เพราะเรื่องบางเรื่องมันไม่มีทางลัดสำหรับการเรียนรู้ เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นกรณีศึกษาเหมือนกันเพราะเราก็เห็นแล้วว่าซาโลมอนฉลาดแค่ไหน ทั้งการบริหารจัดการ การรู้จักแก้ปัญหา รวมถึงการรู้จักใช้คนด้วย แต่เรโหโบอัม..ไม่ได้พ่อมาเลย เจอเคสแรกก็ไปแล้ว..เพราะเชื่อเพื่อน
ดู1พกษ.12:16 ในเมื่อก.เรโหโบอัมเลือกที่จะเชื่อคนรุ่นใหม่ที่ให้คำปรึกษาแบบ”ยอมหักไม่ยอมงอ” ก็เลยได้แตกหักกันสมใจ ข้อที่16 นี้พวกอิสราเอลสิบเผ่าบอกว่า “ข้าพระบาททั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระบาททั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรชายของเจสซี” แปลว่า ต่อไปนี้ต่างคนต่างอยู่..พวกเขาจะไม่ขอมีส่วนร่วมกับราชวงศ์ดาวิดอีกต่อไป แล้วเผ่ายูดาห์ก็ดูแลตัวเองดีๆก็ละกัน เพราะต่อไปนี้สิบเผ่าทางเหนือขอตัดขาดจากราชวงศ์ของดาวิด แล้วอาณาจักรอิสราเอลก็ถูกแบ่งแยกจากยูดาห์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..ในปีก่อนคศ.ที่ 931 แต่ตอนนั้น..เรโหโบอัมก็ยังไม่คิดว่าอิสราเอลสิบเผ่าจะอาจหาญแยกตัวไปจริงๆ เพราะข้อที่18 บอกว่า “พระราชาเรโหโบอัมยังใช้นายงานอาโดรัมไปเก็บภาษีกับคนสิบเผ่า ปรากฎว่า..อาโดรัมถูกคนสิบเผ่าเอาหินขว้างจนตาย ส่วนเรโหโบอัมก็เผ่นขึ้นรถรบรีบหนีกลับมาที่เยรูซาเล็ม” ข้อที่20 บอกว่า..คนสิบเผ่าก็ได้เจิมตั้งเยโรโบอัมขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขาอย่างเป็นทางการ จากนั้นเป็นต้นมาประเทศอิสราเอลก็ถูกฉีกออกเป็นสองฝ่าย..สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า
ดู1พกษ.12:21-22/23-24 พอรู้ว่าสิบเผ่าทางเหนือเอาจริง เรโหโบอัมก็กลับมาที่เยรูซาเล็มแล้วสั่งเกณฑ์ทหารแสนแปดหมื่นคน เตรียมไปทำศึกกับอิสราเอลฝ่ายเหนือ..เพื่อจะชิงอาณาจักรคืน..น่าเศร้ามากจริงๆที่ตอนนี้พี่น้องจะรบกันเอง แต่ขอบคุณพระเจ้าเพราะข้อที่22 บอกว่า พระวจนะของพระเจ้าได้มายังเชไมอาห์..ผู้เผยพระวจนะคนนึงว่า “จงไปบอกเรโหโบอัมและพงศ์พันธ์ทั้งสิ้นของยูดาห์กับเบนยามินว่า..”อย่าขึ้นไปสู้รบกับอิสราเอลพี่น้องของเจ้าเลย แยกย้ายกันกลับบ้านไปซะ เพราะสิ่งนี้..ที่อาณาจักรถูกแบ่งแยกนี้..มาจากพระเจ้า” เรโหโบอัมก็เลยเบรค..ไม่ยกกองทัพไปรบกับพี่น้องตัวเอง การนองเลือดก็เลยไม่เกิดขึ้น จุดนั้น เรโหโบอัมน่าจะรู้แล้วว่าตัวเองคิดผิด เพราะตอนนี้เขาสูญเสียอาณาจักรทั้งสิบเผ่าไปแล้ว..อย่างถาวรด้วย นี่คือผลของการตัดสินใจผิด เด็กๆจำไว้นะคะว่าการตัดสินใจนั้นสำคัญมาก ถ้าเราต้องตัดสินใจเรื่องอะไรก็ตามที่สำคัญๆ ก็อธิฐานมากๆ ปรึกษาเยอะๆ แล้วต้องคนที่มีสติปัญญา (ในทางพระเจ้านะ) อย่าผลีผลามเหมือนเรโหโบอัม เพราะหลายเรื่อง เลือกแล้ว..เลือกเลย ไม่มียูเทิร์น เราเรียนพระคำภีร์ก็เพื่อจะได้ไม่หลงผิดในแบบเดียวกัน ไม่ใช่เรียนเพื่อกล่าวโทษบุคคลในประวัติกาล
ดู1พกษ.12:25-26 พอได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแล้ว เยโรโบอัมก็เริ่มสร้างเสริมกำแพงเมืองป้อมค่ายเพื่อความเข้มแข็ง เริ่มจากเมืองเชเคมก่อนเพราะเป็นเมืองหลวงที่พระองค์ประทับอยู่ จากนั้นก็ไปสร้างเมืองหน้าด่านที่พนูเอล คือ ทางฝั่งตะวันออก เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเผื่อข้าศึกจะมาโจมตี อันนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการป้องกันเมืองไว้ให้เข้มแข็ง แต่ข้อที่26 นี้บอกว่า”เยโรโบอัมแอบคิดในใจ”ว่าคราวนี้ราชอาณาจักรของเขาจะหันกลับไปยังราชวงศ์ดาวิด..”ทำไมอยู่ดีๆถึงคิดแบบนี้ เพราะคนอิสราเอลต้องไปนมัสการพระเจ้าทุกปีๆละสามครั้ง ที่ไหน..ก็ที่เยรูซาเล็ม เยโรโบอัมเลยกลัวว่า..ขืนปล่อยให้ประชาชนกลับไปเยรูซาเล็มบ่อยๆ..คงจะไม่ได้การ ทำไปทำมาซักวัน..จิตใจของคนสิบเผ่าอาจจะเขวกลับไปเข้าข้างราชวงศ์ของดาวิด คือ เรโหโบอัม..แล้วเขาก็จะถูกหักหลัง เพราะฉะนั้น เยโรโบอัมเลยคิดว่าเขาต้องทำอะไรซักอย่าง..ดูซิว่าเขาจะทำอะไร
ดู1พกษ.12:28-29 เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องกลับไปนมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็มเยโรโบอัมเลยสร้างรูปวัวทองคำขึ้นมา แล้วบอกประชาชนว่า”นี่คือ พระเจ้าที่นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์” คือ อุปโลกวัวทองคำขึ้นมาแทนพระเจ้าซะงั้น ทำไปได้..แต่ที่น้าตุ๊กงงก็คือ แล้วทำไมคนสิบเผ่าถึงเอาด้วย แล้วทำไมต้องเป็นวัวทองคำ..คงต้องได้แรงบันดาลใจมาจากใครบางคน..ที่เราคุ้นๆว่าเป็นบรรพบุรุษของเขา เด็กๆพอจะนึกออกมะ..ใครที่เคยสร้างรูปวัวทองคำ อาโรน..ไง ตอนที่โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าบนเขาซีนาย40วัน..หายไปเลย คนอิสราเอลเลยไม่รู้ว่าโมเสสเป็นไรไปแล้วรึเปล่า แล้วต่อไปพวกเขาจะทำยังไง..ใครจะนำทางเพราะตลอดเวลาพระเจ้าทรงนำทางพวกเขาด้วยการสำแดงผ่านโมเสสตลอด อาโรนเลยสร้างวัวทองคำขึ้นมาให้คนอิสราเอลกราบไหว้แทนพระเจ้า ครั้งนั้น คนอิสราเอลหลายพันต้องจบชีวิตลงเพราะความขลาดเขลาของตัวเอง มาวันนี้เยโรโบอัมเอาบ้าง แล้วไม่ได้สร้างตัวเดียว..สร้างสองตัว ข้อที่29 บอกว่า..ตัวนึงเอาไว้ที่เบธเอล..เพราะเบธเอลอยู่ล่างสุดของอาณาจักรอิสราเอลฝ่ายเหนือ..แล้วก็เป็นทางที่จะผ่านไปเยรูซาเล็ม เพราะฉะนั้น เยโรโบอัมเลยเอาวัวทองคำไปวางดักไว้ ส่วนอีกตัว..ตั้งไว้ที่เมืองดานซึ่งอยู่เหนือสุด..เป็นการอำนวยความสะดวก..คนที่อยู่ทางเหนือจะได้ไปไหว้ที่นั่นเลย..ไม่ต้องลงมา เป็นการบล็อกไว้เพื่อลดโอกาสในการที่ประชาชนจะได้ไปเยรูซาเล็ม เด็กๆฟังดีๆนะ..นี่คือ แบบอย่างของการพึ่งพาในสติปัญญาของตัวเองแทนที่จะพึ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วสติปัญญาของเยโรโบอัมก็คิดได้แค่นี้..ดูต่อไป
ดู1พกษ.12:30-31 ข้อที่30 บอกว่า ”และสิ่งนี้ได้เป็นความบาปที่ส่งผลลากยาว เพราะไร เพราะเมื่อเยโรโบอัม..ที่ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์คนแรกของอิสราเอล..ได้ชักนำให้ประชาชนออกนอกลู่นอกทางแล้ว ต่อไปเราจะเห็นว่ากษัตริย์ทุกองค์ของอิสราเอล..ก็ไม่มีใครเลยที่จะพรากจากบาปอันเดียวกันนี้ คือไหว้รูปเคารพกันทุกองค์ ตลอดระยะเวลา 209 ปีที่อาณาจักรตั้งอยู่ อิสราเอลฝ่ายเหนือทำบาปเรื่องนี้ตลอดเพราะมันผิดมาตั้งแต่หัวแถว..เยโรโบอัมเขาเซทรูปแบบไว้อย่างงั้น มันเลยเพี้ยนกันไปจนหยดสุดท้าย ดังนั้น ต่อไปเราจะเห็นว่า พระเจ้าก็ไม่เอาอาณาจักรนี้ไว้ อิสราเอลฝ่ายเหนือก็ล่มสลายไปในที่สุด นี่คือ ความผิดพลาดของเยโรโบอัม ถ้าเขาคิดให้ดี..เขาจะรู้ว่าที่เขาได้มาเป็นกษัตริย์..ก็เพราะพระเจ้า เขาไม่ได้ไปฟันฝ่ารบสู้หรือแย่งชิงมาด้วยแรงกำลังของตัวเอง ถ้าเขาได้เป็นกษัตริย์ด้วยเรี่ยวแรงความทะยานอยากของตัวเอง..ก็ว่าไปอย่าง เพราะฉะนั้น เยโรโบอัมควรจะคิดได้..บัลลังก์ของเขาจะมั่นคงหรือสั่นคลอนก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวกับการที่เขาต้องไปกั๊กคนไว้ไม่ให้ไปเยรูซาเล็ม เขาไม่จำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษายอดไว้เหมือนพวกไดเร็คเซลสมัยนี้ เพราะเห็นใสๆอยู่..ว่าความมั่นคงของเขาอยู่ในพระเจ้า แต่พออำนาจมันล้นมือ..เยโรโบอัมก็อดไม่ได้ที่จะเลือกพึ่งพิงในสติปัญญาของตัวเองแทนที่จะพึ่งพระเจ้า..ซึ่งอันนี้เป็นปกติวิสัยของมนุษย์ และด้วยความกลัวที่จะเสียอำนาจไป..ในที่สุดเยโรโบอัมเลยพลาดไปทำเรื่องที่โง่เขลาและเสียหายที่สุด
นอกจากนี้ ข้อที่31บอกว่า เยโรโบอัมยังแต่งตั้งปุโรหิตจากคนเผ่าอื่นที่ไม่ใช่เลวีด้วย เหตุผลก็คือคนเลวีคงจะไม่เอาด้วย พวกเขารู้ว่าการสร้างวัวทองคำขึ้นมากราบไหว้แทนพระเจ้าเนี่ย..มันผิดบาปจนรับไม่ได้ เยโรโบอัมเลยต้องอุปโลกปุโรหิตขึ้นมาเอง..จากคนเผ่าอื่นที่ไม่ใช่เลวี แล้วไม่ใช่แค่นี้ เพราะพระคำภีร์ยังบันทึกด้วยว่า เยโรโบอัมกำหนดวันเทศกาลงานถวายบูชาอะไรต่างๆขึ้นมาเองตามใจชอบอีกด้วย..เต็มที่ไปเลย
ดู1พกษ.13:1-2/3-4 เมื่อเยโรโบอัมนำคนอิสราเอลให้เพี้ยนไปจากทางของพระเจ้าอย่างเต็มขนาด พระเจ้าเลยส่งผู้เผยพระวจนะคนนึงขึ้นมาจากยูดาห์ พอมาถึงเขาก็ไปหาเยโรโบอัมเลย ตอนนั้นเยโรโบอัมก็อยู่ที่เบธเอลกำลังไหว้รูปวัวทองคำอยู่ พอเจอปุ๊บ..ผู้เผยพระวจนะก็บอกว่า “คอยดูนะ แท่นบูชานี้จะต้องพังทลายลงมา แล้วมูลเถ้าที่อยู่บนนั้นจะต้องถูกเทออก” เพราะสิ่งที่เยโรโบอัมทำมันเป็นความผิดบาปอย่างร้ายแรง พอได้ยินอย่างงั้น..เยโรโบอัมโมโหมาก หันมาชี้นิ้วสั่งให้ทหารจับตัวผู้เผยพระวจนะไว้ แต่พอชี้มือไปปุ๊บ..มือเหี่ยวเลย แล้วก็แข็งอยู่อย่างงั้น นี่คือการสั่งสอนจากพระเจ้า..เยโรโบอัมถูกพระเจ้าสั่งสอนทันทีเลย แล้วแท่นบูชาก็พังลงมาอย่างที่ผู้เผยพระวจนะพูดต่อหน้าต่อตาเขาด้วย อ้าวทำไงดี..ทีนี้ก็เลยหันมาอ้อนวอนผู้เผยพระวจนะว่าช่วยอธิฐานให้เขาที..ขอพระเจ้ายกโทษ เขาไม่อยากมือเหี่ยวแห้งแข็งอยู่อย่างงั้น ผู้เผยพระวจนะก็อธิฐานให้..มือของเยโรโบอัมก็กลับหายเป็นปกติ (แต่ถามว่าเยโรโบอัมกลับใจจริงๆมั๊ย..ไม่เลย เขายังคงไหว้รูปวัวทองคำต่อไป) หลังจากที่มือหายเป็นปกติแล้วเยโรโบอัมก็อยากจะตอบแทนคนของพระเจ้าก็เลยเชิญให้ไปรับประทานอาหาร คือ อยากจะต้อนรับอย่างดี แต่ผู้เผยพระวจนะไม่ไปเพราะไร..ดูต่อไป
1พกษ.13:8-9 “ถึงจะให้ครึ่งราชสมบัติของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่ไปกับท่าน..” เพราะพระเจ้าสั่งไว้..ว่าพอเผยพระวจนะเสร็จให้กลับทันที ห้ามกินดื่มอะไรกับใคร..หรือค้างคืนในอิสราเอลเด็ดขาด เพราะฉะนั้น จ้างให้ก็ไม่ไป..ถึงเยโรโบอัมจะยกสมบัติให้ครึ่งนึงเขาก็ไปด้วยไม่ได้เพราะพระเจ้าสั่งไว้ (ดูแน่วแน่ดีเหมือนกัน) โอเค..ก็เลยกลับ แต่ข้อที่11บอกว่า มีผู้เผยพระวจนะแก่อีกคนนึงที่อยู่ในอิสราเอล พอได้ยินเรื่องของผู้เผยพระวจนะหนุ่ม..ที่มากล่าวโทษเยโรโบอัมนี้..ก็คงรู้สึกชื่มชม..อยากจะชวนมาสามัคคีธรรมที่บ้าน เพราะเป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนกัน..เลยขี่ลาตามไป ปรากฎว่า..ตามไปทัน..เจอเขานั่งอยู่ใต้ต้นก่อหลวง ก็เลยเข้าไปชวนให้ไปพักรับประทานอาหารด้วยกันที่บ้าน ตอนแรกผู้เผยพระวจนะหนุ่มที่มาจากยูดาห์ก็ปฎิเสธไปเหมือนเดิม แต่ข้อที่18 บอกว่า พอถูกปฎิเสธผู้เผยพระวจนะแก่คนนี้ก็เลยโกหก ว่าเขาได้รับนิมิตรจากทูตสวรรค์องค์นึงให้มาตามผู้เผยพระวจนะหนุ่มที่มาจากยูดาห์นี้..ให้กลับไปกินดื่มที่บ้านของเขาก่อน ผู้เผยพระวจนะหนุ่มก็หลงเชื่อ..เพราะคนที่มาตามก็เป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนกัน แล้วก็อาวุโสกว่าด้วย เลยยอมตามเขากลับบ้านไป สุดท้ายก็มีอันเป็นไป..เพราะข้อที่24 บอกว่า พอทานอาหารเสร็จ ตอนขากลับเขาก็ถูกสิงโตฆ่าตาย
มาถึงบทที่14 พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะอีกครั้ง..ให้ไปกล่าวโทษเยโรโบอัม เราจะเห็นว่าถ้าเราทำบาป..พระเจ้าจะทรงเตือนนะ เตือนก่อน แล้วไม่ใช่เตือนครั้งเดียว..พระองค์เตือนหลายครั้ง ก่อนจะตีสอนเรา เพราะฉะนั้น ถ้าถูกเตือน..ขอให้ฟัง..คุกเข่าลงขอโทษพระเจ้า แล้วกลับใจใหม่ซะ ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้..ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำเฉย ขอให้พยายามทุกวัน..พยายามไปเรื่อยๆ เพราะพระเจ้าทรงมองที่หัวใจ..ว่าตั้งใจแค่ไหน น้าตุ๊กขอยืนยันว่าพระเจ้าทรงมองที่เจตนา พระองค์ไม่ได้ตัดสินเราด้วยผลลัพธ์ที่ออกมา เพราะถ้าพระองค์ตัดสินมนุษย์ด้วยผลแห่งการกระทำ..คงไม่มีใครเลยที่จะได้ไปสวรรค์ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะสมแก่พระสิริที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ แล้วแต่ละคน..ก็เกิดผลไม่เท่ากันด้วยเพราะถ้าเท่ากันพระคำภีร์คงบอกไว้แล้ว แต่พระคำบอกไว้ว่า..บางคนก็เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง..หกสิบเท่าบ้าง..ร้อยเท่าบ้าง นั่นแปลว่า..มนุษย์เกิดผลหรือทำได้..ไม่เท่ากัน และนั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับพระเจ้า
ดู1พกษ.14:1-3 เรื่องของเรื่องนี้ ก็คือลูกของเยโรโบอัมป่วยหนัก เขาก็อยากจะรู้ว่าลูกเขาเนี่ยจะตายมั๊ย เยโรโบอัมก็เลยใช้ให้ภรรยาปลอมตัวไปหาอาหิยาห์ ทำไมถึงไปหาอาหิยาห์..เพราะอาหิยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่เขาเชื่อถือมาก เด็กๆจำได้มั๊ยว่าอาหิยาห์คนนี้แหละที่เป็นคนไปเจิมเยโรโบอัมให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลสิบเผ่า เพราะฉะนั้น เยโรโบอัมเลยเชื่อถืออาหิยาห์มาก เพราะเขาพูดอะไรไว้..ตรงหมดเลย ทุกอย่างที่อาหิยาห์เผยพระวจนะกับเยโรโบอัมมันเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง ครั้งนี้ เขาก็เลยให้มเหสีปลอมตัวไป..แล้วดูว่าอาหิยาห์จะว่าไง ปรากฎว่า พอมเหสีไป..ยังไม่ทันจะถึงเลย พระเจ้าบอกอาหิยาห์ก่อนแล้ว..ว่าเดี๋ยวมเหสีของเยโรโบอัมจะมาหาเจ้า เพื่อจะถามเกี่ยวกับลูกที่กำลังป่วยหนัก เจ้าจงบอกเขาไปอย่างงี้ๆ นะ” พระเจ้าสั่งอาหิยาห์ไว้เสร็จเรียบร้อย ข้อที่6 บอกว่า พอได้ยินเสียงฝีเท้า..ยังไม่ทันจะเข้าประตูเลย อาหิยาห์ก็ทักก่อนเลยว่า..เนี่ย เป็นมเหสีของเยโรโบอัมปลอมตัวมา จากนั้นอาหิยาห์ก็เผยพระวจนะเลย..ว่าไรบ้าง..เดี๋ยวคราวหน้าเรามาดูกันต่อ เพราะวันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น