วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 5 อาทิตย์ที่ 12:6:2011

หลังจากที่ซาโลมอนมอบถวายพระวิหารแด่พระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงตอบรับซาโลมอนด้วยพันธสัญญา หมายความว่า ต้องทำตามเงื่อนไขทั้งสองฝ่าย..ไม่ใช่ปล่อยให้พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ..หรือรอให้พระเจ้าอวยพรเราอยู่ฝ่ายเดียว แต่ซาโลมอนและเราต้องทำตามเงื่อนไขด้วย แล้วรายละเอียดก็ยังคงคอนต์เซปเดิมคือ”ต้องเชื่อฟัง..ต้องทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้” แล้วพระเจ้าก็ย้ำกับซาโลมอน..ว่าเขาและพงศ์พันธ์ของเขาต้องติดตามพระเจ้าด้วยสุดใจ ต้องรักษาพระบัญญัติของพระองค์เหมือนดาวิด..พ่อของเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้พงศ์พันธ์ของซาโลมอนได้ครอบครองอาณาจักรอิสราเอลตลอดไป แต่น่าเสียดายที่ซาโลมอนไม่สามารถดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้าได้ ต่อไปเราจะได้เรียนรู้กันว่าไปไง..มาไง ซาโลมอนถึงหลงเจิ่นไปได้ขนาดนั้น คราวก่อน เราก็ได้เรียนเกี่ยวกับราชกิจและความเจริญก้าวหน้าของก.ซาโลมอนไปแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของก.ฮีรามแห่งไทระ ซาโลมอนก็เลยได้มีกองเรือเป็นของตัวเอง วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่า ณ.จุดนั้น ที่ซาโลมอนประสบความสำเร็จมากมาย..เขาใช้ชีวิตยังไง

ดู1พกษ.11:1-2 ข้อนี้ บอกว่า..นอกจากธิดาฟาโรห์แล้ว พระราชาซาโลมอนทรงรักหญิง ”ต่างชาติ” อีกหลายคน..ทั้งคนโมอับ อัมโมน เอโดม ไซดอน และฮิตไทต์..เรียกว่าวาไรตี้มาก เที่ยวรักผู้หญิงไปทั่วไม่เลือกทั้งชาติ และศาสนา ข้อที่2 บอกว่า”บรรดาหญิงต่างชาติที่ซาโลมอนรักนี้เป็นของประชาชาติซึ่งพระเจ้าเคยสั่งห้าม..ไม่ให้คนอิสราเอลไปแต่งงานด้วย” เพราะฉะนั้น สิ่งที่ซาโลมอนทำในข้อนี้จึงก่อให้เกิดปัญหาลากยาวตามมา พระคำภีร์บอกว่า ”..เพราะเขาจะหันจิตใจของเจ้าไปตามพระของเขาเป็นแน่ เพราะซาโลมอนทรงติดพันกับหญิงต่างชาติเหล่านี้ด้วยความรัก” ข้อที่3 บอกว่า”ซาโลมอนมีมเหสีเจ็ดร้อยคน กับนางห้าม..ประเภทที่เก็บไว้ในฮาเร็มอีกสามร้อยคน เบ็ดเสร็จก็หนึ่งพัน..ปีนึงยังมีแค่365วัน มีภรรยาหนึ่งพันจะแบ่งเวลากันยังไง..มีแค่คนเดียว..ก็ไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว เพราะจริงๆแล้ว ผู้หญิงทุกคนก็มีความละเอียดอ่อน (หรือพูดตรงๆก็คือมีความงี่เง่า)..ที่ผู้ชายตามไม่ค่อยจะทันอยู่ในตัว แล้วซาโลมอนมีผู้หญิงเป็นพัน..!! อยากให้เด็กๆไปดูที่ปญจ.ควบคู่กันไป เพราะก็อธิบายไว้ชัดเจน..ว่าซาโลมอนใช้ชีวิตยังไงในวาระที่ชีวิตรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด

ในปญจ.2:4-6/7-8 หนังสือปัญญาจารย์นี้..ซาโลมอนเป็นคนเขียน เราสังเกตดูว่าทุกข้อจะมีคำว่า”ข้าพเจ้า”หมดเลย น้าตุ๊กเคยสอนไปครั้งนึงแล้ว..ว่าเมื่อไหร่ที่คำพูดของเรามีคำว่า ”ฉัน”มากเกินไปหรือแทบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราพูดถึงตัวเองด้วยความภูมิใจ..ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม...จุดนั้นต้องระวัง เพราะคำว่า”ฉัน หรือ ข้าพเจ้า”เป็นสัญญาณว่าเราเริ่มเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแทนพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ในหนังสือปญจ.นี้เราจะเห็นว่า ซาโลมอนสะสมและทำการงานฝ่ายโลกมากมายหลายอย่าง..เพื่อตัวเองล้วนๆ ในข้อที่อ่านมานี้ไม่มีตรงไหนเลยที่ซาโลมอนทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งสร้างบ้านเรือน ทำสวนพักผ่อนหย่อนใจ สร้างสระน้ำ ซื้อทาสชายหญิง สะสมเงินทองทรัพย์สินทุกประเภท รวมถึงยังเจ้าสำราญอย่างหนักเพราะมีนักร้องชายหญิงและเมียน้อยไว้เสพสุขส่วนตัว อันนี้ เขาเป็นคนพูดเอง..

ดูปญจ.2:10-11 ข้อที่10 ซาโลมอน บอกว่า “..ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานใดๆ เพราะใจข้าพเจ้าเพลิดเพลินในบรรดางานของข้าพเจ้า..” แปลว่าใช้ชีวิตเสพสุขตามอำเภอใจอย่างเต็มที่..แล้วนี่ก็คือข้อเสียของการมีเงินทองและอำนาจบารมีมากเกินไป เพราะสำหรับคนที่ไม่รู้จักหักห้ามใจแล้ว ทั้งเงินทองและอำนาจจะกลายเป็นปัจจัยที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับชีวิตได้อย่างมาก เพราะมีกำลังที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองได้อย่างไม่อั้น..เพราะฉะนั้น ถ้าสิ่งที่ต้องการอย่างไม่อั้นนั้น..มันเป็นความบาป ก็แปลว่าทำบาปได้ไม่อั้นเหมือนกัน ซาโลมอนเลยมีภรรยาต่างชาติได้เป็นพัน ลองคิดดูถ้าไม่มีสตางค์..หรือไม่ได้เป็นกษัตริย์ซาโลมอนจะทำบาปต่อพระเจ้าได้ขนาดนี้มั๊ย..ไม่มีทาง น้าตุ๊กก็ยังยืนยันคำเดิม ”ว่าเราบางคนยากจนก็ดีแล้ว เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเราจะเป็นยังไงหรืออะไรจะเกิดขึ้นกับเราในเวลาที่เรามีเงินทองมากมาย อยากได้อะไร..ก็ได้ หรือมีอำนาจสั่งการทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ เพราะฉะนั้น บางทีภาวะที่ติดขัดหรือขัดสนบ้างตามอัตภาพมันจึงปลอดภัยกับจิตวิญญาณของเรามากกว่า” ข้อที่11 ซาโลมอนบอกว่า “เมื่อหันกลับมาดูสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ และความเหน็ดเหนื่อยที่ทุ่มเทลงไป ดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจัง คือ กินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์” เพราะฉะนั้น สิ่งที่ซาโลมอนบันทึกไว้ในหนังสือปญจ.นี้ก็ไปเสริม ถ้อยคำที่พระเยซูเคยสอนไว้..

ดู มธ.4:4 ข้อนี้ พระเยซูตรัสว่า”มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องบำรุงด้วยพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” จิตวิญญาณมันถึงจะมีชีวิตและเต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดีได้ เพราะงั้น..สิ่งที่ซาโลมอนทำมันจะมีประโยชน์ได้ไง ก็เขาปรนเปรอเนื้อหนังล้วนๆ เมื่อวาระสุดท้ายใกล้มาถึง..เขาเลยรู้สึกได้..ว่ามันเปล่าประโยชน์ เพราะถึงจะบำรุงเนื้อหนังขนาดไหน..เนื้อหนัง..ร่างกายเราก็ยังคงเปื่อยเน่าและหมดอายุไขไปตามกาลเวลา แต่จิตวิญญาณต่างหากที่ยังคงอยู่ ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้าแล้วบำรุงชีวิต..จิตวิญญาณของเราด้วยถ้อยคำของพระเจ้า เราจะรู้สึกเต็มล้นไปจนวันตาย..เพราะเราให้อาหารจิตวิญญาณ แล้วเมื่อวาระสุดท้ายมาถึงเราก็จะไม่กลัว..เราจะไม่รู้สึกสูญเปล่า แต่เราจะรู้สึกว่าตัวเราเนี้ย..มีที่มา และมีที่ไป ไปไหน..ไปสวรรค์ แล้วที่พี่น็อตมีคำถาม..ว่าเมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจะทำอะไรกันบนสวรรค์ เป็นคำถามที่ดีมาก แต่ถ้าจะตอบให้ดี..ต้องตอบว่า”ไม่รู้” แต่น้าตุ๊กอยากตอบเท่าที่รู้มากกว่า เพราะโดยส่วนตัวแล้วน้าตุ๊กเชื่อว่า นอกจากพระคำภีร์ คือ ความจริงแล้ว เพลงสรรเสริญ ก็คือ ความจริงด้วย เพราะมันเป็นจริงในชีวิตน้าตุ๊กทีละเพลงๆ ดังนั้น อยากจะยกมาให้พิจารณากันสักสองเพลง

“..เมื่อเรา ได้ไป อยู่เมือง..สวรรค์ ช้านาน นับหลาย..พันปี ยังมี เว..ลา ร้องเพลง สรรเสริญ เท่ากัน กับเมื่อ..เริ่มต้น..”

“..เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์..มีชีวิตนิจนิรันดร์ และเราผู้ชอบธรรมนั้น..ร้องก้องในชัยชนะ บทเพลงซร้องสรรเสริญ..ล่องลอยมาจากสวรรค์ และฉันรู้ว่าโลกนี้..ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย..”

เพราะฉะนั้น สองเพลงนี้น่าจะบอกอะไรเราได้บางอย่าง ประกอบกับที่พระคำภีร์บอกไว้ใน 1ซมอ.16:23 “อยู่มาเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาสิงซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณเขาคู่ใช้มือดีดถวาย ซาอูลก็ทรงชุ่มชื่นขึ้นและหายดี และวิญญาณชั่วก็พรากจากพระองค์ไป และใน 2 พศว.5:13-14 “อยู่มาพวกคนเป่าแตรและพวกนักร้องจะทำให้คนได้ยินเขาทั้งหลายร้องเพลงสรรเสริญ และเพลงโมทนาพระคุณพระเยโฮวาห์เป็นเสียงเดียวกัน และเมื่อเขาร้องขึ้นพร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่น ในการถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ว่า "เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์" พระนิเวศคือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเมฆเต็มไปหมด จนปุโรหิตจะยืนปรนนิบัติไม่ได้ด้วยเหตุเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเจ้า จากพระคำสองตอนที่ยกมานี้ น้าตุ๊กเชื่อว่าพระคำภีร์ได้สำแดงให้เรารู้ว่า “ดนตรีมีส่วนเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณ แน่นอน” เพราะฉะนั้น กิจการนึงที่น้าตุ๊กแน่ใจว่าจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราไปอยู่บนสวรรค์ก็คือ “การร้องเพลงนมัสการพระเจ้า” แล้วเวลาที่เราร้องอยู่บนโลกนี้..เรารู้สึกยังไง..เต็มล้น..ผ่อนคลาย..หายเหนื่อยหรือมีความสุขแค่ไหน ที่ในสวรรค์น่าจะสุขสุดๆกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ส่วนอย่างอื่น..เอาไว้ไปจริงๆแล้วเราคงรู้เองนะคะ..

กลับมาที่ 1พกษ.11:4/5-6 ข้อที่4 บอกว่า”มเหสีของซาโลมอน ได้หันพระทัยของพระองค์ให้ไปตามพระอื่น” การยอมออมชอมต่อความบาปของซาโลมอนเริ่มขยายผลแล้ว ชีวิตบั้นปลายของเขาเริ่มมีปัญหา..แล้วไม่ใช่ปัญหาจากภายนอก แต่มันเกิดขึ้นในบ้าน..เป็นปัญหาภายในที่เขาบ่มเพาะไว้เอง เราได้เห็นแล้วใช่มั๊ยว่าซาโลมอนเก่งกาจ..ปราชญ์เปรื่องขนาดไหน เขาพัฒนาอิสราเอลจนไม่มีใครเทียบได้ แต่สุดท้ายผู้ชายส่วนใหญ่ก็มาตายน้ำตื้น..เพราะผู้หญิงเป็นเหตุ อย่างดาวิดก็ทำบาปเรื่องอะไร..ก็เรื่องผู้หญิงเหมือนกัน อาจจะคนละแบบกับซาโลมอนแต่ประเด็นก็เหมือนเดิม..คือเรื่องผู้หญิง แล้วซาโลมอนก็เพี้ยนมากอย่างไม่น่าเชื่อ.. ข้อที่5 บอกว่า “ซาโลมอนกราบไหว้ทั้งพระอัชโทเรท..พระของคนไซดอน พระมิลโคม..ของพวกอัมโมน แล้วยังสร้างปูชนียสถานสูงให้พระเคโมช..ของคนโมอับ จับฉ่ายเลยทีเดียว แล้วทำไมถึงเป็นไปได้ขนาดนั้น..

ดูยรม.17:9-10 ข้อนี้เยเรมีย์ บอกว่า“จิตใจของเราก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว..” ใจของเรานี่แหละ..คือตัวการสำคัญ เราประมาทกับใจตัวเองไม่ได้ แต่ซาโลมอนประมาทกับใจตัวเองเพราะเขาคิดว่าตัวเองเก่งไง..เลยยอมออมชอมให้กับความบาป..ไปรับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยา จริงๆแค่ธิดาฟาโรห์ก็แย่แล้วเพราะมันผิดกฎบัญญัติของพระเจ้า แต่ซาโลมอนก็ยังไม่หยุดแค่นั้น..มีแล้วมีอีกมีเป็นพัน เพราะฉะนั้นนี่คือความประมาทและไม่เชื่อฟัง..ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความบาปไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพร้ส กลไกของมันก็คือ เริ่มต้นมาจากใจ(ที่ไม่ระวัง) ที่ถูกล่อลวง แล้วก็ยอมผ่อนปรน ไปต่อยอดให้มัน..วันละเล็ก..ละน้อย ประกอบกับซาโลมอนคงจะมั่นใจในตัวเอง คิดว่าโอ๊ย..ยังไงฉันก็เอาอยู่ เรื่องแค่นี้คงไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นด้วยคำเนี้ย..คงไม่เป็นไรมั้ง แล้วพระเจ้าก็อวยพรเยอะ..ดาวิดก็สอนมาดี ซาโลมอนเลยคิดว่า..ตัวเองมั่นคง อันนี้แหละที่อันตราย เพราะใน 1คร.10:12 ก็บอกไว้ชัดเจนว่า ”เหตุ ฉะนั้น คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง” ตอนนี้ซาโลมอนเข้าข่ายนี้เลย..คิดว่าตัวเองมั่นคง..เลยใช้ชีวิตตอบสนองความต้องการของเนื้อหนังอย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ แล้วที่สำคัญซาโลมอนมักจะได้อย่างที่ต้องการเสมอ..นี่คือจุดที่อันตราย เด็กๆจำไว้เลยว่า..จุดที่อันตรายที่สุด ก็คือ เวลาที่ทุกอย่างมันได้อย่างใจเราไปหมด..ไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งความทุกข์หรือการทดลอง เพราะเราก็เห็นแล้วว่า..ในที่สุด ซาโลมอนก็ล้มในความบาป

ดู1พกษ.11:9-10 ในที่สุดพระพิโรธของพระเจ้าก็มาถึงซาโลมอน เพราะใจของซาโลมอนเริ่มไม่ติดสนิทกับพระเจ้า เขาอาจจะยังนมัสการและถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าอยู่ แต่ขณะเดียวกันซาโลมอนก็ไหว้พระอื่นอีกเยอะแยะมากมายไปด้วย..ซึ่งการทำอย่างงี้พระเจ้าไม่พอพระทัย ถึงเขาจะยังนมัสการพระเจ้าหรือยังถวายเครื่องบูชา..มันก็ไม่ได้ทำให้ซาโลมอนพ้นความผิด เพราะเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัยก็คือ ”หัวใจที่เชื่อฟัง” แต่ซาโลมอนไม่เชื่อฟัง..เพราะฉะนั้น ถึงจะยังนมัสการหรือจะยังถวายเครื่องบูชา..มันก็ลบล้างความผิดไม่ได้ ไม่มีอะไรสามารถมาทดแทนความเชื่อฟังของเรา และทั้งที่พระเจ้าอุตส่าห์ปรากฎต่อซาโลมอนถึงสองครั้ง..แล้วทุกครั้งก็เตือน..ว่าอย่าไปไหว้พระอื่นนะ แต่วันนี้ ซาโลมอนก็ยังไปไหว้พระอื่น.. ทำไม..เพราะอะไรถึงเป็นอย่างงี้ พระคำภีร์บอกชัดเจน..ว่าเพราะ ”มเหสีของซาโลมอนชักนำให้เขาหลงไป” (สำหรับพวกเรายังมีโอกาส..ก็เลือกให้ดี..จะมีคู่ทั้งที เลือกคนที่มีความเชื่อด้วยกันจะดีกว่ามั๊ย ถ้าไม่..มั่นใจแค่ไหนว่าเราแข็งแรงกว่าซาโลมอน ที่ไม่ถูกดึงออกไปจากทางของพระเจ้า อันนี้ น้าตุ๊กแค่โน้มนำ ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีสามีหรือภรรยาที่ไม่เชื่อพระเจ้านั้นผิดหรือไม่ดี..ไม่เกี่ยวกันนะคะ) อย่างซาโลมอนตอนยังหนุ่มเขาก็ยังไม่ทำบาป แต่ข้อที่4 บอกว่า“เมื่อซาโลมอนทรงพระชรา ใจของพระองค์ก็หาได้บริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์ดังดาวิดราชบิดาไม่” ด้วยความรักและเกรงใจบรรดาภรรยา..ก็เลยยอมออมชอมให้กับความบาป ซาโลมอนคงคิดว่าไม่เป็นไร..ถ้าเรายังนมัสการพระเจ้าอยู่แต่ไหว้พระอื่นไปด้วย..ก็น่าจะไม่เป็นไร..คงไม่เป็นไร ค่อยๆผ่อนปรนไป ทีละนิด..ทีละหน่อย นานวันเข้า..ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น

ดู1พกษ.11:11-12/13 แล้วพระเจ้าก็ทรงพิพากษาซาโลมอน ข้อนี้ พระองค์ตรัสว่า “เพราะเจ้าผิดสัญญา ไม่รักษาพระบัญญัติที่เราให้ไว้..หันไปไหว้พระอื่น เราจะฉีกอาณาจักรเสียจากเจ้าเป็นแน่และให้แก่ข้าราชการของเจ้า แต่เพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่กระทำสิ่งนี้ในวันเวลาของเจ้า แต่จะฉีกจากมือบุตรชายของเจ้า” คือ พระเจ้าจะฉีกอาณาจักรอิสราเอลออกจากพงศ์พันธ์ของซาโลมอน เอาไปให้ใคร..เอาไปให้ข้าราชการคนนึงของเขา แต่เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระองค์ (พูดง่ายๆ..ก็เห็นแก่ที่พ่อเป็นคนดี) พระองค์ก็เลยจะยังไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยของซาโลมอน แต่คำพิพากษาของพระองค์จะเป็นจริงในรุ่นลูกของเขา ก็คือ ในสมัยของเรโหโบอัม ข้อที่13 พระเจ้ายังตรัสต่อไปว่า.. “อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกเสียหมดอาณาจักร แต่เราจะให้ตระกูลหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้" พระเจ้าจะยกอิสราเอลให้ข้าราชการคนนึงของซาโลมอนได้ครอบครอง แต่พระองค์ก็จะไม่เอาไปจากราชวงศ์ของซาโลมอนทั้งหมด..จะเอาไปสิบเผ่าแล้วเหลือให้พงศ์พันธ์ของซาโลมอนเผ่านึง..ซึ่งจริงๆแล้วก็สองเผ่า คือยูดาห์กับเบนยามิน แต่เบนยามินเล็กมาก..นานวันก็เลยถูกหลอมรวมเป็นอันเดียวกับยูดาห์ ทั้งนี้ ก็เพื่อเห็นแก่ดาวิดและเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มที่เราเลือกไว้ เพื่อดาวิด..อีกแล้ว (มีพ่อดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ซาโลมอนก็ยังทำให้ครึ่งที่มีอยู่พ่ายแพ้แก่เนื้อหนังตัวเอง)

ดู1พกษ.11:14-15 “พระเจ้าทรงให้ปฏิปักษ์เกิดขึ้นแก่ซาโลมอน..ตอนนี้ ซาโลมอนเริ่มมีศัตรูแล้ว จากที่เคยพักสงบ..ว่างก็เขียนเพลง แต่งสุภาษิต ประชาชนที่เคยนั่งเล่นกันใต้ต้นไม้อย่างมีความสุข ตอนนี้ ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เพราะซาโลมอนไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ศัตรูรายแรกของซาโลมอนที่พระคำภีร์กล่าวถึง คือ ฮาดัด คนเอโดม เรื่องราวความบาดหมางที่ฮาดัดมีต่ออิสราเอลมันสืบเนื่องมาจากการที่โยอาบไปฆ่าล้างเผ่าพันธ์คนเอโดม ตั้งแต่สมัยของดาวิด ครั้งนั้น ฮาดัดหนีเอาตัวรอดไปอยู่ที่อียิปต์แล้วเขาก็เป็นที่โปรดปรานของฟาโรห์ แล้วก็ได้แต่งงานกับน้องสาวมเหสีของฟาโรห์ด้วย แต่พอดาวิดตายเขาก็กลับมาที่เอโดมแล้วตอนนี้ก็กำลังลุกขึ้นเป็นศัตรูกับซาโลมอน ข้อที่23 ก็บันทึกว่า..พระเจ้าทรงอนุญาตให้มีศัตรูอีกคนเกิดขึ้น ก็คือ เรโซน คนนี้อยู่ที่ดามัสกัสหรือซีเรีย..ทางตอนเหนือของอิสราเอล สิ่งที่พระคำภีร์ชี้ให้เห็นในช่วงนี้ก็คือ “เมื่อพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ได้ปกอยู่เหนือชีวิตของซาโลมอนและอิสราเอลแล้ว..ความสงบสุขและสันติภาพ ความราบรื่นอะไรต่างๆของชีวิตก็ไม่มีอีกต่อไป” พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรมากเลย แค่ถอนพระหัตถ์ที่เคยปกป้องคุ้มครองออกไป..” ซาโลมอนกับอิสราเอลก็แย่แล้ว แต่ที่ร้ายสุดในบรรดาศัตรูที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็คือ “เยโรโบอัม” คนนี้สำคัญ..

ดู1พกษ.11:26-27 ข้อนี้ บอกว่า “เยโรโบอัม เป็นคนเผ่าเอฟราอิมและเป็นข้าราชการคนนึงของซาโลมอนซึ่งขยันและมีฝีมือ แล้วพระเจ้าก็บอกไว้..ว่าพระองค์จะยกอาณาจักรสิบเผ่าให้กับ”ข้าราชการ ของซาโลมอน” ซึ่งก็คือ เยโรโบอัมคนนี้แหละ ข้อที่27 บอกว่า “เยโรโบอัม ได้ยกมือขึ้นต่อสู้ก.ซาโลมอนด้วย เพราะถึงซาโลมอน..จะมั่งคั่งมากมายแล้ว แต่เขาก็ยังเก็บภาษีหนักแล้วก็ใช้แรงงานประชาชนอย่างหนัก..เพื่อกิจการส่วนตัวของเขา ตรงจุดนี้ เลยเป็นชนวนให้เยโรโบอัมต่อต้านซาโลมอนแล้วเรื่องมันก็บานปลายออกไปในสมัยของเรโหโบอัม..ลูกชายของซาโลมอนที่จะมาครองบัลลังก์ต่อจากเขาด้วย เดี๋ยวเราจะได้เรียนกันต่อไป..

ดู1พกษ.11:29-30/31-32 ผู้เผยพระวจนะคนนึงชื่ออาหิยาห์ได้พบกับเยโรโบอัมที่นอกเมือง พอเจอกัน อาหิยาห์ก็ฉีกเสื้อคลุมตัวใหม่ของเขาออกเป็นสิบสองชิ้น..(ก็คือ อิสราเอลมี12เผ่า) แล้วอาหิยาห์ก็ส่งให้เยโรโบอัมสิบชิ้น แล้วพูดว่า”ท่านจงเอาไปสิบชิ้น เพราะพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะฉีกอาณาจักรจากมือของซาโลมอนและยกให้เจ้าสิบตระกูล” อันนี้ เป็นการเจิมแล้วนะ ถือเป็นการเจิมตั้งเยโรโบอัมอย่างเป็นทางการ จากนั้น พระเจ้าก็ย้ำอีกว่า “แต่เราจะไม่ฉีกอาณาจักรของอิสราเอลในรัชกาลของซาโลมอน แต่จะให้มันเกิดขึ้นเมื่อเรโหโบอัม..ลูกชายของเขาได้ครองราชย์ และข้อที่36 บอกว่า “เรายังจะให้ตระกูลหนึ่งแก่บุตรชายของเขา เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีประทีปดวงหนึ่งต่อหน้าเราในกรุงเยรูซาเล็มเสมอ เป็นเมืองซึ่งเราได้เลือกเพื่อประดิษฐานนามของเราไว้ที่นั่น พระเจ้าย้ำแล้วย้ำอีก..ว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้วงศ์วานของดาวิดสูญสิ้นไป เพราะเห็นแก่ดาวิด พระเจ้าย้ำเรื่องนี้หลายครั้ง จนน้าตุ๊กรู้สึกว่า..พระคำข้อนี้ เป็นหมายสำคัญที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ พระเจ้าบอกว่าเพื่อดาวิดจะมี”ประทีปดวงหนึ่ง”ต่อหน้าเราในเยรูซาเล็มเสมอ แล้วพระเยซูคริสต์ก็คือ ประทีปดวงนั้น เพราะพระองค์จะทรงมาบังเกิดในเผ่ายูดาห์ตามเชื้อสายของดาวิด เพราะฉะนั้น ยังไงยูดาห์ก็ต้องอยู่..ไม่ว่าซาโลมอนหรือใครก็ตามจะทำผิดขนาดไหน พระเจ้าก็จะยังทรงค้ำชูเผ่ายูดาห์ไว้..ไม่ให้หายไปไหน เพราะไร เพราะน้ำพระทัยของพระองค์จะได้สำเร็จอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อันนี้สำคัญที่สุด..

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ น้าตุ๊กขอโน้มนำให้ทุกท่านร่วมใจกันอธิฐานขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคริสตจักรอภิสุทธิสถานของเรา 18 ปีแห่งพระพรที่เต็มล้นและพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงทำให้เรามีผู้นำที่ดีและพี่น้องที่น่ารัก ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคริสตจักรที่เป็นเหมือนบ้านแสนอบอุ่น ขอพระคุณความรักของพระองค์ปกอยู่เหนือคริสตจักรของพระองค์ตลอดไป แล้วพบกันใหม่..พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น