วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 4 อาทิตย์ที่ 5:6:2011

เรายังอยู่ในช่วงที่ก.ซาโลมอนกำลังสร้างพระวิหารถวายพระเจ้าในบทที่6 พระคำภีร์อธิบายรายละเอียดไว้อย่างชัดเจนมาก เดี๋ยวน้าตุ๊กยกมาสรุปแบบให้เด็กๆพอเห็นภาพในจุดที่สำคัญๆก็แล้วกันนะคะ

ดู1พกษ.6:20-22 ห้องที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ ห้องอภิสุทธิสถาน..ซึ่งเป็นห้องที่บริสุทธิ์ที่สุด ข้อนี้ บอกว่าก.ซาโลมอนบุห้องนี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์ แล้วก็บุพระนิเวศน์ทั้งหลังรวมทั้งแท่นบูชาด้วยทองคำบริสุทธิ์ด้วย แล้วซาโลมอนก็ยังสร้างเครูบ..สองรูป (เครูบเป็นทูตสวรรค์ที่มีปีก) รูปที่ซาโลมอนสร้างนี้ สูง4.5เมตร แล้วความกว้างจากปลายปีกข้างนึงไปถึงอีกข้างนึงก็กว้าง 4.5เมตร ห้องกว้าง9เมตร เพราะฉะนั้นสองตัววางคู่กันก็เต็มห้องพอดี ข้อที่28 บอกว่า เครูบนี้ก็บุด้วยทองคำทั้งหมด นอกจากนี้ ข้อที่30 ยังบอกว่า..พื้นของพระนิเวศน์ก็บุด้วยทองคำทั้งข้างใน..ข้างนอก ลองคิดดูว่าซาโลมอนมีทองเยอะขนาดไหน..ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าดาวิดสะสมทองไว้ให้ซาโลมอนประมาณ 5 ล้านกิโล กับเงินอีกหลายร้อยล้านกิโล เพราะฉะนั้น นึกภาพออกมั๊ย..ว่าเมื่อเนบูคัสเนสซาร์ มาทำลายพระนิเวศน์ของพระเจ้า..จะขนทองกลับไปเยอะขนาดไหน

ดู1พกษ.7:1-2 พอสร้างพระวิหารเสร็จ ซาโลมอนก็สร้างวังให้ตัวเอง สร้างพระวิหารใช้เวลา7ปี สร้างวังใช้เวลา13ปี แล้วก็เป็นพระราชวังที่ใหญ่มากยาว 45เมตร กว้าง22.5 เมตร สูง13.5เมตร เขาเรียกว่า”พระราชวังเลบานอน” แล้วซาโลมอนก็ยังสร้างท้องพระโรง สร้างวังให้กับธิดาฟาโรห์..ซึ่งเป็นมเหสี แล้วก็ยังมีการสร้างบัลลังก์ด้วยงาช้างและทองคำ สรุปแล้วในบทนี้ก็จะบรรยายถึงพระราชวังที่มีความวิจิตรพิศดาร..ยิ่งใหญ่อลังการมากที่ซาโลมอนได้สร้างไว้ แล้วก็มีการให้เครดิตร์กับคนๆนึงที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในผลงานทั้งหมดของซาโลมอน ก็คือ “ฮีราม” แต่ไม่ใช่กัตริย์ฮีรามนะคะ..คนละคนกัน ข้อที่13 บอกว่า ซาโลมอนให้คนไปตามฮีรามมาจากเมืองไทระ ฮีราม..มีแม่เป็นยิว..เป็นคนเผ่านัฟทาลี ส่วนพ่อเป็นคนไทระ ก็คือเป็นลูกครึ่ง..แล้วก็เป็นคนที่มีฝีมือมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงานทองสัมฤทธิ์..ซึ่งเป็นงานส่วนใหญ่เลยในงานก่อสร้างของก.ซาโลมอน เพราะฉะนั้น รายละเอียดความวิจิตรบรรจงที่บรรยายไว้ในบทนี้ ก็คือ ผลงานของฮีรามเกือบจะทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว เพราะเนบูคัสเนสซาร์ขนไปหมด ตอนที่ยกมาทำลายเยรูซาเล็ม..

ดู1พกษ.8:1-2 ในบทที่8 จะเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดอันนึงในประวัติศาสตร์อิสราเอล ก็คือ พิธีมอบถวายพระวิหาร แต่ก่อนที่จะถวาย..อิสราเอลก็ต้องเชิญหีบพันธสัญญาเข้ามาในห้องอภิสุทธิสถานซะก่อน พระคำภีร์ระบุว่าพระวิหารสร้างเสร็จในเดือนแปดและข้อนี้ บอกว่าการเคลื่อนหีบพันธสัญญาเข้ามาในพระวิหารนี้เกิดขึ้นในเดือน7 หมายความว่า สร้างวิหารเสร็จแล้ว 11 เดือน..ถึงได้มีการเคลื่อนหีบพันธสัญญาเข้ามา ข้อที่ 10 บอกว่า”..เมฆมาเต็มพระนิเวศน์ของพระเจ้า ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้..” ตรงนี้ น้าตุ๊กอยากให้ดู 2พศว.คู่กันไป เพราะมีอะไรบางอย่างที่อธิบายได้ชัดเจนกว่า

เปิดไปดู2พศว.5:13-14 “..และเมื่อเขาร้องขึ้น พร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่นในการถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าว่า..เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ พระนิเวศน์ของพระเจ้าก็มีเมฆเต็มไปหมด เพราะพระสิริของพระเจ้านั้นเต็มพระนิเวศน์” นี่คือ ลักษณะของการเจิมลงมาของพระเจ้า แสดงว่า พระเจ้าจะส่งการเจิมลงมาเมื่อไหร่..เมื่อเราร้องเพลงสรรเสริญไง ในเวลาที่เรานมัสการพระองค์ด้วยเสียงเพลงและเครื่องดนตรี..พระเจ้าจะส่งการเจิมลงมา เพราะฉะนั้น เวลาที่เราร้องเพลงนมัสการในห้องประชุมเนี่ย..มันคือนาทีทองนะ เด็กๆควรตั้งใจให้มากที่สุด พยายามนิ่งแล้วก็จดจ่อกับพระเจ้าเพราะนั่นคือโอกาสที่จิตวิญญาณของเราจะได้รับการฟื้นฟู ข้อที่14 บอกว่า..”เมฆเต็มไปหมดจนปุโรหิตจะยืนปรนนิบัติไม่ได้ เพราะพระสิริของพระเจ้าเต็มพระนิเวศน์” ทำไมเมื่อพระเจ้าทรงเจิมพระสิริลงมาแล้วปุโรหิตถึงยืนอยู่ไม่ได้..ในรากศัพท์ภาษาฮีบรู คำว่าพระสิริ หมายถึง “ความรู้สึกที่มันหนักๆ” เหมือนเวลาที่พระเจ้าส่งการเจิมลงมาในคริสตจักรแล้วบางคนก็ล้มลง เพราะจะรู้สึกหนักๆ..ก็เลยทำให้ปุโรหิตยืนอยู่ในพระนิเวศน์ไม่ได้..ต้องถอยออกมา

ดู1พกษ.8:22-23/27 ข้อนี้ เป็นคำอธิฐานในการมอบถวายพระวิหารของซาโลมอน..ซึ่งกล่าวไว้อย่างยอดเยี่ยมมาก ข้อที่ 23 บอกว่า..ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ไม่มีพระเจ้าองค์ใดเหมือนพระองค์ ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน หรือที่แผ่นดินเบื้องล่าง” ข้อที่27 ซาโลมอน บอกว่า..”แต่พระเจ้าทรงประทับที่แผ่นดินโลกหรือ ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุดยังรับพระองค์อยู่ไม่ได้ แล้วพระนิเวศน์ที่ข้าพระองค์สร้างขึ้น จะรับพระองค์ไม่ได้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร” นี่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า..ว่า ขนาดฟ้าสวรรค์ยังรับพระองค์ไม่ได้เลย..ไม่คู่ควร แล้วนับประสาอะไรกับวิหารที่เขาสร้างขึ้น ซาโลมอนรู้ดีว่าถึงเขาจะทำจนสุดความสามารถแล้วแต่วิหารที่เขาสร้างขึ้นก็ไม่คู่ควรกับพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว..

ดู1พกษ.8:28-29 ซาโลมอนรู้ว่าพระนิเวศน์ที่เขาสร้างถวายพระเจ้านั้น ไม่ได้คู่ควรกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่ซาโลมอนวิงวอนต่อพระเจ้าว่า..ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิฐานของผู้รับใช้พระองค์ถ้าเขาอธิฐานในพระนิเวศน์นี้ คือ สถานที่พระองค์ได้ตรัสว่า”นามของเราจะอยู่ที่นั่น” แล้วซาโลมอนก็อธิฐานครอบคลุมไว้อย่างครบถ้วนเลย ซาโลมอนยวิงวอนต่อพระเจ้าว่า”ใครก็ตามที่ทำบาป ถ้าเขามาอธิฐานต่อพระองค์ในที่แห่งนี้..ขอพระองค์ทรงฟัง

เมื่ออิสราเอลทำบาปแล้วต้องพ่ายแพ้ต่อศัตรู ถ้าเขาหันกลับมาอธิฐานต่อพระองค์ในนิเวศน์นี้..ขอพระองค์ทรงฟัง

เมื่อเกิดการกันดารอาหาร มีโรคระบาดหรือเกิดภัยพิบัติรอบด้าน ถ้าเขากางมือออกอธิฐานต่อพระองค์ในที่แห่งนี้..ก็ขอพระเจ้าโปรดฟัง

และเมื่อเขาถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย แล้วเขาสำนึกผิดอธิฐานต่อพระองค์..อธิฐานตรงต่อสถานที่นี้..ก็ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิฐานของผู้ที่ร้องทูล เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปอ่านหนังสือดาเนียล เราจะเห็นว่า ตอนที่ดาเนียลต้องไปเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลนเนี่ย..ดาเนียลจะเฝ้าพระเจ้าวันละสามครั้ง เขาจะเปิดหน้าต่างบานที่หันหน้าไปทาง”เยรูซาเล็ม”..แล้วอธิฐาน ดาเนียลทำอย่างงี้ เพราะเขาระลึกถึงคำอธิฐานของซาโลมอนที่เขาร้องทูลพระเจ้าไว้ในข้อนี้

หลังจากที่ซาโลมอนอธิฐานเสร็จแล้ว อยากให้เด็กๆเปิดไปดูรายละเอียดในหนังสือ

2พศด.7:1-2 ข้อนี้บอกว่า.”เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานของพระองค์แล้ว ไฟได้ลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาเสีย ” นี่คือ สัญญาณของการตอบคำอธิฐานจากพระเจ้า..(ซึ่งในหนังสือพกษ.ไม่ได้บันทึกไว้) แล้วการที่ไฟตกลงมาจากฟ้าเนี้ย..จริงๆแล้วมีไม่กี่ครั้ง เท่าที่พระคำภีร์บันทึกไว้ก็มีตอนที่โมเสสอธิฐานบนภ.ซีนาย ตอนที่เอลียาห์อธิฐานบนภ.คารเมล แล้วก็ครั้งนี้..ที่ซาโลมอนอธิฐานมอบถวายพระวิหาร พอไฟตกลงมาจากฟ้า คนอิสราเอลก็กราบซบหน้าลงถึงพื้น แล้วก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ข้อที่5 บอกว่า..ซาโลมอนได้ถวายเครื่องบูชาเป็น”วัวสองหมื่นสองพันตัว” กับ”แกะอีกหนึ่งแสนสองหมื่นตัว” ดูแล้วเป็นจำนวนที่มหาศาลมาก นี่เป็นการถวายสัตวบูชาจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วคิดว่าสัตว์จำนวนมากมายอย่างงี้..ต้องฆ่าถวายกันกี่วัน ข้อที่8 บอกว่า ครั้งนั้น “ซาโลมอนถือเทศกาลอยู่เจ็ดวัน” คือ ฆ่าสัตว์ถวายบูชากันอยู่อย่างงั้นเจ็ดวันไม่ไปไหนเลย และอิสราเอลทั้งปวงอยู่กับพระองค์ด้วย เป็นชุมชนใหญ่ยิ่งนักตั้งแต่ทางเข้าฮามัทถึงลำธารอียิปต์” ทางเข้าฮามัทถึงลำธารอียิปต์ ก็คือ ทั้งประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้..ทุกคนอยู่ร่วมในพิธีด้วยตลอดทั้งเจ็ดวัน จากนั้น พระเจ้าก็ทรงปรากฎต่อซาโลมอนอีกครั้งนึง พระองค์ตรัสอะไร..

ดู1พกษ.9:4-5/6-7 ครั้งนี้ พระเจ้าทรงปรากฎต่อซาโลมอนเป็นครั้งที่สอง ข้อที่3 พระองค์ตรัสว่า..”เราได้ยินคำอธิฐานซึ่งเจ้าได้กระทำต่อเราแล้ว เราได้รับพระนิเวศน์ที่เจ้าสร้างไว้และประดิษฐานชื่อของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์ และ “เจ้าต้องดำเนินต่อหน้าเราดังดาวิด..บิดาของเจ้าด้วยใจสัตย์ซื่อและด้วยความเที่ยงธรรม และรักษาพระบัญญัติของเรา แล้วพระองค์จะทรงสถาปนาราชบัลลังก์ของซาโลมอนให้อยู่เหนืออิสราเอลตลอดไป แปลว่า อิสราเอลจะมีเอกราชตลอดไป..ไม่ต้องถูกต่างชาติเข้ามายึดครอง “แต่” ถ้าเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าหันจากการติดตามเรา..ไม่รักษากฎบัญญัติของเราแต่ไปปรนนิบัติหรือนมัสการพระอื่นแล้ว เราจะตัดอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เจ้าทั้งหลาย..และพระนิเวศน์ที่เรารับไว้ในวันนี้ เราก็จะเหวี่ยงออกเสียจากสายตาของเรา..”

ดู1พกษ.9:8-9 “แล้วพระนิเวศน์ที่เจ้าถวายแด่เราในวันนี้ก็จะเป็นแค่กองปรักหักพัง และพวกเจ้าก็จะเป็นที่ดูถูกในหมู่ชนชาติทั้งหลาย” สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ นี่คือ พระลักษณะของพระเจ้าของเรา พระองค์ทรงควบคุมมนุษย์ด้วยพันธสัญญาเสมอ (พันธสัญญาเดิม..พันธสัญญาใหม่) แล้วพระองค์เท่านั้น..ที่ทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญา ส่วนมนุษย์ถูกพิสูจน์แล้ว..ว่าล้มเหลวตลอด..ไม่เคยทำตามสัญญา เพราะฉะนั้น จะขออะไรก็ขอได้..จะถวายอะไรพระองค์ก็รับ แต่..ยังไงเงื่อนไขยังเหมือนเดิม คือ “ต้องเชื่อฟังนะ” ถ้าไม่เชื่อฟังไม่ต้องมาคุยกัน ต่อให้พระนิเวศน์ที่ซาโลมอนสร้างถวายจะมีค่าแค่ไหนในสายตามนุษย์..พระเจ้าก็ไม่สนใจ จะทำด้วยเพชรด้วยทองซักกี่ร้อยล้านกิโล ก็ไม่ได้มีค่ามากกว่า”ความเชื่อฟัง”ของเรา ถ้าไม่เชื่อฟัง..พระเจ้าจะเหวี่ยงทุกอย่างทิ้งไปเลย เพราะฉะนั้น นโยบายการสร้างวัด..สร้างโบสถ์..สร้างเมรุอะไรต่างๆเพื่อใช้กรรม..ที่มนุษย์ชอบทำเนี่ย..ไม่เวริ์คแน่นอน เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว..มันใช้การไม่ได้..มันทดแทนความเชื่อไม่ได้ สิ่งสำคัญสุดที่เราจะได้รับความรอดและทางเดียวที่พระเจ้าจะทรงอยู่กับเราเสมอก็คือ “ต้องมีความเชื่อ” ไม่ใช่พิธีกรรมหรือสถานที่อะไรทั้งนั้น..อยากให้เข้าใจตรงนี้

ดู1พกษ.9:11-12 ข้อนี้เป็นบันทึกการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน..ระหว่างซาโลมอนกับก.ฮีราม เมืองไทระ..ที่ส่งไม้สนสีดาร์กับช่างฝีมือมาช่วยซาโลมอนสร้างวังกับพระวิหาร ข้อนี้ บอกว่า..ซาโลมอนสัญญาว่าจะยกหัวเมืองในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ก.ฮีราม 20 หัวเมือง เพราะนอกเหนือจากเรื่องงานไม้แล้วฮีรามยังส่งทองคำมาให้ซาโลมอนอีก120ตะลันต์..ก็ประมาณ 4ตันหรือ4000กิโล..ประมาณนั้น นี่คือข้อแลกเปลี่ยนที่ตกลงกันไว้ เพราะดินแดนกาลิลีอยู่ทางเหนือติดกับเมืองไทระ ถ้ายกให้..ไทระก็สามารถที่จะขยายอาณาเขตออกมาได้เลย..ฮีรามก็เลยอยากได้ แต่พอไปดูจริงๆแล้ว โอโห..แต่ละเมืองที่ซาโลมอนยกให้..มันแห้งแล้งเหลือเกิน..ก.ฮีรามก็เลยไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ข้อที่13 ฮีรามถึงกับออกปากกับซาโลมอนว่า”พระอนุชาเอ๋ยเมืองที่ท่านประทานแก่ข้าพเจ้านั้น..เป็นเมืองอะไรอย่างนี้” เมืองอะไรเนี่ย..กันดารสุดๆเลย ซาโลมอนก็ฉลาดอีกแล้ว..แต่ฮีรามก็ยอม..ซาโลมอนให้อันไหนก็ต้องเอาอันนั้น เพราะไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะให้เมืองไหน บอกแต่ว่าจะยกหัวเมืองให้..แค่นั้น

ดู1พกษ.9:16-17 ข้อนี้ บอกว่า ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ยกทัพไปตีเมืองเกเซอร์ พอยึดได้แล้วก็ยกเมืองนี้ให้ลูกสาว..ที่เป็นมเหสีของซาโลมอนเพื่อเป็นสินสมรส ซาโลมอนเลยได้ครอบครองแล้วก็สร้างเมืองนั้นขึ้นใหม่..อะไรจะดีขนาดนี้ได้ฟรีตลอด ซาโลมอนไม่เคยต้องออกแรงไปรบเองเลย ข้อที่24 บอกว่า ดาวิดได้ย้ายธิดาฟาร์โรห์มเหสีของพระองค์ไปอยู่ในวังใหม่ เพราะอะไร..ในหนังสือพกษ.นี้ไม่ได้บันทึกไว้ แต่ในพงศาวดาร8:11 อธิบายไว้ชัดเจน..ซาโลมอนบอกว่า “มเหสีของเราไม่ควรอยู่ในวังของ”ดาวิด”..กษัตริย์แห่งอิสราเอล เพราะไร..สถานที่แห่งนี้เป็นที่บริสุทธิ์ คือ เป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญา ส่วนธิดาฟาโรห์เป็นหญิงต่างชาติ..ซึ่งจริงๆแล้วจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะการรับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยามันก็ผิดพระบัญญัติมากพออยู่แล้ว ซาโลมอนก็คงตะขิดตะขวงใจ..เลยสร้างวังใหม่ที่ไกลออกไปจากเยรูซาเล็ม..ให้ธิดาฟาร์โรห์

ดู1พกษ.9:26-28 ในข้อนี้ จะพูดถึงราชกิจที่สำคัญอีกอันนึงของซาโลมอน ก็คือ การสร้างกองเรือกำปั่น..หรือเรือเดินทะเลที่เอซีโอนเกเบอร์ การที่มีกองเรือ..ก็ถือเป็นความเจริญสุดๆเลยสำหรับสมัยนั้น แล้วก็มีแต่จะนำความมั่งคั่งมาให้ เพราะถ้าเดินเรือเป็น..จะไปไหนก็ได้แล้วการเดินเรือก็มีความสำคัญมากในการที่จะติดต่อทำการค้ากับประเทศต่างๆ ไม่เฉพาะแต่สมัยก่อน แต่สมัยนี้การเดินเรือก็ยังสำคัญ ข้อที่27 บอกว่า ฮีรามได้ส่งทั้งข้าราชการและพลเรือที่เก่งๆและคุ้นเคยกับทะเลไปช่วยสอนให้กับคนของซาโลมอน..ก.ฮีรามอีกแล้ว เท่าที่เห็นการที่ซาโลมอนมีสัมพันธภาพที่ดีกับฮีรามนั้น..มีแต่ได้กับได้ ฮีรามช่วยเหลือ แล้วก็สนับสนุนซาโลมอนทุกอย่าง (ขนาดโดนหักคอไปทีละ..ซาโลมอนยกให้แต่หัวเมืองแล้งๆฮีรามก็ยังโอเค) มาตอนนี้ ฮีรามยังมาสอนการเดินเรือให้กับซาโลมอน ถ้าไม่สอน..คนอิสราเอลไม่มีทางทำได้ เพราะเกิดมาไม่เคยเดินเรือเลย ข้ามทะเลแดงก็ไม่ได้ใช้เรือ..พระเจ้าแหวกทะเลให้เดินข้ามไปซะงั้น ในประวัติศาสตร์ก็มีแต่ขี่อูฐ..ขี่ล่อ..ขี่ลาอะไรก็ว่าไป พอมีเรือแล้วซาโลมอนก็ไปได้ไกล ข้อที่ 28 บอกว่า “พวกเขาไปถึงเมืองโอฟีร์..ซึ่งเป็นเมืองที่มีแร่ทองคำเยอะมาก คนของซาโลมอนก็เลยแล้วขนทองจากเมืองนั้นกลับมาถวายซาโลมอน 420ตะลันต์..(คือ 24,780 กิโล หรือ 24.78 ตัน) ไปเที่ยวเดียว..คุ้มเลย

ดู1พกษ.10:1-2 นี่เป็นอีกเรื่องนึงที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้แค่ในพระคำภีร์ แต่ในประวัติศาสตร์โลกก็บันทึกไว้แล้วก็ยังถูกเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย ก็คือ เรื่องของพระนางแห่งเชบากับก.ซาโลมอน เมืองเชบา คาดว่าเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย..ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นเมืองท่าที่เจริญมากเพราะเป็นจุดเชื่อมของการส่งสินค้าระหว่างอินเดียกับอาฟริกา สรุปก็คือ เชบาก็เป็นเมืองที่เจริญมากในสมัยนั้น ทีนี้ พระนางแห่งเชบาก็คงจะได้ยินกิตติศัพท์ของก.ซาโลมอน ทั้งในเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง..เรื่องความฉลาด ข้อนี้ บอกว่า “พระนางก็เลยเสด็จมา เพื่อไร..เพื่อที่จะมาดูให้เห็นกับตาว่าซาโลมอนเลิศจริงอย่างที่เขาว่ารึเปล่า เพราะ..พระนางเองก็เป็นคนที่มั่งคั่ง..บริหารงานได้ประสบความสำเร็จเหมือนกัน ก็เลยอยากจะมาทดสอบให้หายสงสัย..พร้อมทั้งเตรียมปัญหาข้อข้องใจอะไรต่างๆที่ตัวเองแก้ไม่ได้..มาถามซาโลมอน ปรากฎว่า..ซาโลมอนตอบได้หมดเลย ไม่มีซักเรื่องที่ตอบไม่ได้..

ดู1พกษ.10:4-5 หลังจากที่ได้เห็นสติปัญญาของซาโลมอน รวมทั้งความอลังการของวัง อาหารบนโต๊ะเสวย เสื้อผ้าเครื่องใช้ต่างๆของซาโลมอนแล้ว ข้อที่5 บอกว่า”พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว..” ทำไมต้องสลด ก็เพราะตอนมา..มาอย่างมั่นใจเลย..ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน เพราะข้อที่2 บอกว่า “พระนางมาพร้อมกับข้าราชบริพารมากมายเป็นขบวน แล้วก็ขนเอาเครื่องเพชร เครื่องทอง รวมทั้งเครื่องเทศจำนวนมหาศาลมาโชว์ด้วย..ว่าฉันรวยจริง แต่พอมาเจอความยิ่งใหญ่อลังการของซาโลมอนแล้ว..สู้ไม่ได้เลย ข้อที่7 พระนางทูลซาโลมอนว่า..หม่อมฉันมิได้เชื่อข่าวนั้น จนได้มาเห็นกับตา และดูเถิดที่ได้ฟังมาก็ยังไม่ถึงครึ่งนึง” ตอนแรกที่ได้ยินกิตติศัพท์ของซาโลมอน พระนางแห่งเชบาคิดว่าคงลือกันเว่อร์เกินไป แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว โอโห..ไอที่เขาลือกันยังไม่ได้ครึ่งของความจริง ก็เลยสลด..เพราะซาโลมอนเหนือกว่าในทุกๆด้าน ข้อที่10 บอกว่า พอได้เห็นความมั่งคั่ง..สติปัญญา ความฉลาด..ความสมาร์ทของซาโลมอนแล้ว พระนางก็ถวายทองคำ..เพชรพลอย ต่างๆกับเครื่องเทศให้แก่ซาโลมอน สมัยนั้น เครื่องเทศน์มีค่ามากนะคะ บางอย่างเทียบได้กับเพชรพลอยเลยทีเดียว ในสมัยยุโรปตอนกลาง บางทีเขาเก็บเครื่องเทศน์ไว้ในตู้เซฟเลยทีเดียว ข้อที่13 บอกว่า..ฝ่ายซาโลมอนก็พระราชทานทุกอย่างให้แก่พระราชินีแห่งเชบา..ตามที่พระนางต้องการ เป็นการแลกเปลี่ยนกัน

หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่อวยพรค่ะ สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น