วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่15 อาทิตย์ที่ 27:2:201

คราวที่แล้วเราจบลงที่”บทเพลงของดาวิด เกี่ยวกับการช่วยกู้” ดาวิดถ่ายทอดโดยพระวิญญาณพระเจ้า ให้เรารู้ว่า..พระเจ้าทรงกระทำให้เขาชนะศัตรู ผู้ที่ปฎิเสธและเหยียดมืออกต่อต้านดาวิด..กษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ จะต้องถูกทำลายจนหมดสิ้น..และเกี่ยวกับการช่วยกู้นี้ หนังสือโรมจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น

โรม 8:31-33 “ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขวางเรา..” ถ้าเราวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีอะไรที่เราจะต้องกลัวอีกต่อไป...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ในความคิดของเรา “..ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว” ..เราจึงไม่ต้องกลัวการพิพากษา จะไม่มีใครสามารถปรับโทษเราได้อีกแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว...พระเยซูชดใช้แทนเราไปแล้วทั้งหมด..ทั้งความบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคตก็ตาม แต่ฟังอย่างงี้แล้ว..อย่าย่ามใจ เออ..งั้นเราทำอะไรก็ได้สิ..ไม่ได้นะคะ เพราะ วิญญาณเราจะรอดก็จริง แต่ดูดาวิดเป็นตัวอย่าง..จำให้แม่น..ว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความบาปของตัวเองขนาดไหน

โรม 8:35-36 “..ใครจะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบาก การกันดารอาหาร หรือโพยภัยทั้งปวง..” เพราะเมื่อเรามีพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องกลัวสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ..อุบัติเหตุหรืออุบัติภัยอะไรก็ตาม เพราะพระเจ้าอยู่กับเรา ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น..พระองค์ก็ทรงควบคุมอยู่ แม้แต่ความตายฝ่ายร่างกายก็ไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้ ดังนั้น ความตายก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะถึงยังไงวิญญาณเราก็จะรอดแล้วก็รอดนิรันดร์กาล

...นอกจากนี้ เรายังไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกินหรือขาดแคลนสิ่งที่จำเป็น (จำเป็นในสายพระเนตรพระเจ้า..ไม่ใช่สายพระเนตรของเรา) พระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้ว..ว่าจะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้กับเรา (สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นนะ แล้วจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน)

โรม 8:37-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตายหรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายภาคหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดอื่นที่ทรงสร้างแล้วนั้น..จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” เอเมน

พระเจ้าตั้งใจที่จะบอกเราว่า ถ้าเราเป็นของพระองค์แล้ว จะไม่มีอะไรสามารถทำให้เราถูกตัดขาดจากพระองค์ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นรูปธรรม..นามธรรม เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด เคยเห็นหรือไม่เคย ฟังดูแล้วอุ่นใจได้จริงๆ ขอให้เรามั่นคงในความเชื่อ วางใจในความรอดที่พระเจ้ามอบให้เรา แสวงหา..และติดตามพระเจ้าให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะนี่คือ สิ่งที่มั่นใจได้และมีค่าที่สุดแล้วในชีวิตของเรา

บทที่ 23 วาระสุดท้ายของดาวิด

ดู 2ซมอ.23:1-3 เพลงสดุดีในบทนี้เป็นวาระสุดท้ายของดาวิด คงไม่ได้หมายความว่า..ดาวิดเขียนเสร็จปุ๊บ..ตายปั๊บ แต่น่าจะหมายถึง เป็นบทสุดท้ายของคำประพันธ์ประเภทเพลงสดุดีที่ดาวิดเขียนไว้ ดาวิดเริ่มต้นด้วยการออกตัวว่า..ถ้อยคำที่กำลังจะพูดนี้เขาไม่ได้พูดเอง แต่ถ่ายทอดมาจากพระเจ้า..ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับพระคำภีร์ข้ออื่นๆ เพราะพระคำภีร์ทุกบททุกตอนก็ได้รับการดลใจจากพระเจ้าเหมือนกัน ดาวิดเกริ่นไว้เพราะเขาต้องการถวายเกียรติแด่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อที่3 บอกว่า “..เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม คือ ปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า..” ความหมายที่พระเจ้าสื่อกับเราในข้อนี้คือ กษัตริย์ของพระเจ้าต้องปกครองผู้อื่นภายใต้กฎเกณฑ์ของพระองค์..ยำเกรงพระองค์ ไม่เหมือนกษัตริย์ของคนต่างชาติ..ที่มักจะเอาตัวเองเป็นใหญ่ทำอะไรตามอำเภอใจ แต่กษัตริย์ของพระเจ้าทำอย่างงั้นไม่ได้ ทั้งประชาชนและรวมถึงกษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าทุกคน..ไม่มีใครได้รับการยกเว้น

ดู หนังสือ ยอห์น5:30 นี่คือ คำพูดของพระเยซูคริสต์..กษัตริย์แท้จริงที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ ขนาดพระองค์ยังทรงพูดว่า”เราจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ เพราะเรามิได้มุ่งทำตามใจตนเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา..คือพระเจ้าหรือพระบิดา

เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กขอยืนยัน..ว่าสารพัดปัญหาแบบที่”อับซาโลม”กับ”เชบา”ทำ การทะเลาะเบาะแว้ง การประท้วงต่อต้าน การปฏิวัติหรือสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราเห็นกันมากขึ้นในข่าวทุกวันนี้ ทั้งในประเทศไทย หรือแม้แต่ที่อียิปต์มาจนถึงตะวันออกกลาง..มันก็มาจากรากปัญหาเดียวเดิมๆ คือ “ทุกคนต่างกระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ ไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่มีกฎบัญญัติของพระองค์เป็นบรรทัดฐาน” ความวุ่นวายมันก็เลยเกิดขึ้น ถ้าทุกคนเชื่อพระเจ้า..ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะผู้นำหรือแม้แต่กษัตริย์ก็จะปกครองประชาชนหรือสมาชิกด้วยความชอบธรรม..ถูกต้องตามพระบัญชาของพระเจ้า ส่วนประชนหรือสมาชิกก็จะเชื่อฟังผู้นำเพราะทุกคนจะเชื่อว่าผู้นำหรือกษัตริย์นั้นมาจากพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาติ..เขาเป็นกษัตริย์ของคุณไม่ได้หรอก ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต..เขาก็เป็นพ่อแม่คุณไม่ได้เช่นกัน และถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต..เขาจะเป็นผู้นำหรือเจ้านายของคุณก็ไม่ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเขาได้เป็น...นั่นคือพระเจ้าอนุญาต แล้วถ้าคุณเห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกใจ วิธีเดียวที่คนเชื่อพระเจ้าจะทำก็คือ อธิฐาน..แต่ปกติวิสัยของมนุษย์ที่ติดมาจากอาดาม..เอวา ก็คือ "ต้องการเป็นผู้ควบคุม" มนุษย์เลยชอบที่จะลุกขึ้นจัดการทุกอย่างให้ได้ดั่งใจตัวเอง หลายครั้งเลยคิดประมาทว่า..มัวแต่อธิฐานแล้วเมื่อไหร่จะเกิดผล น้าตุ๊ก จะบอกให้ว่า พระเจ้าทรงได้ยินทุกคำอธิฐานของทุกคน และทรงบันดาลให้เกิดผลเสมอ..แต่ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า..ไม่ใช่ตามใจเรา และสารพัดที่ทรงบันดาลให้เกิดขึ้น ก็เพื่อจะเป็นผลดีต่อพวกเราที่รักพระเจ้า..เสมอ ดังนั้น มุมมองและทัศนคติที่ถูกต้องต่อสารพัดเหตุการณ์ ต้องเริ่มต้นที่คริสเตียนก่อน อย่าคิดจะเปลี่ยนโลกด้วยการพยายามไปเปลี่ยนคนอื่น เพราะที่ถูกต้องคือเราต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน นี่คือหน้าที่ที่แท้จริงของคริสเตียน...

กลับมาที่ดู2ซมอ.23:4-5 พระเจ้าจึงทรงตรัสผ่านดาวิดว่า..”ถ้ากษัตริย์ปกครองประชาชนด้วยความยำเกรงพระเจ้า เขาจะทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าและกระทำให้อาณาจักรจำเริญขึ้นเหมือนฝนที่ทำให้หญ้างอกงาม ข้อที่5 ดาวิดบอกว่า “..พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้ามิใช่หรือ..” บางฉบับเขียนว่า “พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งมั่นอยู่กับพระองค์หรือ เพราะพระองค์ทรงทำสัญญาเนืองนิตย์ไว้กับข้าพเจ้า..” คือ ข้อนี้ ดาวิดพูดอย่างถ่อมใจ..ไม่ว่าตัวเขาหรือพงศ์พันธุ์ของเขาจะทำได้ดีแค่ไหน..สมควรได้รับพระพรหรือไม่ พระเจ้าก็ยังสัญญาว่าจะประทานให้อยู่ดี ท้ายข้อที่5 บอกต่อไปว่า “..อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง เพราะพระองค์จะไม่ทรงให้ความอุปถัมป์ของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ” ณ.จุดนั้น เราไม่รู้หรอกว่าดาวิดเห็นภาพพระเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์ชัดเจนแค่ไหน แต่เขาพูดเหมือนมั่นใจมาก.. “ว่าวงศ์วานของเขา (ซึ่งจริงๆแล้วหมายถึงพระคริสต์) จะปกครองด้วยความชอบธรรมตลอดไป ไม่ใช่เพราะความดีของดาวิด แต่ด้วยพระคุณพระเจ้าที่ทรงสัญญาไว้

ดู2ซมอ.23:6-7 “..แต่คนอธรรมเป็นเหมือนหนามที่ต้องถูกผลักไสไป..” ความรอดที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้พวกเราโดยทางพระเยซูคริสต์นั้น..เพื่อมนุษย์ทุกคนก็จริง แต่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ยินแล้ว..จะรับเอาไว้..บางคนก็ปฏิเสธพระเยซู และคนที่ปฏิเสธกษัตริย์ของพระเจ้านี่แหละ คือ พงหนามที่ต้องถูกผลักไสไป ข้อที่7 บอกว่า..”แล้วการจะผลักไสคนอธรรมที่เหมือนต้นหนามไปนั้น ต้องระวังให้ดีด้วย จะเอามือหยิบก็ไม่ได้..เดี๋ยวมันจะตำมือเอา ต้องใช้อาวุธที่ทำด้วยเหล็ก..สับมันแล้วโยนเข้ากองไฟเผาทิ้งไป” น้าตุ๊กฟังข้อนี้แล้ว เข้าใจว่า บรรดาคนอธรรมที่ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็คงมีพิษสงไม่น้อยเหมือนกัน..เพราะพระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้เป็นตามพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น ภาพที่น้าตุ๊กเห็นตอนอ่านพระธรรมข้อนี้ คือ ถ้าเราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนพวกนี้ เราคงต้องมียุทธภัณฑ์ทั้งชุด..ของพระเจ้าเป็นเกราะป้องกันจิตวิญญาณ เพื่อ..ไม่ให้เราคล้อยตามหรือตอบโต้เขาแบบผิดๆ (ส่วนเรื่องยุทธภัณฑ์ทั้งชุด น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ถ้าใครพลาด..หรือจำไม่ได้ ก็สามารถอ่านย้อนหลังได้ในเวปต์ทีนคลาสของเรานะคะ)ส่วนจุดจบหรือปลายทางของคนเหล่านี้ที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือ นรกสถานเดียว

บทต่อไปคือเรื่องเกี่ยวกับ ”วีรบุรุษของดาวิด”

ดู2ซมอ.23:8-10 ในสมัยของดาวิดมีผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ 3 คนๆแรกคือ “โยเชบบัสเชเบธ”แห่งตระกูลทัคโมนี พระคำภีร์บอกว่า เขาฆ่าศัตรู800คนในครั้งเดียว แต่ที่บันทึกไว้ในพงศาวดารคือ300คน..แต่จะเท่าไหร่ก็ไม่ต่างกัน เพราะคนที่สามารถฆ่าศัตรูได้ทีเดียวหลายร้อยคนเนี่ย..ยังไงก็เก่งอยู่ดี ข้อที่9 บอกว่า วีรบุรุษคนที่รองจากโยเชบบัสเชเบธ คือ “เอเลอาซาร์” บุตรโดโด ข้อนี้บอกว่าเอเลอาซาร์เคยร่วมรบกับดาวิด..เมื่อครั้งนึงที่พวกฟิลิสเตียยกทัพมา ตอนนั้นดูคล้ายๆว่าอิสราเอลจะเป็นรอง ทหารคนอื่นก็หนีเอาตัวรอด แต่เอเอลอาซาร์อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับดาวิด..สู้จนยิบตา พระคำภีร์บอกว่า เอเลอาซาร์ฆ่าพวกฟิลิสเตียจนเหน็บกิน..มือเลยแข็งติดดาบ (ส่วนพวกเราก็เหน็บกินเหมือนกัน..เพราะไร ก็จับเมาท์เล่นเกมส์ไง) ข้อที่10 บอกว่า สุดท้ายในวันนั้นพระเจ้าก็ทรงทำให้เอเลอาซาร์ชนะพวกฟิลิสเตีย บรรดาทหารที่หนีไปก็กลับมาเคลียร์พื้นที่..

ดู2ซมอ.23:11 วีรบุรุษคนสุดท้ายในสามคนที่กล่าวถึงในข้อนี้คือ “ชัมมาห์” บุตรอาเก วีรกรรมของเขาเกิดขึ้นตอนที่อิสราเอลรบกับฟิลิสเตีย..อีกเหมือนเดิม ครั้งนั้นฟิลิสเตียตั้งใจจะมายึดที่ดินที่อิสราเอลปลูกถั่วแดงไว้ คือจะมาปล้นเอาผลผลิตที่กำลังงอกงาม..ว่างั้น คนอื่นๆก็หนีพวกฟิลิสเตียไปหมดแล้ว แต่ชัมมาห์ยืนหยัดต่อสู้จนในที่สุดพระเจ้าก็เห็นหัวใจที่มีความเชื่อ และกล้าหาญของชัมมาห์ พระองค์ก็ทรงโปรดประทานชัยชนะให้

สำหรับเรื่องนี้ เราต้องพยายามเข้าใจและมองให้เห็นภาพฝ่ายวิญญาณ เพราะทุกวันนี้พวกเราไม่ได้ไปรบกับใคร แล้วเนื้อหาในพระคำภีร์จะยังมีความหมายสำหรับเรามั๊ย..มีแน่นอน เพลงนมัสการที่เราร้องกันก็ยังคงเนื้อหาแบบดั้งเดิมที่พระคำภีร์บันทึกไว้ ”...โปรดทรงสัมผัสและแตะต้องเรา เพื่อให้เข้มแข็งในฤทธา เพื่อเอาชนะความอ่อนแอของเรา จะได้ยืนหยัดในสงคราม..” เพราะแท้จริงแล้วถึงเราจะไม่ได้รบฝ่ายเนื้อหนัง แต่สงครามฝ่ายวิญญาณมันเกิดขึ้นกับเราทุกวัน ทุกครั้งที่เราต้องเลือกหรือตัดสินใจทำอะไรก็ตาม..การสู้รบระหว่างเนื้อหนังกับวิญญาณมันเกิดขึ้นตลอด เวลาที่เรามีปัญหา..เวลาที่ถูกล่อลวง หรืออยู่ในสถานการณ์คับขัน เราเลือกทำอะไร..เรายังเชื่อมั๊ยว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ถ้าเชื่อ..เราจะทำเหมือนดาวิดและวีรบุรุษพวกนี้ไง คือ ยืนหยัดสู้จนยิบตา แม้ว่า..ในสายตาที่มองเห็นมันเหมือนจะสู้ไม่ได้ อย่างถ้าต้องสอบแข่งขัน หรือสอบสัมภาษณ์เพื่อที่จะได้งาน แต่ดูแล้วเราเก่งสู้คนอื่นไม่ได้เลย..เส้นสายก็ไม่มี ทำไงดี..ก็จงทำเหมือนบุคคลในพระคำภีร์ คือ อธิฐาน..สู้จนยิบตา..ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วสุดท้ายพระเจ้าก็จะประทานชัยชนะให้ ทั้งที่ดูแล้วน่าจะแพ้ เพราะเราไม่เก่งแถมยังไม่มีเส้นอีกด้วย แต่เรามีพระเจ้า..อย่าลืม

ดู2ซมอ.23:13-15/16-17 เหตุการณ์ในพระธรรมข้อนี้ น่าจะเกิดขึ้นตอนที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม..ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ตอนนั้นดาวิดมีทหารเอกประมาณ30คน แล้วครั้งนึงพวกฟิลิสเตีย ก็ยกทัพมายึดเมืองเบธเลเฮม..บ้านเกิดของดาวิดไว้ ข้อที่15 ดาวิดบ่นขึ้นมาว่า..”ใครหนอจะเอาน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมมาให้เราดื่มได้”คือ ในถิ่นทุรกันดารที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่คงจะขาดแคลนน้ำ ดาวิดก็เลยรู้สึกคิดถึงบ่อน้ำในหมู่บ้านเบธเลเฮม..ที่เคยดื่มกินมาตั้งแต่เด็ก พระคำภีร์บอกว่า“ดาวิดตรัสด้วยความอาลัย..” ตรัสด้วยความอาลัยก็หมายถึง บ่นว่าอยากดื่ม (..เหมือนพูดเปรยๆว่าอยากกินนั่น..อยากกินนี่) เพราะน้ำในบ่อที่เบธเลเฮมคงจะใสสะอาด..รสชาติดี ข้อที่16 บอกว่า พอดาวิดบ่นอย่างงั้น ทหารกล้าสามคนก็ไปเลย..เดินทางไปเบธเลเฮม..ฝ่าด่านของพวกฟิลิสเตียเข้าไปเอาน้ำจากบ่อนั้นกลับมา แต่พอพวกเขาเอาน้ำถวายให้ดาวิด..ดาวิดทำไง ดาวิดกลับเทน้ำลงดิน เพราะอะไร..ไม่ใช่ดาวิดไม่เห็นคุณค่านะ แต่เขาตกใจ..เพราะไม่ได้คิดจะให้ใครไปเสี่ยงตายเพื่อเขาขนาดนี้ แค่บ่นว่าอยากกิน..แต่ไม่ได้แปลว่าต้องได้ตามนั้น พอลูกน้องเอามาถวายดาวิดเลยกินไม่ลง..เพราะรู้สึกว่าลูกน้องทำเพื่อเขามากเกินไป ก็เลยเทน้ำลงดินถวายพระเจ้าไป..ไม่ดื่มทั้งที่กระหายสุดๆ

ดู2ซมอ.23:18-19 ข้อนี้ บอกว่า”อาบีชัย” เป็น1ในทหารเอก30คนที่อยู่กับดาวิดมาตั้งแต่ตอนที่ต้องหนีซาอูล..ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ อาบีชัยนับว่าเป็นคนนึงที่อยู่เคียงข้างดาวิดมาตลอด ทั้งตอนที่ต้องฝ่าวงล้อมทหารเข้าไปในค่ายของซาอูล..อาบีชัยก็อยากจะฆ่าซาอูลตั้งแต่ตอนนั้น แต่ดาวิดไม่อนุญาต ดาวิดสั่งให้เอาแค่หอกกับเหยือกน้ำของซาอูลติดมืออกมา นอกจากนี้ อาบีชัยยังเป็นผู้นำทหารตอนที่อิสราเอลต้องรบกับพวกซีเรียและอัมโมน มาจนถึงตอนที่ต้องไปจัดการกับอับซาโลม..อาบีชัยก็เป็นผู้นำกองกำลัง1ใน3ของดาวิด และล่าสุดดาวิดก็ยังเรียกใช้อาบีชัยให้ออกไปจัดการกับเชบา..ที่ตั้งท่าจะเป็นกบฎ อาบีชัยอาจจะมีข้อเสียอยู่บ้างเพราะเป็นคนใจร้อน แต่ถึงยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษของอิสราเอลอยู่ดี และในจำนวนทหารเอก30คนนี้..อาบีชัยเป็นอันดับหนึ่ง ข้อที่19บอกว่า..แต่ยศของอาบีชัยไม่ใหญ่โตเท่าวีรบุรุษสามคนแรก

ดู2ซมอ.23:20-22 วีรบุรุษคนต่อไปที่ถูกกล่าวถึงในสมัยของดาวิด คือ “เบไนยาห์” ในตอนแรกพระคำภีร์บอกว่าเบไนยาห์ได้ฆ่าบุตรของชาวโมอับสองคน..ดูแล้วก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ท้ายข้อที่20 บอกว่า เขาลงไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันหิมะตก คือสิงห์มันคงพลัดตกลงไปในบ่อ..คนก็เลยตักน้ำขึ้นมากินไม่ได้ เบไนยาห์เลยอาสาลงไปฆ่าสิงห์แล้วเอาตัวมันขึ้นมา ฟังแล้วนึกถึง”แซมสัน” ติดใจตอนที่พ่อแม่เดินไปด้วยกันแต่ไม่รู้ว่าแซมสันฆ่าสิงโตตอนไหน คือ ต้องไวมากๆแล้วก็มีแรงมหาศาล..ถึงฆ่าสิงโตได้โดยที่คนเดินอยู่ข้างหน้าไม่ทันเห็น ข้อที่21 บอกว่า เบไนยาห์ยังฆ่าชาวอียิปต์คนนึงที่มีหอกเป็นอาวุธ..ในขณะที่เขามีไม้เท้าแค่อันเดียว และที่น่าทึ่งก็คือ (2ซมอ.8:18) เบไนยาห์เป็นลูกของปุโรหิตชาวเลวี เราคงนึกไม่ถึงว่าปุโรหิตเลวีจะบู๊ได้ขนาดนี้ เพราะถ้าพูดถึงเชื้อสายของปุโรหิตเราคงนึกถึงแต่คนที่ทำงานในวิหารหรือพลับพลา..แต่เบไนยาห์ไม่ใช่ เขามีฝีมือจนดาวิดแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์

ข้อที่24-39 ก็จะเป็นรายชื่อของบรรดาวีรบุรุษสงคราม อ่านดูแล้วก็จะคุ้นหูอยู่หลายคน แต่ที่สะดุดคือ..ข้อที่39 เพราะมีชื่อของอุรีอาห์ คนฮิตไทต์รวมอยู่ด้วย แสดงว่าอุรีอาห์ต้องเป็นนักรบที่มีชื่อเสียง คนอิสราเอลจะต้องรู้จักอุรีอาห์กันทั้งประเทศ..เหมือนเวลาเราพูดถึงนักการเมืองสมัยนี้ แต่ดาวิดก็ยังไปแย่งภรรยาเขามา แล้วยังกล้าฆ่าเขาตาย..(อดพูดไม่ได้จริงๆ)

อีกเรื่องที่น่าสังเกตุ ก็คือ วีรบุรุษหลายคนมากที่ถูกบันทึกไว้ในตอนนี้..เป็นคนต่างชาติ ความจริงในข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า ”พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนต่างชาติมีส่วนร่วมในแผนการของพระองค์เสมอ” พระเจ้าทรงทำการผ่านผู้คนมากมาย..ไม่ได้ผูกขาดไว้เฉพาะยิว..อิสราเอล..คนกลุ่มเดียว หรือคนๆเดียว นี่เป็นเรื่องเดียวกันกับคริสตจักรของเราในปัจจุบัน

ดู 1โครินธ์12:12-13/27-28 “กายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน..” เหมือนพวกเราที่มีหน้าที่ต่างกัน แต่เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นกายเดียวของพระคริสต์ บางคนเป็นมือ..บางคนเป็นเท้า..แต่จะเป็นอะไรทุกคนก็สำคัญเท่ากัน ไม่มีสำคัญมาก..สำคัญน้อย เหมือนอวัยวะของเรา..บางส่วนถึงจะดูไม่มีบทบาทอะไร แต่เราก็ไม่อยากเสียมันไปใช่มั๊ย มีใครมะ..อยู่ดีๆไปตัดไส้ติ่งทิ้ง..เกะกะ หรือตัดนิ้วก้อยออกไป..รำคาญ เพราะมันไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่..ไม่มีหรอก มีแต่จะรักษาไว้จนถึงที่สุด พระเจ้าก็ทรงมองพวกเรา..ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระองค์อย่างงี้เหมือนกัน ข้อที่28 ถึงบอกว่า..”พระเจ้าได้ทรงตั้งบางคนไว้เป็นผู้นำคริสตจักร บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นครู บางคนเป็นสมาชิกธรรมดา แต่จะเป็นอะไร..ทุกคนก็สำคัญเท่ากันหมด ไม่ต้องไปอยากทำเรื่องที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราทุกคนไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าฉาก..ถ้าพระเจ้าให้เราอยู่เบื้องหลังก็อยู่เบื้องหลังไป..ทำหน้าที่ของเราให้ดี ข้อที่31 บอกว่า..”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันยิ่งใหญ่กว่านั้น..” ของประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความรอด แล้วเราทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ได้รับกันมาทั่วหน้าแล้ว ส่วนการเป็นผู้เผยพระวจนะ การเป็นผู้นำคริสตจักร การเป็นครู..เป็นผู้ประกาศ มันก็แค่ของประทานเล็กๆน้อยๆ เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหามัน..พระเจ้าให้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องไปอยากได้หรืออยากเป็นเหมือนคนอื่น..เป็นตัวเองดีที่สุด

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่ได้รับบัพติศมาในวันนี้นะคะ สองท่านเป็นเพื่อนที่สนิทกับน้าตุ๊กมานานเกือบสิบปี แล้วในที่สุดวันนี้..เขาก็ได้รับความรักของพระเจ้า..กลับใจใหม่เลือกที่จะเดินตามพระองค์อย่างอัศจรรย์ น้าตุ๊กขอยืนยันว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เพราะน้าตุ๊กได้เห็นชีวิต..การเปลี่ยนแปลง และการจำเริญขึ้นในความเชื่อของทั้งสองท่านมาโดยตลอด ขอพระเจ้าประทานความเชื่ออันเต็มขนาดให้ทุกท่าน..น้าตุ๊กขอหนุนใจให้เราทุกคนมั่นคงในความเชื่อ ติดตามพระเจ้าไปจนตลอดลอดฝั่ง แล้วเราจะได้เห็นพระสง่าราศี ความงดงามโอ่อ่าตระการตาของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น