วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่16 อาทิตย์ที่6:3:2011 (ตอนจบ)

เรามาถึงบทสุดท้ายของหนังสือซามูเอลแล้วนะคะ บทที่24นี้จะเป็นบทเรียนเรื่องความบาปอีกครั้งของทั้งดาวิดและคนอิสราเอลดาวิด พระเจ้าเลยทรงใช้ความบาปของดาวิดลงโทษคนอิสราเอล ฟังดูแล้วเราอาจจะยัง..งงๆอยู่ เด็กๆเปิดไปดู..

2ซมอ.24:1-2 ข้อนี้บอกว่า พระเจ้าทรงพิโรธคนอิสราเอลอีกครั้ง แต่ไม่มีการบันทึกถึงสาเหตุว่าเป็นเรื่องอะไร เพียงแต่บอกต่อไปว่า “..เพื่อต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า..จงไปนับคนอิสราเอลและยูดาห์” หมายความว่า พระเจ้ากำลังใช้ความบาปของดาวิด..ลงโทษตัวเขาเองกับคนอิสราเอล ข้อนี้ดาวิดสั่งให้โยอาบไปนับกำลังพล จริงๆการนับกำลังพลก็ไม่ได้เป็นความผิดบาปเสมอไป ในหนังสือกันดารวิถี โมเสสก็เคยสั่งให้นับจำนวนพล เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรบ แล้วโมเสสก็ยังนับจำนวนคนตระกูลโคฮาท เกอร์โชน เมรารี..เพื่อจัดระเบียบการทำงานในพลับพลา ตอนที่ซาอูลนับจำนวนคนอิสราเอลเพื่อเตรียมไปรบกับพวกอัมโมน..ก็ไม่ใช่ความผิดบาป เพราะเขาทำเพื่อปกป้องชาวยาเบช กิเลอาด..ซึ่งเป็นคนอิสราเอลที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน ดาวิดเองก็ยังนับจำนวนคนที่อยู่ข้างเขา..เพื่อเตรียมป้องกันตัวเองจากการตามล่าของอับซาโลม..อันนั้นก็ไม่ผิด..ไม่เรียกว่าเป็นความบาป แล้วทำไมสิ่งที่ดาวิดทำครั้งนี้ถึงเป็นความบาป...

ดู2ซมอ.24:3-4/8-9 พอโยอาบได้ยินคำสั่งของดาวิดปุ๊บ..เขาพยายามคัดค้านเต็มที่ โยอาบรู้ทันทีว่าการกระทำครั้งนี้ของดาวิด”เป็นความบาป” เพราะปกติการนับกำลังทหารก็มักจะทำกัน..ตอนที่กำลังจะไปรบหรือกำลังจะมีสงคราม..แต่ครั้งนี้ไม่มีสงคราม เพราะข้อที่ 8 บอกว่า..กว่าโยอาบจะนับเสร็จและกลับมาที่เยรูซาเล็มก็ปาเข้าไปเกือบสิบเดือน แปลว่าไม่มีการไปรบที่ไหน..ไม่มีสงครามอะไรทั้งสิ้น อยู่ดีๆดาวิดก็ลุกขึ้นมานับจำนวนทหาร แค่อยากรู้จำนวนพลที่อยู่ใต้การปกครองของตัวเอง..”อยากรู้ตัวเลข..ว่าตัวเองมีเยอะแค่ไหน” ดาวิดทำเพื่อตอบสนองความภาคภูมิใจให้ตัวเอง เหมือนบางคนที่คอยนับตัวเลขเงินฝากในบัญชีธนาคาร..มีเท่าไหร่ ยังเหลือเยอะมั๊ย ถ้ารู้สึกว่าเหลือน้อยก็จะนอนไม่หลับ ต้องดิ้นรนขนขวายไปหามาเติม เพราะมันอุ่นใจดีที่ได้มีเยอะๆ คิดว่าถ้าไม่เยอะเดี๋ยวจะลำบาก วันทั้งวันเอาแต่กระวนกระวายอยากได้อยากมี นี่ก็คือความบาปเหมือนกัน..เพราะเราวางใจเงินทองมากกว่าพระเจ้า เด็กๆต้องเข้าใจให้ถูกต้อง คริสเตียนยังอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ อยากไปเที่ยวที่ไหน อยากได้หรืออยากทานอะไรก็ได้เช่นกัน..ไม่ได้ผิดบาปอะไร แต่พระเจ้าทรงดูที่หัวใจของเรา..ว่าเราติดยึดกับความต้องการของตัวเองแค่ไหน ถ้าเราไม่ได้อย่างที่ต้องการ..เราจะมีท่าทียังไง เราจะยังขอบคุณพระเจ้ามั๊ย ยอมจำนนว่านั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้ารึเปล่าเพราะแน่นอนพระองค์ทรงควบคุมอยู่ทุกเรื่อง ถ้าเราขอบพระคุณด้วยหัวใจที่รักและยอมจำนนต่อพระเจ้าได้ในทุกกรณี..ทั้งๆที่หลายอย่างไม่ได้ตามที่ต้องการ นั่นคือเรารักพระเจ้ามากกว่าอย่างอื่น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่ได้อย่างใจ เราก็ไม่ยอมหยุด ยังพยายามแล้ว..พยายามอีกเพื่อจะให้ได้มันมา..ถามว่าตอนที่คิดอย่างงั้นเราเอาพระเจ้าไปไว้ที่ไหน เพราะถ้าเรามีท่าทีอย่างงี้มันแปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าควบคุมอยู่หรือคิดว่าพระเจ้าคงไม่เห็นบางเรื่องหรือพระองค์เผลอหลับไปชั่วขณะ..พระองค์ถึงพลาดบางอย่างไปและให้ในสิ่งที่เราต้องการ..ไม่ได้ เราเลยต้องลงมือเอง..ดิ้นรนเอง แล้วตกลงใครใหญ่กว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้น มีบางคนเลือกที่จะอธิฐานกับพระเจ้าแค่บางเรื่อง ส่วนเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้หรือเคยขอแล้วไม่ได้..ก็ไม่อธิฐานแต่เลือกที่จะไขว่คว้าให้ได้มาด้วยตัวเอง..ก็มี แต่น้าตุ๊กว่าคนอย่างงี้คงไม่เชื่อพระเจ้าจริงๆ หรือถ้าเชื่อจริง..จิตวิญญาณก็ยังไม่โต เขาถึงไม่รู้จักพระลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยพลาด..ไม่เคยช้า..พระองค์ตรงเวลาและพระองค์ไม่เคยหลับ เพลงคริสเตียนก็ร้องอยู่ทำไมไม่เข้าหู ((พระองค์จะคุ้มครองให้เรานั้นมั่นคง และพระองค์ไม่เคยจะหลับใหล..) เขาไม่ได้ร้องกันเพื่อความมันส์เฉยๆนะ แต่ทุกเพลงสรรเสริญ..มีความหมายที่เป็นจริง เราอาจจะไม่เข้าใจในวันเดียว แต่น้าตุ๊กขอเป็นพยานว่าทุกเพลงจะเป็นจริงและเกิดขึ้นจริงในชีวิตของเรา..ทีละเพลงๆจนครบทุกเพลง

ดู2ซมอ.24:10 ดาวิดถูกจิตสำนึกตัวเองโจมตีอีกครั้ง..เหมือนตอนที่เขาฆ่าอุรีอาร์ เพราะข้อนี้บอกว่า..หลังจากที่ได้รู้สมใจว่าตัวเองมีเพาเวอร์แค่ไหน..ดาวิดก็เริ่มสำนึกผิด เสียใจ สลดใจในความเขลาของตัวเอง แต่จะทำไงได้..มันทำไปแล้ว พอสำนึกก็มาเสียใจทีหลัง (แต่ยังไงก็ยังสำนึก ดีกว่าทำแล้วไม่รู้สึกอะไร ไม่เคยเสียใจ อันนี้น่าจะแย่กว่า) ข้อนี้ ดาวิดจึงสารภาพความผิดและขอพระเจ้ายกโทษ ดาวิดพูดว่า ”ข้าพระองค์ได้กระทำบาปใหญ่ยิ่งในสิ่งซึ่งข้าพระองค์ได้กระทำนี้..” คือรู้ด้วยนะ..ว่าความผิดที่ทำเนี้ย”มันเรื่องใหญ่” เรื่องใหญ่จริงๆ เพราะอะไร..เพราะการวางใจในตัวช่วยหรือสิ่งสารพัดทั้งปวงบนโลกใบนี้..มากเกินไป มันแปลว่าเราเห็นพระเจ้าเล็กกว่าของพวกนั้น ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม..จำนวนทหาร..อาวุธยุทโธปกรณ์..เงินทอง..ชื่อเสียง..ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ที่เป็นบุคคล

ดู ยอห์น6:27 เรื่องนี้น้าตุ๊กก็เคยสอนไปแล้วตอนที่เราเรียนหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ อาหารที่เสื่อมสิ้นไปก็คือ ทุกอย่างที่ไม่ใช่พระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีอะไรไม่ได้เลย..ไม่ใช่ เราสามารถมีทุกอย่างได้ตามความจำเป็น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราฝากความหวังไว้กับบางอย่างมากเกินไป จนนอนไม่หลับ..ถ้าไม่มีมัน ก็แปลว่า เรายกให้สิ่งนั้นสำคัญกว่าพระเจ้า เช่น “เงิน” ตัวอย่างนี้จะชัดเจนสุด ถามว่าเราทำงานเพื่อหาเงินได้มั๊ย..ได้ เพราะพระคำภีร์บอกว่าถ้าใครขี้เกียจก็ให้อดตาย แล้วเราทำงานหนักได้มั๊ย คำตอบก็คือ..ได้ อีกเหมือนกัน เพราะภาระที่แต่ละคนแบกรับอยู่..ก็ไม่เท่ากัน แล้วพรสวรรค์หรือของประทานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย แล้วแบบไหนที่เรียกว่ามากเกินไป..คือ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำงานจนร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ..ทำจนป่วยก็ยังฝืนจะทำ หรือทำจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว..ทำจนลูกไม่มองหน้าพ่อหรือพ่อไม่มองหน้าแม่..อันนี้ไม่คุ้มแล้ว และที่สำคัญอีกอัน คือ ทำงานจนไม่ได้มาโบสถ์..อันนี้เรื่องใหญ่สุด เด็กๆจำไว้ให้ดี ถ้าเราทำงานจนไม่มีเวลามาโบสถ์เมื่อไหร่..เราไปได้ไม่ไกลหรอก เราจะเหนื่อยมาก..เหนื่อยจนวันนึงเราจะแทบทำอะไรไม่ได้เลย หรือไม่เราก็จะไม่เหลืออะไรเลย (ถ้าเราเป็นของพระเจ้า..)

พระเยซูยังตรัสต่อไปในข้อนี้ว่า “แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ คือ อาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน..” และบุตรมนุษย์หมายถึง “พระเยซูคริสต์”

ดู ยอห์น1:16-18 อาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ที่พระเยซูตรัสไว้ ก็คือ พระองค์เอง ข้อนี้ ยอห์นเป็นพยานว่า “เราทั้งหลายได้รับความบริบูรณ์ในพระองค์ “เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ” หมายถึง เป็นพระพรหรือรางวัลที่พระเจ้าประทานให้และสำเร็จโดยพระองค์..แปลว่าให้ฟรีๆไม่ต้องเอาอะไรมาแลกและสำเร็จแบบเบ็ดเสร็จโดยพระคุณพระเจ้า แต่หลายคนไม่เข้าใจ..เพราะการที่จะได้รับรางวัลอะไรซักอย่างบนโลกใบนี้เนี่ย ปกติแล้วเราต้องทำบางอย่างเพื่อแลกมา เช่น

เหรียญทองโอลิมปิก..คนที่จะได้ก็ต้องอดทนฝึกฝนทุ่มเทแบบสุดๆถึงมีสิทธิ์จะได้

หรือถ้าเราอยากได้ใบปริญญา..เราก็ต้องขยันหมั่นเพียรเพื่อที่จะได้ความสำเร็จ

หรือแม้แต่..การที่จะได้ไปสวรรค์ตามความเชื่อของคนที่ไม่มีพระเจ้า..เขาก็จะคิดว่าคนที่จะได้ไปสวรรค์ จะต้องทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่มากๆซะก่อน (ยิ่งใหญ่ในความคิดของเขานะ..ไม่ใช่ยิ่งใหญ่ในทางพระเจ้า เช่น บำเพ็ญเพียรกี่ชาติ สร้างโบสถ์..สร้างวิหารกี่แห่ง หรือทำอะไรก็ตามที่เขาเชื่อมากพอ..ถึงสมควรจะได้ไปสวรรค์ เพราะอะไร มนุษย์คุ้นชินกับคำว่า”ไม่มีของฟรีในโลก” ถ้าจะได้อะไรมา ก็ต้องทำบางอย่างเพื่อแลกกัน เพราะฉะนั้น ถ้าบอกคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าว่า..ความรอดในพระเยซู..พระเจ้าให้ฟรี..แค่เชื่อก็ได้ไปสวรรค์ทันที เขาจะ..เฮ้ย!อะไร รับไม่ได้ ฟังดูแล้วไม่มีเหตุผล เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรเพื่อแลกเปลี่ยนเลย..จะให้ไปสวรรค์ได้ไง ทีนี้..บางคนอาจมีข้อสงสัยอีกว่า อ้าว..แล้วจริงๆการทำความดี หรือการปฎิบัติธรรมเนี่ย..มันไม่ดีหรือไง มันเสียหายตรงไหน คำตอบคือ ไม่เสียหาย..ถ้าเป็นบัญญัติของพระเจ้านะ .(กฎของความเชื่ออื่น น้าตุ๊กจะยังไม่พูดถึง เพราะเดี๋ยวยาว) ส่วนกฎของพระเจ้า..จำเป็นมากที่คริสเตียนต้องทำตาม คือ “รักพระเจ้าสุดใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” แค่สองข้อแต่ไม่มีใครเลยที่จะทำได้อย่างสมบูรณ์..

ดู กาลาเทีย3:10-12 “เพราะทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง..” ใครก็ตามที่คิดว่าจะได้ไปสวรรค์ด้วยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ..ก็คงคิดผิด เพราะต้องทำให้ได้ตามที่พระบัญญัติบันทึกไว้”ทุกตัวอักษร” (ถ้าอยากรู้ว่ามีไรมั่ง ก็เปิดกลับไปดูหนังสือฉธบ.ยาวเป็นหางว่าวเลย) แล้วห้ามตกหล่นแม้แต่ข้อเดียว ถ้าใครทำตามไม่ได้อย่างครบถ้วน..ก็ต้องลงนรกไป ข้อที่11 บอกต่อไปว่า ”เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า..ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย..”ก็คือไม่มีใครเลยที่สามารถทำได้ตามกติกาของพระเจ้า พวกเราต้องเก็ทมากเป็นพิเศษ เพราะพระคำภีร์เดิมที่เราเรียนกันอย่างจริงจัง..เป็นภาพที่ชัดเจนมาก..ว่ามนุษย์ล้มเหลวตลอดในการรักษาสัญญาหรือทำตามกฎบัญญัติ ตั้งแต่สมัยของอาดามและเอวา..มาจนอพยพ..ในถิ่นทุรกันดาร..โยชูวา..ผู้วินิจฉัย รวมทั้งสมัยของซามูเอล อิสราเอลก็กบฎมาตลอด แล้วจะฆ่าคนตายหรือโกหกแค่คำเดียวก็บาปเหมือนกัน แต่ฟังอย่างงี้แล้วอย่าเอาไปใช้ผิดๆ น้าตุ๊กบอก..บาปเหมือนๆกัน งั้นชั้นทำผิดแค่ไหนก็ได้..ไม่ได้นะคะเด็กๆ คุณรอดแต่คุณต้องกินผลเหมือนดาวิดเป็นต้น..อย่าลืม!!

ดู กดว.20:2-4/6-8/10-12 ตั้งแต่ที่อพยพออกจากอิยิปต์ พระเจ้าก็ทรงให้โมเสสเป็นผู้นำคนอิสราเอลในการเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดาร แล้วตลอดการเดินทางเด็กๆก็เห็นแล้วว่า ”ยิวหรืออิสราเอล..บ่นตลอด บ่นอย่างร้ายกาจ โมเสสต้องรองรับอารมณ์พวกเขาตลอดเวลา ข้อนี้ก็เป็น..ครั้งนึงที่คนอิสราเอลต้องเผชิญกับปัญหาในถิ่นทุรกันดาร คือ ไม่มีน้ำกิน พวกเขาก็มาต่อว่าโมเสส..หาว่าโมเสสเป็นตัวการที่ทำให้พวกเขาต้องลำบาก แต่ครั้งนี้ โมเสสคงฟิวขาดเพราะทนมานานหลายสิบปี พอทูลขอน้ำจากพระเจ้า..ข้อที่8 พระเจ้าก็ให้โมเสส ”ใช้ไม้เท้าบอกหิน..”บอกเฉยๆ”.. หินก็จะหลั่งน้ำออกมาให้ทุกคนได้กิน” แต่ข้อที่10กับข้อที่11 บอกว่า “โมเสสก็เรียกประชุมคนอิสราเอล แล้วต่อว่า (จริงๆอาจจะด่า)..ประชาชนว่า “เจ้าพวกกบฎ จงฟังณ.บัดนี้จะให้เราเอาน้ำออกจากหินให้พวกเจ้าดื่มหรือ” ถ้าภาษาเราก็..เจ้าพวกกบฎ อยากกินน้ำมากใช่มะ..เอาไปเลย เสร็จแล้วก็ใช้ไม้เท้าตีหรือฟาดหินก็ไม่รู้สองครั้ง..น้ำก็ไหลออกมา” แต่พระเจ้าสั่งว่า ”ให้ใช้ไม้เท้าเสกแล้วบอกเฉยๆน้ำก็ไหลออกมาแล้ว”

ดูกดว.27:12-14 ผลแห่งการกระทำในครั้งนั้นของโมเสสก็คือ “เขาอดเข้าไปอยู่ในคานาอัน..ดินแดนแห่งพันธสัญญาที่เฝ้ารอมานานแสนนาน” และคานาอันนี้เป็นแค่ที่จำลอง..ไม่ใช่ของจริงที่พระเจ้าสัญญาไว้ เพราะของจริง คือ “อาณาจักรสวรรค์” แล้วเราเห็นภาพอะไรจากพระคำภีร์ข้อนี้ โมเสสทำดีมาตลอดเลย เสียสละทุ่มเทรับใช้พระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล แต่พอทำผิดแค่ครั้งเดียวเอง..ดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ด้วย (ถ้าเทียบกะที่ดาวิดทำ) แต่ผลที่ได้รับคืออะไร..ไม่ได้เข้าไปในคานาอัน..และเช่นกัน ใครก็ตามถ้าทำผิดแม้แต่นิดเดียวก็อดเข้าแผ่นดินสวรรค์ เห็นภาพรึยัง..ว่าทำไมเราต้องพึ่งในพระคุณของพระคริสต์ ยังดีนะ..ที่คานาอันเป็นแค่ของปลอม..เป็นแค่ภาพจำลอง ถ้าอดเข้าของจริงอ่ะ..ยุ่งเลย พระคำภีร์ข้อนี้พระเจ้าตั้งใจจะบอกพวกเราว่าไม่มีใครเลยที่ทำตามกฎบัญญัติได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ เหมือนโมเสสอย่างงี้..ทำดีเกือบตาย มาผิดแค่นิดเดียว..อดเลย แต่พระเจ้ายังเมตตาให้เขาได้เห็นคานาอัน..จะได้รู้ว่ามีอยู่จริง ข้อที่12 พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริม และมองดูแผ่นดินซึ่งเราสัญญาว่าจะมอบให้คนอิสราเอล และเมื่อได้เห็นแล้วเจ้าจะถูกรวบไปอยู่กับบรรพบุรุษ” คือ อนุญาตให้เห็นก่อนตาย..ว่ามันมีจริงๆนะ ดินแดนเนี้ย

กลับมาที่2ซมอ.24:11-12/13 หลังจากที่ได้รู้ตัวเลขของกำลังทหาร..รู้เพาเวอร์ของตัวเองแล้ว ดาวิดก็สำนึกผิด..พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการในตัวเขาเหมือนตอนที่เขาฆ่าอุรีอาร์ ดาวิดน่าจะสำนึกความผิดในคืนนึง พอเช้ามาข้อนี้บอกว่า..พระวจนะของพระเจ้าก็มาถึงดาวิดโดยผู้เผยพระวจนะชื่อ”กาด” กาดมาลักษณะเดียวกันกับนาธัน มาถึงก็พูดว่า..พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่ง..” ไม่มีการชี้หรือประมวลความผิดอะไรทั้งสิ้น (เพราะเมื่อคืนดาวิดคงคุยกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว) กาดมาถึงก็เสนอบทลงโทษสามทางเลือกให้ดาวิดเลย คือ 1.การกันดารอาหารเจ็ดปีในอิสราเอล 2.ดาวิดต้องถูกศัตรูตามล่าเป็นเวลาสามเดือน หรือ 3.ให้เกิดโรคระบาดสามวันในอิสราเอล

ดู 2ซมอ.24:14 ดาวิดตัดสินใจเลือกทางที่สาม..คือ ยอมให้เกิดโรคระบาด3วันในอิสราเอล ไม่ใช่เพราะระยะเวลามันสั้นสุด แต่ดาวิดเลือก”การลงโทษที่มาจากพระหัตถ์พระเจ้า”..ดีกว่าที่จะตกไปอยู่ใน”น้ำมือมนุษย์” เพราะอะไร..

เปิดไปดูฮีบรู 12:7-11 ดาวิดเลือกการลงโทษที่มาจากพระเจ้า เพราะเขารู้ว่า..การลงโทษที่มาจากพระเจ้าพระบิดา..จะเต็มไปด้วยความเมตตา เหมือนเวลาที่พ่อแม่ลงโทษเรา..ท่านก็ลงโทษด้วยความรักและอยากให้เราได้ดี ไม่ใช่จะฆ่าให้ตายเพราะจงเกลียดจงชังเราเหมือนศัตรู ดาวิดถึงเลือกเข้ามาพึ่งในพระกรุณาคุณของพระเจ้า ข้อที่11 บอกว่า..”เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย..เป็นเรื่องเศร้าใจ” ก็แน่นอน เพราะเวลาถูกตีมันก็เจ็บ ไม่มีใครอยากเจ็บ..ไม่มีใครอยากถูกตี แต่”ภายหลังจะก่อให้เกิดความสุขสำราญ” เพราะการตีสอนของพระเจ้าจะดึงให้เราติดสนิทกับพระองค์..เสมอ แล้วเราก็จะจำเริญขึ้นและได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์ เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุผลอะไร..ที่เราจะวางใจมนุษย์มากกว่าพระเจ้าในทุกกรณี แต่ถึงจะรู้ว่าพระเจ้าทรงเมตตาแต่การพิพากษาก็ยังน่ากลัวอยู่ดี

ดู2ซมอ.24:15-16/17 ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าจึงบันดาลให้เกิดโรคระบาดขึ้นสามวันในอิสราเอลตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา หมายความว่าระบาดไปทั้งประเทศ พอครบกำหนดสามวันปรากฎว่ามีคนตายไปเจ็ดหมื่น เห็นมั๊ยว่า..ทันทีที่ดาวิดอยากรู้เพาเวอร์ของตัวเอง ตัวเลขกำลังพลของเขาลดไปทันที70000คน แล้วมันจะเป็นอย่างงี้เสมอในชีวิตของเราด้วย เพราะ ถ้าเราคอยจะนับอะไรบางอย่างที่เรามี..นั่นหมายถึงเราเริ่มยึดติดกับมัน จนอาจจะเอามันเป็นรูปเคารพโดยไม่รู้ตัว พระเจ้าก็จะทำให้เรามีน้อยลงหรือไม่ก็เอามันออกไปเลย.. (555..ที่หัวเราะเพราะน้าตุ๊กเคยโดนมาแล้ว) ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นวัตถุสิ่งของ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้แต่ที่เป็นบุคคล เพื่ออะไร..ก็เพื่อเราจะได้กลับมาติดพระเจ้าไม่ใช่ติดกับมนุษย์หรือสิ่งของบนโลกนี้ ข้อที่16 บอกว่า เมื่อทูตสวรรค์กำลังเหยียดมือออกจะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษเมืองนั้น..ทรงสั่งให้ทูตนั้นยับยั้งมือของเขา ทูตนั้นก็หยุดการทำลายล้างทันที ส่วนดาวิดก็เห็นเหมือนกัน เขาขอให้พระเจ้ายับยั้งการทำลายประชาชน แล้วให้เทพระพิโรธกับการลงโทษมาที่ตัวเขากับพงศ์พันธ์ของเขาแทน แต่พระเจ้าทรงมีแผนและทางเลือกที่ดีกว่าให้ดาวิด..เสมอ ย้ำ!! เสมอ..

ดู2ซมอ.24:18-20 ผู้เผยพระวจนะกาดมาหาดาวิดอีกครั้ง ครั้งนี้เขาบอกให้ดาวิดขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์..คนเยบุส เพื่อเป็นการลบบาปผิดที่เขาทำ ดาวิดก็ทำตามทันที อาราวนาห์เป็นคนต่างชาติที่ค่อนข้างจะโชคดี เพราะยังได้อาศัยอยู่ใกล้ๆเขตเยรูซาเล็ม..แถมมีที่ดินเป็นของตัวเอง ในขณะที่ดาวิดกำลังเดินขึ้นไป อาราวนาห์ก็มองลงมาเห็นดาวิดกับพวกมหาดเล็กตรงเข้ามา..แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะใน 1พศด.บันทึกว่าอาราวนาห์เห็นทูตสวรรค์มากับดาวิดด้วย คงให้ความรู้สึกสยองเหมือนกับที่เราเคยได้ยินคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าชอบเล่ากัน..ว่ามีบางคนเห็นวิญญาณตามคนนั้นคนนี้มา..อารมณ์ประมาณนั้น อาราวนาห์ก็เลยกลัวจนตัวสั่น

ดู2ซมอ.24:21-22/23-24 พอดาวิดไปถึงอาราวนาห์ก็ถามว่า ทำไมพระราชาถึงต้องลำบากลำบนมาหาเขา ดาวิดบอกว่า..เขาจะมาขอซื้อที่ดินของอาราวนาห์ เพื่อสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้า ภัยพิบัติจากโรคระบาดในอิสราเอลจะได้ยุติลง พออาราวนาห์ได้ยินอย่างงั้น ก็เสนอจะยกที่ดินให้ดาวิดฟรีเลย..ไม่คิดตั้งส์ แถมวัวกับเครื่องไม้เครื่องมือให้ด้วย ดาวิดจะได้สามารถสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้าได้อย่างสะดวกสบาย แต่ดาวิดรับไม่ได้..เขาพูดกับอาราวนาห์ว่า..”เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลย..ไม่ได้” และคริสเตียนก็เช่นกัน..ที่จะถวายบูชา..ถวายการสรรเสริญพระเจ้าโดยไม่เสียอะไรเลย..ไม่ได้เช่นกัน เราต้องถวายการสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงพอพระทัยที่สุดก็คือ ชีวิตของเรา..พระเจ้าต้องการให้เรามอบถวายแด่พระองค์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ คือการดำเนินชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์และหัวใจที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า เด็กๆนมัสการพระเจ้าด้วยท่าทีอย่างไร..อยู่ในห้องประชุมก็ยังคุยกัน..ไม่ก็กดบีบีรึเปล่า นั่งทื่อเป็นเรือเกลือหรือไม่ก็เหม่อคิดถึงอย่างใช่ม๊ย คิดถึงแฟน..คิดถึงแต่ห้างสรรพสินค้าในเวลานมัสการใช่หรือไม่ ถ้าใช่..จงกลับใจใหม่ขอพระเจ้ายกโทษ แล้วต่อไปก็จงพกหัวใจของเราเข้าห้องประชุมไปด้วย มอบหัวใจที่จดจ่อและยอมจำนนต่อพระเจ้าในเวลานมัสการ..เป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระองค์..แค่นี้ทำได้มั๊ย น้าตุ๊กคิดว่าคงไม่ยากเกินไปสำหรับทุกคน การถวายบูชาที่ไม่ได้สละอะไรเลย..จะมีความหมายไปไม่ได้ ดาวิดถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของอาราวนาห์ เขาจ่ายค่าที่ให้อาราวนาห์เต็มราคา พอสร้างแท่นบูชาเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ทรงฟังคำอธิฐานของดาวิดกับประชาชน โรคระบาดในอิสราเอลก็เป็นอันยุติลง

เป็นอันจบบทเรียนหนังสือซามูเอลอย่างสมบูรณ์ทั้งสองฉบับ น้าตุ๊กขอโน้มนำให้เด็กๆประเมินตัวเอง..ว่าเราได้อะไรบ้างจากการเรียนพระธรรมเรื่องนี้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา..ขอพระองค์ทรงประทานความเชื่ออันเต็มขนาดให้เด็กทุกคน ขอพระองค์ทรงอวยพรให้เด็กๆทุกคนตลอดจนทุกท่านที่มีโอกาสได้ติดตามบล็อคทีนคลาสของเราให้จำเริญขึ้นเหมือนดินดีที่จะเกิดผลขึ้นมากน้อยตามน้ำพระทัยของพระองค์ ขอพระคุณความรักและพระสิริของพระเยซูคริสต์ปกคลุมอยู่เหนือธรรมิกชนของพระองค์ พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น