วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่19 อาทิตย์ที่ 27:6:2010

ดาวิดกำลังตกที่นั่งลำบากเพราะความบาปของตัวเอง ถึงพระเจ้าจะให้เขารอดจากการที่ต้องไปรบกับพี่น้องตัวเอง ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวิดจะไม่ต้องรับผลแห่งความบาป..ยังไงทุกคนก็ต้องกินผลที่ทำ ทันทีที่ดาวิดกลับถึงศิกลากก็เลยเจอกับเรื่องที่คิดไม่ถึง..พวกอามาเลขฉวยโอกาสตอนที่ฟิลิสเตียกับอิสราเอลตั้งท่าจะรบกัน..ไปปล้นเมืองทางใต้ของอิสราเอลกับหัวเมืองของฟิลิสเตีย รวมทั้งศิกลากด้วย..ที่ถูกเผาจนราบ พวกอามาเลขขโมยของไปหมด แต่ว่าไม่ได้ฆ่าใครแค่จับลูกเมียไปเป็นเชลย คนของดาวิดลงความเห็นกัน..ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของดาวิด แล้วก็โกรธมาก..จนอยากฆ่าดาวิดให้ตาย
บทที่30ข้อ6 ทิ้งท้ายว่า”แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” เราจำเป็นต้องเอาประโยคนี้มาคิดให้ดี..เพราะมันเป็นจุดที่สำแดงความต่างระหว่างดาวิดกับซาอูล..
ดู1ซมอ.30:7-8 พอตั้งสติได้ ”ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์” ซึ่งน้าตุ๊กเชื่อว่า..พระเจ้าเป็นผู้ประทานกำลังอันนี้ให้ แล้วดาวิดถึงแสวงหาพระองค์ เพราะข้อที่7ดาวิดบอกอาบียาธาร์..ให้เอาเอโฟดออกมา เพื่อแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า ดาวิดถามพระเจ้าว่า..เขาควรจะตามพวกโจรไปมั๊ย แล้วถ้าเจอ..เขาจะเอาชนะพวกนั้นได้รึเปล่า จริงๆตอนนั้น ดาวิดยังไม่รู้ด้วยซ้ำ..ว่าใครมาปล้นเขาเป็น แต่พระเจ้าบอกตามไปเลย..ทันแน่..แล้วจะชนะด้วย
พระคำภีร์ช่วงนี้ทำให้เราเห็นว่า..สภาพของดาวิดตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าซาอูลเท่าไหร่ ซาอูลทำบาปมั๊ย..ดาวิดก็ทำเหมือนกัน แต่ความต่างของสองคนนี้ก็คือ..
ในเวลามืดมนที่สุด”ดาวิดไม่ใช่แค่เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าเท่านั้น เพราะข้อที่7 บอกไว้ชัดเจน..ว่าเขาแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วย” แต่ซาอูลไม่ใช่..ซาอูลเลือกไปหาคนทรงทันทีที่พระเจ้าไม่ตอบเขา โดยไม่มีการกลับใจใหม่ น้าตุ๊กไม่เห็นซาอูลร้องไห้คร่ำครวญ ไม่มีสัญญาณอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเขาสำนึกผิด ..อะไร?เป็นตัวหล่อหลอมให้ทั้งคู่ต่างกันขนาดนี้
เปิดไปดูสดุดี 91:14-15 “เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก..” จริงๆแล้วสูตรสำเร็จในการดำเนินกับพระเจ้า..”ไม่มี” เรารู้ว่าดาวิดแสวงหาพระเจ้าเสมอเวลาที่ทุกข์ยาก..แล้วพระองค์ก็ช่วยกู้เขาไว้ทุกครั้ง เวลาทำผิดดาวิดก็ทูลขอการอภัยด้วยความสำนึกจากใจจริง..แล้วพระเจ้าก็ยกโทษให้ แล้วเราก็รู้ว่าดาวิดไว้วางใจพระเจ้า เพราะเขารู้จักพระเจ้าที่เขาเชื่อ..เขารู้จักพระเจ้า รู้จักพระลักษณะของพระองค์ อันนี้สำคัญมาก..เพราะในการที่เราจะไว้ใจใครซักคน เราต้องรู้จักคนๆนั้นเป็นอย่างดี มันเป็นไปไม่ได้..ที่เด็กๆจะไว้ใจเพื่อนหรือผู้ใหญ่ซักคนอย่างสุดจิตสุดใจ..โดยที่รู้จักเขาแค่ผิวเผิน ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน..ใครก็ตามที่ยังเชื่อครึ่งๆกลางๆ เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่ง เชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ นั่นเป็นเพราะคุณยังไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ น้าตุ๊กขอแนะนำ..ให้เราแสวงหาพระเจ้าให้มากขึ้น แสวงหาจนรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี เท่าที่พระองค์โปรดจะสำแดงแก่เรา..แล้วเราจะไม่สงสัยเลย..ว่าทำไมคนที่เจอพระเจ้าจริงๆ เขาถึงไม่อยากได้อะไรอีกเลย แล้วทำไมซาอูลถึงไม่เหมือนดาวิด เพราะผู้ที่จะแสวงหาพระเจ้า..ไม่ว่าจะในเวลาสุขหรือทุกข์..”..จะต้องเป็นคนที่ผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรัก” เรื่องนี้สำคัญมาก..พระคำภีร์ถึงย้ำไว้หลายครั้ง..ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่..
มาระโก 12:28-30 มัทธิว22:34-38 พระคำภีร์ทุกบททุกตอนเป็นพระวจนะของพระเจ้า ทุกถ้อยคำล้วนเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ มีความลับมากมายซ่อนอยู่ในหลักเกณฑ์ของพระเจ้า..ที่เราไม่มีวันจะแสวงหาได้หมด แต่สำคัญที่สุด..คือ “มนุษย์จงผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรักอย่างสุดจิต สุดใจและสุดกำลัง” เพราะความรักเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้มนุษย์แสวงหาพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ น้าตุ๊กเคยสอนเรื่องนี้ไปอย่างละเอียดในหนังสือฉธบ. แต่วันนี้เราจะทบทวนมหาบัญญัติข้อนี้อีกครั้งนึง เด็กๆจะได้จำแม่
ดูฉธบ.6:4-5 “ท่านจงรักพระเจ้าของท่านด้วยสุดจิต สุดใจ และสิ้นสุดกำลัง..” เรามาดูทีละคำที่พระเจ้าตรัสผ่านโมเสส..
1.รักสุดจิต หมายถึง รักพระเจ้าด้วยใจผูกพัน ลึกลงในความรู้สึกทั้งหมดที่มี เพราะสิ่งนี้จะทำให้เราไม่ใช่แค่ติดสนิทกับพระองค์..แต่เราจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า..ผ่านทางพระเยซู
2.รักสุดใจ หมายถึง รักพระเจ้าด้วยความคิดทั้งหมดที่เรามีและด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ข้อนี้เป็นบ่อเกิดที่จะทำให้เราแสวงหาพระเจ้า แล้วถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนไป รูปแบบชีวิตจะพลิกผันแค่ไหน..เด็กๆจะอยู่ในโลกของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำซักเท่าไหร่..ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่รักพระเจ้าอย่างสุดความคิด เพราะเขาจะแสวงหาและคอยสังเกตเสมอ..ว่าพระเจ้าจะบอกอะไรเขาในแต่ละสถานการณ์ เพราะฉะนั้น คนที่รักพระเจ้าด้วยใจ จะยังสามารถอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะเขาจะเป็นคนมีวินิจฉัย..แล้วก็ปรับตัวเองให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
3.รักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดกำลัง หมายถึง รักอย่างสุดแรงเกิด..เกิดมามีแรงจะรักมากสุดแค่ไหน เทให้พระเจ้าแค่นั้น เพราะข้อนี้จะเชื่อมโยงกับความเชื่อฟัง มันส่งผลให้เรารักถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะบอกอะไร..เราจะเชื่อฟังและพยายามทำตามเสมอ เพราะเรารักอย่างสุดกำลัง..เลยอยากจะทำทุกอย่างให้คนที่เรารักพอใจ
ดู ฉธบ.6:6-7 “จงให้มหาบัญญัตินี้จารึกอยู่ในใจของเรา” ก็คือ รักพระเจ้าลงลึกในจิตใจ..เพราะสิ่งนี้จะควบคุมให้ทุกความคิด ทุกการวางแผน และทุกๆการตัดสินใจของเรา สำแดงความรักของพระเจ้าให้ปรากฎ ไม่ใช่สำแดงตามความต้องการของเรา ข้อที่7บอกว่า“..จงอุตส่าห์สอนถ้อยคำนี้..ที่บอกให้รักพระเจ้าอย่างงี้..แก่บุตรหลาน เมื่อไหร่มั่ง..ข้อแรก คือ เมื่อนั่ง”อยู่ในเรือน” หมายถึง รักพระเจ้าที่บ้าน คือในครอบครัวจะต้องมีการคุยเรื่องพระเจ้ากัน พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรักพระเจ้าทั้งเวลาสุข เวลาทุกข์ รักพระเจ้าไม่ว่าจะร่ำรวย ยากจน สบายดี หรือเจ็บป่วย หรือแม้แต่จะต้องล้มหายตายจากกัน แล้วก็ต้องสอนให้คนในครอบครัวสำแดงความรักของพระเจ้ากับคนที่บ้านก่อน ไม่ใช่เที่ยวไปรักนอกบ้านก่อน แล้วครอบครัวเอาไว้ทีหลัง..อันนี้ผิด
ข้อที่สอง บอกว่า ให้รักพระเจ้าเมื่อ”เดินอยู่ตามทาง” เพราะเมื่อรักพระเจ้าที่บ้านแล้ว เราก็ต้องสำแดงความรักของพระเจ้านอกบ้านด้วย ในความสัมพันธ์กับคนอื่น ทั้งที่โรงเรียน ที่ทำงาน บนถนน หนทางทาง คือ ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน..ก็ต้องสำแดงความรักของพระเจ้าให้ปรากฎ..ผ่านการดำเนินชีวิตทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ
ข้อที่สาม รักพระเจ้าในยาม”นอนลง”คือ เวลากลางคืน สำหรับคนฮีบรูคำว่า”นอนลง” หมายถึง เวลาหลับ เวลาพักสงบ..จากความวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวง เวลาว่างเว้นจากศึกสงคราม เวลาสุขสบาย รวมถึงเวลาตายด้วย ก็อยู่ในความหมายของเวลานอนลงด้วยเหมือนกัน ข้อที่สี่ คือรักพระเจ้าในเวลาที่ ”ลุกขึ้น” คือ รักพระเจ้าตอนเช้า ทั้งเวลาตื่นนอน เวลาที่หายป่วย เวลามีสงคราม เวลาที่ต้องเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ รวมถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง ในเวลาที่พูดมาทั้งหมดนี้ พระคำภีร์บอกว่า..ให้เราพูดคำนั้น คือ เรารักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ และสุดกำลัง
ดู ฉธบ. 6:8-9 “จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่าน เป็นหมายสำคัญ” ..คือให้ความรักพระเจ้าควบคุมทุกอย่าง เพราะชาวฮีบรูถือว่า..มือเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวทุกอย่างของบุคคล เพราะฉะนั้น การให้เอาความรักพระเจ้าพันไว้ที่มือ จึงหมายถึง จงสำแดงความรักพระเจ้าให้ปรากฎในการกระทำทุกอย่างของเรา ทั้งอาชีพการงานและทุกกิจกรรมที่เรามีส่วนร่วม
ข้อต่อไปบอกว่า ”และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน..” เพราะความรักพระเจ้าจะควบคุมความทะเยอทะยาน และความอยากในสิ่งสารพัดของเรา ทำไมต้องที่หว่างคิ้ว เพราะ”คนยิว” เชื่อว่า นัยน์ตาเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า..คนๆนั้นเป็นยังไง เย่อหยิ่งหรือถ่อมใจ โลภมากโลภน้อย ใจแคบหรือใจกว้าง แต่อันนี้ไม่ได้บอกว่าจริงนะ..น้าตุ๊กแค่บอกให้รู้ถึงที่มาของคำเพื่อจะได้เข้าใจความหมายอย่างถูกต้อง คือถ้าคนของพระเจ้าเอาถ้อยคำอันเนี๊ย..ที่บอกให้รักพระเจ้าในทุกวิถีทางเนี่ย..จารึกไว้ที่หว่างคิ้ว (ถ้าคนไทยก็คงจะใช้คำว่า..จำใส่กะโหลก) คนๆนั้นก็จะสามรถควบคุมความโลภกับความทะเยอทะยานของตัวเองได้ แต่ถ้าไม่มีความรักพระเจ้าควบคุมไว้ที่หว่างคิ้ว..(คือในจิตสำนึก) คนเราก็จะเย่อหยิ่ง..ทำอะไรตามใจตัวเอง
ดู 2ทิโมธี1:12-13 เมื่อเราผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรักสุดจิต สุดใจแล้ว เราก็จะแสวงหา พระเจ้าและจะได้พบ..ยิ่งแสวงหามากเท่าไหร่ ก็จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งหายิ่งเจอ ยิ่งเจอยิ่งใช่ ยิ่งใช่ยิ่งเชื่อ เพราะเจอของจริง ยิ่งใหญ่จริง ความสมาร์ทของพระเจ้าจะชัดเจนขึ้นทุกวัน ข้อนี้ อ.เปาโลถึงบอกว่า..”เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าถึงทนทุกข์ลำบาก และไม่ละอาย เพราะข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ..” เพราะนี่เป็นผลพวงจากการที่เราผูกพันกับพระเจ้าด้วยความรัก รักแล้วเลยอยากแสวงหาพระองค์ แสวงหาแล้วก็พบ..ว่าพระเจ้า..อัศจรรย์ที่สุด “..และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงสามารถรักษา ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้” เพราะใครก็ตามที่ได้รู้จักพระเจ้า"ด้วยจิตวิญญาณที่แสวงหา"จริงๆแล้ว ..จะยอมจำนนและเชื่อฟังทุกราย เพราะพวกเขามั่นใจ..ว่าพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง ยิ่งใหญ่สูงสุด และคือผู้เดียวที่สามารถพาเราไปสู่ความรอด (“เพราะข้ารู้จัก..พระองค์ที่ข้าเชื่อ..และเชื่อมั่นคงว่า..พระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง..มอบไว้แก่พระองค์ จนถึงกาล.ละ.วันนั้นได้” นี่คือบทเพลงแห่งชีวิตคริสเตียนที่ถ่ายทอดความจริงในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าไว้ได้อย่างชัดเจน)
ข้อที่ 13 อ.เปาโลถึงได้ย้ำกับเราว่า..”จงประพฤติตามแบบแห่งคำสอนที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์” เพราะเมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่า..พระเจ้าคือใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ขอให้เราดำเนินชีวิตตามถ้อยคำของพระองค์ด้วยความเชื่อฟัง และด้วยความรักในพระเยซูคริสต์
กลับมาที่ 1ซมอ.30:9-10 หลังจากได้ความมั่นใจจากพระเจ้าแล้ว..ว่าให้ตามพวกที่ปล้นไป แล้วดาวิดจะได้ทุกอย่างคืน ดาวิดเลยรีบตามไป ข้อที่ 9 บอกว่า..พอดาวิดกับพวกอีกหกร้อยคนไปถึงลำธารเบโสร์ คนส่วนนึงก็หมดแรง..ไปต่อไม่ไหว เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาเพิ่งเดินทางไกลกลับมาจากอาเฟก..คิดว่าจะได้พักสบายตอนถึงบ้าน แต่พอมาถึง..ยังต้องไปต่อเพราะบ้านช่องถูกเผาจนวอดวาย..ลูกเมียก็ถูกจับตัวไป ในที่สุด..พอมาถึงลำธารเบโสร์พวกของดาวิดสองร้อยคนก็แบ็ตหมด ต้องเฝ้าสัมภาระอยู่ที่นั่น..แล้วปล่อยให้อีกสี่ร้อยคนไปต่อ
ดู 1ซมอ.30:11-12/13-14 ข้อนี้บอกว่า..พอดาวิดเดินทางต่อไป เขาก็เจอผู้ชายคนนึง นอนรอความตายอยู่บนพื้นกลางแจ้ง ด้วยความสงสาร..ดาวิดก็เลยให้เขากินอาหารแล้วก็ดื่มน้ำเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว พอมีแรงขึ้นหน่อย..ดาวิดก็ถามว่าเขาเป็นใคร ชายคนนี้บอกว่า..เขาเป็นคนอียิปต์ เป็นคนรับใช้ของคนอามาเลข..ที่เดินทางมาปล้นคนยูดาห์ กับศิกลาก (ได้เรื่องเลย..) แต่สามวันที่แล้วเขาป่วย..เจ้านายกลัวว่าเขาจะเป็นตัวถ่วงก็เลยทิ้งเขาไว้กลางทาง..กะจะให้ตายไปเอง
ดู1ซมอ.30:15 ข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า..ตอนที่ออกตามมา ดาวิดไม่รู้เบาะแสของพวกที่ปล้นเขาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำ..ว่าเป็นใครเป็นคนทำ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ทุกอย่าง..เพราะถ้าพระองค์พูดคำไหนไว้..พระองค์จะทำให้สำเร็จเสมอ ไม่เคยทิ้งกลางคัน
พอดาวิดรู้ว่าชายคนนี้..มากับพวกที่ปล้นบ้านเขา ดาวิดเลยถามว่า..ช่วยพาไปหน่อยได้มะ เพราะเขากำลังตามหาพวกนี้อยู่ แต่คนอียิปต์ขอให้ดาวิดสัญญาในนามพระเจ้าก่อนว่า.. ถ้าพาไปแล้ว..ดาวิดจะไม่ฆ่าเขาทิ้ง แล้วก็ไม่ส่งตัวเขาให้คนอามาเลขด้วย คืออยากช่วยอยู่หรอกเพราะดาวิดก็อุตส่าห์ช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็อยากจะได้ความมั่นใจ..ว่าถ้าช่วยแล้ว เขาจะไม่ตาย..ไม่ว่าจะด้วยมือของดาวิดหรือเจ้านายเก่า
ดู1ซมอ.30:16-17 สรุปแล้วดาวิดก็ยอมตกลง แล้วพอชายอียิปต์พาดาวิดตามมาถึงกองปล้นของคนอามาเลข ภาพที่เห็น..ก็คือ กองปล้นของพวกอามาเลขกำลังฉลองกันใหญ่ เพราะปล้นทรัพย์สินมาได้เยอะ..ก็เล่นไปปล้นตอนไม่มีผู้ชายอยู่บ้านอ่ะ ก็กวาดเรียบสิ..เด็กกับผู้หญิงจะไปสู้ไรได้ ข้อที่17 บอกว่า..ดาวิดเลยฆ่าพวกอามาเลขตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงตอนเย็นของอีกวัน..หนีไปได้สี่ร้อยคน..ที่เหลือตายเรียบ เพราะคำว่า “เขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด” หมายถึง ตอนที่ดาวิดตามไปเจอเนี่ย..พวกอามาเลขกำลังอยู่กันกระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทาง..ดาวิดถึงเอาชนะได้ไม่ยาก เพราะมันมีศัพท์ที่เป็นแท็คซติกทางการรบคำนึงบอกว่า ”ตีให้แตกกระจายแล้วเข้าชิงชัย” เพราะฝ่ายที่แตกกระจายจะสู้ไม่ได้เพราะไม่สามารถจะรวมกำลังกัน ถึงกำลังคนของดาวิดจะน้อยกว่ามากแต่ก็ยังชนะ เพราะตอนที่มาถึง..พวกอามาเลขก็กระจัดกระจายกันอยู่แล้วแถมเมาจนหัวทิ่ม..เลยแพ้ยับเยิน
ดู1ซมอ.30:21-22 เวลาที่ต้องสูญเสียก็กล่าวโทษกัน..เวลาที่ได้บำเน็จก็เกี่ยงกันอีก (ไม่เคยพอใจไรง่ายๆหรอกมนุษย์) เพราะฉะนั้น บางทีถ้าขออะไรแล้วไม่ได้..ก็จงขอบพระคุณ เพราะถ้าได้แล้ว..เราอาจจะเป็นเหมือนคนของดาวิดก็ได้ (ใครไม่เป็นไม่รู้ แต่น้าตุ๊กเป็น..ผ่านมาแล้ว..บางทีเวลาไม่มีจะกินยังจะรักกันมากกว่า พอมีขึ้นมาหน่อย..ปัญหาชักจะเกิด..กลับไปอดเหมือนเดิมท่าจะดี..) ข้อนี้บอกว่า นอกจากดาวิดจะได้ทุกอย่างคืนมาทั้งหมด..แล้วเขายังริบของที่พวกอามาเลขปล้นคนอื่นมาด้วย คือ ของตัวเองก็ได้ครบ..แล้วยังมีแถมมาอีก..เยอะซะด้วย ข้อนี้ถึงบอกว่า..พวกที่ออกไปรบกับดาวิดเลยบอกว่า..เขาจะไม่แบ่งของที่ริบได้ให้กับพวกที่นั่งเฝ้าสำภาระอยู่ที่ลำธาร..จะคืนให้แต่ของที่ถูกปล้นไป ส่วนของที่ได้เกินมา..จะแบ่งให้เฉพาะคนที่ออกไปรบเท่านั้น ข้อที่22 บอกว่า..พระคำภีร์เรียกคนพวกนี้ว่า..”คนอธรรมและคนถ่อย” เดี๋ยวเราดูคำอธิบายในข้อต่อไป ดู1ซมอ.23-24 “ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา..” ดาวิดไม่ยอมให้พวกที่ออกไปรบ..ทำตามอย่างงั้น เขาบอกว่า..ของที่ริบมาได้เนี่ย..จริงๆแล้วไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาเองนะ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้ทั้งชัยชนะและทรัพย์สิน แล้วทั้งหกร้อยคนเนี้ย..ก็เป็นพี่น้องกัน ถึงหน้าที่จะไม่เหมือนกัน..บางคนทำมาก..บางคนทำน้อย..แต่ยังไงทุกคนก็คือส่วนหนึ่งของทีม ถ้าสองร้อยคนนี้ไม่หมดแรงจนต้องนั่งเฝ้าสำภาระ..พวกเขาไม่มีทางได้เดินตัวปลิวออกไปรบหรอก..ต้องกระเตงสำภาระไปด้วย ดาวิดถึงบอกว่า..ทุกคนจะต้องได้ส่วนแบ่งเหมือนๆกัน จากนั้นดาวิดใช้กฎเกณฑ์อันนี้เป็นกฎหมายของอิสราเอลด้วย เรามาดูความหมายฝ่ายวิญญาณของเรื่องนี้กัน..
ดู1โครินธ์12:4-8/9-11 ที่คริสตจักรเมืองโครินธ์ในสมัยของอ.เปาโล จะมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันมาก แล้วบางกลุ่มก็สำคัญผิดคิดว่าตัวเองเนี่ย..มีของประทานที่พิเศษกว่าคนอื่น อ.เปาโลเลยชี้ให้เห็นว่า..ของประทานทุกอย่างมาจากพระคุณของพระเจ้า แล้วไม่ว่าคุณจะมีของประทานเรื่องไหน..มันก็สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรเท่ากัน เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระกายหรือคริสตจักรทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ใครก็ตามที่คิดว่า..ตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นเพราะมีหน้าที่สำคัญในคริสตจักร..ก็ผิดแล้วล่ะ ส่วนใครที่คิดว่า..ชั้นไม่มีหน้าที่อะไรเลยในโบสถ์ เพราะฉะนั้น ชั้นคงไม่สำคัญสำหรับพระเจ้า..ก็ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็น ศบ. นักร้อง นักดนตรี ครู หรือสมาชิกธรรมดาๆ สำหรับพระเจ้าแล้ว..ทุกคนสำคัญเท่ากัน ข้อนี้บอกว่า..เพราะมีพระวิญญาณองค์เดียวกัน เพราะงั้น พระเจ้าก็ประทานความรอดให้เหมือนกัน..ทุกคน ไม่ว่าเราจะมีหน้าที่อะไร ดาวิดก็ด้วย..เขาก็แบ่งของที่ริบได้ให้ทุกคนเท่ากัน ไม่ว่าจะออกไปรบหรือแค่นั่งเฝ้าสำภาระก็ตาม เพราะนั่นก็เป็นของที่พระเจ้าประทานให้เหมือนกัน
ดู1ซมอ.30:26 นอกจากดาวิดจะแบ่งของให้พี่น้องเท่าๆกันแล้ว เขายังเอาส่วนนึงไปทำให้เกิดผลมากกว่านั้น คือ เอาไปแบ่งให้พี่น้องอิสราเอลที่อยู่ตามหัวเมือง ข้อที่31 บอกว่า ”คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่านเคยไปๆมาๆ” แสดงว่า ช่วงที่อยู่ศิกลากเนี้ย..ดาวิดติดต่อกับคนอิสราเอลตลอด ต่อไปเราจะได้เห็นว่าคนที่เคยได้ของกำนัลจากดาวิดเนี่ย..จะเป็นพวกแรกที่ต้อนรับเขาในฐานะกษัตริย์ของอิสราเอล
ในที่สุด..หนังสือ 1ซามูเอลก็ยังไม่จบ น้าตุ๊กขอยกตอนจบไปสัปดาห์หน้า เพราะมีความหมายฝ่ายวิญญาณที่ต้องอธิบายกันให้แตกในสัปดาห์นี้ ขอพระคุณแห่งความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเติมเต็มในชีวิตของเด็กๆทุกคน ให้พวกเขาร้อนรนที่จะแสวงหาพระองค์และได้พบ...พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ..ขอพระเจ้าอวยพร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น