วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่18 อาทิตย์ที่20:6:2010

ดู1ซมอ.28:3-4/5-7 ข้อนี้บอกว่า..เมื่อซามูเอลสิ้นชีวิตแล้ว..ซาอูลก็กำจัดพวกคนทรง พ่อมด หมอผีในอิสราเอล..ฟังดูดีนะ เพราะพวกนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าเกลียดมาก ข้อที่4 บอกว่า..พวกฟิลิสเตียยกทัพมาอีกครั้ง คราวนี้มาตั้งฐานทัพที่ชูเนม คือ เลือกปักหลักบนพื้นราบ..รถรบจะได้ใช้งานสะดวก ข้อที่5 บอกว่า..พอซาอูลเห็นกองทัพมโหฬารของฟิลิสเตียยกมา..ก็กลัวจนตัวสั่น เพราะอิสราเอลไม่มีรถรบแล้วกองกำลังของฟิลิสเตียก็ใหญ่กว่ามาก หรือจะกังวล..เพราะว่าในกองทัพฟิลิสเตียอาจมีดาวิดรวมอยู่ด้วย..ซาอูลเลยอยู่ไม่ติด
และถึงแม้ซาอูลจะพยายามขอคำแนะนำจากพระเจ้าในทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ พระเจ้าทรงอยู่..แต่พระองค์”นิ่งเฉย” (จุดนี้น้าตุ๊กสัมผัสได้ถึงถาวะที่สะเทือนใจสุดๆ เด็กๆลองคิดดู..ถ้าเราถูกพระเจ้าเพิกเฉย ไม่มีความอบอุ่นที่คุ้นเคย ไม่มีพระคำที่ก้องกังวาล ไม่มีสายตาที่มองเราจากข้างบน..ไม่ว่าจะแฝงด้วยรอยยิ้มหรือพระพิโรธ มีแต่ความว่างเปล่า..เราจะรู้สึกยังไง สำหรับน้าตุ๊ก..นี่คือที่สุดของความเจ็บปวด) คงเหมือนเราเล่นเน็ทแล้วพยายามจะเข้าไปออนไลน์กับพระเจ้า แต่เครือข่ายมันล่ม ทำไงก็ติดต่อไม่ได้..คอมมิวนิเคชั่น เบรคดาวน์ เราเชื่อว่า..เหตุผลนึงที่พระเจ้าไม่ตอบซาอูล..เพราะพระองค์รู้ว่าเขาไม่จริงใจ เด็กๆต้องไม่ลืมว่า..คำอธิฐานของเราจะเกิดผลก็ต่อเมื่อ
1.เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แสวงหาและดำเนินกับพระองค์ทุกวันหรือทุกเวลา ไม่ใช่วันเว้นวัน วันเว้นเดือน หรือเว้นไปเป็นปี อย่างงี้ไม่ได้..
2.เราพึ่งพาพระองค์ในทุกวิถีทาง ไม่ใช่เลือกพึ่งพระองค์แค่บางอย่าง อันไหนอยากทำตามใจชอบก็ไม่ปรึกษา ไม่อธิฐาน..เหมือนซาอูล
และ3.เราพึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า ด้วยหัวใจที่ยอมจำนนและถวายเกียรติพระองค์ อย่างไม่แอบแฝงหรือแอบภาคภูมิว่าเป็นความดีหรือความเก่งของตัวเอง
เพราะฉะนั้น เราก็คงไม่แปลกใจแล้ว..ว่าทำไมพระเจ้า”ทรงนิ่งเฉย”ต่อซาอูล ก็เขาร้องหาพระเจ้าเฉพาะเวลาที่เขาต้องการ ถ้าทุกอย่างปกติดีซาอูลไม่เคยแสวงหาน้ำพระทัย แต่จะทำทุกอย่างตามใจตัวเอง พระเจ้าถึงไม่ตอบเขาในวันที่เขาทุกข์ยากที่สุดในชีวิต..ที่สุดจริงๆ เดี๋ยวเราจะได้เห็น..ว่าช่วงนี้คือจุดที่ต่ำสุดแล้วในชีวิตของซาอูล
ข้อที่7 บอกว่า..เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากพระเจ้า ซาอูลหลงทางจนกู่ไม่กลับ เขาตัดสินใจต่อยอดความบาปขึ้นไปอีกด้วยการไปปรึกษาคนทรง ทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะกวาดล้างไป..
ดู1ซมอ.28:8-9 ซาอูลต้องลงทุนปลอมตัวออกไปหาคนทรงตอนกลางคืน..เพื่อไม่ให้ใครจำได้ พอไปถึงซาอูลก็บอกคนทรง..ว่าติดต่อกับวิญญาณคนตายให้หน่อย ทีแรกคนทรงก็ไม่ยอมทำให้เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นสายสืบของซาอูล ก็เหมือนที่ตำรวจไปล่อซื้อของผิดกฎหมายสมัยเนี้ย เพราะข้อที่9 หญิงคนทรงพูดว่า..”ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตข้าพเจ้าเล่า”
ดู1ซมอ.28:10-12 พอคนทรงไม่ยอมทำให้เพราะกลัวจะถูกจับ..ข้อหาขัดขืนคำสั่งกษัตริย์ ซาอูลเลยให้สัญญาในนามของพระเจ้า..ว่าเธอจะไม่ถูกจับแน่นอน ตลกมะ..ทำได้ไงอ่ะ..รวมหัวกันทำสิ่งที่พระเจ้าเกลียดมาก แล้วยังมีหน้าให้สัญญาในนามพระเจ้าอีก (มั่วจริงๆ) แต่ก็ได้ผล..คนทรงถามว่าจะให้เรียกใคร ซาอูลบอกว่าเรียกซามูเอลมาให้ชั้น ( ถามเขาซักคำมะ..ว่าเขาอยากมารึเปล่า) แต่คนทรงก็จัดให้ตามที่สั่ง. คือเรียกวิญญาณของซามูเอลให้ ข้อที่12 บอกว่า พอซามูเอลปรากฎตัวขึ้นจริงๆ คนทรงก็ตกใจอย่างแรง..ทีแรกน้าตุ๊กไม่เข้าใจ..ว่าตกใจทำไม..ก็เรียกเขามาเอง แล้วพระคำภีร์ก็บอกไว้แค่นี้ เสร็จแล้วคิดออก..ว่าที่กลัว เพราะซามูเอลมาให้เห็นแบบจะๆ คือ ปกติคงไม่เคยเจอของจริง..แค่หลอกชาวบ้านเขาไปวันๆ หรืออย่างมากคงเห็นแค่ภาพลางๆลวงๆ หรือไม่ก็หลับตาแล้วเห็น..อะไรประมาณเนี้ย พอเจอของจริงเลยร้องเสียงหลง แล้วถึงรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือซาอูลเพราะเห็นซามูเอลแล้วจำได้.
ดู1ซมอ.13-14 ซาอูลปลอบใจคนทรงว่าไม่ต้องกลัวๆ ไหน..บอกมาซิว่าเห็นอะไร คนทรงบอกว่าวิญญาณที่เห็นเป็น”เทพเจ้าองค์หนึ่ง” พระคำภีร์ฉบับฮีบรูใช้คำว่า”เอโลฮิม” ฉบับภาษากรีกใช้คำว่า”เธอุส” แต่แปลเหมือนกันคือหมายถึง”เทพ หรือ พระ”...แล้วซาอูลก็ถามคนทรงว่าเทพที่เห็นเนี่ย..รูปร่างหน้าตายังไง คนทรงก็อธิบายลักษณะให้ฟังแล้วบอกด้วยว่า..เทพองค์นี้เป็นชายแก่ สวมเสื้อคลุม ซาอูลฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป็นซามูเอลจริงๆ ก็เลยก้มลงกราบถึงดิน
ดู1ซมอ.28:15 ซามูเอลถามซาอูลว่า..”ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม” เหมือนจะอารมณ์เสีย..จะเพราะว่าถูกรบกวนหรืออยากตำหนิซาอูลก็ไม่รู้..ที่เขาทำบาปต่อพระเจ้าอีกแล้ว ส่วนซาอูลก็คร่ำครวญ..ว่าตอนเนี้ย..เขาทุกข์อย่างหนักเลย เพราะพวกฟิลิสเตียจะมาโจมตี “แล้วพระเจ้าก็ทิ้งเขาแล้ว” เขาเรียกหาพระองค์ทุกวิถีทาง แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย..ไม่ตอบเขาซักคำ เขาไม่รู้จะทำไง..ก็เลยต้องเรียกซามูเอลขึ้นมา ไหนๆก็มาแล้ว..บอกหน่อยว่าเขาควรทำยังไง..
ดู1ซมอ.28:16-17 ซามูเอลไม่ได้สนใจข้ออ้างของซาอูล แต่กลับพูดให้คิด..ว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ ซาอูลคิดได้ไง..ว่าซามูเอลจะช่วยเขาได้ในขณะที่พระเจ้าทรงเพิกเฉย.. เพราะพระเจ้า คือ สิทธิอำนาจเด็ดขาดและยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่เหมือนพระอื่น..ที่เขาไปไหว้กันเพื่อขอนั่นขอนี่ ขอเจ้านี้ไม่ได้ก็ไปขอเจ้าอื่น แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่ ถ้าพระองค์ปฏิเสธใคร..รับรองไม่มีหน้าไหนช่วยได้ทั้งนั้น ซาอูลทำอย่างงี้ก็ไม่ต่างกับบาลาอัม..ที่พยายามจะแช่งคนอิสราเอล..ในขณะที่พระเจ้าอวยพรพวกเขา เพราะอยากได้สินบนของบาลาค (เด็กๆจำเรื่องบาลาค กับ บาลาอัม ในหนังสือกันดารวิถีได้มั๊ย)
ซามูเอลไม่มีอะไรจะบอกซาอูล นอกเหนือไปจากสิ่งที่พระเจ้าเคยบอกไว้..เพราะฉะนั้น ไหนๆมาแล้วขอย้ำอีกทีละกัน..ว่าพระเจ้าจะทรงฉีกอาณาจักรของท่าน..และไปมอบให้คนอื่นแทน ไม่ต้องบอกว่าใครเพราะเรารู้ดี..ซาอูลก็รู้ดีและพยายามจะหนีความจริงข้อนี้มาทั้งชีวิต..
ดู1ซมอ.28:18-19 “เพราะท่านมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า..เรื่องชาวอามาเลข..” หวังว่าจะจำกันได้นะ..ตอนที่พระเจ้าสั่งให้ซาอูลกำจัดชาวอามาเลข “ให้สิ้นซาก” แต่ซาอูลก็ยังไว้ชีวิตก.อากัก กับ ฝูงสัตว์ที่เป็นเนื้อเกรดเอ..เอาไว้กินเอง ถึงปากจะอ้างความชอบธรรม..ว่าเอาไว้ถวายพระเจ้า..แต่ใครๆก็รู้ว่าไม่จริง ให้เราย้อนไปทบทวน..หนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดในพระคำภีร์กันอีกครั้ง เปิดไปดู1ซมอ.15:22 จริงๆแล้วซาอูลไม่ได้กบฎแค่ครั้งเดียว..แต่เรื่องชาวอามาเลข..มันเป็นตัวอย่างชัดเจนของความไม่เชื่อฟัง พระคำภีร์ข้อนี้..เด็กๆต้องจำไว้ให้แม่น..อย่างพวกเราพระเยซูสอนว่า ”รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” เราก็ต้องเชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อ ไม่ใช่บอกว่าเชื่อ..แต่บางทีไม่ได้อย่างใจ...ก็เลยอยากไปหาหมอดู อยากลองไปไหว้เจ้านั้นเจ้านี้..แล้วคิดว่าไม่เป็นไรเพราะชั้นถวายเยอะ ชั้นช่วยงานโบสถ์เต็มที่ ชั้นอธิฐานเก่งก็น่าจะโอเค..ไม่โอเคหรอก เพราะพระเจ้าไม่โปรดในเครื่องถวายใดๆมากไปกว่า..ความเชื่อฟังของเรา สู้ไม่ต้องทำอะไรเลยแต่เทใจรักพระเจ้าอย่างมั่นคง..ยังจะเวิร์คกว่า
ข้อที่19 ซามูเอลแถมท้ายให้อีก..ว่าพรุ่งนี้อิสราเอลจะแพ้พวกฟิลิสเตีย “ตัวท่านกับลูกจะอยู่กับเรา..”หมายความว่าไง..you กับลูกจะตายในวันรุ่งขึ้น ซาอูลจะรู้สึกมะ..ว่าไม่น่าไปเรียกเขามาเลย..ช่วยอะไรก็ไม่ได้..ยังมาบอกวันตายให้รู้อีก
ดู1ซมอ.28:20-21/22-23 พอรู้ชะตาตัวเองซาอูลถึงกับเข่าอ่อน..ทรุดลงไปนอนกับพื้นส่วนนึงก็เพราะไม่ได้กินอะไรเลยมาวันกับคืนเต็มๆ แล้วก็เหนื่อยกับการเดินทางด้วย พอมาเจอเรื่องช็อกสุดขีดเลยล้มทั้งยืน อาการคงน่าเป็นห่วง..คนทรงเลยบอกซาอูล..ว่าให้เห็นแก่ที่เธอยอมทำตามคำขอของซาอูล ด้วยการอนุญาตให้เธอทำอาหารถวายซักครั้ง อย่างน้อยจะได้มีแรงเดินทาง แต่ซาอูลปฏิเสธเพราะกินอะไรไม่ลง มหาดเล็กกับคนทรงต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมซาอูลถึงยอมตกลง..คนทรงก็จัดแจงฆ่าลูกวัวแล้วก็นวดแป้งทำขนมปังไร้เชื้อถวาย..นับเป็นอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของกษัตริย์ซาอูล พอเสวยเสร็จ..ซาอูลก็เสด็จกลับไปในคืนนั้น
ดู1ซมอ.29:1-3 จำได้มะ..ว่าพระคำภีร์ยังเล่าเรื่องที่อาคีชชวนดาวิดไปรบกับอิสราเอลค้างไว้ แล้วเอาเรื่องซาอูลไปหาคนทรงมาขั้น เพราะเดี๋ยวตอนท้ายสองเรื่องนี้จะมีบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ แต่เดี๋ยวค่อยว่ากัน.. บทที่29 นี้จะเป็นเรื่องที่ต่อจากตอนต้นของบทที่28 ข้อที่1 บอกว่า..พวกฟิลิสเตียตั้งฐานทัพอยู่ที่อาเฟก แล้วดูเหมือนว่าดาวิดกับคนของเขาจะอยู่กองหลังสุดกับก.อาคีช เพราะตอนนี้เขามีตำแหน่งเป็นองครักษ์ของกษัตริย์ฟิลิสเตีย แต่พอแม่ทัพของฟิลิสเตียเดินมาเห็นดาวิด เขาก็ถามอาคีชว่า..พวกฮีบรูมาทำไรที่นี่ อย่างนึงก็เพราะกองหลังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกองทัพ พวกผู้นำฟิลิสเตียเลยรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่เห็นดาวิดกับพวกได้อยู่ในจุดนั้น อาคีชบอกแม่ทัพว่า..นี่ดาวิดคนของก.ซาอูลไง เขาอยู่กับเรามานานแล้ว คืออาคีชพยายามจะยืนยัน..ว่าดาวิดไว้ใจได้
ดู1ซมอ.29:4-5 พวกผู้นำฟิลิสเตียรู้สึกโกรธ..ทำไมอาคีชถึงไว้ใจดาวิดขนาดนี้ มองไม่ออกหรือไงว่าหมอนี่เป็นตัวอันตราย..ว่าแล้วพวกเขาเลยขอให้อาคีชส่งดาวิดกลับไปที่ศิกลาก จะได้อยู่เป็นที่เป็นทาง..อย่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้ เพราะอาคีชต้องคิดให้ดี..ว่าคนที่ถูกเนรเทศเนี่ย..เขาจะทำอะไรเพื่อให้เจ้านายยอมยกโทษให้ เขาก็ต้องหักหลังเรา..เอาใจเจ้านายเค้า ข้อที่5 บอกว่า..พวกผู้นำเลยเตือนสติอาคีชอีกครั้ง..ว่าดาวิดคนนี้ไม่ใช่เหรอ..ที่พวกอิสราเอลเขาร้องเพลงว่า..ซาอูลฆ่าคนเป็นพัน ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่น..แล้วอาคีชลืมความนิยมที่คนอิสราเอลมีต่อดาวิดได้ยังไง คนที่ทำให้ประชาชนรักใคร่ได้ขนาดเนี้ย..ไม่ธรรมดาหรอก
ดู1ซมอ.29:7-8 สรุปแล้ว อาคีชต้องยอมรับข้อเรียกร้องของผู้นำคนอื่นๆ เขาบอกดาวิดว่า.. เขาเชื่อใจดาวิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วใจจริงก็อยากให้ดาวิดไปรบด้วย แต่คงจะทำอย่างงั้นไม่ได้ เพราะผู้นำคนอื่นเขาไม่ยอม แล้วอาคีชก็ขอให้ดาวิดยอมกลับไปเงียบๆละกัน เขาจะได้ไม่ผิดใจกับผู้นำคนอื่น น้าตุ๊กว่า..ดาวิดคงดีใจแทบสิ้นสติที่ได้ยินอาคีชพูดอย่างงี้ เพราะกำลังมืดแปดด้านกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะไม่รบก็ไม่ได้เพราะสร้างภาพกับอาคีชไว้เยอะ ทำจนเขาเชื่อว่าตัวเองอยู่ฝ่ายเขา..เป็นศัตรูกับอิสราเอล แต่ถ้าต้องไปรบยิ่งแย่กว่าเพราะต้องสู้กับพี่น้องตัวเอง กษัตริย์ที่พระเจ้าเจิมไว้ แล้วยังโยนาธานเพื่อนรักอีก เพราะฉะนั้น พอได้ยินอาคีชพูดอย่างงี้ดาวิดต้องเนื้อเต้นแน่นอน แต่ยังฟอร์มจัด เพราะข้อที่8 ดาวิดยังอุตส่าห์กัดฟันพูด..ว่าเขาทำไรผิด อาคีชถึงถอดใจไม่ยอมให้เขาไปรบด้วย..(เนียนมากค่ะ..ดาวิด)
ดู1ซมอ.29:9-10 อาคีชยังปลื้มดาวิดไม่เลิก ถึงกะออกปากชมว่าดาวิดไม่ได้ผิดอะไร..แถมเลิศเลอเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่อย่าไปรบเลยนะเพราะคนอื่นเขาไม่ยอม แล้วอาคีชก็ขอให้ดาวิดกับคนของเขากลับไปศิกลากแต่เช้ามืด ข้อที่11 บอกว่า ดาวิดกับคนของเขาเลยเดินตัวลอยออกจากกองทัพกลับไปศิกลากแต่เช้ามืด ปัญหาที่หนักอกมานานก็ถูกยกออกไปซะที นี่คือการช่วยกู้จากพระเจ้า ในรูปแบบที่มนุษย์คิดไม่ถึง เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า..พระเจ้าไม่แค่เตรียมสำรับให้เราต่อหน้าต่อตาศัตรู แต่พระเจ้ายังใช้มือของศัตรูเตรียมสำรับให้พวกเราด้วย..
แต่มันมีความจริงอยู่ข้อนึง คือ ทุกคนต้องรับผลของความบาปที่ตัวเองทำ..เสมอ ดาวิดพลาดตั้งแต่ที่เขาเลือกมาอยู่กับอาคีช อาจเป็นเพราะความอ่อนแอ เหนื่อยล้า..ที่ถูกซาอูลตามล่า ทำให้ดาวิดถอดใจถึงขนาดยอมทิ้งแผ่นดินอิสราเอล..ไปอาศัยใบบุญของคนต่างชาติ เขาเลือกทำอย่างงี้ทั้งที่รู้อยู่..ว่ามันไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า ถ้าเราจำได้..ตอนที่เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่โมอับ พระเจ้ายังส่งผู้เผยพระวจนะ”กาด”ไปบอกให้ดาวิดกลับไปอยู่ที่อิสราเอล..แล้วตอนนั้นดาวิดก็เชื่อ..แต่อยู่ดีๆในบทที่27 ดาวิดก็รู้สึกไม่ปลอดภัย..ความวางใจในพระเจ้าไม่รู้หายไปไหนหมด ถึงได้ตัดสินใจทิ้งแผ่นดินอิสราเอล..หันไปพึ่งพากษัตริย์ของต่างชาติแทน ช่วงแรกดาวิดคงรู้สึกดีเพราะได้อยู่อย่างอิสระ ได้ปล้นฆ่าศัตรูของอิสราเอลจนตัวเองอยู่ดีกินดี แถมยังปลอดภัยอยู่ในกำบังของฟิลิสเตีย แต่ไม่นานดาวิดเหมือนติดกับตัวเองเพราะกษัตริย์อาคีชโปรดปรานเขามากเกินเหตุ..จนเขาเกือบได้รับเกียรติให้ต้องไปรบกับพี่น้องตัวเอง แต่ดาวิดก็รอดจากสถานการณ์นั้นมาได้อย่างน่าทึ่ง เพราะพระเจ้าไม่มีแผนจะลงโทษเขาด้วยวิธีนั้น..
ดู1ซมอ.30:1-2 ดาวิดกลับมาที่ศิกลากด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะไม่ต้องไปรบกับพี่น้องตัวเอง แล้วก็ไม่ผิดใจกับอาคีชก.ฟิลิสเตียด้วย แต่พอมาถึงบ้านเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ภาพที่เห็น คือ เมืองทั้งเมืองถูกเผาพังพินาศ ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ แล้วก็ไม่มีซากศพให้เห็นด้วย เพราะข้อนี้ บอกว่า..คนอามาเลขถือโอกาสช่วงที่ฟิลิสเตียกำลังรวบรวมกำลังพล เข้ามาปล้นชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้ แล้วหนึ่งในเมืองนั้นคือศิกลากบ้านของดาวิดกับคนของเขา นอกจากจะปล้นเอาทรัพย์สินกับเผาบ้านเรือนจนวอดวายแล้ว พวกอามาเลขยังกวาดต้อนลูกเมียของพวกเขาไปเป็นเชลยด้วย
ดู1ซมอ.30:5-6 ข้อที่5บอกว่า..ภรรยาสองคนของดาวิดก็ถูกพาตัวไปเป็นเชลยด้วยหลังจากที่ทุกคนร้องไห้คร่ำครวญกันจนน้ำตาเหือดหายไปแล้ว คนของดาวิดก็เริ่มจับต้นชนปลาย แล้วสุดท้ายก็โทษว่าเป็นความผิดของดาวิด..ตั้งแต่ที่พาพวกเขาออกจากเมืองกัท.ให้มาอยู่ที่ศิกลาก แล้วออกปล้นศัตรูของอิสราเอล..ที่หนึ่งในนั้นคือพวกอามาเลข แล้วยังไปวุ่นวายกับก.อาคีช จะดีหรือไม่ดีไม่รู้..แต่มันทำให้พวกเขาต้องทิ้งบ้านไปอยู่ในกองทัพกับพวกฟิลิสเตีย ถึงที่สุดจะได้กลับมาบ้านแต่เหมือนจะสายเกินไป นิสัยชอบหาแพะรับบาปของมนุษย์ก็เลยผุดขึ้นมา ข้อที่6 บอกว่า..คนของดาวิดลงความเห็นว่า..พวกเขาน่าจะเอาหินขว้างดาวิดให้ตาย
วันนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวคราวหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือ1ซามูเอลแล้ว เราจะมาวิเคราะห์กันถึงความแตกต่างของซาอูลกับดาวิด ทั้งที่ตอนนี้สภาพของดาวิดก็ย่ำแย่แพ้ซาอูลไปหน่อยเดียว แล้วความต่างของสองคนนี้..อยู่ตรงไหน สูตรสำเร็จในการดำเนินกับพระเจ้า..ไม่มีค่ะ มีแต่พระลักษณะอันเที่ยงธรรม สัตย์ซื่อของพระองค์เท่านั้นที่พวกเราต้องแสวงหาและยึดให้มั่น..
จนกว่าจะพบกันใหม่ พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น