วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่13 อาทิตยที่16:5:2010

ดู1ซมอ.20:27-28/30-31 พอถึงวันถวายสัตวบูชา ดาวิดก็ไม่มาร่วมงาน..แต่คืนแรก..ซาอูลก็ไม่ได้ว่าไร เพราะคิดว่า..เออ.สงสัยดาวิดคงจะเป็นมลทิน (อะไรซักอย่าง) ก็เลยมาร่วมฉลองไม่ได้ แต่พอไม่เห็นดาวิดอีกเป็นวันที่สอง..เขาเลยถามโยนาธาน..ว่าดาวิดไปไหน โยนาธาน บอกว่าเขาอนุญาตให้ดาวิดกลับไปฉลองกะพ่อที่เบธเลเฮม แค่นั้นแหละ..ซาอูลก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ด่าทอโยนาธานเสียๆหายๆ หาว่าโยนาธานอ่ะ..เป็นตัวนำความอับอายมาให้ราชวงศ์..เอาแต่เข้าข้างดาวิด ทั้งๆที่ก็รู้อยู่..ว่าถ้าปล่อยให้ดาวิดมีชีวิตยู่ต่อไป..อีกหน่อยเขาจะต้องได้บัลลังก์ไปครอง ว่าแล้ว..ก็สั่งให้คนไปตามจับดาวิดมาเพื่อจะฆ่าซะ
ดู1ซมอ.20:32-34 โยนาธานแย้งซาอูลว่า..ทำไมพ่อต้องฆ่าดาวิดด้วย เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนักหนา แต่พอโยนาธานพูดได้แค่นั้น..ซาอูลก็พุ่งหอกใส่เลย (แค้นจัดกะจะฆ่าให้ตาย..ลูกไม่รักดี) แต่พระคำภีร์บอก..พลาดอีกแล้ว
พอโดนหอกพุ่งใส่ โยนาธานถึงแน่ใจ..พ่อบ้าไปแล้วจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ห่วงดาวิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะดูท่าแล้วซาอูลคงไม่ยอมวางมือง่ายๆ
ดู1ซมอ.20:35-37 ข้อนี้บอกว่า..เช้าวันรุ่งขึ้น โยนาธานรีบออกไปส่งข่าวให้ดาวิดรู้ที่ทุ่งนา..ตามที่นัดกันไว้ พอไปถึงโยนาธานก็ยิงธนูแล้วร้องบอกเด็กที่ไปเก็บลูกธนูว่า..”ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน่น..ไม่ใช่หรือ จงรีบไปโดยเร็วอย่าหยุด” พูดอย่างงี้ ตามที่ตกลงกันไว้แปลว่า..ให้ดาวิดรีบหนีไป เพราะซาอูลจะฆ่าเขาจริงๆ แต่แทนที่ดาวิดจะรีบหนีไปตามที่ตกลงกันไว้ เขากลับออกมาร่ำลาโยนาธานด้วยน้ำตานองหน้า ข้อที่41 บอกว่า..ดาวิดก้มลงกราบโยนาธานสามครั้ง ตัดใจให้หนีไปเลยไม่ได้..เพราะรู้ดีว่าต่อไปนี้อาจจะไม่ได้พบกันอีกเลย (เศร้ามากจริงๆ)
ดู1ซมอ.20:42 ถ้าสังเกตุดูเด็กๆจะเห็นว่า..มีการพูดถึงการทำพันธสัญญาระหว่างดาวิดกับโยนาธานหลายครั้งมาก น้าตุ๊กว่า..พระเจ้าทรงตั้งใจให้เราเห็นถึงความสำคัญของคำว่า”พันธสัญญา” แล้วมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ถูกควบคุมไว้ด้วยคำนี้..แทบจะทุกเรื่อง
ตั้งแต่สัญญาระดับประเทศ ระดับชุมชน หรือแม้แต่บุคคลต่อบุคคล..ตัวอย่างง่ายๆอย่างการแต่งงานก็จะมีการจดทะเบียน แล้วก็ทำพันธสัญญากันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า..ว่าจะรักซึ่งกันและกันตลอดไป(ต้องตลอดไปนะ)ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต ถามว่าทำไมต้องทำพันธสัญญากันด้วย ทำไมไม่แค่รักกันเฉยๆก็พอล่ะ..คำตอบก็คือ เพราะลำพังแค่อารมณ์รักโรแมนติกอย่างเดียว..มันไม่สามารถทำให้ใครมั่นคงต่อกันได้จริง เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็เบื่อ ที่สุดก็อยากเลิกกัน เพราะมนุษย์แปรปรวนสุดๆ..แล้วพระเจ้าทรงรู้จักนิสัยข้อนี้ของมนุษย์ดี พระองค์ถึงต้องใช้พันธสัญญามาควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์..
ดูปฐก.9:11-13...ปฐก.12:1-3...อพย.19:4-6
เราจะเห็นว่า..ตั้งแต่ปฐมกาลพระเจ้าทรงใช้พันธสัญญาควบคุมมนุษย์ตลอด พระองค์ทำพันธสัญญากับโนอาห์..อับราฮัม และก็กับคนอิสราเอลในสมัยอพยพ..โดยธรรมบัญญัติของโมเสส แล้วพระองค์เองที่รักษาสัญญาอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนมนุษย์ไม่..มนุษย์ล้มเหลวตลอด กบฎ ละเมิดกันเละเทะทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ โยชูวา ผู้วินิจฉัย มาจนถึงทุกวันนี้ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าความรอดของเราต้องขึ้นอยู่กับการรักษาสัญญา..หรือรักษากฎบัญญัติ เด็กๆเข้าใจมะ..ว่าเราไม่มีวันรอด ไม่มีวันได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า เพราะอย่างงี้..พระเจ้าถึงต้องเตรียมทางรอดอันใหม่ “ที่เหนือชั้นกว่าเก่า”ไว้ให้เรา เพราะทางเก่ามันถูกพิสูจน์แล้ว..ว่าใช้การไม่ได้ พันธสัญญาใหม่ถึงต้องเกิดขึ้น..แล้วลักษณะสำคัญของ”สัญญาอันใหม่” ของพระเจ้าก็คือ “ความรอดต้องไม่ขึ้นอยู่กับความดีของมนุษย์”..ต้องทางนี้เท่านั้นถึงจะช่วยมนุษย์ได้
ดูยรม.31:31-33 เมื่อพิสูจน์แล้ว..ว่ามนุษย์มักล้มเหลวในการรักษาสัญญาหรือกฎบัญญัติพระเจ้าทรงตรัสผ่านเยเรมีห์ว่า..พระองค์จะทำพันธสัญญาใหม่กับมนุษย์ คือ “จะทรงบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และจารึกมันไว้บนดวงใจของมนุษย์..” เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า..ธรรมะที่อยู่บนแผ่นศิลา กระดาษ ใบลาน หรือวัตถุอะไรก็ตามเนี่ย..มันทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ไม่ได้ กฎบัญญัติหรือกฎหมายทุกอย่างเป็นได้แค่กระจกเงา..ที่ส่องแล้วทำให้เราเห็น..ว่าเรารูปร่างหน้าตายังไง..น่าเกลียดขนาดไหน แต่กระจกไม่เคยแก้ไขให้เราสวยหรือดูดีขึ้นได้ (นึกออกมะ) ในข้อนี้พระเจ้าถึงบอกว่า..”พระองค์จะจารึกพระธรรมไว้ที่ดวงใจของเรา” ยังไง?..ก็เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในใจทันที อันนี้แหละ..คือ “ความชอบธรรม”อันที่พระเจ้าบอกผ่านเยเรมีห์..ว่าจะใส่ไว้ที่หัวใจของเรา
ดู ฮีบรู9:14-15 พระเจ้าใช้วิธี”ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์”ให้มาเกิดบนโลกนี้ (อย่าเบื่อหรือรู้สึกเพิกเฉยกับคำนี้) เพราะนี่คือคำแห่งความจริง เพราะพระคริสต์ทรงมาเกิดบนโลกโดย..เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แปลว่า ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิของมนุษย์ พระองค์ถึงบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อบาปเพราะไม่ใช่เชื้อสายของอาดาม เพราะฉะนั้น การตายบนไม้กางเขนของพระองค์ จึงมีค่ามากพอแล้ว..ที่จะแลกกับความผิดบาปของมนุษยชาติ..เพราะเป็นการตายของคนบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำไรผิดแต่ถูกฆ่า..นั่นคือส่วนที่พระเจ้าทำ ส่วนมนุษย์ก็มีหน้าที่แค่..ต้องรับเอาไว้เป็นของตัวเอง (อ้าปากก็ได้กินเลย..ไม่ต้องไปเหนื่อยหรือขนวายด้วยตัวเอง ถ้าง่ายขนาดนี้แล้วยังไม่กิน..ก็คงต้องรอรับความตาย..)
แล้วสัญญาอันใหม่ของพระเจ้า..จะผูกพันเราแค่ครั้งเดียวแต่คงอยู่ตลอดไป..ไม่ต้องทำซ้ำอีกเหมือนสมัยโมเสส หรือเหมือนความเชื่ออื่น..ที่ทำแล้วไม่เคยอิ่ม เพราะถ้าอิ่มก็คงไม่ต้องทำซ้ำ แต่เท่าที่เห็น..ก็ยังวนเวียนทำกันอยู่ซ้ำซากเหมือนเดิม..เพราะเติมไม่เต็ม..แก้ไม่ถูกจุด..เกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่อิ่ม แต่ก็คิดกันไม่ออก..เพราะพระเจ้าไม่เปิดใจ..
ดู1ซมอ.21:1-3 หลังจากที่ร่ำลากับโยนาธานแล้ว ดาวิดก็หนีไปหา”อาหิเมเลข”ที่เมืองโนบ เพราะในเวลาอย่างงี้ดาวิดคิดว่าไปหาปุโรหิตน่าจะปลอดภัยสุด แต่อาหิเมเลขก็รู้สึกผิดสังเกตุอยู่เหมือนกัน เพราะดาวิดดูสั่นๆ อาหิเมเลขก็เลยถามว่าทำไมมาคนเดียว ดาวิดเป็นถึงผู้บัญชาการกองพันแล้ว..ปกติต้องมีลูกน้องติดตาม ดาวิดเลยบอกว่า..นี่เขามาราชการลับ ลูกน้องก็ซุ่มๆอยู่แถวๆนี้แหละ (แต่จริงๆไม่มีหรอก) เสร็จแล้วดาวิดก็บอกว่า..เขาอยากได้เสบียง ที่นี่พอมีอะไรที่จะเป็นเสบียงให้เขาได้มั่ง..
ดู1ซมอ.21:4-5 อาหิเมเลขตอบว่า..เขามีแต่ขนมปังบริสุทธิ์ที่วางหน้าพระพักตร์ ซึ่งจริงๆเป็นของปุโรหิต แต่ถ้าดาวิดกับลูกน้องไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมา..เขาก็ให้กินได้เหมือนกัน ดาวิดเลยบอกว่าเขารู้กฎอันนี้ดี อาหิเมเลขไม่ต้องห่วง..เพราะในเวลาราชการอย่างงี้..เขาไม่มีเวลาไปยุ่งกับผู้หญิงแน่นอน ปุโรหิตก็เลยเอาขนมปังห้าก้อนให้ดาวิดไปเป็นเสบียง
ข้อที่7 บอกว่า..”วันนั้นมีผู้ชายคนนึงชื่อ”โดเอก”อยู่ที่นั่นด้วย เขาเป็นชาวเอโดม(แปลว่า เป็นคนต่างชาติ)..แต่เป็นลูกน้องของซาอูล..? ตอนนี้เราจะยังไม่เข้าใจ..ว่าพระคำภีร์พูดถึงโดเอกทำไม เพราะข้อนี้ก็บอกไว้แค่ลอยๆ..แต่เดี๋ยวบทที่22 เราจะรู้..ว่าโดเอกคนนี้แหละ ที่คาบข่าวไปบอกซาอูล..ว่าดาวิดมาที่เมืองโนบ เป็นเหตุให้ซาอูลสั่งฆ่าคนเมืองนี้เกือบหมด
ดู1ซมอ.21:8-9 พอได้เสบียงแล้วดาวิดก็เริ่มมองหาอาวุธ เขาถามปุโรหิตว่า..ที่นี่มีหอกหรือดาบมั่งมั๊ย (ดาวิดมีพิรุธจริงๆ) เพราะเรารู้ว่า..ทั้งประเทศ มันก็มีดาบอยู่ไม่กี่เล่ม ตอนก่อนพระคำภีร์ก็บอก..ว่าโยนาธานกับซาอูลเท่านั้นที่มีดาบเหล็ก แล้วทำไมดาวิดถึงมาหาอาวุธในบ้านของปุโรหิตล่ะ แล้วจริงๆก็ไม่น่าจะมี..เพราะเขาจะเอาไปทำไร แต่ก็บังเอิญ..มีอยู่อันนึงของโกลิอัท..ที่ดาวิดปราบน่ะแหละ อาหิเมเลขก็เลยให้ไปอย่างเต็มใจด้วยนะ เพราะจริงๆ..ดาบนี้ก็น่าจะเป็นสิทธิ์ของดาวิดอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นคนฆ่าโกลิอัท ตกลงตอนนี้ดาวิดก็เลยได้ทั้งเสบียงและก็อาวุธติดตัวไป ดาวิดไปไหน..?
1ซมอ.21:10-11 ข้อนี้บอกว่า ดาวิดหนีซาอูลไปที่เมืองกัท..เมืองกัทของพวกฟิลิสเตีย ทำไมดาวิดถึงเลือกลี้ภัยมาที่นี่ นี่มันบ้านของศัตรู..บ้านเกิดของโกลิอัทที่เขาฆ่าตายกะมือ แล้วตอนนี้เขาก็ถือดาบของโกลิอัทมาด้วย..
พระคำตอนนี้ ชี้ให้เราเห็น..ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่กษัตริย์มักจะชอบช่วยเหลือ..คุ้มครองนักโทษที่ลี้ภัยการเมือง..จากประเทศรอบด้าน เพราะไร..มันมีแต่ได้กับได้ ถ้าวันนึง..คนที่เขาช่วยไว้เกิดกลับไปใหญ่อีกครั้งในประเทศของตัวเอง(คุ้นๆมะ) กษัตริย์ที่เคยให้ที่อยู่ที่กินก็ต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนแน่นอน..ข้อที่11นี้..มหาดเล็กถึงได้พูดกับก.อาคีชประมาณว่า..ท่านจำไม่ได้เหรอ..ดาวิดคนนี้ไงที่ได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล คนนี้แหละที่เป็นคนฆ่าโกลิอัทของเรา เขาคือคนที่ชาวอิสราเอลโห่ร้องว่ายิ่งใหญ่กว่าก.ซาอูล เพราะฆ่าคนเป็นหมื่น..
ดู1ซมอ.21:12-15 ตรงจุดนี้..ถ้าดาวิดจะพลาด..ก็คงเพราะชั่วโมงนั้นเขาอยู่ในสภาพที่เรียกว่า..กำลังอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราชอย่างแท้จริง ความรนรานของเนื้อหนังมนุษย์ในยามวิกฤติมันก็เลยสั่งให้เขาเลือกไปพึ่งศัตรู..แทนที่จะพึ่งพระเจ้า ดาวิดถึงได้ตากหน้ามาถึงฟิลิสเตีย แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ยอมให้เขาเอาศัตรูเป็นที่พึ่ง..
เพราะในข้อที่12 บอกว่า..ดาวิดได้ยินอาคีชกับมหาดเล็กปรึกษากัน ก็เลยชักไม่แน่ใจ..เพราะถึงอาคีชจะยอมให้เขาอยู่ แต่กษัตริย์ฟิลิสเตียคนนี้..ก็อาจจะเปลี่ยนใจฆ่าเขาทิ้งทีหลังก็ได้ เพราะยังไงพวกฟิลิสเตียก็ต้องแค้นดาวิดมากอยู่ คิดไปคิดมา..ดาวิดเลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ทำไงดี..เอาวะ..แกล้งบ้าซะเลย..ข้อที่13 บอกว่า..ดาวิดเที่ยวขีดเขียนมั่วซั่วไปทั่วเมือง แถมยังทำน้ำลายไหลยืดเลอะเทอะเปรอะเปื้อน อาคีชเห็นอย่างงั้นก็ไม่อยากยุ่งด้วย..ก็เลยสั่งให้มหาดเล็กปล่อยดาวิดไป อาคีชคิดประมาณว่า..เมืองนี้ก็มีพวกฟิลิสเตียบ้าๆมากพอละ ไม่รู้จะเก็บคนบ้าไว้อีกทำไม ดาวิดเลยถูกปล่อยตัวไป..
วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ..ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่รับบัพติศมาในน้ำด้วยนะคะ
พบกันสัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น