เรามาถึงบทที่
16 แต่เด็กๆดู
ท้ายบทที่ 15 สักนิดนึง ข้อที่ 32-39 เป็นอีกครั้งที่พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคน
4 พันคน ด้วยขนมปัง 7 ก้อน
กับปลาเล็กๆอีก 2-3 ตัว
ที่น้าตุ๊กต้องเกริ่นไว้
เพราะบทต่อไปเราจะได้เห็นภาพนะคะ
ดู
มัทธิว 16:1-4 ณ.เวลานั้น
พวกฟาริสีคงมีหน้าที่มาจับผิดพระเยซู
วันๆไม่ทำอะไร..คอยแต่จะมาลองภูมิพระเยซูตลอด ข้อนี้ก็มาอีกละ..มาขอหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ เลยโดนพระเยซูตอกกลับไป..”คนชาติชั่ว..คิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ
และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น"
.ถ้าไม่อยากถูกกล่าวโทษเหมือนพวกฟาริสี เด็กๆต้องแสวงหาพระเจ้า..แสวงหาน้พระทัยของพระองค์นะคะ
ไม่ใช่แสวงหาแต่หมายสำคัญหรืออัศจรรย์เหมือนพวกฟาริสี ส่วนหมายสำคัญของโยนาห์ที่พระเยซูพูดถึง
หมายถึง พระองค์เอง..ที่จะต้องสิ้นพระชนม์ไป 3 วัน แล้วจะกลับฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาใหม่ เหมือนที่โยนาห์ต้องไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน และสิ่งนี้คือ
หมายสำคัญที่สำคัญที่สุดอย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา
เราไม่จำเป็นต้องเรียกหาอัศจรรย์อย่างอื่น
ถ้าจำเป็น..พระเจ้าจะประทานให้เราเอง..อย่าไปโฟกัสกับมัน แต่คนส่วนใหญ่ชอบ..ชอบการอัศจรรย์ ชอบปาฏิหารย์อะไรก็ตาม..ที่มันจับต้องมองเห็น เพราะมันตอบสนองเนื้อหนังได้ดี แต่สิ่งเหล่านี้..ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์ และหมายสำคัญบนไม้กางเขนที่พระองค์จะประทานให้..ต้องใช้
”ความเชื่อ” เท่านั้น ความเชื่อ คือ
อะไร ในหนังสือฮีบรูบอก “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้
เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” ..เพราะ ถ้าเห็นกันใสๆ คงไม่ต้องใช้ความเชื่อ (ถูกมั๊ยคะ)
แต่ น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่าเราจะขอหมายสำคัญจากพระเจ้าไม่ได้เลย..ไม่ใช่ แต่เด็กๆต้องจำไว้ว่า ”อัศจรรย์ที่สำคัญที่สุด
คือ ความรอด พระเจ้าได้ประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว”
ส่วนอย่างอื่นที่พระองค์ประทานให้ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้เป็นแค่ของแถมเล็กๆน้อยๆ
จะได้หรือไม่ได้..อย่าไปรู้สึกเยอะแยะหรือโฟกัสกับมันให้มากนัก
ดู
มัทธิว 16:5-8 หลังจากที่พระเยซูจัดการพวกฟาริสีเสร็จ พระองค์ก็ลงเรือข้ามฟากไปกับเหล่าสาวก แล้วพระองค์ก็ออกปากเตือนเหล่าสาวกว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี" พอได้ยินคำว่า”เชื้อ” พวกสาวกก็ไปนึกถึงขนมปัง..คิดว่าพระเยซูพูดถึงขนมปังที่พวกเขาลืมเอาติดตัวมา ข้อที่ 8 พระองค์ตรัสว่า
“โอ ผู้มีความเชื่อน้อย
เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่ได้เอาขนมปังมา จำไม่ได้หรือ
เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านได้กินอิ่มกันทุกคน..แล้วยังเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง..12 กระบุง กับขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น ก็เก็บที่เหลือได้อีก 7 กระบุง”...แล้วจะกลัวอะไร..กับแค่ไม่มีเสบียง
เด็กๆ
เห็นมั๊ยคะ..ว่าการอัศจรรย์ที่ทำให้เห็นจะๆอย่างงี้..ใช่ว่าได้แล้วมนุษย์จะอิ่ม..จะพอ หรือจะหายกลัว
ไม่หายเลย..ทำให้เห็นกี่ครั้งๆก็ยังไม่เคยจะไว้ใจพระเจ้า
พอเจอปัญหาใหม่เข้าหน่อยก็ตกใจตาหูเหลือกเหมือนเดิม
ทั้งที่พระองค์ก็พาเราผ่านมาแล้วทุกครั้งพระองค์ก็ดูแลเราอย่างดี อย่างพวกเราทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องไร “เรื่องเงิน..ใช่มั๊ย” แต่ถ้าคิดดูให้ดี
เราจะเห็นว่าพระเจ้าก็เลี้ยงดูเราอย่างดี
กินอิ่ม นอนหลับทุกวัน
แล้วก็ยังมีเหลืออีกหลายกระบุงเหมือนคนอิสราเอลในสมัยนั้น ต่างกันแค่ที่เหลือหลายกระบุงของเรามันกลายเป็น..เสื้อผ้าสวยๆ..กระเป๋า..รองเท้า..อาหารญี่ปุ่น..มือถือ..ไอแพด..ไอโฟน
ไออะไรก็ตาม..มันก็คือของที่เหลือเกินจากความอิ่มบริบูรณ์ของเราทั้งนั้น แต่พอเจอความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆเราก็ยัง ”กลัว” ข้อที่ 12 บอกว่า “แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า
พระเยซูไม่ได้พูดถึงขนมปัง แต่ให้ระวังจะติดเชื้อ ”เชื้อ” ที่หมายถึงความบาปในคำสอนผิดเพี้ยนของพวกฟาริสีกับพวกสะดูสี”..
ดู
มัทธิว 16:13-15 /
16-17 เมื่อพระเยซูเสด็จไปที่เมืองซีซารียา พระองค์ก็ถามเหล่าสาวกว่า “คนที่นี่
เขาคิดว่าพระองค์เป็นใคร” สาวกก็บอกว่า
“บางคนคิดว่าพระองค์เป็นยอห์น
บางคนคิดว่าเป็นเอลียาห์
แล้วบางคนก็คิดว่าเป็นเยเรมีย์หรือไม่ก็เป็นผู้เผยพระวจนะคนนึงของพระเจ้า พระเยซูฟังแล้วก็ถามเหล่าสาวกกลับไปว่า “แล้วพวกท่าน
คิดว่าเราเป็นใคร”...เปโตรตอบทันทีเลยว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์
พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
พระเยซูฟังแล้วก็บอกเปโตรว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย
ท่านก็เป็นสุข เพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ”
คือ ที่เปโตรเชื่อว่าพระองค์เป็นพระตริสต์..เพราะพระเจ้าใส่ความเชื่อให้เขา และนี่คือ รากฐานที่แท้จริงของความเชื่อ คือ ความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า หลายครั้ง เรามีหน้าที่ประกาศก็จริง แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..มันขึ้นอยู่กับ
“พระเจ้า”
แล้วการดำเนินในทางพระเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้เสมอ เหมือนที่น้าตุ๊กได้ยกตัวอย่าง เปรียบเที่ยบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นไมโครชิพหรือรหัสลับระหว่างเรากับพระเจ้า และถ้าเรามีสิ่งนี้แล้ว..ไม่ว่าพระเจ้าบอกอะไร..บอกยังไง..เราก็จะเชื่อและเข้าใจทั้งหมด
ในขณะที่คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาจะไม่มีวันเข้าใจว่า..ทำไมคริสเตียนถึงมีความเชื่อได้ขนาดนั้น ก็มันพิสูจน์ไม่ได้ เพราะตาก็ไม่เห็น..หูก็ไม่ได้ยิน แต่เราเชื่อเพราะพระเจ้าเป็นผู้ใส่ความเชื่ออย่างมั่นใจให้กับเรา เหมือนที่พระเยซูบอกเปโตร..ว่าผู้ที่ทำให้เปโตรเชื่อแน่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า
ก็คือ พระเจ้าพระบิดา..ไม่ใช่มนุษย์
ดู
มัทธิว 16:21-22 ในข้อนี้
พระเยซูทรงเริ่มพูดถึงวาระที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์เปิดเผยแก่เหล่าสาวกว่า “พระองค์
จำเป็นต้องเดินทางไปที่เยรูซาเล็ม..”..เพื่ออะไร เพื่อไปรับทุกข์ทรมานหลายประการ..
จนต้องถูกประหารชีวิต..” เพราะงั้น...พวกสาวกถึงไม่เข้าใจ..ว่าถ้าไปแล้วต้องเจออย่างนี้..อย่างนี้
ไม่มีอะไรดีเลย แล้วพระองค์จะไปทำไม ! และถ้าเป็นเรา..เราจะไปมั๊ย ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องเจออะไรบ้าง..??? (พระองค์เจ้าข้า ถ้าจอกนี้เลื่อนได้หรือถึงเลื่อนไม่ได้ ก็ขอทรงเลื่อนไปจากข้าพระองค์เถิด..ใช่มั๊ย 555) แต่ ! พระเยซูไม่ใช่อย่างนั้น พอเปโตร ท้วงพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า
ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เกิดเรื่องอย่างนั้นแก่พระองค์เลย" ..พระเยซูมองหน้าเปโตรแล้วสวนกลับทันทีว่า
“อ้ายซาตาน ! จงไปให้พ้น
เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา
เพราะเจ้าคิดอย่างคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า”..คิดอย่างคน
ก็คือ เท่าที่พระเยซูบอกมา..มันไม่เห็นมีอะไรดีเลย จะดีได้ไง..ถ้าต้องไปเยรูซาเล็มแล้วต้องถูกเขากลั่นแกล้งทรมาน..จนตาย” เออ ถ้าบอกว่าไปแล้ว เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างดี ปรนนิบัติพัดวี..เตรียมสำรับสุดพิเศษเพื่อพระองค์..หรือเชิญให้นั่งบนบัลลังก์..อะไรต่างๆ
ก็ค่อยฟังดูเข้าท่าหน่อย..ในสายตาของเปโตร
“...แต่พระเยซูบอกว่า..ถ้าคิดแบบนี้ มันคือ คิดแบบมนุษย์ เพราะตัดสินทุกอย่างด้วยสิ่งที่ตามองเห็น ซึ่งมันเป็นทางที่ตรงข้ามกับทางของพระเจ้า
ดู
มัทธิว 16:24-25 “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา
ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา”..เอาชนะตนเอง หมายถึง
“ปฏิเสธตัวเอง”..ทิ้งตัวตน..ทิ้งความคิดสติปัญญา..ความปรารถนา และรวมถึงอีโก้ทั้งหมดทั้งมวลของตัวเอง “และรับกางเขนของตนแบกตามเรามา..” มอบถวายให้พระคริสต์เข้าครอบครองทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ (ทำยาก..แต่ทำได้นะคะ)
ข้อที่
25 บอก..”เพราะผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด
ผู้นั้นจะเสียชีวิต..” เนื่องจาก
คริสเตียนหรือผู้ที่เชื่อพระเยซูในสมัยนั้นจะถูกข่มเหงอย่างหนัก..คริสเตียนจำนวนมากถูกฆ่าตาย หลายคนเลยยอมที่จะปฏิเสธพระเยซูเพื่อรักษาชีวิตไว้ นี่คือ ความหมายที่พระเยซูพูดถึงในข้อนี้ “..ใครก็ตามยอมปฏิเสธพระองค์เพื่อเอาชีวิตรอด คนนั้นจะต้องเสียชีวิตหรือตายฝ่ายวิญญาณ “..แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา
ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด” ..ถึงต้องถูกฆ่าตาย แต่วิญญาณเขาจะรอด..ได้รับชีวิตนิรันดร์ (ตัวตายจริงแต่วิญญาณไม่ตาย)
ดู
มัทธิว 16:26-28 “..เพราะถ้าเราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน มันจะมีประโยชน์อะไร..เราจะเอาอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของเรากลับคืนมา (เอาบ้านไปแลก..แลกได้มั๊ย เอาเงินไปซื้อ..พระเจ้าขายรึเปล่า พระเจ้าไม่ขายหรอก) ข้อที่ 27 บอกว่า “เหตุว่าบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งพระบิดา
และพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์..
เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ทุกคนตามการกระทำของตน”....ความรอด ขึ้นอยู่กับพระบุตร คือ ”พระเยซูคริสต์”ท่านั้น แล้วเราจะได้รู้กันในวันที่พระองค์เสด็จมาพิพากษา..ว่าใครจะ ”รอด”..หรือ ”ไม่รอด” และได้บำเน็จกันมากน้อยแค่ไหน
พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ประทานให้..ตามการกระทำของเรา ข้อที่ 28 บอกว่า “...เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตาย
จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของท่าน” ...พวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ คำว่า”ที่นี่”
น้าตุ๊กว่า..พระเยซูหมายถึง”แผ่นดินโลก” ทั้งหมด
ดังนั้น ความหมายในข้อนี้ ก็คือ หลายคนที่ไม่เชื่อพระเยซู..เขาอาจจะคิดว่ามนุษย์มีแค่เพียงการ
ตายฝ่ายร่างกาย..ไม่มีใครไม่ตาย ตายแล้วก็จบ..หรืออะไรต่างๆ แต่ พระเยซูยืนยันว่า นั่นไม่ใช่..ถ้าตายแต่ตัว..แค่นั้น
ยังไม่เรียกว่า”รู้รสของความตาย”..นั่นมันยังเรื่องเล็กมาก เพราะการตายฝ่ายร่างกายมันเป็นแค่”จุดเริ่มต้น” ของนิรันดร์กาล และในวันที่พระองค์เสด็จมา..คนเหล่านั้นจะได้รู้ซึ้งว่า..ที่ต้องตายจริงๆ
คือ “ตายฝ่ายวิญญาณ” นั้น..รสชาดมันเป็นยังไง..มันน่ากลัวขนาดไหน
บทที่ 17 ....ข้อที่ 14 บอกว่า..
มีชายคนนึงมาหาพระเยซู
เพราะลูกของเขาเป็นโรคลมบ้าหมู
ต้องอยู่อย่างทุกข์ยากลำบากเพราะจะเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ผู้ชายคนนี้บอกพระเยซูว่า”เขาเคยพาลูกมาหาพวกสาวกของพระองค์แล้ว แต่ ! สาวกของพระองค์รักษา..ไม่หาย เรามาดูว่าพระเยซูฟังแล้ว..พระองค์ตอบว่าไง
ดู มัทธิว 17:17-18 “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว..”..ความจริง
คือ เราทุกคนอยู่ในยุคที่ขาดความเชื่อ..ยุคที่มนุษย์ยังเชื่อฟังพระเจ้า คือ
ยุคก่อนที่อาดามกับเอวาจะทำความบาป หลังจากนั้น
เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป..ก็เป็นยุคที่มนุษย์ขาดความเชื่อในพระเจ้าและหันไปเชื่อ”ตัวเอง”
หรือ ไม่ก็เชื่อมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้ง..เชื่อความคิดตัวเอง
เชื่อการตัดสินใจ..ในวิจารณญาณหรือแม้แต่ความสามารถของตัวเอง ซึ่ง..จุดนี้แหละ ที่ทำให้มนุษย์มักล้มเหลวในกิจการทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ล้มเหลวในความเชื่อวางใจที่ควรมีต่อพระเจ้าอย่างเต็มร้อย” หลายครั้ง ก็เลยทำการอัศจรรย์..ไม่ได้ ไล่ผี..ผีก็ไม่ไป รักษาคนเจ็บก็ไม่หาย อธิฐานอะไร..ก็ไม่เกิดผล ทั้งที่ พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจให้กับเราแล้วในพระนามพระเยซู แต่ ! ข้อนี้ บอกว่า
สาวกของพระองค์ก็ล้มเหลวในการรักษาคนป่วย
และหลายครั้ง เราเองก็ล้มเหลวในการธิฐานเหมือนกัน..ใช่หรือไม่ แล้วมันเพราะอะไร..???
ดู มัทธิว 17:19-20 ข้อที่
20 พระเยซูตรัสว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า `จงเลื่อนจากที่นี่ไป' มันก็จะเลื่อน”...แล้วเราคิดว่าเรามีมั๊ย..ความเชื่อแค่เมล็ดพันธ์ผักกาด หรือเมล็ดมัสตาร์ด ถ้านึกไม่ออก.. เม็ดแมงลักก็ได้ ถ้าเรายืนยันว่าเรามีความเชื่อไม่น้อยกว่าเมล็ดพันธ์นั้น พระเยซูบอก
แค่นั้นก็พอแล้ว..ที่จะสามารถทำการใหญ่ได้..จะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเราเลย เพราะฉะนั้น
ถ้าเมื่อไหร่ที่อธิฐานแล้วพระเจ้าไม่ตอบ
ไล่ผี..มันก็ไม่ไป
ขออะไร..ก็ไม่เคยได้ ทั้งที่เราแน่ใจว่าเรามีความเชื่อ..(ไม่น้อยกว่าเมล็ดผักกาด) แสดงว่า..ต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับ”ท่าทีในใจของเรา” มันมีกฎเหล็ก 2 ข้อที่เราต้องจำไว้ ในการอธิฐานทูลขอสิ่งใดกับพระเจ้าหรือเมื่อเราจะใช้ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด คือ...
1.เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระเยซู (แบบสนิทสนม หรือที่เราเรียกว่า
คิดสนิทกับพระองค์) ไม่ใช่ว่า
ส่วนใหญ่วันทั้งวันและทุกๆวัน.. เราไม่เคยอธิฐานเลย วันๆมีแต่เรื่องอื่นอยู่ในหัว
วันอาทิตย์แม่บังคับให้มาโบสถ์..ก็มาไปงั้นๆแหละ ไม่ได้เคยอยากจะเรียนรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น แต่เมื่อวันนึง เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เช่น จะถูกไล่ออกจากงาน
ไม่รู้จะทำไง..จำได้ว่าเขาบอกให้อธิฐาน..ก็เอาเลย พระเจ้าช่วยลูกด้วย อย่าให้เขาไล่ออกเลย หรือไม่ก็ของานใหม่ที่ดีกว่า เอาให้ได้เงินมากกว่าเดิมเยอะๆ เสร็จแล้วก็..”ในนามพระเยซู”อาเมน..แบบนี้
คิดว่าจะได้มั๊ย..พระเจ้าจะตอบมั๊ย
ตอบค่ะ..ตอบว่า “ลองตกงาน..อดข้าวไปซักพักก่อน..ดีมั๊ยลูก
เผื่อจะได้คิดถึงพ่อให้มากขึ้น..อยากใกล้ชิดพระเจ้าให้มากกว่านี้ หรือ..
อีกกรณีที่หนักกว่า..ในการที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเยซู
คือ ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว แต่! ไม่รับพระเยซู..ปฏิเสธพระองค์ แต่พอเจอสถานการณ์คับขันแล้วไม่มีใครช่วย พระที่ตัวเองนับถือ..ก็เรียกหาจนหมดแล้ว..แต่ !
ไม่มีใครช่วยได้ นึกได้ว่ายังมีพระเยซู..เห็นเขาเคยบอกว่าช่วยได้ทุกอย่าง ตอนนั้น..ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ ลองดูหน่อยก็ได้ ลองเรียกให้ช่วยซิ..เผื่อจะช่วยได้ คิดว่าพระเยซูจะช่วยมั๊ย..คนแบบนี้ พระองค์จะบอกว่า “เราไม่รู้จักเจ้าเลย” เพราะในเวลาที่สบายดี..คุณไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์กับพระเยซู คุณเล่นเอาพระองค์เก็บไว้ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน (Emergency only) แต่ บังเอิญพระองค์ไม่ได้อยู่แผนกนั้น ..”และ”..ไม่รับเคสฉุกเฉิน !!!
รับแต่สมาชิกถาวรนิรันดร์..ก็เลยไม่ช่วย
หรือ ไม่ตอบคำอธิฐานของคนแบบนั้น
กฎเหล็ก ข้อที่ 2 ในการอธิฐานคือ
“เราทูลขอด้วยหัวใจที่พึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า”..ไม่ใช่ เครดิตร์ของตัวเอง..อย่าหลงประเด็นเด็ดขาด
อย่างเช่น
ในการอธิฐานให้คนป่วย..เราก็ต้องทูลขอด้วยความเชื่อ..”พระเจ้ารักษาได้แน่นอน”
ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะให้คนๆนั้นหาย..เขาจะหายได้แน่..ไม่ว่าจะเป็นโรคที่ร้ายแรงแค่ไหน..พระเจ้ารักษาได้ แต่! ถ้าไม่หาย..นั่นก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า..ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ปัญหาก็คือ หลายครั้งเวลาอธิฐาน บางคนชอบคิดว่า..”ถ้าเรามาอธิฐานให้..แล้วเขาไม่หาย นี่ เราคงเสียเครดิตร์แย่เลย” น้าตุ๊กถามว่า
ถ้าคิดแบบนี้..ตกลงเราคิดว่าใครเป็นคนรักษา..”ตัวเราเอง”..ใช่มั๊ย เพราะท่าทีของเรา คือ ..ถ้าเขาหาย..เราก็ได้หน้า ถ้าเขาไม่หาย..เราก็เสียหน้า แบบนี้เราโฟกัสที่ตัวเอง..เราไม่โฟกัสที่พระเจ้าจริงๆ
เพราะงั้น พระเจ้าไม่ช่วยหรอกค่ะ เพราะเรามีท่าทีในใจที่ไม่ถูกต้อง
ข้อที่ 18 บอกว่า “พระเยซูจึงตรัสสำทับผีนั้น
มันก็ออกจากเขา เด็กก็หายเป็นปกติ”
...พระเยซูพูดคำเดียว ผีก็หนีไปทันที..เด็กคนนั้นก็หายทันที เด็กๆต้องเข้าใจในความศักดิ์สิทธิ์และสิทธิอำนาจของพระเยซูให้ชัดเจนก่อน พระคำภีร์ไม่เคยบอกว่าพระเยซูต้องทำพิธีกรรมหรือออกแรงอะไรมากมาย..ในเวลาที่พระองค์จะทำการอัศจรรย์ แต่ทุกครั้งพระองค์แค่ “ตรัส”
หรือไม่ก็อธิฐาน..ทุกอย่างก็เกิดขึ้น..ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น พระเยซูแค่”พูด” คำเดียว..ตามภาษาของพระองค์ และเราก็เช่นกัน..ที่ต้องทำเหมือนพระเยซู..ในเวลาอธิฐาน เราก็พูดภาษาของเรา ถ้าเราเป็นคนไทย..ก็พูดภาษาไทย
คนจีน..ก็อธิฐานภาษาจีน พระเจ้าเข้าใจมั๊ย..เข้าใจแน่นอนค่ะ
พระองค์ยิ่งใหญ่พอ..ที่จะเข้าใจในทุกภาษา เพราะแท้จริง
สิ่งที่หลั่งไหล"จากหัวใจ"ของมนุษย์ต่างหาก..ที่พระเจ้าพอพระทัยที่จะฟัง
เราเกิดมาพูดภาษาอะไร..ก็คุยกับพระเจ้าตามภาษาของเรา..ที่เรารู้เรื่อง..ที่เราเข้าใจ
ไม่ต้อง..ไปพยายามสรรหาท่องสวดหรืออธิฐานในภาษาที่เราเอง..ก็ฟังไม่รู้เรื่อง เช่น
ถ้าเรารู้แค่ภาษาไทย..ก็ไม่ต้องไปพยายามอธิฐานเป็นภาษาบาลีหรือภาษาอังกฤษ เพราะส่วนตัวน้าตุ๊กเชื่อว่า..ถ้อยคำที่เราเองยังไม่เข้าใจ..จะออกมาจากใจด้วยความเต็มล้น..มันเป็นไปไม่ได้
(ยกเว้น ภาษาแปลกๆเท่านั้น
เพราะภาษแปลกๆเป็นสิ่งที่ไหลออกจาก"วิญญาณ" เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานไว้คู่กับคริสเตียน
และภาษาแปลกๆก็ช่วยรักษา เยียวยา ได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ) อันนี้
ต่อไปถ้าเด็กติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น เราก็จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น
พยกันสัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ