วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 9 อาทิตย์ที่ 11:3:2012

เราอยู่ในสมัยของก.เฮเซคียาห์แห่งอาณาจักรยูดาห์ หลังจากที่อาหัสตายแล้ว ลูกชายของเขาก็ขึ้นครองแทนและขอบคุณพระเจ้าที่เฮเซคียาห์ไม่เหมือนพ่อ พระคำภีร์บอกว่า”เฮเซคียาห์รักพระเจ้า พอขึ้นมาปุ๊บ ! ”พระคำภีร์บอก เฮเซคียาห์ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า ตามที่ดาวิดเคยทำ..ทุกอย่าง” ..เฮเซคียาห์เปิดประตูพระนิเวศน์พระเจ้าที่อาหัสปิดตาย แล้วก็รื้อปูชนียสถานสูงทิ้ง..พังเสาศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพ ทุกอย่างที่อาหัสเอาเข้ามาในนิเวศน์พระเจ้า..เฮเซคียาห์เอาออกไปทิ้งหมดเลย เสร็จแล้วเขาก็ไปเอาแท่นบูชาพระเจ้าของซาโลมอน ยกกลับมาในพระวิหาร และหลังจากที่เฮเซคียาห์เอาพระบัญญัติพระเจ้ากลับมารื้อฟื้นแล้ว เขาก็ประกาศให้คนอิสราเอลร่วมกันถือเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าเคยสั่งไว้..ให้คนอิสราเอลต้องถือทุกปี แต่หลังจากที่อาณาจักรถูกแบ่งแยกแล้ว ทั้งอิสราเอลและยูดาห์..ไม่เคยถือปัสกาเลย จากนั้น พระคำภีร์ก็ยังบันทึกเรื่องราวในสมัยของเฮเซคียาห์ไว้อีก ดูต่อใน..

ดู 2 พกษ.18:13-14 ในเวลานั้นเป็นช่วงที่อาณาจักรอัสซีเรียกำลังเรืองอำนาจ..อิสราเอลฝ่ายเหนือ กับ ซีเรีย..ถูกอัสซีเรียยึดครองไปแล้ว ทีนี้ ก็ถึงคิวของอาณาจักรยูดาห์ เพราะยูดาห์ก็เป็นแค่อาณาจักรเล็กๆที่คั่นอยู่ระหว่างอัสซีเรียกับอียิปต์ อัสซีเรียเลยยกทัพมาตั้งฐานอยู่ที่เมืองลาคีช (..ลาคีชเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างพรมแดนฟิลิสเตียกับยูดาห์) ข้อที่ 14 เฮเซคียาห์พยายามจะเจรจาขอออมชอมกับอัสซีเรีย เขาบอกเซนนาเคอริบว่า “เขาผิดไปแล้วที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่ออัสซีเรีย แต่จะอยู่กันย่างสงบได้มั๊ย..แล้วจะยอมเป็นเมืองขึ้น พร้อมทั้งจ่ายเงินและทองคำให้เป็นค่าปรับ” ...การที่เฮเซคียาห์ทำอย่างงี้ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความเชื่อนะ แต่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ แล้วดูยังไง..ยูดาห์ก็สู้อัสซีเรียไม่ได้อยู่แล้ว ข้อที่ 15 บอกว่า “เฮเซคียาห์ได้มอบเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และในคลังสำนักพระราชวัง แล้วยังทองคำจากประตูทั้งหลายของพระวิหารพระเจ้า และจากเสาเอาไปให้กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย..แต่เซนนาเคอริบก็ไม่ยอม แถมยังใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามเฮเซคียาห์และรวมถึงพระเจ้าด้วย..อย่างยาวเหยียด เด็กๆดูได้นะคะ ตั้งแต่ข้อที่ 19-35 เลย.. จากนั้น เฮเซคียาห์ทำไง เรื่องนี้บันทึกไว้อย่างน่าสนใจในหนังสืออิสยาห์ ให้เราเปิดไปดู..

อิสยาห์ 37:14 /33-34 ไม่ว่าเฮเซคียาห์จะพูดยังไง เซนนาเคอริบก็ไม่ยอมสงบศึก..ยืนยันจะตียูดาห์ให้ได้ ทั้งส่งคนมาขู่..ดูหมิ่นเหยียดหยามสารพัด แล้วสุดท้ายยังส่งจดหมายประกาศศักดาตัวเองมาอีก เมื่อเฮเซคียาห์เห็นว่าก.อัสซีเรียไม่ยอมเลิกลาแน่ ทั้งที่พูดดีๆก็แล้ว จะยอมจ่ายเงินให้ก็แล้วแต่เซนนาเคอริบก็ไม่ยอม..จะรบอย่างเดียว เฮเซคียาห์เลยทำไง ข้อที่ 14 บอกว่า “เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือผู้สื่อสาร..แล้วพออ่านปั๊บ ก็เข้าไปในวิหารพระเจ้า ไปถึงก็กางจดหมายให้พระเจ้าดู เสร็จแล้วก็ฟ้องเลย..” ประมาณว่า ..พระองค์ดูนี่สิ เนี่ย..เขาขู่ลูก เขาเยาะเย้ยพระองค์ด้วย พระองค์ต้องช่วยลูกนะ..จัดการให้ลูกที เฮเซคียาห์พึ่งพระเจ้าเต็มที่ เพราะตอนนี้ ดูแล้วไม่มีทางรอด แล้วการกระทำในข้อนี้ของเฮเซคียาห์ก็เป็นที่ฮือฮาและน่าเอาอย่างมาก เพราะมันสื่อถึงความสัมพันธ์ที่ติดสนิทกันระหว่างเรากับพระเจ้า มันให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนพระเจ้าเป็นอะไรที่เราเข้าถึงได้ง่ายแบบพ่อๆลูกๆ ที่สำคัญ เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจว่า..ทำไม บางครั้งพระเจ้าถึงยอมให้เราถูกข่มเหง ยอมให้เหตุการณ์ร้ายๆบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา เพราะสถานการณ์อย่างงั้นมันผลักดันให้เรา..เข้าชิดติดสนิทกับพระเจ้า ทางยิ่งตันและยิ่งมืดเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นพระเจ้าชัดเจนขึ้นเท่านั้น.. ข้อที่ 34 พระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานของเฮเซคียาห์ “ท่านมาทางใด ท่านจะต้องกลับไปทางนั้น ท่านจะไม่เข้ามาในนครนี้” (ท่านในที่นี้ ก็คือ เซนนาเคอริบ) ..ประมาณว่า ไม่ต้องกลัวลูก..มันมาทางไหน ก็ต้องไปทางนั้น เซนนาเคอริบไม่มีทางแตะต้องยูดาห์ได้..พระเจ้าการันตี พระองค์ทำไง..

ดู อิสยาห์ 37:36-37 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์จึงได้ออกไปและได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสีย 185,000 คน คือ ตายโดยไม่มีสาเหตุ..ตอนเข้านอนก็ยังดีๆอยู่ ตื่นเช้ามาทหารอัสซีเรียกลายเป็นศพไปแล้ว 185,000 คน ภายในคืนเดียว เยอะมั๊ย..แสนแปดหมื่นคน เยอะมากๆ เซนนาเคอริบตกใจอย่างแรง เพราะไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆทหารเข้านอนแล้วตายไปเลยเกือบสองแสนคน..ภายในคืนเดียว เซนนาเคอริบเลยคิดว่า..อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะไร..ดีไม่ดีเดี๋ยวพรุ่งนี้เกิดเป็นเขา..ที่เข้านอนแล้วไม่ฟื้น..จะทำไง อย่ากระนั้นเลย..ไปดีกว่า เซนนาเคอริบจึงมาทางไหน..ไปทางนั้นอย่างที่พระเจ้าบอกไว้เลย จากนั้น ข้อที่ 38 บอกว่า “ต่อมา ขณะที่เซนนาเคอริบกำลังนมัสการพระนิสโรกอยู่ในวิหาร เขาก็ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือลูกตัวเอง แล้วนี่คือ โทษของคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า เพราะคนที่เอ่ยพระนามพระเจ้าอย่างไม่เหมาะสม จะไม่มีโทษก็หามิได้ แล้วที่เห็น..ก็จบไม่สวยซักคน อย่าง”เยเซเบล” ก็ตายแบบสยองสุดๆ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ถ้าเห็นใครที่ไม่เชื่อแล้วพูดถึงพระเจ้าแบบเสียหายนะ น้าตุ๊กจะสยองมาก..

ดู 2พกษ.20:1-2/3 ข้อนี้ ก็เป็นอีกเหตุการณ์นึงที่เกี่ยวข้องกับก.เฮเซคียาห์ คือ เฮเซคียาห์ป่วยหนักจนถึงขั้นจะเสียชีวิต พระเจ้าก็ใช้อิสยาห์มาเผยพระวจนะกับเขา บอกว่า..”ให้จัดการบ้านการเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น”..ก็ประมาณ สั่งเสียแล้วก็มอบหมายหน้าที่ให้เรียบร้อยซะ พอเขาตายแล้วบ้านเมืองจะได้ไม่วุ่นวาย พูดเสร็จอิสยาห์ก็กลับไป ข้อที่ 3 บอกว่า พอได้ยินอิสยาห์พูดอย่างงั้นเฮเซคียาห์ก็ตกใจ แล้วก็เสียใจมาก เขาอธิฐานกับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วยความจริงและด้วยใจที่เพียบพร้อม และได้กระทำสิ่งที่ประเสริฐในสายพระเนตรของพระองค์มาอย่างไร..แล้วเฮเซคียาห์ก็ร้องไห้อย่างหนัก” ..คือ ไม่อยากตาย เขาก็เลยบอกพระเจ้าว่า..อย่าเพิ่งให้เขาตายได้มั๊ย พระองค์ก็เห็นว่าเขาดำเนินกับพระองค์อย่างสัตย์ซื่อมาตลอด และเมื่อพระเจ้าได้เห็นการวิงวอนของเฮเซคียาห์ ข้อที่ 4 บอกว่า “และอยู่มาก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลาน พระวจนะของพระเยโฮวาห์ก็มาถึงท่าน” ..คือ พออิสยาห์เผยพระวจนะเสร็จ..ก็กลับเลย แต่ยังเดินไปไม่ถึงไหน พระเจ้าก็บอกให้กลับเข้าไป แล้วบอกเฮเซคียาห์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว และเราได้เห็นน้ำตาของเจ้า ดูเถิด เราจะรักษาเจ้า และเราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปี” ...ต่ออายุให้เลย พระเจ้าบอกโอเคๆ เพื่อเห็นแก่ความชอบธรรมของเฮเซคียาห์ พระองค์จะต่ออายุให้เขาอีก 15 ปี แต่การต่ออายุนี้..มันจะดีจริงๆรึเปล่า เราต้องดูกันต่อไป...

ดู 2พกษ.20:8-9/10-11 พออิสยาห์บอก..พระเจ้าจะต่ออายุให้ เฮเซคียาห์ก็ถามว่าอะไรจะเป็นหมายสำคัญจากพระเจ้า..ว่าเขาจะหายป่วย ขอหมายสำคัญเพื่อความแน่ใจได้มั๊ย อิสยาห์เลยถามเฮเซคียาห์ว่า “เขาจะให้เงา (ซึ่งหมายถึงเงาของนาฬิกาแดด) คืบหน้าไปสิบขั้น หรือ ย้อนกลับมาสิบขั้น..ให้เฮเซคียาห์เลือกเอา เฮเซคียาห์ก็คิดว่า..ที่จะให้ยาวออกไปหรือคืบหน้าไปมันก็ง่ายเพราะเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเงามันก็ต้องยาวขึ้นอยู่แล้วเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เฮเซคียาห์เลยขอให้มันย้อนกลับมาละกัน..เพราะมันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ แล้วปรากฎว่า พระเจ้าก็ตอบคำอธิฐานของเขาด้วยการนำเงาย้อนกลับมาสิบขั้น ซึ่งเงานั้นได้เลยไปแล้วในนาฬิกาแดดของอาหัส ( คือ อาหัสเป็นคนที่คิดสร้างนาฬิกาแดด) ข้อนี้ ก็ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง..อยู่ที่ว่าพระองค์จะทำมั๊ย..เท่านั้นเอง ข้อนี้พระองค์ทำอะไร “หมุนโลกกลับ” หรือแม้แต่สั่งให้โลกหยุดหมุน..พระเจ้าก็ทำมาแล้ว

ดู2พกษ.20:12-13 คือ ตอนนั้นบาบิโลนยังไม่เรื่องอำนาจเท่าไหร่ อยู่ในช่วงที่อัสซีเรียกำลังจะลงและบาบิโลนกำลังจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทน ข้อนี้ บอกว่า ”บาบิโลนส่งจดหมายและเครื่องบรรณาการมาให้เฮเซคียาห์” จริงๆแล้ว..ก็ไม่รู้ว่าบาบิโลนมาเพราะอยากสวามิภักดิ์หรือมาสอดแนมยูดาห์กันแน่แต่เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง เพราะข่าวการตายของทหารอัสซีเรีย 185000 ก็สร้างบารมีและความน่าเกรงขามให้แก่อาณาจักรยูดาห์อย่างมาก แต่การมาของบาบิโลนก็อาจจะมีจุดประสงค์แอบแฝงด้วยเหมือนกัน ข้อที่ 13 บอกว่า “เฮเซคียาห์ได้ทรงต้อนรับเขา และพาเขาชมคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทองคำ เครื่องเทศ หรือน้ำมันประเสริฐ และคลังพระแสง (คือ อาวุธ) ไม่มีสิ่งใดที่ในพระราชวังหรือในอาณาจักรยูดาห์ที่เฮเซคียาห์มิได้สำแดงแก่เขา ..เรียกว่า พาเขาทัวร์ แล้วก็เปิดคลังให้เขาดูหมดว่ายูดาห์มีอะไรบ้าง พวกบาบิโลนเห็นก็คงตาลุก วาวเพราะสมัยของเฮเซคียาห์..ยูดาห์รุ่งเรืองและร่ำรวยมาก เพราะเขารักพระเจ้า..พระเจ้าก็อวยพรเยอะ..

ดู 2พกษ.20:14-15 หลังจากที่เฮเซคียาห์พาคนของบาบิโลนชมคลังทรัพย์ของยูดาห์แล้ว ข้อนี้ บอกว่า..อิสยาห์ก็มาเฝ้าพระองค์แล้วถามว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง และเขามาเฝ้าพระองค์แต่ไหน" และเฮเซคียาห์ตอบว่า "เขาได้มาจากเมืองไกล จากบาบิโลน" แล้วอิสยาห์ก็ถามอีก..ว่า”เขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง" และเฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า "เห็นทุกอย่างเลย..ในวังของเรา ไม่มีสิ่งใดในพระคลังของเราที่เขาไม่ได้เห็น" แค่นั้นแหละ..ข้อที่ 16 อิสยาห์ก็เผยพระวจนะทันที "ขอทรงฟังพระวจนะของพระเจ้า ดูเถิด วันเวลากำลังย่างเข้ามาเมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้า และสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้ “จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย” และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้า จะถูกนำเอาไป และเขาจะเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน" ...แล้วอีกประมาณ 100 ปีหลังจากนั้น คำเผยวจนะของอิสยาห์ก็เป็นจริง บาบิโลนยกมาโจมตียูดาห์แล้วขนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เยรูซาเล็มไป..จนเกลี้ยง ! แต่ เฮเซคียาห์ฟังแล้วว่าไง..

ดู 2พกษ.20:19-20 พอฟังคำเผยพระวจนะของอิสยาห์แล้ว เฮเซคียาห์ตอบว่า “..ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในวันเวลาของเรา"..ก็ประมาณว่า ไม่เป็นไรนี่ สมัยเรายังอยู่เย็นเป็นสุข..ก็ดีแล้ว ต่อไปก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของลูกหลาน จริงๆ พูดอย่างงี้..ไม่น่าฟังเท่าไหร่นะ..น้าตุ๊กว่า จากนั้น ข้อที่ 20 บอกว่า “เฮเซคียาห์สิ้นพระชนม์ ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเฮเซคียาห์ และยุทธพลังทั้งสิ้นของพระองค์ และที่พระองค์ทรงสร้างสระและรางระบายน้ำนำน้ำเข้ามาในกรุงอย่างไร มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งกษัตริย์ประเทศยูดาห์หรือ”..สรุปก็คือ สมัยของเฮเซคียาห์ ยูดาห์เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขมาก เพราะหลังจากที่อัสซีเรียยกทัพมาแล้วทหารตายไปแสนกว่าโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้น ก็ไม่มีใครกล้ายกมาโจมตียูดาห์อีกเลย และเมื่อครบเวลา 15 ปีที่พระเจ้าต่ออายุให้ เฮเซคียาห์ก็สิ้นพระชนม์ แล้ว”มนัสเสห์”ลูกชาย แสนชั่วของเขาก็ขึ้นครองแทน

ดู 2พกษ.21:1-2 หลังจากที่เฮเซคียาห์สิ้นพระชนม์แล้ว มนัสเสห์ โอรสของเขาก็ขึ้นครองยูดาห์ พระคำภีร์บอกมนัสเสห์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของต่างชาติ..” ..เขาทำอะไรบ้าง พระคำภีร์บอก มนัสเสห์สร้างปูชนียสถานสูงที่เฮเซคียาห์ทำลายทิ้งไปแล้ว..ขึ้นมาใหม่ สร้างแท่นบูชาสำหรับพระบาอัล สร้างเสารูปเคารพ เหมือนที่อาหับเคยทำ นอกจากนี้ มนัสเสห์ก็ยังไหว้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว แถมเอาไปไหว้ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าด้วย ข้อที่ 6 บอกว่า “และพระองค์ได้ทรงถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟ..” คือ จับลูกตัวเองบูชายัญ..ถือฤกษ์ยาม ใช้เวทมนตร์ ทรงเจ้าเข้าผี ผูกดวงแก้กรรมทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง.. มนัสเสห์เอาหมด” และ เขาก็ยังกระทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกเป็นอันมาก จนเต็มเยรูซาเล็ม” เรียกได้ว่า มนัสเสห์คือกษัตริย์ที่ทำชั่วต่อพระเจ้ามากที่สุด แล้วคิดดู ก่อนหน้านี้เฮเซคียาห์..พ่อเขาเป็นไง รักพระเจ้าดื่มด่ำล้ำลึกสุดๆ แต่พอมาถึงมนัสเสห์ ต้องบอกว่า ”หนังคนละม้วนเลย” แล้วที่น่าคิด คือ สองคนนี้เป็นพ่อลูก ดังนั้น ย้ำอีกที..ว่า”ความชอบธรรมมันไม่ได้สืบทอดกันทางสายเลือดหรือสายสัมพันธ์” น้าตุ๊ก อยากให้ย้อนดู ข้อที่ 1 บอกว่า “มนัสเสห์มีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ขึ้นครอบครอง”.....จำได้มั๊ย..ว่าพระเจ้าต่ออายุให้เฮเซคียาห์กี่ปี..15 ปี แสดงว่าอะไร...ถ้าพระเจ้าไม่ต่ออายุให้เฮเซคียาห์ จะมีมนัสเสห์มั๊ย..ไม่มี หลายคนเลยอดคิดไม่ได้ว่า..มันจะดีแค่ไหนถ้าเฮเซคียาห์ยอมจากไปในเวลาของพระเจ้า มนัสเสห์ก็จะไม่ได้เกิดมากระทำความชั่วช้าให้กับแผ่นดินยูดาห์ เฮเซคียาห์เองก็จะไม่มีโอกาสเที่ยวไปเปิดคลังทรัพย์อันมั่งคั่งให้บาบิโลนเห็น ประวัติศาสตร์อาจจะพลิกผันไปก็ได้

ดู 2พกษ.21:12-13 ..เพราะฉะนั้น พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากำลังนำเหตุร้ายมาถึงเยรูซาเล็มและยูดาห์ อย่างที่ผู้ใดซึ่งได้ยินแล้วหูทั้งสองของเขาจะอื้อไป (คือ ฟังแล้วต้องตะลึง ประมาณนั้น) และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ”..เชือกวัดและลูกดิ่ง เป็นเครื่องมืออย่างนึงที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งถ้าวัดแล้ว..สิ่งที่สร้างมันไม่ได้มาตรฐาน ก็ต้องรื้อทิ้ง..เก็บไว้ไม่ได้ เพราะมันจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงในอนาคตได้ ข้อนี้ จึงเป็นสัญญลักษณ์ที่พระเจ้ากำลังพิพากษาอาณาจักรยูดาห์ เหมือนเวลาที่วิศวกรคำนวนดูแล้ว..แบบไม่ผ่าน..ใช้การไม่ได้ก็ต้องทุบทิ้ง ทิ้งแบบไหน..”..อย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ” คือ เคลียร์เลย ไม่ให้มีสิ่งสกปรกเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว เพราะลองนึกเวลาที่เราล้างจาน..เราก็จะล้างน้ำแรก เสร็จแล้วเราก็จะล้างน้ำยา จากนั้นก็ล้างน้ำเปล่าอีกกี่รอบก็แล้วแต่..จนสะอาด และสุดท้าย เราก็จะคว่ำชาม เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แล้วนี่คือ แบบเดียวกับที่พระเจ้ากำลังจะทำความสะอาดยูดาห์ ฟังแล้ว..น่ากลัวมาก คราวหน้าเรามาดูกันต่อไป..ว่ายูดาห์จะถูกล้างและคว่ำแบบไหน

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น