วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 10 อาทิตย์ที่ 18:3:2012

เราอยู่ที่อาณาจักรยูดาห์ ในรัชกาลของก.มนัสเสห์ ที่พระคำภีร์บันทึกว่าเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายที่สุด เขาทำความบาปตามอย่างคนต่างชาติครบทุกเวอร์ชั่นเลย ทั้งไหว้รูปเคารพ สร้างปูชนียสถานสูง ไหว้พระเทียมเท็จ รวมถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว นอกจากนี้ มนัสเสห์ยังจับลูกตัวเองบูชายัญ..ใช้เวทมนตร์ ทรงเจ้าเข้าผี มนัสเสห์เอาหมด..” และยังฆ่าคนบริสุทธิ์อีกมากมายในเยรูซาเล็ม” ใน 2 พกษ.บทที่ 21 การพิพากษาของพระเจ้าก็มาถึงมนัสเสห์ พระเจ้าตรัสว่า”พระองค์จะนำเหตุร้ายมาถึงเยรูซาเล็มและยูดาห์ อย่างที่ผู้ใดซึ่งได้ยินแล้วหูทั้งสองของเขาจะอื้อไป และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม ( แปลว่า ยูดาห์จะต้องโดนแบบเดียวกันกับสะมาเรีย ก็คือ ต้องตกไปเป็นเชลย) และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ” เรามาดูกันต่อไป..ว่ายูดาห์จะถูกล้างและคว่ำแบบไหน ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ไม่ได้บันทึกไว้ แต่ในพงศาวดารค่อนข้างชัดเจน
ดู 2พศด.33:10-11 ..เพราะความชั่วร้ายแบบสุดๆของมนัสเสห์ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้กองทัพของอัสซีเรียยกมาโจมตีอาณาจักรยูดาห์ ข้อที่11 บอกว่า “..พระเจ้าทรงให้ผู้บังคับกองทหารของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาต่อสู้เขาทั้งหลาย “เอาเบ็ดเกี่ยวมนัสเสห์”และจองจำด้วยตรวนและนำพระองค์มายังบาบิโลน” อันนี้เป็นสำนวนที่ทำให้เราเห็นภาพ..ว่ามนัสเสห์คงถูกจะจับอย่างทุลักทุเล..หมดสภาพเลยอะไรประมาณนั้น แต่ ! ข้อที่ 12บอกว่า “..เมื่อมนัสเสห์ทุกข์ยาก พระองค์ก็ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเจ้า และถ่อมพระทัยลงอย่างมากต่อพระพักตร์พระเจ้าของบรรพบุรุษ”..แสดงว่าจริงๆแล้ว รู้นะ..ว่าพระเจ้ามีจริง แน่จริง แล้วก็ควบคุมทุกอย่างอยู่จริงๆ แต่ที่ชอบจะบิดเบือนไปเชื่อ..ไปแสวงหาอย่างอื่น เพราะบางครั้งรูปแบบและทางของพระเจ้ามันเรียบเกินไป มันไม่สนองเนื้อหนัง มันไม่มันส์ มันไม่มีคาถามหานิยม..เครื่องลางของขลัง แล้วเวลาขออะไร..หลายครั้งก็ไม่ได้อย่างใจ..ไม่ได้คำตอบที่ชอบ เพราะพระเจ้าไม่ตามใจ..ไม่ตอบโจทย์ เราเลยอยากจะวิ่งไปหาอย่างอื่น..ที่มันสนองเนื้อหนังของเรามากกว่าพระเจ้า..ใช่หรือไม่ และเมื่อมนัสเสห์กลับใจ พระเจ้าจะว่ายังไง ดูต่อ..
2 พศด.33:13 เมื่อมนัสเสห์ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ชั่วช้าที่สุดกลับใจ ข้อที่ 13 บอกว่า “พระเจ้าทรงรับคำวิงวอนของพระองค์ และนำมนัสเสห์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม แล้วมนัสเสห์ทรงทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า” ..เคยโกรธใครแบบที่อภัยให้ไม่ได้มั๊ย ดูข้อนี้ไว้เป็นตัวอย่าง เพราะจริงๆแล้ว มนัสเสห์ทำกับพระเจ้าไว้หนักหนาสาหัสมาก แต่เมื่อเขาถ่อมใจลงสำนึกผิดและอธิฐาน..ขอพระเจ้ายกโทษ พระเจ้าก็ทรงฟังคำวิงวอนและยกโทษให้มนัสเสห์ แล้วเราเป็นใคร..ถึงจะไม่ยกโทษให้คนที่เขาทำผิดต่อเรา แล้วน้าตุ๊กว่า..ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ความผิดเล็กน้อยเท่านั้นเอง น้าตุ๊กเคยได้ยินเรื่องราวของผู้รับใช้ท่านนึงที่ลูกชายของเขาถูกลูกหลงจากกระสุนปืนของโจร แต่หลังจากที่โจรคนนี้ถูกจับได้และติดคุก..ผู้รับใช้ท่านนี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่รู้สึกเกลียดชังหรือโกรธโจรคนนี้เลย แล้วไม่ใช่แค่นั้น ผู้รับใช้คนนี้ยังเข้าไปประกาศข่าวประเสริฐและสอนพระคำภีร์ให้กับคนที่ฆ่าลูกเขา..ถึงในคุก ในที่สุด ฆาตรกรที่ฆ่าลูกเขาก็กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า และพอพ้นโทษออกมาเขาก็แต่งงานโดยมีผู้รับใช้ท่านนี้เป็นคนทำพิธีให้ ลองนึกดูว่าภาพนั้นจะน่าประทับใจขนาดไหน เพราะมันเป็นภาพที่ไม่มีใครนึกฝันแล้วก็หาดูยาก..หรือหาดูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คือ ภาพที่ผู้รับใช้คนนึงกำลังทำพิธีแต่งงานให้กับคนที่ฆ่าลูกตัวเอง นี่คือ แบบอย่างของอภัยทานที่น่ายกย่อง แล้วที่เขาทำได้อย่างงี้ก็เพราะเขามีความเชื่อและแน่วแน่ที่จะเดินตามแบบอย่างที่พระเจ้าสำแดงไว้อย่างมากมายในพระคำภีร์ อย่างเช่นข้อที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ เป็นต้น ดังนั้น น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กฝึกนะคะ..ฝึกตั้งแต่วันนี้ ให้อภัยเถอะค่ะ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครและทำผิดต่อเรามากน้อยขนาดไหน มันทำกันไม่ได้ในวันเดียว แต่ถ้าเราฝึก..เราจะทำได้มากขึ้น จากนั้น ข้อที่ 20 มนัสเสห์ก็ล่วงหลับไป แล้วเขาก็ฝังศพไว้ในวัง คือ ไม่ได้ถูกฝังไว้ในที่ของกษัตริย์แห่งยูดาห์
ดู พศด.33:19-20 หลังจากมนัสเสห์ตาย ลูกชายของเขาชื่อ”อาโมน” ก็ขึ้นครองยูดาห์ และพระคำภีร์บอก..อาโมนทำชั่วเหมือนพ่อเลย เพราะถึงมนัสเสห์จะกลับใจใหม่..แต่นั่นมันตอนท้ายๆบั้นปลายชีวิต ถ้าชั่งดูตลอดชีวิต..ต้องบอกว่ามนัสเสห์ทำชั่วเป็นส่วนใหญ่ แล้วเขาก็ครองราชย์นานมาก..ครองอยู่ 55 ปี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาโมนจะเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น คือ ทำบาปเหมือนพ่อ ทีนี้ น้าตุ๊กก็ย้ำหลายครั้งว่าทั้งความบาปและความชอบธรรมไม่สามารถสืบทอดกันทางสายเลือด แล้วจริงๆมันขึ้นอยู่กับอะไร วันนี้รู้สึกอัศจรรย์ใจเพราะเรื่องนี้ที่เตรียมมาสอนตรงกับเรื่องที่อาจารย์นครเทศน์ให้ฟังในช่วงเช้า น้าตุ๊กอยากอธิบายให้เด็กๆเข้าใจว่า “จริงๆก็คือ มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป (บาป = missing target ดังนั้น อย่าตกใจมากมายกับคำว่าบาป) เราติดเชื้อบาป..ตกลงไปในความบาปตั้งแต่ที่อาดามไม่เชื่อฟังแล้ว เพราะฉะนั้น ความบาปของเรามาจากใคร..มาจากบรรพบุรุษไม่ใช่มาจากพระเจ้านะคะ เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกัน..บ่อยมาก เด็กๆต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าจริงๆแล้วมนุษย์ทำตัวเองเพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้า มนุษย์จึงตกลงไปในความบาป และในยุคพระคุณแห่งพระเยซูคริสต์ ผู้ที่กลับใจใหม่ กลับมารักพระเจ้า ดำเนินตามความชอบธรรม..ก็ทำด้วยพระคุณที่พระเจ้ามอบให้ ซึ่งแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะประทานความสำนึกและกลับใจใหม่ให้ใคร..นึกออกมั๊ยคะ คือถ้าพระเจ้าไม่ช่วย ไม่เลือก..เราก็ตายลูกเดียว ”เพราะเราเป็นเหมือนบรรพบุรุษ คือ อาดาม” เอเฟซัส 2:8-9 อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเองแต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” แปลว่า คริสเตียนเองก็ไม่สามารถอวดได้เลย..ว่าชั้นดีกว่าคนอื่น ชอบธรรมกว่า เพราะชั้นเชื่อพระเจ้าหรือชั้นรักพระเจ้า เพราะ”ความเชื่อ”..พระเจ้าก็เป็นผู้ประทานให้ เรายังอยู่กันที่หนังสือพงศาดาร..
ดู 2พศด.33:24-25 ข้อนี้ บอกว่า อาโมนสิ้นพระชนม์ เพราะไร..ถูกข้าราชการกบฎแล้วก็ฆ่าทิ้ง จากนั้น พวกเขาก็ตั้งลูกชายของอาโมน ชื่อ”โยสิยาห์” ขึ้นเป็นกษัตริย์ น้าตุ๊กฟังตรงนี้แล้วทึ่งมาก เพราะยูดาห์เองก็มีการกบฎแล้วก็ลอบสังหารกษัตริย์เหมือนอิสราเอลเลย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ “ไม่ว่าจะกบฎกี่ครั้ง..ยูดาห์จะเอาแต่ราชวงศ์ดาวิดเท่านั้น” อย่างข้อนี้ ฆ่าพ่อทิ้ง..เสร็จแล้วก็ตั้งลูกเขาขึ้นมาแทน..ไม่ยึดอำนาจและไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ความสัตย์ซื่อที่คนยูดาห์มีต่อราชวงศ์ดาวิด..มันน่าอัศจรรย์มาก แต่ที่ต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะพระเจ้าตรัสไว้แล้ว..ว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดในพงศ์พันธ์ของดาวิด เพราะฉะนั้น ยังไงราชวงศ์ดาวิดก็ต้องอยู่ ไม่เหมือนอิสราเอลฝ่ายเหนือ..ที่ใครกบฎ คนนั้นก็ขึ้นครองเลย แล้วตอนที่โยสิหาห์ขึ้นครองก็อายุแค่ 8 ขวบ ถ้าไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ดาวิดจริงๆ คงถูกยึดอำนาจไปแล้ว
ดู 2พศด.34:1-2 ตอนที่โยสิยาห์ขึ้นครอง เขาอายุ 8 ปี ฟังแล้วเราก็คงคิดว่าเด็กแปดขวบจะทำไรได้ แต่..เขาทำได้เยอะมาก ข้อที่ 2 บอกว่า “โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ที่ดี..รักพระเจ้า ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และดำเนินในมรรคาทั้งสิ้นของดาวิด เพราะในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อโยสิยาห์ยังทรงพระเยาว์อยู่ พระองค์ทรงเริ่มแสวงหาพระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และในปีที่สิบสอง โยสิยาห์ก็เริ่มกวาดล้างยูดาห์และเยรูซาเล็มด้วยการกำจัดปูชนียสถานสูง ทั้งบรรดาเสารูปเคารพและรูปเคารพแกะสลักและรูปเคารพหล่อ” ...พระคำภีร์บอกชัดเจน โยสิยาห์เริ่มแสวงหาพระเจ้าเมื่อเขาครองราชย์ได้ 8 ปี ก็คือตอนอายุ 16 ปี จากนั้น โยสิยาห์ก็เริ่มกวาดล้างการไหว้พระเทียมเท็จ พังแท่นบูชาพระบาอัล โค่นบรรดารูปเคารพ ทุบรูปแกะสลักอะไรต่างๆ จนเป็นผุยผง แล้วก็เอาไปโรยบนหลุมศพของบรรดาคนที่ไหว้พระพวกนั้น เรียกว่า กวาดล้างทั้งรูปเคารพกับบรรดาปุโรหิตของพระเหล่านั้นจนสิ้นซากไปจากยูดาห์ แต่โยสิยาห์ไม่หยุดแค่นั้น..ข้อที่ 6 บอก..”พระองค์ยังกระทำเช่นกันในหัวเมืองของมนัสเสห์ เอฟราอิม สิเมโอน แล้วก็เลยไปถึงนัฟทาลีด้วย” ก็คือ พอกวาดล้างที่ยูดาห์เสร็จแล้ว โยสิยาห์เลยไปพังแท่นบูชาที่อิสราเอลด้วย แล้วข้อนี้ ก็ทำให้พระวจนะพระเจ้าที่ตรัสไว้แล้วเมื่อประมาณสองร้อยกว่าปีก่อน..เป็นจริง ให้เราย้อนกลับไปดู..
ดู 1พกษ.13:1-2 อันนี้ เราเรียนกันไปแล้วแต่เด็กๆคงจำไม่ได้ พยายามนึกตามหน่อยนะคะ ข้อนี้ เป็นช่วงแรกๆที่อิสราเอลเพิ่งจะถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักร ตอนนั้น เยโรโบอัมก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลฝ่ายเหนือ แล้วเขาก็ทำบาปด้วยการสร้างรูปวัวทองคำให้คนอิสราเอลกราบไหว้ เพราะไม่อยากให้อิสราเอลสิบเผ่าเดินต้องทางกลับไปนมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม..กลัวว่าใจของคนสิบเผ่าจะเขวอยากกลับไปรวมกับยูดาห์..ไปเข้าข้างราชวงศ์ดาวิด และข้อนี้ ก็เป็นตอนที่เยโรโบอัมกำลังถวายเครื่องบูชารูปวัวทองคำอยู่ที่เบธเอล โดยที่เขากำหนดทุกอย่างขี้นมาเอง ปุโรหิตก็ตั้งเองจากคนที่ไม่ใช่เผ่าเลวี เพราะฉะนั้น พระเจ้าเลยส่งผู้เผยพระวจนะจากยูดาห์..มาพิพากษาเยโรโบอัมขณะที่เขากำลังทำพิธีอยู่บนแท่นบูชา ข้อที่ 2 บอกว่า “ผู้เผยพระวจนะได้ร้องกล่าวโทษแท่นนั้นโดยพระวจนะของพระเจ้าว่า "โอ แท่นบูชา แท่นบูชา พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า `ดูเถิด โอรสองค์หนึ่งจะประสูติมาในราชวงศ์ของดาวิด “ชื่อโยสิยาห์” และบนเจ้าแท่นนี้จะฆ่าปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงผู้ซึ่งเผาเครื่องหอมบนเจ้า และเขาจะเผากระดูกคนบนเจ้า”..และเหตุการณ์ในข้อนี้นี้เกิดขึ้นก่อนโยสิยาห์จะเกิดสองร้อยกว่าปี เรียกว่าคนละสมัยเลย แต่ที่น่าทึ่งมาก ก็คือ พระเจ้าบอกชื่อไว้ด้วย..ว่าคนที่จะมาพังแท่นของเยโรโบอัมนี้ ชื่อ “โยสิยาห์” ไม่ได้บอกแค่ว่าจะมีใครคนนึงมาพังแท่น..ไม่ใช่ แต่บอกอย่างชัดเลยว่าโอรสองค์หนึ่งจะประสูติมาในราชวงศ์ของดาวิดชื่อ”โยสิยาห์” แล้วน้าตุ๊กก็เปิดพระคำภีร์ภาษาอังกฤษทุกเวอร์ชั่นเลยนะ..ว่าเขาเขียนชื่อโยสิยาห์ไว้จริงๆรึเปล่า ปรากฎว่าเขียนไว้ทุกฉบับเลย โอโห..พระเจ้า ใครไม่ตื่นเต้น..น้าตุ๊กตื่นเต้นอีกแล้ว เพราะไม่เคยพบหรือได้ยินคำภีร์หรือตำราเล่มไหนบนโลกที่พยากรณ์แบบชัดเจนขนาดนี้ จริงอยู่ที่เราทุกคนต่างรู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ทุกอย่าง มากกว่านี้ก็ทำมาแล้ว แต่เมื่อพระเจ้าทรงนำให้น้าตุ๊กเข้าใจหรือเห็นอะไรบางอย่าง น้าตุ๊กก็อดตื่นเต้นไม่ได้ซักที กลับมาที่หนังสือพศด.
ดู 2พศด.34:15-16/18-19 หลังจากที่โยสิยาห์ไปพังแท่นบูชาพระเทียมเท็จทั่วทั้งยูดาห์และอิสราเอลแล้ว เขาก็กลับมาฟื้นฟูบูรณะพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ข้อที่ 15 บอกว่า ฮิลคียาห์..ซึ่งเป็นปุโรหิตก็ไปเจอม้วนหนังสือพระบัญญัติพระเจ้าของโมเสส ไปซุกอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้..ในพระวิหาร ประมาณว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสนใจ..อยู่นอกสายตามากๆ แล้วพอเจอ..เขาก็เอาพระบัญญัติพระเจ้าไปอ่านให้โยสิยาห์ฟัง ข้อที่18 บอกว่า “การอ่านพระราชบัญญัติได้นำการกลับใจยิ่งใหญ่มา” เพราะโยสิยาห์ฟังปุ๊บ! ตกใจอย่างแรง เพราะในบัญญัตินั้นมีคำสาปแช่งด้วยสำหรับคนที่ทิ้งพระเจ้า แล้วโยสิยาห์ก็นึกออกว่าที่ผ่านมา บรรพบุรุษของเขาก็ทำผิดต่อพระเจ้ามาตลอด โยสิยาห์เลยฉีกเสื้อผ้าตัวเอง (แสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกและกลับใจ) จากนั้น พระเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะในข้อที่ 24 บอกว่า “ดูเถิด เราจะนำเหตุชั่วร้ายมาเหนือสถานที่นี้และเหนือชาวเมืองนี้ คือคำสาปทั้งสิ้นที่บันทึกไว้ในหนังสือซึ่งได้อ่านถวายต่อกษัตริย์แห่งยูดาห์นั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งเราและได้เผาเครื่องหอมถวายพระอื่น กระทำให้เราโกรธด้วยการงานทั้งสิ้นแห่งมือของเขา เพราะฉะนั้นความพิโรธของเราจะเทลงเหนือสถานที่นี้และจะดับไม่ได้” ..แปลว่า ยกโทษให้ไม่ได้ แต่เพื่อเห็นแก่ความชอบธรรมของโยสิยาห์ ข้อที่ 27 พระเจ้าบอกว่า “เพราะจิตใจของเจ้าอ่อนโยน และเจ้าได้ถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของเจ้าและร้องไห้ต่อหน้าเรา พระเจ้าจะให้ความร่มเย็นเกิดขึ้นตลอดชั่วอายุไขของโยสิยาห์ แล้วเขาจะถูกรวบไปสู่ที่ฝังศพอย่างสันติ โยสิยาห์จะไม่เห็นบรรดาเหตุชั่วร้ายซึ่งพระเจ้าจะนำมาเหนืออาณาจักรยูดาห์
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น