วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 8 อาทิตย์ที่ 26:2:2012

เราอยู่ที่ 2พกษ.15 ซึ่งเป็นช่วงปลายของอาณาจักรอิสราเอลฝ่ายเหนือ เมื่อหมดสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 แล้ว อิสราเอลตกต่ำเร็วมาก “เศคาริยาห์”ลูกชายของเยโรโบอัมครองราชย์ได้แค่ 6 เดือนก็ถูก”ชัลลูม”กบฎ..ฆ่าชิงบัลลังก์ ส่วน”ชัลลูม”เองก็ครองอิสราเอลได้แค่เดือนเดียว ก็ถูก”เมนาเฮม”ฆ่า แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ประเด็นสำคัญที่พระคำภีร์สำแดงให้เราเห็นในช่วงนี้ก็คือ “อิสราเอล” กำลังถูกพระเจ้าพิพากษา เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า และทั้งที่พระเจ้าเตือน..ให้โอกาสหลายต่อหลายครั้ง แต่อิสราเอลก็ไม่สำนึกและไม่กลับใจใหม่

ดู 2พกษ.15:29-30 ในสมัยของเปคาห์กษัตริย์องค์ที่18 ของอิสราเอล “ทิกลัทปิเลเสอร์”กษัตริย์อัสซีเรียก็ยกทัพมาโจมตีแล้วก็เข้ายึดครองอิสราเอล ข้อที่ 30 บอกว่า ณ.เวลานั้น “โฮเชยาก็ได้กบฏและฆ่าเปคาห์แล้วก็ขึ้นครองอิสราเอล” และโฮเชยานี้ คือ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิสราเอล เพราะจากนั้นอีกไม่นานอิสราเอลฝ่ายเหนือก็ถึงคราวล่มสลาย เพราะไม่กลับใจใหม่มาเชื่อฟังพระเจ้า (และปีที่อิสราเอลล่มสลายไป ก็คือ ปีก่อนคศ.722 เดี๋ยวเราจะได้เรียนรายละเอียดกันในบทที่ 17) แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลนี้..คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในสมัยเยโรโบอัมที่2 เพราะสมัยนั้นพวกเขาเจริญและยิ่งใหญ่จนถึงขีดสุด ถ้าคิดตามสติปัญญามนุษย์..ยังไงๆ อิสราเอลก็ไม่น่าจะล่มสลายได้เพราะดูแล้วมั่นคงมาก เหมือนหลายๆอาณาจักรในประวัติศาสตร์ทั้งบาบิโลน กรีก โรม ที่ล้วนแต่รุ่งเรืองและแข็งแกร่งทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครเลยที่ขึ้นแล้ว..ไม่ลง เจริญแล้วไม่ตกต่ำ..ไม่มี และทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลก็เป็นแค่ตัวอย่าง..เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่ต้องการสำแดงแก่เราเพื่อ”ไม่ให้เราหลงผิดในแบบเดียวกัน” เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าเตือน..ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน จงหยุด..ฟัง..สำนึกผิดและกลับใจใหม่ซะ เราจะได้ไม่ต้องถูกตัดทิ้งเหมือนอิสราเอล..

ในข้อที่ 32 พระคำภีร์กลับมาที่อาณาจักรยูดาห์ ข้อนี้กล่าวถึงก.โยธามซึ่งเป็นลูกของอุสซียาห์ (อุสซียาห์ที่เป็นโรคเรื้อน) ตอนที่โยธามครองราชย์เขาอายุ 25ปี และครอบครองอยู่ 16 ปี พระคำภีร์บันทึกว่าโยธามนั้นเป็นกษัตริย์ที่ดี..ดำเนินตามทางของพระเจ้า โยธามจึงได้รับความสำเร็จมากมาย..สามารถรบชนะพวกอัมโมน และผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาในสมัยของโยธามนี้ คือ อิสยาห์และมีคาห์

ดู 2พกษ.16:1-2 หลังจากที่โยธามสิ้นชีวิต..อาหัสลูกชายของเขาก็ขึ้นครองยูดาห์ แต่อาหัสไม่เหมือนพ่อ พระคำภีร์บอกว่าก.อาหัสได้ทำชั่วต่อพระเจ้า..ยังไง ข้อที่ 3 บอกว่า “พระองค์ถวายโอรสของตัวเองให้ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ..” อาหัสเอาลูกตัวเองบูชายัญ..ซึ่งพิธีกรรมนี้!มันเป็นของคนคานาอันที่พระเจ้าเคยขับไล่ไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอล” ตั้งนานแล้ว..ตั้งแต่สมัยของโยชูวาแล้ว แต่ไม่รู้อาหัสไปขุดเอาแบบอย่างความชั่วพวกนี้กลับมาได้ไง ข้อที่ 5 อาหัสยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูง และในเนินสูง และใต้ต้นไม้สีเขียวทุกต้น” และการทำอย่างงี้ ก็เหมือนที่อ.เปาโลบอกไว้ในหนังสือโรมว่า (1:25) “เขาได้เปลี่ยนความจริงของพระเจ้าให้เป็นความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง” คือ การที่มนุษย์ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้ว..ทั้งต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล แทนที่มนุษย์จะทึ่งและกราบไหว้พระเจ้า..เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง พวกเขากลับหลงไปกราบไหว้สิ่งที่ทรงสร้าง ทั้งภูเขาบ้าง (..ก็ตั้งชื่อกันให้เป็น...อะไรก็ว่าไป แม่น้ำ.(เรียกกันว่าไร..).สารพัดสัตว์หรือแม้แต่ต้นไม้ (ก็ตั้งชื่อกันไปต่างๆนาๆ..) แล้วเด็กๆคิดว่าพระเจ้าจะรู้สึกอย่างไร..หรือถ้าเป็นเราจะรู้สึกยัง (ไอ้นั่นก็ดี..ไอ้นี่ก็สวย มองธรรมชาติหลายๆอย่างแล้ว มันแสนจะน่าพิศวง แต่! เห็นแล้วแทนที่จะสรรเสริญผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ดั๊น!ไปยกย่องไอสิ่งที่ถูกสร้าง มันน่าเซ็งจริงๆ !) ถ้าเพียงแต่จะคิดให้ดี..มนุษย์จะรู้ว่าสิ่งที่ถูกสร้างจะมาใหญ่กว่าผู้สร้าง..มันไม่มีทางเป็นไปได้

ดู 2พกษ.16:5 “ซีเรียกับอิสราเอลบุกรุกยูดาห์..” ความจริงก็คือ ขณะนั้นทั้งซีเรียและอิสราเอลก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซีเรียทั้งคู่ แล้วเรื่องของเรื่องที่ 2 ประเทศนี้ร่วมกันยกทัพมากกดดันยูดาห์..ก็เพราะอยากจะให้ยูดาห์มาเป็นพวก รวมกันเยอะๆเผื่อจะได้มีกำลังมากพอที่จะแข็งข้อต่ออัสซีเรีย แต่เหตุการณ์มันไม่ได้เข้าล็อคอย่างที่ซีเรียกับอิสราเอลคิด เพราะพอยูดาห์ถูกรุกราน ก.อาหัสกลับรี่ไปขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย ข้อที่8 บอกว่า “อาหัสขนเอาเงินและทองคำซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม และในคลังสำนักพระราชวัง..ส่งไปกำนัลแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียแล้ว ปรากฎว่าอัสซีเรียก็เอาด้วย..ยอมช่วยยูดาห์ ข้อที่ 9 บอกว่า “กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเลยยกทัพไปดามัสกัส..จับประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลย และก็ประหาร เรซีน กษัตริย์แห่งซีเรีย”.. เพราะอัสซีเรียก็คงอ่านเกมส์ออกว่า..อะไรจะเกิดขึ้นถ้าขืนปล่อยให้ 3 ประเทศได้รวมกัน 2ประเทศอาจจะยังสู้อัสซีเรียไม่ได้ แต่ถ้า 3..ก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้น อัสซีเรียก็คงตัดสินใจช่วยยูดาห์เพราะเหตุนี้ เมื่อถูกอัสซีเรียโจมตี..ซีเรียจำต้องถอนกำลังออกจากยูดาห์ มารับมือกับศึกในบ้านตัวเองก่อน พอเสร็จสรรพเรียบร้อยอาหัสก็เดินทางไปพบก.ทิกลัทกิเลเสอร์แห่งอัสซีเรียที่ดามัสกัส (ก็คงจะเดินทางไปจับมือ ขอบคุณ อะไรประมาณนี้) แต่พอไปถึงอาหัสเมื่อเห็นแท่นบูชาพระของคนซีเรีย..เขาก็หลงเจิ่นไป สั่งให้คนทำเลียนแบบแท่นบูชาของคนซีเรียทันที แล้วก็เอาไปตั้งไว้ในนิเวศน์พระเจ้าที่เยรูซาเล็ม สำหรับเรื่องนี้เราเปิดไปที่..

หนังสือ 2พศด.28:22-23 เพราะว่าพระแห่งกษัตริย์ของซีเรียได้ช่วยเขาทั้งหลาย เราจึงจะถวายสัตวบูชาแก่พระเหล่านั้นเพื่อจะช่วยเรา" พอเห็นแท่นบูชาพระของคนซีเรีย..อาหัสคิดออกแค่นี้ คิดว่าที่ซีเรียเข้มแข็งมานานก็เพราะมีพระดีที่ช่วยได้ (คุ้นๆมะ) อาหัสก็เลยเอามั่ง..ไปเอาพระของคนซีเรียมาไหว้มั่ง..เพราะคิดว่าพระพวกนั้นจะได้ช่วยเขาบ้าง ใน 2พกษ. บอกว่า “เมื่ออาหัสเสด็จจากดามัสกัสถึงเยรูซาเล็ม..แท่นบูชาที่สั่งให้สร้างเลียนแบบคนซีเรียก็เสร็จเรียบร้อย ตั้งอยู่ในนิเวศน์พระเจ้าแล้วอย่างรวดเร็วทันใจ อาหัสไปถึงก็ถวายเครื่องบูชาพระต่างชาติบนแท่นนั้น แล้วย้ายแท่นบูชาของพระเจ้าที่ซาโลมอนสร้าง..ออกไป!!! ..อาหัสคงคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยเขา..เขาก็ไม่จำเป็นต้องเก็บพระเจ้าไว้อีก แทนที่จะสำนึก..ว่าที่ยูดาห์ตกต่ำ ก็เพราะว่ายูนี่แหละที่ทิ้งพระเจ้า..ไม่เอาพระเจ้า แต่เปล่าเลย..อาหัสยังคิดเข้าข้างตัวเอง..แล้วก็หลงผิดหนักเข้าไปอีก

ดู 2พศด.28:24-25 อาหัสทรงรวบรวมเครื่องใช้ของพระนิเวศแห่งพระเจ้า และตัดเครื่องใช้แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นชิ้นๆ..” พูดง่ายๆ คือ “อาหัสโละพระเจ้าทิ้งเลย” ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาหรือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการถวายบูชาพระเจ้าทุกอย่าง..อาหัสเก็บทิ้งเกลี้ยง แล้วสุดท้ายก็ปิดตายประตูพระวิหารไปเลย เป็นการปิดทาง..ไม่ให้ใครเข้าไปไหว้หรือถวายเครื่องบูชาพระเจ้าได้อีก ข้อที่ 25 บอกว่า “พระองค์ทรงสร้างปูชนียสถานสูงในหัวเมืองของยูดาห์ทุกหัวเมืองเพื่อเผาเครื่องหอมถวายพระอื่น” ..ก็คือ เอาพระอื่นเต็มที่เลย ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างชัดเจน..เขาคงคิดว่า ถ้าอยู่กับพระเจ้าแล้วไม่รุ่ง..ไม่ได้อย่างใจเขาก็จะไม่เอาพระเจ้าแล้ว ประมาณว่าพระนี้ช่วยไม่ได้..ก็ไปเอาโน้น อันโน้นช่วยไม่ได้..ก็ไปหาอันใหม่ มั่วจริงๆและก็ไม่ฉลาดด้วย ! เพราะสุดท้ายพระเหล่านั้นก็ช่วยเขาไม่ได้เลย ข้อที่ 23 บันทึกว่า “..แต่พระเหล่านั้นเป็นเครื่องทำลายพระองค์ และทั้งอิสราเอลทั้งปวงด้วย” อันนี้เด็กๆต้องจำไว้..ถ้าพระเจ้าไม่ช่วย ก็อย่าหวังว่าใครจะยื่นมือมาช่วยได้..ไม่มีทาง ข้อที่ 27 และอาหัสก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ เขาก็ฝังพระศพไว้ในเยรูซาเล็ม แต่ว่าไม่ได้เอาศพของอาหัสไปไว้ในอุโมงค์ของกษัตริย์” เพราะคนยูดาห์เขารับไม่ได้กับสิ่งที่อาหัสทำกับพระเจ้า ก็เลยไม่ให้เกียรติ..เอาศพไปฝังที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ให้รวมกับกษัตริย์ของยูดาห์

ดู 2พกษ.17:1-2 มาถึงสมัยของโฮเชยากษัตริย์องค์ที่ 19 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของอิสราเอล แต่เดิมโฮเชยาเป็นแม่ทัพของก.เปคาห์ แต่ว่าเขากบฎฆ่าเปคาห์ทิ้งแล้วตั้งตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และในสมัยของโฮเชยานี้อิสราเอลก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียในสมัยของ”ก.แชลมาเนเสอร์”..โฮเชยาต้องส่งเครื่องบรรณาการให้อัสซีเรียทุกปี แต่พอช่วงเปลี่ยนรัชกาลของอัสซีเรียในสมัยของ ”ก.ซาร์กอน” โฮเชยาก็คิดจะแข็งข้อกับอัสซีเรีย เขาทำไง..ไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์..ซึ่งขณะนั้นก็เป็นมหาอำนาจเหมือนกัน คือ ตอนนั้นมหาอำนาจทางตอนเหนือคืออัสซีเรีย ส่วนทางใต้คืออียิปต์ (ถ้าเทียบกับตอนนี้ ก็คงประมาณ สหรัฐอเมริกากับจีน) เพราะฉะนั้น โฮเชยาเลยคิดว่าทางเดียวที่เขาจะสู้อัสซีเรียได้ก็คือต้องไปพึ่งอียิปต์..คิดได้แค่นั้น แล้วก็ปรากฎว่าอียิปต์ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย บอกว่าไม่ช่วยเลย..จะถูกกว่า เพราะเมื่ออัสซีเรียยกมาอีกที..ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของอียิปต์..ทหารซักคนก็ไม่มี ข้อที่ 6 บอกว่า “ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ยึดได้เมืองสะมาเรีย และครั้งนี้ อัสซีเรียก็ไม่ให้โอกาสอิสราเอลได้อยู่อย่างอิสระอีกต่อไป พวกเขาก็กวาดต้อนคนอิสราเอลไปเป็นเชลยยังอัสซีเรีย ส่วนกษัตริย์โฮเชยาก็ถูกจับขังคุกไป..”

ดู 2พกษ.17:7-8 ข้อนี้บอกว่า “ที่เป็นอย่างนั้น ก็คือที่ต้องตกเป็นเชลยและล่มสลายไป ก็เพราะประชาชนอิสราเอลได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน ผู้ทรงนำเขาขึ้นออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ จากพระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และได้เกรงกลัวพระอื่นๆ” ..ทั้งที่พระเจ้าก็สำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ให้เห็นชัดๆหลายต่อหลายครั้ง..ช่วยกู้อิสราเอลมาก็นับครั้งไม่ถ้วน แต่..อิสราเอลก็ยังทิ้งพระองค์ไปไหว้สารพัดพระ..รวมทั้งสิ่งที่พระเจ้าสร้าง แทนที่จะกราบไหว้ผู้สร้าง แล้วสุดท้ายโฮเชยายังจะวิ่งไปหาฟาโรห์..ที่เคยแพ้พระเจ้าจนจนหมอบราบคาบแก้วมาแล้ว..ในสมัยโมเสส ฟังดูแล้วน่าเศร้าจริงๆ เพราะอิสราเอลไม่แค่ผิดในเรื่องเดิมๆ แต่ยังผิดซ้ำกับคนเดิมๆ ที่เดิมๆ แล้วก็สถานการณ์เดิมๆอยู่เป็นประจำ ข้อที่ 13 บอกว่า “พระเจ้ายังทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์โดยผู้เผยพระวจนะหลายคนว่า "จงหันกลับจากทางชั่วร้ายทั้งหลายของเจ้า และรักษาบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามราชบัญญัติทุกข้อซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าโดยผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเรา แต่เขาไม่ฟังแต่ทำให้คอของตนแข็ง ดังคอของบรรพบุรุษของเขาได้เป็นมาแล้ว..” ส่งผู้เผยพระวจนะมาเตือนก็ไม่ฟัง..ไม่กลับใจใหม่ เป็นเหมือนพวกยิวในสมัยโมเสส คือ ทั้งดื้อ ทั้งกบฎ ขี้บ่น เอาแต่ได้สารพัด พูดง่ายๆไม่มีดีไรเลย...แต่! ทำไมพระเจ้าถึงยังเลือกยิวหรืออิสราเอลให้เป็นชนชาติของพระองค์ เพราะยิ่งร้ายมากเท่าไหร..ในเวลาที่พวกนี้กลับใจ กลับมาหมดจดงดงาม ก็จะยิ่งทำเห็นฝีพระหัตถ์พระเจ้าชัดเจนขึ้นเท่านั้น เพราะงั้น อย่าแปลกใจถ้าเห็นคนแรงๆมาเชื่อพระเจ้า เพราะแรงแค่ไหนพระเจ้าก็เอาอยู่ ที่สำคัญพระองค์ไม่ได้เลือกแต่คนที่สมบูรณ์พร้อม (อันนี้ เด็กๆต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะรัก..แต่คนน่ารักเท่านั้น )

ดู 2พกษ.17:23-24 ในที่สุดอิสราเอลสิบเผ่าทางเหนือก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย แล้วสิบเผ่านี้ก็หลงหายละลายไปเลย..คือ หมายความว่า ไม่คงความเป็นยิวแท้อีกต่อไป เพราะนอกจากจะถูกทำให้กระจัดกระจายไปแล้ว กษัตริย์อัสซีเรียยังเอาคนต่างถิ่นสาระพัดเข้ามาอยู่ในสะมาเรียด้วย เพื่ออะไร..เพื่อไม่ให้เลือดรักชาติศาสนาของยิวมันเข้มข้นเกินไป เพราะยิวขึ้นชื่อมากเรื่องชาตินิยม เขาก็เลยเอาคนต่างชาติมากมายหลายถิ่นมาผสมปนเปเข้าไป เพื่อละลายให้เลือดรักชาติศาสนาของยิวเจือจางลง แต่ปรากฎว่า พอเอาคนต่างชาติเข้ามาปุ๊บ ! เหตุวิบัติความวุ่นวายบางอย่างก็เกิดขึ้น ข้อที่ 25 บอกว่า “และตั้งแต่ต้นที่เขามาอาศัยอยู่ที่นั่น พระเจ้าก็ใช้สิงโตมาท่ามกลางพวกเขา มาอาละวาดกัดกินผู้คนในสะมาเรีย” จนคนที่มาอยู่ในเมืองนั้นทนไม่ไหว..ไปบอกกษัตริย์อัสซีเรียให้ส่งคนมาสอนหน่อย..ว่าจะปรนนิบัติพระเจ้าของอิสราเอลเนี่ย..ต้องทำไง กษัตริย์เลยส่งคนมาสอน..ว่าจะปรนนิบัติพระเจ้าต้องทำ 1..2..3..4.. (อารมณ์ประมาณ คิดว่า เจ้าที่แรง..มาอยู่แล้วมีแต่เรื่อง..ก็เลยต้องมีการเซ่นไหว้บวงสรวงกันหน่อย แต่แท้จริงแล้ว..สิ่งที่พวกเขาต้องตระหนักมากกว่านั้นก็คือ พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกที่ทั้งโลกใบนี้และทั้งหมดในมหากัลปจักรวาล..ไม่ใช่เฉพาะที่อิสราเอลหรือยูดาห์เท่านั้น !!!) แล้วปรากฎว่าพวกเขาก็ทำตามทุกอย่างที่ปุโรหิตสอน..ต้องปรนนิบัติพระเจ้ายังไงเขาก็ทำ แต่ว่าพวกเขาก็ยังไหว้พระอื่นด้วยในสะมาเรีย..

ดู 2พกษ.17:29-31 ทุกคนก็ยังไหว้พระของตัวเองและตั้งไว้ในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูงซึ่งชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ ชาวบาบิโลนสร้างพระสุคคทเบโนท ชาวคูทสร้างพระเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างพระอาชิมา และชาวอิฟวาห์สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก และหนักสุด..ชาวเสฟารวาอิมเผาลูกของตนในไฟ..สะมาเรียตอนนี้เละยิ่งกว่าจับฉ่าย และนี่คือเหตุผลว่าทำไม..ยิวในสมัยพระเยซูคริสต์ถึงรังเกียจชาวสะมาเรียนักหนา เพราะเขาถือว่าพวกนี้เป็น"ลูกครึ่ง"..(เบาไปมั้ง เรียกอะไรดี..ลูกผสม เลือดผสม ประมาณนั้น) ดังนั้น ดูภายนอกอิสราเอลฝ่ายเหนือไม่เหมือนพวกยูดาห์ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย..พวกนั้นไปเป็นเชลยแล้วยังอยู่กันเป็นกลุ่มไม่ไปผสมกับใคร..ไม่ได้ถูกแทรกแซงเหมือนชาวสะมาเรีย แต่ว่า !หลายครั้งพระเยซูคริสต์กลับกล่าวถึงชาวสะมาเรียในทางที่ชอบธรรมกว่าพวกยิวแท้ซะอีก ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นข้อคิดสำหรับเรา เดี๋ยวเด็กๆจะได้เรียนเรื่องนี้กันอย่างละเอียดในพระคำภีร์ใหม่

แล้วณ,จุดนี้อิสราเอลฝ่ายเหนือก็ถึงกาลล่มสลายไปรวมเวลาอาณาจักรตั้งอยู่ทั้งสิ้น 209 ปี ลองคิดดูว่าพระเจ้าอดทนกับพวกเขาแค่ไหน เพราะอิสราเอลทำบาปตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร..ตั้งแต่สมัยของเยโรโบอัมเลย..แล้วก็ทำบาปมาตลอด พระเจ้าก็เตือนมาเรื่อย..ส่งผู้เผยพระวจนะมากี่คนต่อกี่คน..แต่พวกเขาก็ไม่กลับใจ จนในที่สุดพระเจ้าต้องตัดทิ้ง แต่ลองคิดดูนะ..ว่าจะมีใครอดทนกับเราได้นานขนาดนี้มั๊ย 209 ปี ต่อให้เป็นคนรัก สามีภรรยา หรือแม้แต่พ่อแม่ น้าตุ๊กว่าไม่มี อันนี้กล้าพูดในฐานะที่ตัวเองก็เป็นแม่ คือ ลูกเนี่ย..ถ้าชั่ว ก็ทนๆกันไป เพราะยังไงมันก็ลูกเรา แต่ถ้าอยู่กันจนจะตายไปข้างนึงแล้วมันก็ยังชั่วอยู่อย่างงั้น ถามว่าจะทนมั๊ย..ทน แต่ !คงถอดใจและรู้สึกหมดหวัง ดังนั้น จึงไม่มีใครหรอกที่จะทนใครได้เป็นร้อยปีโดยที่ไม่เคยหมดหวังเลย.."เหมือนพระเจ้า" และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักว่าพระเจ้ารักและอดทนขนาดไหน พระองค์อดทนกับเรานานมาก แต่อีกทางที่เราต้องสังวรณ์ ก็คือพระองค์ก็มีขีดจำกัด ถ้าเตือนแล้ว..ให้โอกาสซ้ำแล้วซ้ำอีก นานแล้ว 200 กว่าปีแล้วแต่ไม่กลับใจ..สุดท้ายก็คงต้องลงบีงไฟนรกไป

ดู 2พกษ.18:1-2 ข้อนี้ มาถึงสมัยของก.เฮเซคียาห์แห่งอาณาจักรยูดาห์ เมื่ออาหัสตายแล้ว..เฮเซคียาห์ก็ขึ้นครองยูดาห์แทนพ่อ และขอบคุณพระเจ้าที่เฮเซคียาห์ไม่ชั่วร้ายเหมือนพ่อ แต่เขาดำเนินในทางชอบธรรมของพระเจ้า ตอนที่ขึ้นครองเฮเซคียาห์อายุ 25 ปีและครองอยู่ 29 ปี เขาทำไรบ้าง ข้อที่ 4 บอกว่า “เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามทุกสิ่งที่ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ”..เขาเปิดประตูพระนิเวศน์พระเจ้าที่ถูกอาหัสปิดตาย และยังรื้อปูชนียสถานสูงทิ้ง..พังเสาศักดิ์สิทธิ์และตัดเสารูปเคารพลงเสีย รูปเคารพที่อาหัสเอาเข้ามาในนิเวศน์พระเจ้า..เฮเซคียาห์เอาออกไปทิ้งหมดเลย แล้วเฮเซคียาห์ก็เอาแท่นบูชาพระเจ้าของซาโลมอนยกกลับเข้ามาในพระวิหาร ปุโรหิตคนเลวีที่กระจัดกระจายไป..เฮเซคียาห์ก็เรียกกลับมาหมด แล้วพวกเขาก็ถวายบูชา..ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า (น่าชื่นใจจริงๆ) นอกจากนี้พระองค์ทรงทุบงูทองเหลืองซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเป็นชิ้นๆ” ...จำงูทองเหลืองสมัยกันดารวิถีได้มะ..ที่โมเสสสร้างขึ้นมาเพราะประชาชนถูกงูแมวเซากัดตายไปหลายคน พระเจ้าก็บอกให้สร้างงูนี้ขึ้นมาโดยมีความหมายฝ่ายวิญญาณที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ มาตอนนี้ เฮเซคียาห์ต้องรื้อทิ้งเพราะอยู่ไปอยู่มาคนยูดาห์ก็ยกมันเป็นรูปเคารพ..ทำให้ผิดพระวัตถุประสงค์ไป นอกจากนี้ เฮเซคียาห์ยังฟื้นฟูจิตวิญญาณของคนยูดาห์กันขนานใหญ่..(เปิดไปดู 2พงศาวดาร)

ดู 2 พศด.30:1-2 หลังจากที่เฮเซคียาห์ฟื้ฟูการนมัสการพระเจ้าในเยรูซาเล็มแล้ว เขาก็เตรียมจะถือเทศกาลปัสกา ซึ่งจริงๆแล้วปัสกาเป็นเทศกาลที่พระเจ้าบัญญัติไว้ให้คนอิสราเอลต้องยึดถือทุกปี แต่เมื่ออาณาจักรถูกแบ่งแยก..ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ไม่เคยถือเทศกาลปัสกาเลย และตอนนี้ เฮเซคียาห์กำลังเอาพระบัญชาของพระเจ้ากลับมารื้อฟื้นและถือปฏิบัติอีกครั้ง ข้อที่ 5 บอกว่า “เขาจึงลงมติให้ทำประกาศออกไปทั่วอิสราเอล ตั้งแต่เบเออร์เชบาถึงเมืองดานว่า ประชาชนควรมาถือปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่เยรูซาเล็ม”..คือเฮเซคียาห์ไม่ได้ประกาศการปัสกาแค่ในแผ่นดินยูดาห์ แต่เขาให้คนส่งหนังสือไปที่อิสราเอลฝ่ายเหนือด้วย..ซึ่งตอนนั้น อาณาจักรแตกแล้วแต่ยังมีคนอิสราเอลกระจัดกระจายอยู่ เฮเซคียาห์มีบัญชาว่าชนอิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาหาพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล เพื่อพระองค์จะหันกลับมายังคนส่วนที่เหลืออยู่ของท่าน ผู้ซึ่งหนีรอดจากพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” แต่ข้อที่ 10 บอกว่า “แต่อิสราเอลฝ่ายเหนือไม่สนใจ..กลับเยาะเย้ยการกระทำของเฮเซคียาห์”

ดู 2พศด.30:22-23 เฮเซคียาห์หนุนใจคนเลวีทั้งปวงผู้สอนถึงความรู้อันประเสริฐแห่งพระเจ้า พวกเขาจึงรับประทานอาหารในเทศกาลนั้นเจ็ดวัน ข้อที่ 26 บอกว่า “แล้วความชื่นชมยินดีอย่างมากก็บังเกิดแก่พวกเขา ทำให้ทุกคนติดใจมาก..อยากจะทำอย่างงี้ไปนานๆ เลยขอต่อเวลาการถือปัสกาออกไปอีก 7 วัน เฮเซคียาห์ก็โอเค..”เพราะตั้งแต่สมัยของซาโลมอนโอรสของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่เคยมีอย่างนี้เลยในเยรูซาเล็ม” บทที่ 31:4 “เฮเซคียาห์บัญชาให้มีการถวายผลแรกและสิบลดส่วนที่เป็นของปุโรหิตและของคนเลวี เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้เข้มแข็งขึ้นในพระราชบัญญัติของพระเจ้า” นอกจากนี้ ก็มีการเรียกบรรดาปุโรหิตและคนเลวีมาขึ้นทะเบียน เพื่อที่จะมาผลัดเวรกันเข้าไปปรนนิบัติพระเจ้าในพระนิเวศน์ รวมถึงทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งจากทศางค์หรือสิบลดอย่างถูกต้องด้วย...เรียกว่าเฮเซคียาห์พลิกฟื้นการทำตามพระบัญญัติอย่างเต็มรูปแบบ ข้อที่ 20 บอกว่า “เฮเซคียาห์ทรงกระทำดังนี้ทั่วทั้งยูดาห์ และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ดีและชอบ และที่เป็นความจริงต่อพระพักตร์พระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและอวยพรเฮเซคียาห์อย่างมาก

หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น