วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 4 อาทิตย์ 8 มกราคม 2012

คราวที่แล้วเราจบลงในตอนที่ซีเรียยกมาล้อมอิสราเอลอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่ทำให้อิสราเอลเดือดร้อนมากจากการกันดารอาหาร มากขนาดไหน..ขนาดที่แม่ต้องกินลูกตัวเอง เรื่องนี้บันทึกไว้ใน 2พกษ.6:28-29 ที่เราเรียนกันไปในคราวที่แล้ว..ว่ามี “ผู้หญิงคนนึงมาร้องเรียนกับก.อิสราเอลว่า “ผู้หญิงอีกคนตกลงกับเธอว่า..วันนี้ให้กินลูกชายของหม่อมฉันก่อน แล้วพรุ่งนี้เธอจะฆ่าลูกชายเธอมาแบ่งหม่อมฉัน ต่อเมื่อเธอยอมตกลงและฆ่าลูกตัวเองแล้ว วันรุ่งขึ้นผู้หญิงอีกคน..ก็เบี้ยว เอาลูกชายตัวเองไปซ่อน..ไม่ยอมเอามาฆ่าแบ่งให้เธอกิน” กษัตริย์อิสราเอลฟังแล้ว พูดได้คำเดียวว่า”อยากฆ่าเอลีชา” ทำไมกษัตริย์ถึงโทษเอลีชา..นักวิชาการหลายท่านก็ให้ความเห็นแตกต่างกันออกไป บางคนก็เชื่อว่า..”เพราะกษัตริย์คิดว่าตัวเองอุตส่าห์วางใจในพระเจ้าตามคำแนะนำของเอลีชา แต่ตอนนี้..สถานการณ์กลับดูเหมือนจะเลวร้ายสุดๆ” บางท่าน ก็คิดว่า..”เพราะปกติกษัตริย์อิสราเอลฝ่ายเหนือ..ชอบมีปัญหากับผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องอย่างงี้ขึ้น..ก็เลยโทษคนของพระเจ้า ซึ่งตอนนั้น ก็คือเอลีชา เหมือนตอนที่เกิดภัยแล้งขึ้นในสมัยของอาหับ (อาหับกับเยเซเบล)..ตอนนั้นอาหับโทษใคร..เขาก็โทษเอลียาห์ คือ เอะอะก็โทษ”คนของพระเจ้า” อีกเหตุผลที่นักวิชาการให้ไว้ ก็คือ..กษัตริย์อิสราเอลเจ็บใจมากที่ปล่อยทหารซีเรียตาบอดกลับบ้านไปตามที่เอลีชาแนะนำ เพราะกษัตริย์อิสราเอลคิดว่า..”ถ้าตอนนั้น เขาไม่เชื่อเอลีชา..แล้วตัดสินใจฆ่าทหารซีเรียทิ้งซะให้หมด วันนี้ซีเรียต้องไม่มีปัญญายกทัพมาทำให้สะมาเรียเดือดร้อนได้..อย่างที่เห็น”

แต่ส่วนตัว น้าตุ๊กว่า..กษัตริย์อิสราเอลจะโกรธเอลีชาด้วยเหตุผลอะไรก็..ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรตระหนัก ก็คือ ”อาการที่กษัตริย์อิสราเอลเป็นอยู่ตอนเนี้ย !..จริงๆ มันเป็นปกติวิสัยของมนุษย์” ยังไง..เปิดไปดู

ปฐก.3:11-13 เมื่ออาดามกินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปแล้วพระเจ้าถาม..ถามว่าไร “อาดาม เจ้าได้กินผลจากต้นไม้นั้น ซึ่งเราสั่งเจ้าไว้ว่าเจ้าอย่ากินแล้วหรือ" อาดามตอบว่าไง..(ขอรับ ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว..รึเปล่า”...เปล่าเลย) อาดาม ตอบว่า.."หญิงซึ่งพระองค์ทรงประทานให้อยู่กับข้าพระองค์นั้น เป็นคนส่งผลจากต้นไม้ให้ ข้าพระองค์จึงรับประทาน" อาดามโยนความผิดให้เอวาทันที แล้วเอวาว่าไง..ข้อที่ 13 เอวาตอบพระเจ้าว่า.."งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน" พอถูกอาดามโยนความผิดให้ เอวาก็ทำแบบเดียวกัน คือ โยนความผิดไปให้งูทันที เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ทำให้เราเห็นธรรมชาติบาปอีกอันที่อยู่คู่มนุษย์มานานแล้ว และทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ คือ ชอบหาแพะ ไม่ค่อยมีหรอกที่ทำผิดแล้วจะโทษตัวเองหรือยอมรับผิดแต่ทันที แต่มนุษย์ชอบที่จะโยนความผิดให้คนอื่นหรืออย่างอื่น..ไม่ว่าจะเป็นดิน ฟ้า อากาศ หรือสถานการณ์ อะไรก็ได้..ที่ไม่ใช่ชั้น ชั้นต้องถูกเป็นคนแรกแต่ขอผิดเป็นคนสุดท้าย..นี่คือ ”มนุษย์”

(อย่างเด็กๆก็เหมือนกัน เวลาจะไปเที่ยวกับเพื่อน ถ้าคุณแม่ก็บอก..”ไปเที่ยวอีกละ..ไม่อยู่บ้านอ่านหนังสือบ้างล่ะลูก” เด็กๆจะบอกว่าไร..”ก็เพื่อนมันชวน จริงๆไม่อยากไปหรอก..ไม่อยากไป๊ แต่..เพื่อนมันชวน”น่าเห็นใจจริงๆ !!! ) เพราะฉะนั้น กษัตริย์อิสราเอลก็เหมือนกัน น้าตุ๊กว่า..ที่เขาโทษเอลีชาก็เพราะ”หาแพะ” หาคนรับผิดชอบ..เลยโยนความผิดไปให้..เอลีชา เหตุผลคืออะไร จริงๆแล้วคงไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นสำคัญกว่าที่เรามองเห็นก็คือ “การโทษสิ่งอื่นหรือคนอื่นเวลาที่ทำผิด..”มันเป็นธรรมชาติบาปที่อยู่คู่กับเนื้อหนังของมนุษย์ ” แต่ข่าวดีคือ..ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้า..เราจะรู้ทันมัน แล้วเราก็จะถูกขัดเกลาให้หายจากนิสัยบาปเหล่านี้ได้

มาดูต่อใน 2 พกษ. 7:1-2 ในขณะที่สะมาเรียกำลังเดือดร้อนเพราะการกันดารอาหารอย่างหนัก..หนักจนแม่ต้องกินลูกตัวเองเนี่ย..มาข้อนี้ เอลีชาได้เผยพระวจนะว่า "ขอฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ยอดแป้งถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ที่ประตูเมืองสะมาเรีย" เอลีชาบอกว่า “พรุ่งนี้นะ..ที่ประตูเมืองสะมาเรีย แป้งประมาณ 7.3 ลิตร กับ ข้าวบาเลย์ประมาณ 15 ลิตร เขาจะขายกันแค่เชเขลเดียว”..คือถูกมาก แล้วคำพยาการณ์ครั้งนี้ มันก็ขัดแย้งกับสถานการณ์ของสะมาเรียในเวลานั้น..อย่างสิ้นเชิง ข้อที่ 2 คนสนิทของกษัตริย์เลยบอกเอลีชาว่า "ดูเถิด ถ้าแม้พระเยโฮวาห์ทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเป็นขึ้นได้หรือ" เอลีชาบอกว่า "ดูเถิด ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน" คือ คนสนิทของกษัตริย์อิสราเอล..ไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่เขามองเห็นกับที่เอลีชาบอก..มันคนละขั้วเลย..มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เอลีชาเลยบอก..”ท่านจะได้เห็นกับตาแน่..แต่จะไม่ได้กิน” (แล้วเดี๋ยวเราจะเห็นว่า..เขาก็ไม่ได้กินจริงๆเพราะตายซะก่อน) เพราะงั้นในชีวิตของพวกเราก็เหมือนกัน หลายครั้งมาก..ที่สถานการณ์ที่ตามองเห็น มันขัดกับสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่เราต้องเชื่อ เพราะถ้าเราไม่เชื่อเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนของกษัตริย์อิสราเอลคนนี้..ที่ดูหมิ่นคำเผยวจนะของเอลีชา เพราะฉะนั้น ขอให้เราเชื่อถ้อยคำที่พระเจ้าบอกไว้ทุกคำ เพราะมันต้องเกิดขึ้นจริงแน่ เพียงแต่จะเกิดเมื่อไหร่..เท่านั้นเอง

ดู 2พกษ.7:3-4/5-6 ข้อนี้ จะเป็นเหตุการณ์ตอนที่วงล้อมของทหารซีเรียแตก ข้อที่ 3 บอกว่า มีคนที่เป็นโรคเรื้อนนั่งอยู่ที่ประตูเมือง 4 คน คือ คนที่เป็นโรคเรื้อนเนี่ย..ตามพระบัญญัติจะเข้าไปอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ในเมืองไม่ได้ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง ถ้าเป็นสมัยโมเสส..ก็ต้องไปอยู่นอกค่าย ทีนี้ พอซีเรียมาล้อมเมืองคนพวกนี้ก็ยิ่งตกที่นั่งลำบาก เพราะจะเข้าเมืองก็ไม่ได้ ถึงเข้าไปในเมืองก็กำลังกันดารอาหาร..ไม่มีอะไรให้กิน ออกไปไหนก็ไม่ได้..เพราะกองทัพซีเรียอยู่เต็มไปหมด แต่ขืนอยู่อย่างงี้ก็อดตายเหมือนกัน คนโรคเรื้อนกลุ่มนี้เลยปรึกษากันว่า..”จะลองเสี่ยงไปขอสวามิภักดิ์ต่อกองทัพของซีเรีย ถ้าเขาไม่ยอมดีด้วยอย่างมากก็ตายเท่าเดิม แต่ถ้าโชคดี ซีเรียยอมไว้ชีวิต..พวกเขาก็รอด พอตกลงกันเสร็จตอนโพล้เพล้ก็เลยพากันไปที่ค่ายของพวกซีเรีย แต่พอไปถึง ปรากฎว่าไม่มีใครอยู่เลยซักคน..เกิดอะไรขึ้น “พระเจ้าได้ทำให้พวกซีเรียหูแว่ว..(อีกแล้ว) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเจ้าทำอย่างงี้ แต่หลายครั้งมากที่พระองค์ทรงช่วยกู้อิสราเอลโดยที่พวกเขาไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เพราะข้อที่ 6 บอกว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันและกันว่า "ดูเถิด กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์แห่งคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์แห่งอียิปต์มารบเราแล้ว".. จู่ๆพวกซีเรียก็ได้ยินเสียงกองทัพอึกทึกครึกโครมมาก แต่มองไม่เห็นไงเพราะมันมืด..เลยเดาเอาเองว่าอิสราเอลคงไปจ้างทหารฮิตไทต์กับอียิปต์มาสู้กับเขา กองทัพซีเรียเลยกลัวมาก..ตัดสินใจหนีไปเลย ทิ้งทรัพย์สินกับเสบียงมากมายมหาศาลไว้ที่ค่าย “นี่คือ การช่วยกู้ของพระเจ้า” ถ้าพระองค์จะช่วย..อิสราเอลรวมทั้งพวกเราไม่ต้องมีต้นทุนอะไรเลยก็ได้ อย่างที่ซีเรียหนีไปครั้งนี้อิสราเอลต้องใช้ทหารมารบกับเขามั๊ย ไม่ต้องเลย..ไม่ได้ทำไรเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เวลาที่มีปัญหา..ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน อย่าประเมินทางรอดด้วยต้นทุนของเรา (เข้าใจคำว่าต้นทุนมะ ต้นทุนของเราก็อย่างเช่น สติปัญญา ฐานะ เรี่ยวแรงกำลังอะไรต่างๆ อย่าประเมินทางรอดของเราจากสิ่งเหล่านี้) แต่จงยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลางแล้ววางไว้กับพระองค์..ให้ฝากไว้กับพระเจ้าเลย เพราะหลายครั้งปัญหาใหญ่ๆถ้ามองด้วยตาแล้ว..ดูยังไงเราก็ไม่มีทางรอด แต่ผู้ที่วางใจในพระเจ้า..จะรอด โดยที่เราแทบไม่ต้องกระดิกไปทำอะไรเลยด้วยซ้ำ..เหมือนที่พระเจ้าได้ทำเพื่อคนอิสราเอลในข้อนี้

ดู 2พกษ.7:8-9 เด็กๆลองนึกภาพคนโรคเรื้อนตอนจะเข้าไปที่ค่ายของพวกซีเรีย ใจก็คงตุ๊มๆต่อมๆ จะรอด..ไม่รอด เพราะมันเสี่ยงมากที่เข้ามาหาศัตรูถึงที่ แต่พอมาถึงจริงๆกลับ”ไม่มีใครซักคน” โอโห ! พลิกล็อคอย่างแรง..เหมือนสวรรค์โปรด พวกนี้ก็เลยเขาไปนั่งกินดื่มนู้นนี้นี้นั้นกันอย่างเต็มที่เพราะหิวโหยมาอย่างแรง เสร็จแล้วก็เข้าเต๊นท์นู้นที..เต๊นท์นี้ทีก็ไม่เห็นใครเลย ท้องก็อิ่มแล้ว..ทีนี้ก็ขนสิ ขนกันใหญ่เลย เพราะพวกซีเรียเหมือนจะรีบมาก..หนีไปด้วยความกลัว..ไม่ได้เอาไรไปเลย..ทิ้งไว้ทุกสิ่งอย่างทั้งเงินทอง..เสื้อผ้า..ของมีค่ามากมาย คนโรคเรื้อนเลยขนกันสบาย..กลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา ข้อที่ 9 น่าสนใจมาก พระคำภีร์บอกว่า เมื่อคนโรคเรื้อนอิ่มหนำสำราญ กับ ขนกันจนพอแล้ว เขาก็นึกได้..แล้วก็คุยกันว่า "เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าเรานิ่งอยู่และคอยจนแสงอรุณขึ้นโทษจะตกอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นบัดนี้มาเถิดให้เราไปบอกยังสำนักพระราชวัง” คือ พวกเขาเริ่มรู้สึกผิด..จิตสำนึกเริ่มกลับมา เลยคุยกันว่า เอ๊! นี่เราทำไม่ถูกนะที่เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกพี่น้อง ทั้งที่ ตอนนี้พวกเขากำลังอดตายกันอยู่ในเมือง แต่เรากลับตักตวงความสุขสบายกันโดยที่ไม่แบ่งปันพวกเขาเลย พอคิดได้อย่างงั้น..ก็รีบไปที่ประตูเมืองแล้วก็บอกกับทหารว่า “เนี่ย เขาเข้าไปในค่ายของทหารซีเรียนะ ไม่มีใครอยู่เลย..ไม่มีทหารซักคนเลยแล้วอาหารก็เต็มไปหมด พวกซีเรียทิ้งของมีค่าไว้เยอะแยะเลยทั้งอาหาร ทั้งม้า ลา แล้วก็เต้นท์ก็กางทิ้งอยู่อย่างงั้น พอนายประตูฟังปั๊บ! ก็รีบตะโกนให้คนไปบอกพระราชา..ดู 2พกษ.7:12 พอข่าวนี้รู้ถึงหูกษัตริย์อิสราเอล พระองค์ก็บอกว่า “เดี๋ยว..อย่าเพิ่งดีใจ นี่อาจจะเป็นกับดักของพวกซีเรียก็ได้ แกล้งไปหลบอยู่..ให้เราตื่นเต้นดีใจ..พอเราเข้าไปก็จะลอบโจมตี เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งหลงกล”...จะว่าไปก็รอบคอบดีเหมือนกันนะ เพราะเรื่องนี้มันไม่น่าเป็นไปได้ อยู่ดีๆซีเรียจะถอนกำลังทำไมเพราะพวกเขาเป็นต่ออยู่แล้ว..ล้อมอีกซักพักอิสราเอลก็แพ้ราบคาบ กษัตริย์เลยคิดว่า..มันต้องมีเงื่อนงำอะไรซักอย่าง แต่ความจริงมีมะ..ไม่มี ทุกอย่าง”ง่ายและฟรี”อย่างที่เขาคิดไม่ถึง คุ้นๆมะ..เหมือนอะไรที่ได้มาง่ายๆและฟรีๆ “ความรอด” ไง เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเชื่อว่า นี่เป็นหมายสำคัญอีกอันนึงที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่คนอิสราเอล..ถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์จะประทานให้ คือ“ง่ายและฟรี” เพราะถ้ามนุษย์ต้องทำเอง..ไม่มีทางรอด เพราะตลอดประวัติศาสตร์ในพระคำภีร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า”มนุษย์มักกบฎและล้มเหลวในการรักษาสัญญา”..จริงมะ ถ้าใครว่าไม่จริงกลับไปทบทวนใหม่เลยตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ กันดารวิถี ผู้วินิจฉัย มาจนถึงที่เราเรียนอยู่นี่แหละ..แล้วจะเข้าใจ

ดู 2พกษ.7:13 เพื่อยุติข้อสงสัย ข้าราชการคนนึงก็ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “งั้น ให้เราเอาม้าที่ยังพอมีเหลืออยู่ซัก 5 ตัวกับรถรบ..แล้วก็ส่งทหารไปดูเลย ถ้าจะเสียหาย..ก็เสียหายแค่เนี้ย..ไม่เยอะ แล้วถึงอยู่อย่างงี้ก็ใช่ว่าจะรอด กษัตริย์เลย..โอเค สั่งให้ส่งกำลังไปสอดแนมก่อน ปรากฎว่า พอพวกเขาตามรอยไปถึงน.จอร์แดน ก็เจอทั้งเสื้อผ้า รองเท้าที่ทหารซีเรียทำตกหล่นไว้ แสดงให้เห็นว่าหนีกันอย่างลนลานสุดชีวิตเพราะอะไรตกก็ไม่เก็บ..หนีเอาตัวรอดอย่างเดียว พวกทหารที่ไปสอดแนมก็เลยกลับมาเล่าให้กษัตริย์ฟัง แล้วพอข่าวนี้รู้ไปถึงหูประชาชน (เด็กๆว่าอะไรจะเกิดขึ้น) ทุกคนก็รีบกรูกันไปที่เต๊นท์ของพวกซีเรีย..ฉกฉวยช่วงชุลมุนกันสุดฤทธิ์ บางคนก็ตุนเอามาขายที่ประตูเมือง ในราคายอดแป้ง ถังละ 1 เชเขล ส่วนข้าวบาเล่ย์ 2 ถัง 1 เชเขล (ตามที่เอลีชา พูดไว้เลย) ข้อที่ 17 กษัตริย์เลยแต่งนายทหารคนสนิท (คนที่เถียงเอลีชา)ให้ไปเป็นนายประตู..เพื่อดูแลความเรียบร้อย แล้วก็ปรากฎว่านายทหารคนนี้”ก็โดนประชาชนเหยียบตาย” เพราะประชาชนกำลังหน้ามืดตาลาย หิวกันขนาดฆ่าลูกตัวเองได้..ความชุลมุนวุ่นวายอย่างหนักเลยเกิดขึ้น และสิ่งนี้ ก็ทำให้ทุกอย่างสำเร็จตามที่เอลีชาพูดไว้เมื่อวาน..ที่บันทึกไว้ในข้อที่ 1-2 คือ ”ข้าวบาร์เลย์สองถังขายหนึ่งเชเขล และยอดแป้งหนึ่งถังหนึ่งเชเขล แต่ทหารคนสนิทที่ไปเป็นนายประตูนี้จะไม่ทันได้กิน”

ส่วนเรื่องราวใน 8:1-6 นี้ คงจะเป็นตอนเดียวกับที่บันทึกไว้ในบทที่4 (ซึ่งเราเรียนไปแล้ว) เพราะใน 8:4 ยังกล่าวถึง”เกหะซี”อยู่เลย เกหะซีที่ต้องเป็นโรคเรื้อน..เพราะโลภในของกำนัลที่นาอามานเตรียมมาให้เอลีชา แล้วหญิงหม้ายที่กล่าวถึงในข้อนี้ ก็น่าจะเป็นคนเดียวกับที่กล่าวถึงในบทที่ 4 ด้วย

ดู 2พกษ.8:7-8 ตอนนี้ มาถึงเรื่องราวในประเทศซีเรียที่สัมพันธ์กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ใน 1 พกษ.บทที่ 19 ข้อนี้ บอกว่า ก.เบนฮาดัดแห่งซีเรียป่วยอยู่ พอเขารู้ข่าวว่าเอลีชาเดินทางมาที่ดามัสกัส เขาก็ใช้ให้คนสนิทไปถามเอลีชาว่าเขาจะหายป่วยมั๊ย.. (แสดงว่า เอลีชาต้องเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างมาก..ไม่ใช่เฉพาะในอิสราเอลเท่านั้นเพราะกษัตริย์ต่างชาติก็ให้ความไว้วางใจเอลีชาด้วย) แล้วปรากฎว่าคนที่เบนฮาดัดใช้ไปเนี่ย..ก็คือ “ฮาซาเอล”..ใครคุ้นชื่อนี้บ้าง “ฮาซาเอล” คือ 1 ใน 3 คนที่พระเจ้าใช้ให้เอลียาห์มาเจิมตั้ง หลังจากที่เอลียาห์ถอดใจเพราะถูกเยเซเบลหมายหัว..จนหนีงานรับใช้ไปกินนอน..กินนอน อยู่ในถิ่นทุรกันดาร..จำได้มั๊ย แล้วพระเจ้าก็ให้ทูตสวรรค์มาปรนนิบัติเขา..เตรียมให้พร้อมทั้งน้ำ ทั้งขนมปัง ตื่นมาก็กิน..กินแล้วก็นอน กินนอน กินนอนอยู่อย่างงั้นซักพักนึง พระเจ้าก็บอกกลับไปทำงานได้แล้ว แล้วงานที่พระเจ้าสั่งตอนนั้นก็คือ ให้เขามาเจิมตั้งคน 3 คน (เปิดไปดู 1 พกษ.19:15) คนแรกที่พระเจ้าให้ไปเจิมตั้งก็คือ “ฮาซาเอล” นี่แหละ คนเดียวกับที่ก.เบนฮาดัดกำลังใช้ให้ไปหาเอลีชา ใน 2พกษ.8 นี้ ข้อที่ 8 บอกว่า ฮาซาเอลก็จัดของกำนัลมากมายตามที่กษัตริย์สั่งแล้วก็ไปหาเอลีชา ถามว่า “เบนฮาดัด” กษัตริย์แห่งซีเรียจะหายป่วยมั๊ย..

หมดเวลาแล้วค่ะ เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเรามาต่อกันนะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น