วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1 พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่9 อาทิตย์ที่31:7:2011

เรากำลังอยู่ในหนังสือ1พงศ์กษัตริย์ คงต้องทบทวนกันหน่อยเพราะเว้นช่วงการเรียนการสอนไปหลายสัปดาห์ หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์อิสราเอลก็ถูกแบ่งเป็นสองอาณาจักร เป็นความผิดพลาดของเรโหโบอัมที่ไปเชื่อคำปรึกษาของคนรุ่นเดียวกัน..ไม่ฟังคำของผู้อาวุโส ยืนยันไม่ยอมลดภาษีให้ประชาชน ทั้งที่ผลผลิตส่วนใหญ่ของอิสราเอลน่าจะมาจากสิบเผ่าทางเหนือ แต่ซาโลมอนเก็บภาษีมาแล้วก็คงจะพัฒนาเมืองหลวงซะเป็นส่วนใหญ่ อิสราเอลสิบเผ่าเลยรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ และเมื่อเรโหโบอัมปฏิเสธที่จะลดหย่อนภาษี..ทั้งสิบเผ่าเลยแยกตัวออกไป เมื่อแยกตัวแล้วอาณาจักรทางเหนือที่เรียกว่าอิสราเอลได้ถูกปกครองโดยเยโรโบอัม ส่วนเรโหโบอัมก็ปกครองอาณาจักรยูดาห์ซึ่งอยู่ทางใต้

จากนั้นเยโรโบอัมก็นำให้คนอิสราเอลทำบาปด้วยการไหว้รูปวัวทองคำ ส่งผลให้อิสราเอลฝ่ายเหนือไม่เคยพรากจากบาปนี้อีกเลยจนอาณาจักรล่มสลาย เพราะอิสราเอลฝ่ายเหนือไม่มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมเลยซักองค์ แล้วก็ยังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เพื่อชิงบัลลังก์กันตลอดเวลา..ตามที่เราเรียนกันไป แถมยังย้ายเมืองหลวงตั้งสามครั้งเริ่มจากเชเคม..ไปทีราซาร์ แล้วสุดท้ายก็ไปอยู่ที่สะมาเรีย ขณะเดียวกันยูดาห์ดูจะมีเสถียรภาพกว่า..มีความมั่นคงกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่ายูดาห์ดีหรือวิเศษกว่าอิสราเอล..ไม่ใช่ เพียงแต่ยูดาห์ก็ยังมีกษัตริย์ที่ชอบธรรมอยู่บ้าง และสิ่งที่ทำให้ยูดาห์ต่างจากอิสราเอลก็คือ ทุกครั้งที่เขาทำผิด..เมื่อพระเจ้าเตือน ยูดาห์จะสำนึกผิด..ถ่อมใจลงและกลับใจใหม่เสมอ ในขณะที่อิสราเอลไม่ค่อยสนใจเวลาที่ถูกเตือน นี่คือความต่าง..คนเราก็ต่างกันแค่นี้เอง

จากนั้น เราก็เรียนมาถึงก.อาหับ..ที่เป็นลูกของก.อมรี พระคำภีร์บันทึกว่าอาหับกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้ายิ่งกว่ากษัตริย์ทุกองค์ที่มีมาก่อนหน้าเขา เยโรโบอัมที่ว่า..แย่แล้ว อาหับยิ่งแย่กว่าและสาเหตุที่ทำให้อาหับกระทำชั่วต่อพระเจ้าได้มากกว่าหลายๆคนก็เพราะเขาไปได้”เยเซเบล” ธิดาของคนไซดอนมาเป็นมเหสี และต่อไปเราจะเห็นว่าคนที่ร้ายที่สุดไม่ใช่อาหับแต่เป็นเมียของเขา..คือ “เยเซเบล” แต่ด้วยพระคุณพระเจ้า..ไม่ว่ามนุษย์จะชั่วแค่ไหน พระเจ้าก็จะเตือนก่อนเสมอเมื่อมนุษย์ผิด..พระเจ้าไม่เคยพิพากษาโดยไม่เตือน ครั้งนี้ พระองค์เลยส่งผู้เผยพระวจนะที่แรงพอกันมาเป็นคู่ปรับกับอาหับและเยเซเบล คือ”เอลียาห์” ดังนั้น ในบทที่17 เลยปรากฎชื่อของเอลียาห์ขึ้นมา มาถึงเอลียาห์ก็ไปประกาศกับอาหับเลยว่า..จากนี้ไปจะไม่มีฝนตกเลยในอิสราเอล จนกว่าเขาจะเผยพระวจนะให้ฝนตก เสร็จแล้วพระเจ้าก็ให้เอลียาห์หนีไปอยู่ข้างลำธารเครีท แล้วพระเจ้าก็ใช้ให้อีกาคาบอาหารมาเลี้ยงเอลียาห์ แต่ไม่นานน้ำในลำธารก็แห้งเพราะภัยแล้งในอิสราเอลครั้งนี้มันรุนแรงมาก พระเจ้าเลยสั่งให้เอลียาห์ย้ายไปอยู่ที่ไซดอน ซึ่งไซดอนก็ไม่ได้อุดมสมบูรณ์ไปกว่าอิสราเอลเลย แต่พระเจ้าก็เลี้ยงเอลียาห์ได้ แล้วครั้งนี้พระองค์ก็มีน้ำพระทัยในเรื่องอื่นด้วย มาดูกันว่าครั้งนี้พระเจ้าจะเลี้ยงเอลียาห์ยังไง

ดูต่อไปดู1พกษ.17:11-12/13 พอพระเจ้าบอกให้ไปอยู่ไซดอน เอลียาห์ก็ไป..พอไปถึงก็ได้เจอหญิงม่ายคนนึง เขาก็ขอให้หญิงม่ายเอาน้ำมาให้เขาดื่ม..เสร็จแล้วก็ขออาหาร ปรากฎว่า หญิงม่ายคนนี้บอกเขาว่า”พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันมีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห..ที่กำลังจะเอาไปทำอาหารสำหรับตัวดิฉันและลูก เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย" คือ หญิงม่ายคนนี้ก็บอกเอลียาห์ตรงๆ ว่าเธอเหลืออาหารมื้อสุดท้ายอยู่แค่น้อยนิดจริงๆที่จะกินกับลูกก่อนตาย เพราะการกันดารอาหารในอิสราเอลมันรุนแรงมาก จนส่งผลไปถึงประเทศข้างเคียงด้วย พอหญิงม่ายบอกอย่างงั้น..เอลียาห์ว่าไง ข้อที่13 เอลียาห์บอกว่า “แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้า คือ เอลียาห์พูดประมาณว่า เข้าใจแล้ว..แต่ไปทำมาให้ฉันกินก่อน!! ถ้าเด็กๆเป็นเอลียาห์จะกล้าพูดมั๊ย..น้าตุ๊กไม่กล้าพูดหรอก เพราะเขากับลูกก็เหลืออยู่แค่เนี้ย แล้วเรายังจะไปแย่งเขาอีก แต่เอลียาห์กล้าบอก..ว่านั่นแหละเอามาให้ฉันกินก่อน แต่ที่พระเจ้าใช้ให้เอลียาห์ทำอย่างงี้..พระองค์มีเหตุผล แล้วเอลียาห์ก็รู้เหตุผลนั้น..เขาถึงกล้าทำ

ดู1พกษ.17:14-16 ถ้ายังไม่ได้อ่านข้อนี้ บางทีเราก็คิดนะ..ว่าทำไมพระเจ้าไม่ส่งเอลียาห์ไปหาคนที่รวยๆหน่อยจะได้ไม่ต้องรันทดใจขนาดนี้..เพราะพระองค์ใช้ใครก็ได้ ทำไมพระเจ้าต้องให้เอลียาห์มาแย่งอาหารคนที่อดอยากจนเกือบจะตายอยู่แล้ว แต่พระเจ้ามีเหตุผลเสมอ ข้อที่14 เอลียาห์ได้เผยพระวจนะกับหญิงม่ายว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า `แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมดและน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน'" คือ จริงๆแล้วพระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะช่วยหญิงม่ายคนนี้กับลูก พระองค์ถึงได้ส่งเอลียาห์มา แต่ต้องมีการวัดใจกันเล็กน้อยว่าหญิงม่ายคนนี้จะมีความเชื่อ..แล้วก็ไว้ใจพระเจ้าจริงๆรึเปล่า..ต้องเชื่อจริงๆเท่านั้นถึงจะกล้าเอาอาหารให้เอลียาห์กินก่อน เพราะอาหารก็เหลืออยู่แค่เนี้ยสุดท้ายละ..ดีไม่ดีได้อดตายก่อนเวลา แต่ในที่สุดหญิงม่ายคนนี้ก็เชื่อฟังแล้วก็ยอมทำตามที่เอลียาห์บอก คือ จัดอาหารมาให้เอลียาห์กินก่อนแล้วเธอกับลูกค่อยกินทีหลัง นี่ก็เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง”พระเจ้าของเรากับพระอื่น” ยังไง..ไม่ได้มีแต่คนที่ร่ำรวย..สุขสบายเท่านั้นที่จะถวายเกียรติพระเจ้า(ด้วยความเชื่อฟัง) แต่คริสเตียนจะสรรเสริญพระเจ้าแม้ในยามที่ยากลำบาก..ในยามที่เหมือนจะไม่มีความหวังหรือยังมองไม่เห็นในสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เรื่องนี้ไม่มีพระไหนทำได้..น้าตุ๊กเชื่ออย่างงั้น เพราะเท่าที่เห็นมา..คนที่ไม่มีพระเจ้า"ส่วนใหญ่" (ส่วนใหญ่นะคะ..ไม่ใช่ทุกคน) เขาจะเป็นอย่างงี้ คือถ้าเขาไหว้พระไหนแล้วชีวิตทางโลกเขาไม่ดีขึ้น..หรือสนอง need เขาไม่ได้ เขาก็จะเปลี่ยนไปไหว้อันอื่น ใครบอกที่ไหนมีพระดี..พระดังก็จะแห่แหนไปตามกันเพื่อขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการ(ฝ่ายโลก) นี่คือความต่างและเป็นพระเกียรติยศอันน่าทึ่งของพระเจ้า เพราะคริสเตียนจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพลงสรรเสริญที่เราร้องหลายต่อหลายเพลงก็เป็นพยานว่าเราจะรักพระเจ้าแม้ชีวิตจะทุกข์ลำบาก (เพราะรางวัลที่ใหญ่ยิ่งสูงสุดฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว) เหมือนหญิงม่ายคนนี้ที่เชื่อฟังยอมทำตามที่เอลียาห์ทั้งที่อดแทบจะตายอยู่แล้วเพราะเธอเชื่อและไว้ใจพระเจ้า สุดท้ายพระคำภีร์บอกว่า “แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด แถมยังมีมากพอที่จะเลี้ยงเอลียาห์อิ่มบริบูรณ์ไปอีกสามปีด้วย” และนี่คือบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับเรา เปิดไปดู..

อิสยาห์55:8-9 หนังสืออิสยาห์ข้อนี้ บอกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าคิดไม่เหมือนมนุษย์ แล้วทางของพระองค์ก็ไม่เหมือนทางของโลก ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด..สติปัญญาและทางของพระเจ้าก็สูงกว่ามนุษย์แน่นอนฉันนั้น แล้วหนังสือพกษ.ข้อนี้ก็เป็นแค่ประเด็นเดียวในทุกประเด็นที่พระเจ้าสำแดงให้เราเห็นชัดเลย..ว่าทางของพระองค์ไม่เหมือนทางของมนุษย์จริงๆ อย่างเรื่องของเอลียาห์กับหญิงม่ายนี้มนุษย์คิดยังไง มนุษย์จะคิดว่าถ้าให้ออกไปหรือให้มากไป..แล้วเดี๋ยวหมด ต้องรอให้มีมากๆแล้วค่อยให้ (งั้นก็รอไปเหอะ) นั่นคือสติปัญญาของมนุษย์แต่สำหรับพระเจ้ายิ่งให้ออกไป..เราจะยิ่งมีมาก..ไม่มีวันหมดหรือขาดแคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราให้ในราชกิจหรือปรนนิบัติผู้รับใช้ของพระเจ้า..พระเจ้าจะอวยพรเราเหมือนหญิงม่ายคนนี้ จากนั้นในข้อที่17 พระเจ้าก็ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์ผ่านทางเอลียาห์อีก เพราะลูกของหญิงม่ายคนนี้ตาย..ตายแล้วนะ แต่เอลียาห์ก็อธิฐานขอพระเจ้าช่วยให้เด็กคนนี้กลับมีชีวิตขึ้นมา แล้วปรากฎว่าพระเจ้าก็ตอบ..เด็กคนนี้ก็ฟื้น ถือว่าพระเจ้าให้เกียรติเอลียาห์มาก เพราะสิ่งนี้เป็นเสมือนการรับรองจากพระเจ้าว่าเอลียาห์เป็นคนของพระองค์จริงๆ

ดู1พกษ.18:1-2 ผ่านไปสามปีพระคำภีร์บอกว่า..ภัยแล้งและการกันดารอาหารในสะมาเรียนั้นสาหัสมาก เพราะพระเจ้าปิดฟ้าไม่ให้ฝนตกเลย พระองค์อยากให้อิสราเอลรู้ว่า..พวกเขากำลังนมัสการพระที่ไม่มีฤทธิ์..พระบาอัลช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้ แล้วเราคิดว่าตลอดสามปีที่แล้งสุดๆเนี่ย..พวกปุโรหิตของพระบาอัลเขาจะอยู่เฉยมั๊ย..ไม่มีทาง อาหับกับเยเซเบลคงจะอัดเต็มที่ให้คนของเขาทำอะไรซักอย่าง..เหมือนบ้านเราก็มีการแห่นางแมว พวกที่เชื่อพระบาอัลเขาก็คงจะมีพิธีกรรมอะไรตามแบบของเขา..เราไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือมันไม่ได้ผล เพราะข้อที่5 อาหับสั่งลูกน้องว่า"จงไปให้ทั่วพื้นแผ่นดินไปหาธารน้ำพุ และไปให้ทั่วทุกลำธาร ชะรอยเราจะพบหญ้าและรักษาชีวิตม้าและล่อให้คงอยู่ได้ และไม่ต้องสูญเสียสัตว์ไปหมด" แปลว่า ตลอดสามปีนั้นแล้งสนิท หญ้าเขียวๆซักนิดก็ไม่มีให้เห็น อาหับถึงต้องให้คนออกไปค้นหาหญ้ามาให้สัตว์กิน อิสราเอลถูกตีหนักจริงๆทั้งคนทั้งสัตว์แทบจะตายกันหมดแล้ว จากนั้นพระเจ้าก็บอกเอลียาห์ว่าไม่ต้องซ่อนตัวละ..ให้ไปปรากฎตัวกับกษัตริย์อาหับเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง..และคราวนี้ทุกคนจะได้เห็นชัดเจนว่าใครกันแน่ “คือพระเจ้าเที่ยงแท้และมีฤทธิ์อำนาจสูงสุด”

ดู1พกษ.18:17-19 พออาหับเจอเอลียาห์..เขาพูดยังไง "นี่ตัวเจ้าหรือ เจ้าผู้ทำความลำบากให้อิสราเอล" คือ อาหับคิดว่า..เอลียาห์เป็นตัวการที่ทำให้ฝนไม่ตกเลยตลอดสามปี เพราะอาหับไม่เคยเจอเรื่องอย่างงี้มาก่อนในอิสราเอล แต่หลังจากที่เอลียาห์โผล่มาแล้วประกาศภัยแล้งอะไรต่างๆไว้เนี่ย..ฝนก็ไม่ตกอีกเลย เพราะฉะนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก..ไอนี่เป็นตัวการ..หรือเป็นกาลกิณี (ประมาณนั้น) แต่ข้อที่18 เอลียาห์ก็โต้กลับเลยว่า"ข้าพระองค์มิได้กระทำความลำบากแก่อิสราเอล แต่พระองค์นั่นแหละได้กระทำ และราชวงศ์บิดาของพระองค์ เพราะว่าพวกพระองค์ได้ทอดทิ้งพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์ และติดตามพระบาอัล เอลียาห์เถียงเลย..ว่าเขาไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ภัยแล้งนี้เกิดขึ้น แต่อาหับกับบรรพบุรุษของเขานั่นแหละที่ทำให้อิสราเอลต้องเดือดร้อน เพราะไปกราบไหว้พระบาอัล จากนั้นเอลียาห์ก็ประกาศท้าทายอาหับกับพวกปุโรหิตของพระบาอัล ให้ไปดวลกันบนภูเขาคารเมล ดวลแบบไหนดูกันต่อไป..

ดู1พกษ.18:20-21 เอลียาห์บอกให้อาหับกับคนอิสราเอลไปเผชิญหน้ากับเขาบนภ.คารเมล เพราะตอนนั้นคนอิสราเอลเขาใช้ภ.คารเมลเป็นที่ไหว้พระบาอัล หมายความว่า..เอลียาห์ท้าดวลบนถิ่นของพระบาอัลเลย แล้วไม่ใช่แค่นั้น เอลียาห์ยังบอกให้เรียกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล450คน กับผู้เผยพระวจนะของพระอาเชราห์อีก400คน ให้ขึ้นไปด้วย..ส่วนเอลียาห์จะมาคนเดียว อาหับก็รวบรวมคนอิสราเอลกับผู้เผยพระวจนะขึ้นไปตามที่เอลียาห์ท้า ทุกคนก็คงคิดว่า..เออ ดีเหมือนกันจะได้รู้กันซะทีว่าพระเยโฮวาห์กับพระบาอัล ใครกันแน่ที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ข้อที่21 บนภ.เขาคารเมล..เอลียาห์ก็พูดกับคนอิสราเอลว่า..”ท่านทั้งหลายจะขยักขย่อนอยู่อีกนานเท่าใด..” อ่านตรงนี้แล้ว น้าตุ๊กเข้าใจอารมณ์ของเอลียาห์เลย เพราะพระเจ้าก็ให้น้าตุ๊กเลี้ยงลูกแกะ (ผู้เชื่อใหม่หลายคน) แล้วบางคนก็”ขยักขย่อน”จริงๆ แล้วเราก็รำคาญ..ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ไปรำคาญเขา แต่เพราะเรารู้ว่าการขยักขย่อนระหว่างพระเจ้ากับพระอื่น..มันเป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่กว่าบาปทุกเรื่อง จุดนี้เลยเข้าใจเอลียาห์มากๆเพราะเจอเหมือนกัน จากนั้นเอลียาห์บอกต่อไปว่า “..ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าจงติดตามพระองค์ แต่ถ้าพระบาอัลเป็น ก็จงตามท่านไปเถิด” หมายความว่า ถ้าจะเลือกพระเจ้า..ก็ต้องไม่มีพระอื่น แต่ถ้าจะเลือกพระบาอัลก็ตามพระบาอัล..ตัดพระเจ้าไปเลย แล้วถ้าเดือดร้อนก็ตัวใครตัวมันละกัน..(อันนี้ น้าตุ๊กพูดเอง 555) ประมาณนั้น แต่นี่คือบุคลิกของพระเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจนทุกวันนี้ แต่ถ้าคิดให้ดีจะรู้ว่า..นี่คือบุคลิกที่การันตีความยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างแท้จริง เพราะแปลว่าเรามีพระเจ้าองค์เดียวพอแล้ว พระเจ้าใหญ่สุดแล้ว..ใหญ่มากพอที่จะดูแลเราได้ทุกเรื่อง..พระอื่นไม่ต้อง ด้วยความเคารพ ถ้าพระเจ้าไม่ช่วย..ก็อย่าหวังว่าใครจะบังอาจยื่นมือเข้ามาช่วยได้

ดู1พกษ.18:22-24 หลังจากที่มาพร้อมกันแล้ว เอลียาห์ก็บอกว่า..เอางี้ เอาวัวมาคนละตัวแล้วฆ่าเพื่อถวายบูชาแต่ไม่ต้องจุดไฟนะ..ให้อธิฐาน แล้วถ้าพระองค์ไหนส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา..พระองค์นั้นคือพระเจ้าเที่ยงแท้ ข้อที่24 บอกว่า..ประชาชนทั้งปวงก็ตอบว่า "อย่างที่พูดก็ดีแล้ว" ประมาณว่า เออดี..จะได้รู้กันไปเลย จากนั้น ข้อที่25 เอลียาห์ก็บอกว่า “ฝ่ายท่านพวกมากกว่า,,จัดไปก่อนเลย ให้เลือกวัวก่อนด้วยอยากได้ตัวไหนเอาไปเลยแล้วอธิฐานบอกพระของท่านแต่อย่าใส่ไฟ..ห้ามจุดไฟ ฝ่ายปุโรหิตของพระบาอัล450คน ก็จัดแจงฆ่าวัววางบนแท่นทำพิธีอะไรต่างๆของเขาตั้งแต่เช้าจนเที่ยงปรากฎว่า..เงียบกริบ ไม่ว่าจะโขยกเขยกกันขนาดไหนก็ไม่มีเสียงตอบจากพระบาอัล ข้อที่27 เอลียาห์บอกว่า “ร้องให้ดังกว่านี้หน่อยพระบาอัลคงไม่ได้ยิน เพราะท่านคงกำลังไปเที่ยวที่ไหนไม่รู้หรือไม่ก็หลับ หรือบางทีคงกำลังไปทุ่ง..ไปทุ่งก็คือเข้าห้องน้ำ..”คือเอลียาห์ออกแนวกวนแล้วเนี่ย เขาเริ่มเยาะเย้ยคนอิสราเอล แต่พระเจ้าก็จงใจเลือกคนบุคลิกแบบนี้..จะได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับอาหับและเยเซเบล พอคนอิสราเอลได้ยินเอลียาห์พูดอย่างงั้นก็ร้องเสียงดังขึ้นอีก แล้วก็มีการเชือดเนื้อเฉือนตัวจนเลืดไหลพุ่งออกมา..ตามธรรมเนียมของเขา ข้อที่29 บอกว่า “..พวกเขาพร่ำกันจนถึงเวลาถวายบูชา..”คือตั้งแต่เช้าจนบ่ายสาม แต่ก็ยังเงียบ..ไม่มีเสียง..ไม่มีใครตอบ..ไม่มีใครฟัง..ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เสียดายเวลาหมดแล้วค่ะ เดี๋ยวคราวหน้าเรามาต่อกัน เป็นคราวของเอลียาห์บ้าง..มาดูกันว่าพระเจ้าจะสำแดงสิ่งใดผ่านเอลียาห์ จนกว่าจะพบกันใหม่นะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น