วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่ 1อาทิตย์ที่ 17:9:2010

เด็กๆคงจำได้ว่า..หนังสือ1ซมอ.จบลงอย่างไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ เพราะพระคำภีร์เป็นเรื่องราวแห่งความจริง แล้วก็เป็นหนังสือ(เล่มเดียว)ที่มีชีวิต หมายความว่า ทุกเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในพระคำภีร์ดูเหมือน..จะยังเคลื่อนไหวอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกยุคทุกสมัย..คำว่าไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่หนังสือปัญญาจารย์บันทึกไว้ นัยน์หนึ่ง ก็คือ ทุกสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน และรวมถึงที่จะเกิดในอนาคต..ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น
แล้วเพราะพระคำภีร์เป็นเรื่องจริง..ไม่ใช่นิยาย เรื่องราวบางตอนก็เลยน่าสลดหดหู่..ไม่ประทับใจอย่างที่เราอยากให้เป็น เด็กๆจะอ่านตอนจบก่อนก็ได้ แต่ก็คงไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เนื้อหนังรู้สึกรื่นรมณ์ขึ้น เพราะพระเจ้าไม่เคยเอารางวัลฝ่ายโลกมาผูกโบว์วางไว้ เพื่อล่อใจห็เราอยากเดินตาม แต่ถ้อยคำพระเจ้าที่สำแดงแก่เราในพระคำภีร์เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ดังนั้น รางวัลหรือพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงบอกไว้จึงเป็นวิถีของจิตวิญญาณและชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องของวัตถุหรือชีวิตชั่วคราวบนโลกใบนี้
แล้วขึ้นชื่อว่า”มนุษย์”ก็มีเนื้อหนังความบาปด้วยกันทั้งนั้น สุดท้ายในหนังสือ 1ซมอ.อิสราเอลก็ต้องพินาศไปพร้อมกับ”ซาอูล”กษัตริย์ที่พวกเขาร้องขอ และนี่ก็คือ ตัวอย่างหนึ่งของความกบฎและไม่เชื่อฟัง แล้วก็ยังมีอีกหลายตัวอย่างที่เราจะได้เรียนรู้..ไม่ใช่เพื่อประนามคนที่ผิดพลาด แต่เรียนรู้เพื่อที่เราเองจะไม่หลงผิดในแบบเดียวกับเขา เรื่องราวใน2ซมอ.จะต่อเนื่องกับ1ซมอ. เพราะจริงๆในต้นฉบับภาษาฮีบรูซามูเอลเป็นหนังสือเล่มเดียว แต่คงจะยาว..ผู้แปลฉบับเซปทัวจินท์ก็เลยแบ่งเป็นสองเล่ม
1ซมอ.จบลงที่การตายของกษัตริย์ซาอูล แต่กว่าจะตายได้..ก็ยากเย็นแสนเข็ญเพราะถูกฟิลิสเตียยิงด้วยธนูหลายแห่ง แต่..ไม่ตาย (ฟังดูคล้ายๆตัวร้ายในละคร..) แม้จะพยายามล้มทับหอกตัวเองก็ไม่ตาย สุดท้ายต้องขอให้คนอามาเลขช่วยสงเคราะห์ให้ เพราะทรมานเหลือเกินแล้วแต่..ไม่ยอมตายซักที หลังจากนั้นพระคำภีร์ก็บันทึกว่า คนอิสราเอลส่วนหนึ่งที่บ้านแตกสาแหรกขาดก็หนีกระจัดกระจาย ทำให้พวกฟิลิสเตียเข้ามายึดพื้นที่บางส่วนของอิสราเอลไว้
ดู2ซมอ.1:1-3/4-5 หลังจากที่ซาอูลสิ้นชีวิต พระคำภีร์ก็ตัดไปพูดถึงดาวิด..ที่เพิ่งกลับจากการตามล่าพวกอามาเลข ยังพักได้ไม่ทันไร..ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาหาดาวิด ท่าทางเหนื่อยอ่อนเหมือนจะวิ่งมาไกล แล้วสภาพภายนอกก็ดูไม่ได้เลย เพราะข้อที่2 บอกว่า”เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น แถมมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ” เห็นแค่นี้..ดาวิดคงใจไม่ดีแล้วล่ะ เพราะลักษณะอย่างงี้มันสำแดงถึงการไว้ทุกข์ พระคำภีร์บอกว่า พอชายคนนี้เจอดาวิด..เขาก็ซบหน้าลงถึงดิน (คือ ทำเหมือนกำลังเข้าเฝ้ากษัตริย์) ดาวิดก็คง..งงๆ..ว่าทำงี้หมายความว่าไง ก็เลยถามออกไปว่า..”เจ้ามาจากไหน” ชายคนนั้นก็บอกว่า..เขาหนี”รอด”ออกมาจากค่ายของคนอิสราเอล พูดแค่นี้ก็เป็นลางไม่ดีแล้ว..เพราะไร..เขาบอกว่าเขารอด แสดงว่าก็ต้องมีที่”ไม่รอด”ด้วยใช่มั๊ย ดาวิดก็เลยร้อนใจถามต่อไปว่า”เกิดอะไรขึ้น” คนอามาเลขก็บอกว่า..อิสราเอลแพ้แล้ว ประชาชนหนีกันกระจาย ผู้คนล้มตายมากมายทั้งทหาร..ประชาชน และในจำนวนคนที่ตายนี้..ชายอามาเลขบอกว่ามีซาอูลกับโยนาธานรวมอยู่ด้วย พอดาวิดได้ยินก็ตกใจไม่อยากเชื่อ เลยย้อนถามคนอามาเลขว่า..เจ้ารู้ได้ยังไง..ว่าซาอูลกับโยนาธานตายแล้ว ไปฟังใครมาหรือมีหลักฐานอะไร ไหนว่ามาซิ..
ดู2ซมอ.1:6-7/8-10 ชายอามาเลขตอบดาวิดว่า “เขาเผอิญผ่านมาที่ภูเขากิลโบอา ก็เลยเห็นซาอูล..ยืนพิงหอกของตัวเองอยู่ สภาพพรุนไปทั้งตัวเพราะถูกยิงหลายแผล แล้วยังจะรอยดาบของตัวเองอีก..แต่ตอนนั้นซาอูลยังไม่ตาย และเมื่อเห็นเขาเดินมา ซาอูลก็เรียกแล้วถามว่าเขาเป็นใคร..เขาก็ตอบว่า “ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข” พอได้ยินว่าเป็นคนอามาเลข ซาอูลก็บอกว่า..ให้ช่วยฆ่าเขาที.. เด็กๆจำได้มั๊ยว่าก่อนหน้านี้ซาอูลได้ขอร้องให้ทหารคนสนิทช่วยฆ่าเขาทีนึงแล้ว แต่ทหารคนนั้นไม่ยอมทำ ( 1ซมอ.31:4 )เพราะอะไร..เขาเป็นคนอิสราเอล..แล้วอิสราเอลทุกคนไม่กล้าแตะต้องซาอูลไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะซาอูลคือ”คนที่พระเจ้าทรงเจิม” และถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่พระเจ้าเจิมเนี่ย..ก็ห้ามมนุษย์หน้าไหนแตะต้องเขาเด็ดขาด ไม่ว่าคนที่ถูกเจิมไว้นั้นจะทำผิดบาป..นิสัยแย่แค่ไหน หรือจะอยู่ในสภาพยังไง ก็ต้องปล่อยให้พระเจ้าจัดการเขาเอง ดังนั้น พอได้ยินว่าเป็นคนอามาเลขปุ๊บ ซาอูลก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เพราะถึงคนอิสราเอลจะไม่กล้าทำ แต่คนต่างชาติน่าจะช่วยได้ ซาอูลเลยรีบบอกให้ชายอามาเลขช่วยฆ่าเขาให้ตายที..
ข้อที่9 ซาอูลพูดว่า..”เราระเหี่ยใจมาก แต่ชีวิตของเรายังอยู่” พูดง่ายๆก็คือ หมดอาลัยตายอยากแล้ว เพราะมันเจ็บแทบตาย แต่ยังไม่ตายซักที (ในชีวิตจริง บางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมพระเจ้าเอาคนนั้น คนนี้ไปเร็วจัง แต่จริงๆแล้ว..ที่อยากตายแล้วไม่ให้ตายก็มี..แล้วเยอะด้วยไม่ใช่น้อย)
ข้อที่10 คนอามาเลขบอกว่า..เขาเลยช่วยสนองความต้องการให้..ด้วยการฆ่าซาอูลซะ..แถมถอดมงกุฎกับกำไรไว้เป็นหลักฐาน..แล้วก็วิ่งรี่เอามาให้ดาวิด
เรื่องราวโดยสรุปก็คือ ชายอามาเลขคนนี้ บังเอิญไปเจอซาอูลนอนรอความตายอยู่ ซาอูลเลยก็เลยขอให้ช่วยฆ่าเขาที ชายคนนี้คงบวกลบคูณหารแล้ว..ก็คิดว่า ถ้าเขาจะฆ่าซาอูลก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะตอนนี้ซาอูลก็ใกล้ตายเต็มที แต่สิ่งที่ชายอามาเลขคนนี้คิดไม่ถึงก็คือ การพรากชีวิตของคนอื่น..ไม่ว่าจะแค่วินาทีเดียว มันก็ถือเป็นการฆาตกรรมเหมือนกัน ไม่แค่นั้น..พอฆ่าซาอูลแล้ว ก็ยังคิดว่าดาวิดต้องพอใจในสิ่งที่เขาทำแน่ๆ ก็เลยวิ่งแจ้นไปหาเพื่อจะเอาหน้า ประมาณว่า..ข้ามาพร้อมข่าวดี (แต่ปัญหาก็คือ ดาวิดจะเห็นว่าเป็นข่าวดีด้วยรึเปล่า..เท่านั้นเอง)
ดู2ซมอ.1:11-14 พอดาวิดรู้แน่ว่าซาอูลกับโยนาธานตายแล้ว ข้อนี้บอกว่า..ดาวิดฉีกเสื้อผ้าตัวเองทันที..เพราะไร เสียใจมาก..ร้องไห้คร่ำครวญแล้วก็ไว้ทุกข์ให้กับซาอูล โยนาธาน รวมถึงพี่น้องอิสราเอลที่ตายในสนามรบด้วย สรุปแล้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีของดาวิดเลย การตายของซาอูลกับโยนาธานไม่ใช่ข่าวดีที่จะนำความรื่นรมณ์มาให้ดาวิดอย่างที่คนอามาเลขคิดไว้ ข้อที่12 บอกว่า..พวกเขาไว้ทุกข์ อดอาหาร แล้วก็ร้องไห้กันเป็นการใหญ่ ต่อจากนั้น ดาวิดก็หันมาเคลียอะไรบางอย่าง
ดาวิดถามชายอามาเลขซ้ำอีก..ว่าเจ้าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงกล้าฆ่า”คนที่พระเจ้าเจิมไว้” ดาวิดคงไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมถึงกล้าทำ เพราะกี่ครั้งแล้วที่ดาวิดปฏิเสธไม่ยอมฆ่าซาอูล แล้วก็ไม่ยอมให้ลูกน้องฆ่าด้วย (ถ้าเด็กๆจำได้ ดาวิดมีโอกาสตั้งหลายครั้ง ทั้งตอนที่ซาอูลเข้าไปปลดทุกข์ในถ้ำ กับตอนที่ย่องฝ่าวงล้อมทหารเข้าไปจนถึงตัวซาอูล แต่กลับเอาแค่หอกกับเหยือกน้ำติดมือมา ทั้งสองครั้ง..โอกาสอำนวยมากแล้วลูกน้องของดาวิดก็อยากฆ่าซาอูลมาก แต่ดาวิดก็ปฏิเสธ..ห้ามใครแตะต้องซาอูลเด็ดขาด เขาถึงได้ถามคนอามาเลขย้ำแล้วย้ำอีก..ว่าเจ้าเป็นใคร ไม่ได้อยากรู้จริงๆหรอกว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ถามแบบมีนัยน์ว่า..แกเป็นใครทำไมถึงกล้าทำ อีกอย่างถ้าyouเป็นคนอามาเลข แล้วเข้าไปทำอะไรในค่ายของกษัตริย์อิสราเอล มาถึงตอนนี้ ชายอามาเลขคงเริ่มรู้สึกเสียวสันหลัง เขาแก้ตัวกับดาวิด..ว่าเขาเป็นลูกของคนต่างด้าว แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร หรือฆ่าซาอูลเพราะอะไร เขาก็ไม่พ้นข้อหา..บังอาจฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้อยู่ดี
ดู2ซมอ.1:15-16 “ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้าเองก็รับผิดชอบ เพราะปากเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเองว่า..ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้” ด้วยความภูมิใจด้วยนะ..เพราะคิดไปเองว่าดาวิดต้องเห็นซาอูลเป็นศัตรูแน่ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาฆ่าซาอูล..ดาวิดน่าจะดีใจ แถมตบรางวัลให้เขาด้วย เราถึงได้เห็นภาพเขาวิ่งโล่มาหาดาวิดพร้อมหลักฐานในมือ (คือ มงกุฎกะกำไร) พอมาถึงก็ก้มกราบตามแบบที่ทำกับกษัตริย์..ตั้งใจจะประจบเต็มที่
แต่ถึงตอนนี้รู้แล้วว่า..ตัวเองคิดพลาดไป เพราะดาวิดไม่ได้ดีใจกับการตายของซาอูลเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม..ดาวิดเสียใจอย่างหนัก ไม่ว่าซาอูลจะเคยทำให้ดาวิดลำบากขนาดไหน หรือจะชั่วร้ายเคยทำบาปมากมาย..ทั้งฆ่าปุโรหิต ไปหาคนทรง หรือชายอามาเลขอาจจะอ้างว่าตอนไปเจอซาอูล..เขาก็จะตายอยู่แล้ว” ไม่ฆ่า เดี๋ยวก็ตายอยู่ดี ..แต่ความจริงก็คือ ซาอูลแค่ ”ใกล้ตาย” แปลว่า ยังไม่ตาย และ you ก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องหรือช่วยให้เขาตายเร็วขึ้น..แม้แต่วินาทีเดียว เพราะฉะนั้น ในข้อที่15 ดาวิดเลยสั่งให้ลูกน้องคนนึงฆ่าชายอามาเลขทิ้งซะ ข้อหา..บังอาจฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้
มาถึงตรงนี้เลยทำให้เราเห็นภาพ..ว่าการปฏิเสธหรือต่อต้านผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเนี่ย..มันเป็นความผิดบาปที่ค่อนข้างร้ายแรง เด็กๆคิดดู ขนาดซาอูลที่นิสัยไม่ค่อยดี ชอบทำบาปอยู่เรื่อย..พระเจ้ายังไม่ให้ใครแตะต้องเขาเลย เพราะถึงยังไงเขาก็คือ"คนที่พระเจ้าเจิมไว้" แล้วถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ล่ะ พระเยซูคริสต์ คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ให้ปกครองอยู่นิรันดร์ ถ้าคนที่ปฏิเสธ..ต่อต้านหรือฆ่าซาอูลยังโดนขนาดนี้ แล้วพอจะนึกออกมั๊ย..ว่าคนที่ปฏิเสธ..ต่อต้าน รวมถึงลงมือฆ่าพระเยซูจะโดนหนักขนาดไหน (ไม่อยากจะนึกภาพเลย) พระคำภีร์ข้อนี้ทำให้เรายิ่งแน่ใจ..ว่าใครก็ตามที่ปฎิเสธพระเยซู จะต้องรอรับพระอาชญาที่หนักหนากว่าชายอามาเลขคนนี้หลายล้านๆเท่า..แน่นอน
ถ้อยคำที่ดาวิดคร่ำครวญถึงการจากไปของซาอูลและโยนาธาน (ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ คำไว้อาลัยในงานศพของซาอูล)
ดู2ซมอ.1: 17-20/21-22 จริงๆแล้วการกล่าวคำไว้อาลัยให้คนตายไม่ใช่เรื่องยากถ้า..ผู้ตายเป็นคนดี มีความดีให้ผู้คนนึกออกมากมาย คือพอพูดถึงคนนี้ปุ๊บ..ภาพด้านบวกก็เกิดขึ้นเลยโดยไม่ต้องคิดนาน แต่ถ้าต้องนึกนาน..ว่าจะพูดยังไงดีถึงจะดูเป็นการให้เกียรติคนตาย แสดงว่า..คิดไม่ออก เพราะผู้ตายคงไม่ค่อยมีส่วนดีให้พูดถึงซักเท่าไหร่ การกล่าวสุนทรพจน์หรือคำไว้อาลัยของงานนั้นก็จะเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที..แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับดาวิด
ข้อที่18 ดาวิดบอกกับคนอิสราเอลว่า..ให้สอน”คำคร่ำครวญ” นี้แก่ชาวยูดาห์
นี่คือ การกระทำที่น่ายกย่องมากๆของดาวิด เพราะอะไร ยูดาห์ เป็นวงศาคณาญาติของ “ดาวิด” ไม่ใช่เผ่าของซาอูล ส่วนซาอูลเป็นคนเผ่า”เบนยามิน” แน่นอนซาอูลเป็นกษัตริย์ แต่ใครๆก็รู้ว่า..เดี๋ยวดาวิดก็จะเป็นกษัตริย์แทนซาอูล เพราะพระเจ้าทรงเจิมไว้ เรื่องนี้..ดาวิดเองก็รู้ แต่ความต่างก็คือ ซาอูลเป็นกษัตริย์ที่ชอบรำเลิกบุญคุณกับพี่น้องเผ่าเดียวกัน เขาเคยพูดประมาณว่า ถ้าไม่มีเขา..คนเบนยามินไม่มีทางได้อยู่ดีกินดีอย่างที่เป็น ความหมายก็คือ ห้ามเห็นคนอื่นดีกว่าชั้นเพราะชั้นมีบุญคุณ เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะยอมให้คนเบนยามินยกย่องสรรเสริญคนอื่นอ่ะ..อย่าหวัง แต่ดาวิดไม่ใช่..ดาวิดสั่งให้สอนคำคร่ำครวญของเขาให้ลูกหลาน "ยูดาห์" ฟัง..ใจกว้างมาก เขาให้เกียรติซาอูลกับโยนาธานด้วยใจจริง ยกให้เป็นวีรบุรุษตัวจริง แล้วไม่ได้เป็นแค่วีรบุรุษของคนเผ่าเดียว..แต่ยกให้เป็นวีรบุรษของประเทศอิสราเอลเลย
ในตอนท้ายของข้อที่ 18 บอกว่า..ดูเถิดคำคร่ำครวญนั้นบันทึกไว้ในหนังสือ ”ยาชาร์” หนังสือยาชาร์คืออะไร พระคำภีร์เคยพูดถึงหนังสือยาชาร์นี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ดูโยชูวา10:12-13
ข้อนี้บอกว่า..เรื่องที่พระเจ้าทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หยุดนิ่งอยู่เป็นเวลาประมาณหนึ่งวันตามคำร้องขอของโยชูวา เรื่องนี้ก็ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ”ยาชาร์”เหมือนกัน หนังสือยาชาร์ คือ หนังสือของชาวยิวที่ใช้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆในสมัยพระคำภีร์เดิม บางตอนของหนังสือยาชาร์น่าสนใจมาก ก็เลยถูกยกมาพูดถึงบ้างในพระคำภีร์เดิม แต่หนังสือยาชาร์ไม่ได้ถือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ก็เลยไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในไบเบิ้ล
ดูต่อ2ซมอ.1:23-24/25-27 ข้อที่23 ดาวิดคร่ำครวญว่า..”ซาอูลและโยนาธานเป็นที่รักและน่ารัก..” ดาวิดพูดเพราะมากๆ ใช้คำอ่อนหวานมากในการพูดไว้อาลัยให้ทั้งคู่ “ทั้งสองเร็วกว่านกอินทรีย์ และแข็งแรงกว่าสิงห์ บุตรีอิสราเอลเอ๋ย..จงร้องไห้เพื่อซาอูล..”ดาวิดต้องการจริงๆที่จะให้คนอิสราเอลจดจำความดีของซาอูลกับโยนาธาน ดาวิดไม่ได้พูดคำไว้อาลัยแบบพอเป็นพิธีหรือขอไปที แต่เจตนาที่จะให้คนอิสราเอลสอนลูกหลานให้ยกย่องซาอูลกับโยนาธานเป็นวีรบุรุษ เพราะฉะนั้น แบบอย่างของดาวิดที่เราต้องจำไว้ในข้อนี้ก็คือ..ไม่ช่างจดจำความผิดของคนอื่น แล้วการเป็นคนจริงใจและสัตย์ซื่อก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกรื่อง น้าตุ๊กอยากสอนเรื่องนี้มาก เรามาดูข้อพระคำภีร์ที่สอนเกี่ยวกับการพูดกันซักนิดนึง
ปญจ.10:12-14 สภษ.10:8/10:14/13:3/15:2/18:6-7
ข้อพระคำภีร์ทั้งหมดนี้สอนเราว่า “ผู้ที่มีสติปัญญาในทางพระเจ้าจะเลือกพูดแต่"สิ่งที่ควรพูด" และ"ในเวลาที่ถูกที่ควรด้วย" เรื่องบางเรื่องไม่ต้องพูดเลยก็ได้ อย่ามาอ้างว่า..ก็พระคำภีร์สอนให้เราเป็นคนสัตย์ซื่อ เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นความจริงชั้นต้องพูดทั้งหมด..ไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้สอนอย่างงั้น โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัลหรือในที่สาธารณะ..เราต้องไม่พูดเรื่องที่จะทำให้คนอื่นเสียหาย หรือพูดอะไรที่ทำให้เขาอาย คิดซะก่อน..คิดให้เยอะๆเวลาที่จะพูดถึงคนอื่นเนี่ย.. แล้วถ้าจำเป็นต้องเตือนพี่น้องที่ทำผิด เราควรจะทำยังไง..พระเจ้าสอนยังไง ไปดูตัวอย่างจากดาวิดใน 1ซมอ.24:8-9/10 1ซมอ.26:17-18
เท่าที่เราเห็นทั้งหมดใน 1ซมอ.ที่เรียนจบไปแล้วเนี่ย..ไม่มีซักคำที่ดาวิดบ่น..ว่า หรือพูดนินทาซาอูลให้คนอื่นฟัง แต่ทุกครั้งที่เหลืออดหรือข้องใจในสิ่งที่ซาอูลทำกับเขา..ดาวิดจะพูดต่อหน้า ถามซาอูลตรงๆตัวต่อตัว แล้วที่สำคัญท่าทีที่พูดกับซาอูลทุกครั้งดาวิดถ่อมสุภาพตลอด พระคำภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่า..เวลาที่ต้องประจัญหน้ากับซาอูลเพื่อที่จะพูดกับเขาตรงๆอ่ะ ..ดาวิดถ่อมสุดๆเลย...เขาจะก้มกราบซาอูลถึงดิน แล้วแต่ละคำที่เขาเรียกซาอูลก็ให้เกียรติเต็มที่..เสด็จพ่อมั่ง..พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทมั่ง ไม่เคยเลยที่จะโกรธซาอูลแล้วพูดจาไม่สุภาพ หรือถือว่าเขาผิดแต่ตัวเองถูกแล้วจะพูดยังไงก็ได้..ไม่เคย เนี่ย..ดาวิด แบบอย่างที่เราต้องทำตาม เราไปดูคำสอนของพระเยซูคริสต์ในพระคำภีร์ใหม่กันบ้างว่า..หัวใจสำคัญในการที่เราจะเตือนผู้ที่ทำผิด คืออะไร
ดูกาลาเทีย 6:1-2 ต้องพูดกับเขาด้วยความรัก หวังดีอย่างจริงใจ เด็กๆต้องอธิฐานก่อน..ขอพระเจ้าชันสูตรหัวใจของเราว่าเราเตือนเขาด้วยความรักจริงรึเปล่า เราจริงใจกับเขาจริงๆมั๊ย ถ้าไม่จริง..ก็ไม่ต้องเตือน ไม่ต้องพูดเลยดีกว่า เพราะมันจะไม่มีประโยชน์เลย แล้วไม่ใช่จะถือโอกาสตำหนิคนที่ทำผิดโดยไม่อธิฐานและไม่ชันสูตรใจตัวเองให้ดี เพราะหมั่นเขี้ยวเขามานานแล้ว ก็เลยอ้างว่า..พระคำภีร์บอกต้องไม่ยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด เพราะฉะนั้น ชั้นเลยได้โอกาสชี้หน้าว่าเขาซะเลย ทำอย่างงี้..ไม่ได้ ที่สำคัญต้องพูดกับเขาด้วยใจอ่อนสุภาพเหมือนที่ดาวิดทำกับซาอูล ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไร..จำไว้..ว่ายังไงเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวร้าว..หยาบคาย หรือชี้หน้าว่าเขา มีสุภาษิตฝรั่งอันนึงบอกว่า “วิธีพูดสำคัญพอๆกับสิ่งที่เราจะพูด” เพราะฉะนั้น ถ้าจำเป็นต้องเตือนกันก็เอาอย่างดาวิด ที่สุภาพแล้วก็ให้เกียรติซาอูลตลอด ไม่ว่าซาอูลจะร้ายกับเขาแค่ไหน ดาวิดก็มีความเชื่อมากพอ..ที่จะไม่ทำการร้ายตอบแทนการร้าย เพราะดาวิดทำดีถวายพระเจ้า ไม่ได้ทำเพราะต้องการบำเน็จจากมนุษย์ นี่คือ หลักการสำคัญที่ทำให้ดาวิดสามารถดำเนินอยู่บนความชอบธรรมในจุดนี้ได้ ดังนั้น คำไว้อาลัยที่ดาวิดพูดไว้ในบทนี้ เราเชื่อได้แน่นอนว่า..ดาวิดพูดจากใจ..จริงจังแล้วก็ไม่ได้ฝืน เพราะวิธีที่เขาปฏิบัติกับซาอูลอย่างเสมอต้นเสมอปลายนั้น เป็นพยานและทำให้เราเชื่อได้..ว่าดาวิดรักและให้เกียรติซาอูลจริงๆ
น้าตุ๊กฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น