วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บททดสอบหนังสือโยชูวา

“ทุกๆตำบลถิ่นที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง

เราได้ยกให้แก่เจ้าทั้งหลาย ดังที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส” ยชว.1:3

เลือกคำตอบที่ถูกต้อง

1.เด็กๆคิดว่า เพราะเหตุใดโยชูวาจึงได้เป็นผู้นำของอิสราเอลต่อจากโมเสส

ก.เพราะกล้าหาญและเข้มแข็ง ข.เพราะติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ค.เพราะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับโมเสส

2.จุดประสงค์ที่สำคัญของหนังสือโยชูวาคือข้อใด

ก.ชัยชนะในแผ่นดินคานาอันของอิสราเอลขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและเข้มแข็ง

ข.อิสราเอลได้รับชัยชนะในแผ่นดินคานาอันเพราะรู้จักอดทนและรอคอย

ค.ชัยชนะในแผ่นดินคานาอันของอิสราเอลขึ้นอยู่กับความเชื่อฟังและวางใจในพระเจ้า

3.พระเจ้าทรงกำหนดชัยชนะและความสำเร็จไว้ให้แล้ว แต่พระองค์จะทรงเว้นช่องว่างหรือบางขั้นตอนไว้ให้เราทำเองหรือกล้าที่จะเดินผ่านสถานะการณ์แย่ๆได้ด้วยตัวเองเพราะอะไร

ก.พระองค์ไม่ต้องการให้เราสุขสบายจนเกินไป ข.พระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้การเป็นผู้นำ

ค.พระองค์ต้องการให้จิตวิญญาณของเราเติบโต

4.เด็กๆคิดว่า คนสองเผ่าครึ่ง (กาด รูเบน มนัสเสห์ครึ่งเผ่า) เลือกที่จะอยู่ทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดนเพราะอะไร

ก.เพราะเห็นแก่ความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนนั้น ข.เพราะเสียสละดินแดนฝั่งคานาอันให้พี่น้อง

ค.เพราะเบื่อหน่ายการทำศึกสงครามและการรบ

5.ทำไม”ราหับ”จึงช่วยเหลือผู้สอดแนมของอิสราเอล

ก.เพราะเห็นแก่สินบน ข.เพราะราหับเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล ค.เพราะราหับเป็นคนอิสราเอล

6.ภาพชีวิตของราหับให้ข้อคิดอะไรแก่เรา

ก.ผู้ที่ทำความดีจะได้รับความรอด ข.ผู้ที่ยอมลำบากจะได้รับความรอด ค.ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับความรอด

7.”ด้ายสีแดง” ที่ผู้สอดแนมให้ราหับผูกไว้ที่หน้าต่าง มีความหมายเดียวกันกับสิ่งใด

ก.เลือดแกะวันปัสกา ข.โลหิตของพระคริสต์ ค.ถูกทั้งก.และข.

8.ข้อใดเป็นการสำแดงจากพระเจ้า เพื่อให้คนอิสราเอลยอมรับโยชูวาเป็นผู้นำ

ก.การที่น.จอร์แดนแห้งไป ข.การที่กำแพงเยรีโคถล่ม ค.การที่ทูตของพระเจ้ามาปรากฎ

9.ศิลาที่วางเป็นอนุสรณ์ “อยู่ใต้น้ำ” (ในบทเรียนของเรา) มีความหมายเล็งถึงสิ่งใด

ก.ความเชื่อและไว้วางใจที่เรามีต่อพระเจ้า ข.ชัยชนะเหนือแผ่นดินคานาอันของคนอิสราเอล

ค.การรอคอยในแผ่นดินคานาอันของคนอิสราเอล

10.การเข้า “สุหนัต” ตามพระบัญชาของพระเจ้า ท่ามกลางสถานการณ์การรบของคนอิสราเอลนั้น ให้ข้อคิดอะไรแก่เรา

ก.ในขณะที่มนุษย์ต้องเร่งรีบ แต่พระเจ้าทรงมีอิสระในการใช้เวลา

ข.ในขณะที่มนุษย์จดจ่อที่สถานการณ์ฝ่ายโลก แต่พระเจ้าทรงชี้นำความสำคัญฝ่ายวิญญาณ

ค.ถูกทั้งก.และข.

11.เมื่อคนอิสราเอลเดินวนรอบเมืองเยรีโคและโห่ร้องพร้อมกันในวันที่เจ็ด กำแพงเมืองเยรีโคก็พังราบลง เด็กๆคิดว่าหัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้คือข้อใด

ก.วิธีการเดินและการโห่ร้องของคนอิสราเอล ข.ความเชื่อฟังพระเจ้าของคนอิสราเอล

ค.สภาพภูมิอากาศและปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ

12.เพราะเหตุใด “ความกลัว” จึงเป็นบาป

ก.เพราะหมายถึงเราไม่เข้มแข็ง ข.เพราะหมายถึงเราไม่ไว้วางใจพระเจ้า ค.เพราะจะทำให้เราไม่เติบโต

13.พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ใด ที่ทรงบัญชาให้โยชูวาตัดเอ็นน่องม้าและเผารถรบที่ยึดได้จากชาว คานาอันทิ้งไป (ยชว.11:6)

ก.เพื่อไม่ให้อิสราเอลหันไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้แทนพระเจ้า ข.เพื่อเป็นการประกาศชัยชนะของอิสราเอล

ค.เพื่อเป็นการตัดกำลังและข่มขวัญศัตรู

14.นอกจากเมืองกิเบโอนแล้ว เหตุไรจึงไม่มีเมืองใดในคานาอันได้ทำสัญญาไมตรีกับอิสราเอลเลย

ก.เพราะเมืองต่างๆคิดว่าจะสามารถเอาชนะอิสราเอลได้ เพราะอิสราเอลเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนเล็กๆ

ข.เพราะอิสราเอลได้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์และประกาศสงครามกับชาวคานาอันทุกหมู่เหล่า

ค.เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้จิตใจของชาวคานาอันแข็งกระด้าง เพื่อที่เมืองเหล่านี้จะถูกอิสราเอลทำลาย ....จนสิ้นซาก

15.เด็กๆคิดว่าแท้จริงแล้ว”คาเลบ”สามารถเอาชนะและยึดเมืองของคนอานาคได้เพราะเหตุใด (ยชว.14:10-15/ 15:13-14)

ก.เพราะคาเลบยังมีเรี่ยวแรงกำลังเหมือนคนหนุ่ม ข.เพราะคาเลบเชื่อและวางใจในพระเจ้า

ค.เพราะคาเลบมีประสบการณ์ทางการรบ

16.จากหนังสือยชว.17:14-18 ข้อใดกล่าวถึงคนเผ่าเอฟราอิมได้อย่างถูกต้อง

ก.ไม่พอใจในส่วนแบ่งแต่วางใจในพระเจ้า ข.ไม่พอใจในผู้นำแต่วางใจในพระเจ้า

ค.ไม่พอใจในส่วนแบ่งและไม่วางใจในพระเจ้า

17.เด็กๆคิดว่าเพราะอะไรกระดูกของโยเซฟจึงได้ถูกนำกลับมาฝังที่คานาอัน

ก.เพราะโยเซฟมีความเชื่อ ข.เพราะโยเซฟมีคุณความดี ค.เพราะโยเซฟมีชื่อเสียง

18.หัวใจสำคัญของชัยชนะในแผ่นดินคานาอันคือข้อใด

ก.เข้มแข็งและกล้าหาญ ข.อดทนและรอคอย ค.สัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระเจ้า

19.ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดคืออะไร

ก.อาวุธและเกราะป้องกันจิตวิญญาณของคริสเตียน

ข.การสวมทับจิตวิญญาณด้วยชีวิตและชัยชนะในองค์พระเยซูคริสต์ ค.ถูกทั้งก.และข.

20.คริสเตียนจะได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อไหร่

ก.ทันทีที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ข.ทันทีที่ได้เรียนพระคำภีร์ ค.ทันทีที่ได้รับบัพติศมาด้วยน้ำ

21.วีธีที่เราจะสามารถ”เอาความจริงคาดเอว”อยู่เสมอ คือข้อใด

ก.ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ ข.รับบัพติศมา ค.ภาวนาใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า

22.”ทับทรวง”ที่พระเจ้าประทานให้คือข้อใด

ก.ความชอบธรรม ข.ความรอด ค.ข่าวประเสริฐ

23. ข้อใดคือฤทธิ์อำนาจของ“รองเท้าแห่งสันติสุข”ที่พระเจ้าประทานให้

ก.เราสามารถมีสันติสุขท่ามกลางปัญหา

ข.เราสามารถหาทางออกให้กับทุกปัญหา ค.ถูกทั้งก.และข.

24.”ความเชื่อที่มั่นคง” เปรียบได้กับยุทธภัณฑ์ในข้อใด

ก.ทับทรวงที่สวยงาม ข.โล่ที่แข็งแรง ค.ดาบที่คมกริบ

25.ยุทธภัณฑ์ข้อใดที่หมายถึง “ ถ้อยคำพระเจ้า”

ก.โล่และรองเท้า ข.หมวกและทับทรวง ค.เข็มขัดและดาบ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

จบหนังสือโยชูวาไปแล้วเด็กๆได้แง่คิดอะไรกันบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นถึงความเชื่ออันมั่นคงของโยชูวาและคาเลบที่วางใจในพระเจ้าและเดินตามพระองค์อย่างสุดใจ เพราะฉะนั้นอยากให้เด็กๆเรียนรู้ที่จะยึดความเชื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเราบ้าง เพราะแท้จริงแล้วเราทุกคนที่อยู่ในยุคพระคุณนั้น มียุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้เรามั่นคงอยู่บนทางของพระเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็น วันนี้น้าตุ๊กก็เลยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาสอนย้ำให้เด็กๆอย่าลืมว่า เรามีเกราะป้องกันและอาวุธที่พระเจ้าประทานให้ อยู่ติดตัวพวกเราทุกคนตลอดเวลา ทีนี้ มาดูกันว่ายุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า คืออะไร และมีไว้เพื่ออะไร

ดูเอเฟซัส 6:10-12 คือเกราะป้องกันและอาวุธที่คริสเตียนจำเป็นต้องมีและใช้ให้เป็นเพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทันและสามารถป้องกันการคุกคามของมาร ทีนี้ เกราะหรือศาสตราอาวุธที่เราพูดถึงนั้นมันคืออะไร ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายแท้จริงแล้วการสวม“ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า” ก็คือ การสวมทับหรือการประดับจิตวิญญาณของเราด้วยชัยชนะหรือพระคุณของพระเยซูคริสต์

แล้วเราได้รับยุทธภัณฑ์ของพระเจ้านี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูกาลาเทีย 3:26-29

“เพราะท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ คนที่บัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้วก็จะ สวมชีวิตพระคริสต์ บัพติศมาในพระคริสต์หมายถึง “คนที่รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ” ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เราเคยเรียนกันไปแล้วว่า ในยุคพระคุณของพระเยซูคริสต์นั้น ทุกคนที่รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จะได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันที ทันทีเลย ไม่เกี่ยวกับการบัพติศมาด้วยน้ำ เพราะการบัพติศมาด้วยน้ำนั้นเป็นเครื่องหมายที่แสดงออกทางภายนอกถึงความเชื่อของเรา เหมือนเราสวมแหวนแต่งงานเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้ทุกคนเห็นว่า “เราแต่งงานแล้ว” แต่ถึงเราไม่สวมเราก็คือคนที่มีคู่แล้วอยู่ดี เพียงแต่คนอื่นอาจจะไม่รู้ ส่วนการได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นคือ การที่เราได้สวมชีวิตของพระคริสต์ไว้ในจิตวิญญาณของเรา ตั้งแต่วันแรกที่เราต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา หรือพูดง่ายๆว่า เมื่อเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ พระองค์ก็ได้สถิตอยู่ในใจของเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนั้นเราก็ได้รับฤทธิ์อำนาจแห่งชัยชนะบนไม้กางเขนของพระองค์มาด้วย เราจึงมีอาวุธและเกราะป้องกันจิตวิญญาณให้ปลอดภัยจากการคุกคามของมาร

สรุปแล้วก็คือ เราได้รับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้ามาตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู แต่บางคนอาจจะไม่รู้ ก็เลยไม่เคยหยิบมาใช้............ส่วนคำว่า”พญามาร”ฟังดูแล้วอาจจะออกแนวแฟนตาซีไปหน่อย จริงๆแล้วมารคืออะไร

ดู 2โครินธ์ 10:3 ข้อนี้อ.เปาโลบอกว่า อาวุธของพระเจ้าก็เพื่อทำลายเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น สรุปแล้วมารคืออะไร มารก็คือ อะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามหรืออยู่คนละฝ่ายกับพระเจ้า มารจะเป็นตัวขัดขวางและพยายามทุกวิถีทางที่จะดึงเราให้หลุดไปจากทางของพระเจ้า ร้ายสุดคือตัวที่อยู่ในความคิดของเรา เพราะมารจะทำลายเราได้ก็ต่อเมื่อความเชื่อของเราสั่นคลอน มันเลยมักจะคอยหาช่องกัดกินความคิดของเรา คอยให้เหตุผลผิดๆ ใส่ความคิดผิดๆ เพื่อที่เราจะได้สงสัยหรือไม่แน่ใจในถ้อยคำของพระเจ้า เพราะนั่นคือวิธีที่จะทำให้จิตวิญญาณของคริสเตียนอ่อนแอลง และสุดท้ายก็อาจจะหลุดออกไปจากทางของพระเจ้า (แล้วมันก็...บิงโก)

อีกตัวที่ชั่วร้ายไม่แพ้กัน อยู่ในเนื้อหนังของเราเอง ก็คือ กิเลส ตัณหา ความเย่อหยิ่ง ความอิจฉาริษยา หรือความโลภในทุกๆทาง ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหลายทั้งปวง

.......ส่วนลำพังพวกภูติผี ปีศาจ ประเภทผีหลอกวิญญาณหลอน หรือบรรดาไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี ถามว่าพวกนี้ใช่มารมั๊ย ใช่! แต่พวกนี้ไม่เท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วมันทำอะไรเราไม่ได้ แค่มันรู้ว่าเราเป็นคนของพระเจ้า มันก็ไม่อยากยุ่งแล้ว (อันนี้ คือเรื่องจริง) เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจ เพราะว่ามันไม่ค่อยมาสร้างปัญหาให้เราเท่าไหร่ (นอกจากเราจะไปอยากรู้อยากเห็นและเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันเอง หรือกลัวมันไปเอง)

ดังนั้น การเรียนที่จะรู้จักใช้ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า ก็เลยเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคริสเตียนทุกคน เพราะว่าเรื่องของฝ่ายวิญญาณหรือสงครามฝ่ายวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า ถ้าไม่รู้จักแยกแยะหรือใช้ให้ถูกกาละเทศะ หลายคนก็มักจะยุ่งกับมันมากเกินไป จนทำให้ไปยึดติดกับเรื่องฤทธิ์เดชหรือปาฏิหารย์ และความเชื่ออาจจะผิดเพี้ยนได้ ซึ่งมันไม่ใช่เพราะโลกนี้ยังไม่ได้เป็นเวลาของเรื่องฝ่ายวิญญาณเพียงอย่างเดียว

ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้ามีอะไรบ้าง ดูเอเฟซัส 6:14-17

สิ่งแรกพระคำภีร์บอกไว้ว่า “เอาความจริงคาดเอว” เพราะฉะนั้นยุทธภัณฑ์แรกของคริสเตียนคือ “เข็มขัด” นักรบสมัยโบราณคาดเข็มขัดเพื่อพกอาวุธให้ครบมือ ในข้อ๑๔บอกว่า”เอาความจริงคาดเอว” แล้วอะไรคือความจริง

เปิดไปดู ยอห์น 17:17 “ พระวจนะของพระเจ้า คือความจริง” เพราะฉะนั้นอาวุธแรกของเรานั้นอยู่ใน ถ้อยคำพระเจ้า และหลายๆครั้งความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า มักจะช่วยให้เราผ่อนคลายหายเหนื่อย ทั้งจากความบาป ความกลัว ความวิตกกังวลทั้งหลายทั้งปวงที่โลกหยิบยื่นให้เราไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรฐกิจเงินทอง โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ หรือภัยธรรมชาติ ที่เราได้รับรู้มามันก็คอยแต่จะบิ๊วท์ให้เราอยู่ไม่สุข แต่ขอบคุณพระเจ้าที่คริสเตียนมีถ้อยคำของพระเจ้าเป็นความจริง ที่จะทำให้เราไม่กลัวแล้วก็อยู่ได้อย่างมั่นคงและสงบเย็น เช่น เมื่อไหร่ที่เราตกงาน หรือถูกผลกระทบจากภาวะที่เศรฐกิจไม่ดีที่ กลัวว่าจะไม่มีกินเราก็เปิดไปดูพระคำสดุดี 23:1-2 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ” แปลว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง และคำว่าพระองค์ทรงให้เรานอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด ก็หมายถึง พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราอย่างดีไม่ใช่เลี้ยงแบบขอไปที แต่แกะของพระองค์จะได้กินหญ้าที่เขียวสดอยู่เสมอและไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปด้วย เพราะคำว่า “ริมน้ำแดนสงบนั้น” โดยส่วนตัวแล้วน้าตุ๊กคิดว่ามันไม่ได้หมายถึงอาณาจักรสวรรค์เพียงอย่างเดียว เพราะคำนี้ยังทำให้น้าตุ๊กนึกถึงความมีสันติสุขในใจและได้กลิ่นของความสงบเย็นท่ามกลางความวุ่นวายและร้อนระอุของโลกใบนี้อีกด้วย

......หรือเมื่อไหร่ที่เราป่วยไข้ สมมติว่าเป็นหวัด2009 เอาล่ะสิ บางคนก็บอกเป็นแล้วไม่ตายแต่บางคนบอกไม่แน่! เราก็ท่องเลยพระคำอพยพ15:26 .....แล้วโรคต่างๆที่เราให้เกิดกับชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย....” ถึงเกิดก็หายได้ “...เพราะเรา คือแพทย์ของเจ้า” แล้วถึงจะไม่หาย เป็นแล้วบังเอิญเรา “ตาย” ต้องกลัวมั๊ย ไม่ต้องกลัว อาณาจักรสวรรค์รอเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เอาไงก็ได้ เราพร้อมทุกอย่าง

.......หรือ ทุกวันนี้มีเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติเยอะ เราดูข่าวแล้วรู้สึกหวาดๆ ก็ไม่เป็นไรเพราะเรามี สดุดี 91:7-11 แปลว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และไม่ว่าเราจะเป็นหรือตายเราก็จะปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเสมอ

สรุปแล้วอุบายแรกของมาร ก็คือ มันจะโจมตีถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเมื่อไหร่ที่เด็กๆสงสัยในพระวจนะของพระเจ้า รู้ตัวไว้เลย เรากำลังถูกมารปลดอาวุธ เพราะฉะนั้นให้เรายึดมั่นในถ้อยคำของพระเจ้า อย่าสงสัย ท่องจำให้ขึ้นใจอยู่เสมอ จะบทเดียวหรือหลายบทก็ขอให้ท่องไว้ (เลือกที่เราชอบก็ได้เพราะพระคำของพระเจ้าเป็นทั้งอาวุธและเกราะป้องกัน)

ยุทธภัณฑ์ที่สอง พระคำภีร์บอกว่า “ให้เอาทับทรวงเป็นเครื่องป้องกันอก” ทับทรวงรู้จักมั๊ย เครื่องประดับชิ้นโตๆที่แขวนอยู่กลางอก ทับทรวงของพระเจ้านั้นไม่ได้มีไว้เพื่อโชว์หรือแค่ให้ดูกล้ามใหญ่ใจโต เหมือนอะไรนะที่แขวนกันอันใหญ่ๆ สมัยนี้ (ฮิๆ ว่าจะไม่พาดพิงแล้วเชียว)

ทับทรวงของพระเจ้า คือ ความชอบธรรมในใจ มีไว้เพื่อป้องกันอาวุธของมารเพราะอุบายอย่างที่สองของมารคือ มันจะโจมตีเรื่อง”ความชอบธรรมของเรา” มันจะคอยกระซิบหรือทำให้เราสงสัยในความชอบธรรมของเรา เคยมะ อยู่ดีๆก็คิดว่า “เอ๊! ทำไมแค่เราเชื่อพระเยซูแล้วถึงกลายเป็นคนชอบธรรมได้นะ” เรายังไม่ได้ทำความดีอะไรเลยแล้วจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ไง เนี่ย อย่างเงี้ย ถูกมันโจมตีละ แล้วไม้เด็ดของมันคือ มันจะเอาความบกพร่องหรือความผิดพลาดในอดีตของเราเป็นเครื่องมือ (ที่หวังผลได้ซะด้วยสิ) เช่น เราอาจจะเคยเป็นคนขี้โมโห เราเคยเห็นแก่ตัว เราเคยขโมยของคนอื่น เคยขโมยเงินแม่ หรือแม้แต่เคยติดยา เคยติดคุก เคยสารพัดที่จะชั่วร้ายซะขนาดนี้ แค่เชื่อพระเยซู แล้วจะกลายเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมได้ไง (ประมาณเนี้ย) คิดแล้วก็สะท้อนอยู่ในอก อยู่ในอกจริงๆ ไม่เชื่อเด็กๆลองนึกถึงสิ่งไม่ดีที่เราเคยทำซักเรื่องสิ มันจะรู้สึกวาบอยู่ในอกจริงๆ

พระคำภีร์ถึงเปรียบความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ เป็นทับทรวงที่ใช้ป้องกันความรู้สึกผิดต่างๆ ไม่ให้มารเอากลับมาเล่นงานเราได้ เพื่อที่เราจะรู้สึกมั่นใจและเชื่อได้จริงๆว่าเรา คือผู้ชอบธรรม เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกกล่าวโทษตัวเอง ไม่ว่าในอดีตเราจะเลวร้ายขนาดไหนพระเยซูทรงชำระเราให้บริสุทธิได้มั๊ย สบายมาก ไม่มีบาปอันไหนใหญ่เกินกว่าที่พระองค์จะชำระได้ ขอให้เรามั่นใจแขวนความชอบธรรมของพระเจ้าป้องกันอกไว้ตลอดเวลา (แล้วแขวนยังไง ) ก็ให้เราขอบคุณพระเจ้า แล้วย้ำกับตัวเองเสมอๆว่า ความชอบธรรมของพระองค์ทรงเสถียร ไม่มีมากไม่มีน้อยไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าเชื่อพระเยซูคุณก็คือผู้ชอบธรรมเหมือนกัน และตราบใดที่เราเชื่อ พระองค์ไม่มีวันเอากลับคืน

ในหนังสือเอเฟซัส 6:15บอกต่อไปว่า “และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อม มาสวมเป็นรองเท้า”

ยุทธภัณฑ์ที่สาม คือ รองเท้า ข้อนี้บอกว่าข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข คือรองเท้า รองเท้ามีไว้เพื่อป้องกันการเสียดสีและลดความเจ็บปวดเวลาที่เราเดินไปเจอหินแหลมคมหรือเดินบนทางขรุขระ ก็คือ ช่วงเวลาที่เราต้องเจอปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต ซึ่งในช่วงเวลาอย่างงั้นมารก็มักหาทางให้เราลืมข่าวประเสริฐ เอาความคิดเลวๆมาใส่แทน เช่น เชื่อพระเจ้าแล้วทำไมยังต้องเจอกับปัญหา ถ้าพระเจ้ารักเราจริงทำไมเรายังเจ็บป่วย

ถ้าในช่วงที่ชีวิตราบรื่นดีไม่มีปัญหา มันเป็นการง่ายที่เราจะท่องว่า “พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ...” แล้วเราก็ได้เรียนรู้และเข้าใจดีว่าโลกนี้มันแค่ชั่วคราว ถ้าลำบากก็ทนเอาหน่อย มันไม่นานหรอก เพราะพระเจ้าเตรียมของจริงบนสวรรค์ไว้ให้เราแล้ว (เราจะคิดได้หมด ตราบใดที่เรายังอยู่ดีมีสุข) แต่ขณะที่เราอยู่ในปัญหา มารก็จะหลอกล่อ ให้เราคิดทุกอย่างในแง่ร้าย ถ้าความเชื่อของเราไม่แข็งแรง บางทีก็มีแว่บเชื่อมัน ลืมไปเลยว่าลำบากก็แป๊บเดียว ลืมโฟกัสที่ชีวิตนิรันดร์ หันมาจดจ่อกับความทุกข์ยาก (เนี่ย คือเราถูกมารเล่นงานแล้ว) และที่สำคัญ เราชอบลืมว่าเรามีเกราะป้องกันที่พระเจ้าประทานไว้ ให้หยิบมาใช้ในเวลาที่ทุกข์ยาก คือ รองเท้าของข่าวประเสริฐ

ให้เราบอกข่าวดีกับตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเจ้ามีทางออกให้กับทุกปัญหา มีแน่นอน “ อธิฐานกับพระองค์ (ต้องมีทางออกแน่ๆ ) แล้วเราก็จะก้าวต่อไปได้อย่างมีสันติสุข

เอเฟซัส 6:16 “และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่” ดังนั้น ยุทธภัณฑ์ที่สี่ คือ โล่ หรือ ความเชื่อ ในข้อนี้บอกให้เราประดับให้ครบชุด ทั้งสามสิ่งที่พูดถึงไปแล้ว ก็มี “เข็มขัด ทับทรวง แล้วก็รองเท้า” รวมทั้งในข้อนี้ บอกให้มีความเชื่อเป็นโล่ป้องกันอาวุธของมารที่คอยยิงใส่เรา .......จริงๆแล้วโล่เนี่ยเป็นเกราะป้องกันชั้นแรกเลย ที่สามารถกันอาวุธไม่ให้เข้าถึงตัวเรา .........และในทางเดียวกันถ้าเรามีความเชื่อที่มั่นคง (เหมือนมีโล่ที่แข็งแรง) สิ่งต่างๆหรือสถานะการณ์ใดๆในโลกนี้ก็จะไม่สามารถทำให้เราไขว้เขว สงสัยหรือหลุดออกไปจากทางของพระเจ้าได้เลย แล้วถ้าเราถือโล่แห่งความเชื่ออยู่เสมอ บางที เข็มขัดหรือทับทรวง ก็แทบไม่ต้องใช้ (เพราะอะไร)

เพราะ ถ้าเรามีความเชื่อเราจะสงสัยในถ้อยคำพระเจ้ามั๊ย ไม่สงสัย ก็เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์

.....หรือถ้าเรามีความเชื่อ เราจะสงสัยในความชอบธรรมของตัวเองมั๊ย ไม่สงสัยหรอก เพราะเราจะเชื่ออย่างสนิทใจว่า พระเยซูทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น จงถือความเชื่อให้มั่น เพื่อที่อาวุธหรือการล่อลวงของมารจะได้เข้าไม่ถึงตัวหรือเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของเรา

ดูต่อไปข้อที่๑๗ บอกว่า “จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ...” เพราะความรอด คือ บทสรุปสุดท้ายหรือเป้าหมายสูงสุดของคริสเตียน และเป็นความหวังใจที่เราเฝ้ารอ และพระเจ้าทรงประทานให้เราแล้วตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซูคริสต์

ในข้อนี้ บอกว่า ความรอดเป็นหมวกเหล็ก ซึ่งเท่ากับมีไว้ป้องกันศีรษะ เพราะถ้าเรามีเข็มขัด มีทับทรวง มีรองเท้า แล้วก็ถือโล่ป้องกันครบชุด แต่เราเปิดกระหม่อมโชว์ไว้ไม่มีเกราะป้องกัน มารยิงหัวทีเดียว (ตายมะ) ไม่เหลือ

เปิดไปดู โรม10:9-10 (อ่าน) ในข้อนี้บอกเราว่า “ถ้าเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า เราก็ได้รับความรอดแล้ว” เพราะฉะนั้น เมื่อเราประดับเกราะป้องกันตัวครบถ้วนแล้ว อย่าลืมใส่หมวกเหล็ก โดยการบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “เรารอดแล้ว” ไม่ต้องสงสัย..เพราะถ้าเราสงสัย เท่ากับเราถอดหมวกเหล็ก เปิดศีรษะให้เป็นเป้าซ้อมมือของมาร ทำไม ความสงสัยถึงทำให้เราถอดหมวก ประโยคนี้ทำให้น้าตุ๊กนึกถึงภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่เคยดูนานมาแล้ว ชื่อเรื่อง “saving private ryan” เป็นหนัง drama ที่มีฉากส่วนใหญ่อยู่ในสนามรบ ทหารทุกคนแต่งเครื่องแบบเต็มยศพร้อมทั้ง “สวมหมวกเหล็ก” เพื่อป้องกันศีรษะให้ปลอดภัยจากกระสุนของฝ่ายตรงข้าม หนังเรื่องนี้เปิดฉากขึ้นด้วยการยิงถล่มกันของทั้งสองฝ่าย มีทหารมากมายตายและบาดเจ็บ ส่วนฉากที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ ในช่วงที่ทหารทั้งสองฝ่ายยิงใส่กันอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ภาพก็จับไปที่ทหารคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะ แต่เขาสวมหมวกเหล็กป้องกันอยู่เลยทำให้กระสุนแฉลบออกไป กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าไปในศีรษะของเขาได้ แต่ทหารคนนี้ก็คงรู้สึกว่าตัวเองถูกยิงที่ศีรษะและไม่แน่ใจว่า เข้าหรือไม่เข้า “ด้วยความสงสัย เขาจึงเปิดหมวกออก แล้วเอามือลูบไปทั่วศีรษะเพื่อสำรวจหารอยกระสุน (ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่มี) ในขณะที่ หมวกถูกเปิดขึ้นด้วยความสงสัย ของเจ้าตัว ทันใดนั้น ก็มีกระสุนอีกนัดของฝ่ายตรงข้ามที่วิ่งเข้ามาเจาะทะลุศีรษะของเขา.....อีกทีและครั้งนี้.......ไม่พลาดและไม่มีหมวกเหล็ก.........ตายคาที่

ดูฉากนี้แล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า “เอ็งสงสัยทำไม (วะ) “ (ขอโทษที่ไม่สุภาพ) แต่ความไม่มั่นใจของทหารคนนี้มันขัดใจจริงๆ เพราะใส่หมวกไว้ก็ดีอยู่แล้วมัวแต่สงสัยเลยโดนเจาะกะโหลกเข้าให้จริงๆ

ภาพของหนังเรื่องนี้คงอธิบายได้ชัดเจนทีเดียว ว่าทำไมความสงสัยถึงอาจฆ่าเราได้ ขอบคุณพระเจ้าที่ฉากของหนังเรื่องนี้ (ที่ดูมาเกือบสิบปีแล้ว) แจ่มชัดขึ้นมาในหัวของน้าตุ๊กทันทีที่เตรียมบทเรียนข้อนี้อยู่ เพราะบางเรื่องก็ยากที่จะสรรหาคำพูดมาอธิบายให้เห็นภาพได้

สุดท้าย ในข้อที่๑๗ บอกต่อไปว่า”..และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า” ยุทธภัณฑ์ห้าอย่างแรกที่เรียนไปมีไว้สำหรับป้องกัน แต่ชิ้นสุดท้ายคือพระแสงของพระวิญญาณ คือ “ดาบ” มีไว้ตอบโต้

ดูมัทธิว 4:5-7/8-11

แล้วมารจึงละพระองค์ไป...ในข้อนี้เป็นตัวอย่างที่พระเยซูใช้ถ้อยคำพระเจ้าเอาชนะการทดลองของพวกมาร เพราะฉะนั้น จำไว้ว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอาวุธที่มารกลัวที่สุด เมื่อเราใช้พระคำต่อสู้กับมันเหมือนที่พระเยซูทรงทำ เราจะเป็นฝ่ายชนะ มารก็จะกลัวแล้วหนีไป .............เพียงแต่เราต้องระวังที่จะใช้ดาบนี้ให้ถูกที่ถูกทาง ก็คือใช้ตอบโต้เมื่อเวลาที่ถูกมารมันคุกคาม แต่...ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ยังไม่มีใครทำอะไรเราเลย ก็หยิบดาบมาเที่ยวไล่ฟาดฟันคนอื่นเขา อะไรไม่ได้อย่างใจก็สถาปนาในนามพระเยซู ไม่ชอบหน้าเพื่อนที่ทำงานหรือที่ร.รโดยไม่มีเหตุผล ก็หาถ้อยคำพระเจ้ามาไล่เขา สถาปนาให้เขาหายไปจากชีวิต อันนี้ก็ไม่ถูก ........จำไว้ว่า..ถ้อยคำพระเจ้าจะมีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาด ก็ต่อเมื่อเราใช้อย่างถูกต้องและชอบธรรม

คือ ๑. เราใช้เพราะเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ คือ เราเชื่อพระเยซู

และ๒. เราพึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า (โฟกัสที่พระเจ้า เหมือนคาเลบ) ไม่ใช่ความสามารถหรือเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง

ทั้งหมดนี้คือยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของคริสเตียนทุกคน ที่พระเจ้าประทานให้ตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู ขอให้เด็กๆอย่าลืมที่จะหยิบมาใช้ เพื่อที่จิตวิญญาณและความเชื่อของเราจะได้มั่นคงอยู่ในทางของพระเจ้าตลอดไป....สำหรับชั้นเรียนยุวชน สัปดาห์หน้าก็จะเป็นบททดสอบของหนังสือโยชูวา เตรียมตัวกันมาด้วยนะคะเด็กๆ...แล้วพบกัน

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 4 (จบ)

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 4 (จบ) อาทิตย์ที่ (16-8-2009)

ยชว.15:16-19 คาเลบบอกว่าใครตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์ได้ จะยกลูกสาวให้ ปรากฎว่าโอทนีเอลเป็นผู้ไปยึดครองเมืองนี้ได้ ก็เลยได้แต่งงานกับลูกสาวของคาเลบหลังจากนั้นลูกสาวก็เอ่ยปากขอน้ำพุกับพ่อ พ่อก็ตกลงยกให้ เด็กอาจจะแปลกใจว่า ขอไปทำไมน้ำพุ แต่ความจริงแล้วบ่อน้ำพุก็ค่อนข้างจะมีค่า เพราะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งหายากในแถบทะเลทราย หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วย

ประเด็นสำคัญในข้อนี้คืออยากให้จำชื่อของ”โอทนีเอล”ไว้ เพราะจะมีบทบาทต่อไปในสมัยผู้วินิจฉัยหลังจากที่โยชูวาตายไปแล้ว โอทนีเอลจะมีบทบาทในการกู้ชาติ เพราะได้รับแรงบันดาลใจที่สืบทอดมาจากคาเลบ (เรียกว่าเจริญรอยตามพ่อตาของเขา)

ยชว,10:14-16/17-18 คนเผ่าเอฟราอิมไปร้องบอกโยชูวาว่า ทำไมแบ่งที่ให้เขาน้อยทั้งๆที่เผ่าเอฟราอิมมีคนเยอะ (ประมาณนี้) โยชูวาก็บอกว่า ในเมื่อมีคนมากมายก็ถางป่าเข้าไปก็จะได้ที่มากขึ้น แต่คนเผ่าเอฟราอิมก็ดูเหมือนจะใจไม่สู้อ้างว่าคนคานาอันแถบนั้นมีรถรบทำด้วยเหล็ก (เด็กๆเห็นนิสัยที่ต่างกันของคนเผ่านี้กับคาเลบมั๊ย) ต่างกันฟ้ากับเหว ทำไมคนเผ่าเอฟราอิมถึงตั้งแง่มากมาย

เหตุผลแรก .เพราะไม่วางใจในพระเจ้าเหมือนคาเลบ กลัวรถรบของชาวคานาอัน เอาเรี่ยวแรงกำลังของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง แค่คิดก็แพ้แล้ว (จริงมะ)

เหตุผลอีกข้อหนึ่ง คือ ขี้เกียจเหยียดยาว อยากได้เขตแดนเพิ่มโดยไม่ต้องออกแรง ทั้งๆที่โยชูวาก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า ถ้าเขายอมทำงานก็จะเห็นว่าเขตแดนที่ได้รับก็ใหญ่จนเหลือเฟือแล้ว

น้าตุ๊กว่า ในสังคมมีคนที่นิสัยแบบนี้เหมือนกันนะ อยากได้รับสิ่งดีๆแต่ไม่ยอมออกแรง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ แล้วเต็มที่คือแค่ไหนอันนี้พูดยาก ทำไมถึงพูดยากเพราะพูดแล้วส่วนใหญ่จะเถียง (ประมาณว่า..ข้าทำดีที่สุดแล้ว เอ็งอย่ามารู้ดี) ตามประสบการณ์ของน้าตุ๊กเคยเห็นคนที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ แต่อยากได้บางสิ่งมาฟรีๆหรือง่ายๆมาเยอะมาก แล้วส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าตัวเองยังทำหน้าที่ไม่ดีพอแล้วมักจะโยนความผิดให้ผู้อื่นหรือไม่ก็โทษสถานะการณ์ (อย่างคนเผ่าเอฟราอิมเนี่ย) หรือไม่ก็อ้างดินฟ้าอากาศ บางรายยิ่งหนักทึกทักเอาว่าพระเจ้าคงมีพระประสงค์ให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง (พูดยากจริงๆ) เด็กๆจำเป็นต้องแยกแยะแล้วก็มีมุมมองที่รัดกุม จริงอยู่ที่บางครั้งเราต้องลำบาก หรือพบกับการทดลองเพราะพระเจ้าทรงตีสอนเรา น้าตุ๊กก็โดน.....หลายๆคนก็เคยโดนเพราะว่าเรานิสัยไม่ดีหรือทำอะไรผิด แต่สำหรับบางรายที่น้าตุ๊กเคยเจอเห็นใสๆเลยว่า you ขี้เกียจไม่ยอมทำงาน.....เลือกงาน หรืออีกประเภทหนึ่งที่ไม่ยอมนับหนึ่ง....ดีแต่คิดการใหญ่จิตใจเพ้อฝัน งานไหนดูต่ำต้อยด้อยค่าฉันไม่ทำ (ทั้งๆที่ตัวเองหรือครอบครัวก็ลำบากจะตายอยู่แล้ว) อยากให้เด็กๆจำไว้ว่าทุกอาชีพมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ส่วนที่ชอบคิดกันไปเองว่าอาชีพหนึ่งดูมีศักดิ์ศรีกว่าอีกอาชีพหนึ่ง เช่นการเป็นเจ้าของกิจการนั้นดูดีหรือมีศักดิ์ศรีกว่าลูกจ้าง อันนี้ก็ไม่จริง มันเป็นเรื่องที่มนุษย์แต่งตั้งกันไปเองเพราะชอบไปยึดติดกับรูปแบบหรือค่านิยมทางโลก

เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างงี้เราต้องพิจารณาให้ดีๆเพราะการตีสอนของพระเจ้ากับการที่คุณขี้เกียจเองนั้นมันถูกแบ่งไว้แค่เส้นบางๆ (บางจนมองแทบไม่เห็น ก็เลยเข้าทางเอาไปอ้างได้) ถ้าไม่ยอมก้มศีรษะลงอธิฐานเพราะจิตใจเย่อหยิ่งกลัวความจริง ไม่ยอมรับความสันหลังยาวของตัวเอง ก็คงหลุดยากต้องวนอยู่อีกนาน น้าตุ๊กอาจจะพูดตรงไปหน่อยเพราะอยากให้เด็กๆเข้าใจ เพราะเด็กๆยังมีความใส น้าตุ๊กจึงหวังใจว่าพวกเรายังสอนได้ แล้วน้าตุ๊กก็เชื่อจริงๆซะด้วยว่า”พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราทุกคนขยันขันแข็ง”(ในแบบและหน้าที่ๆพระองค์ทรงสร้างเรามา) อย่างคนเผ่าเอฟราอิมได้รับส่วนแบ่งของตัวเองไปแล้วแต่พื้นที่ๆแบ่งไปยังมีส่วนที่เป็นป่าเป็นเขา ก็เลยมาร้องขออยากจะเอาที่เพิ่มกับโยชูวา ส่วนโยชูวาก็ยืนยันว่าถ้าถางป่าเข้าไปก็จะมีเนื้อที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นจนเหลือเฟือ กรณีอย่างงี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของชายฉกรรจ์เผ่าเอฟราอิมที่ควรจะต้องขยันขันแข็งออกเรี่ยวแรงถางป่า เพื่อให้พ่อแม่หรือลูกเมียตัวเองได้อยู่อย่างกว้างขวางขึ้นมันถึงจะถูก

หรืออย่างหน้าที่ของพ่อแม่ พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก ดูแลให้พวกเขาดำเนินอยู่ในทางพระเจ้า ดูแลเรื่องอาหารเพื่อที่ลูกจะได้มีสุขภาพดี ดูแลปัจจัยสี่ ดูแลความประพฤติ นิสัยใจคอ หรือแม้แต่ทัศนคติและวิสัยทัศน์ของพวกเขา เพื่อที่ลูกๆจะสามารถเติบโตมาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม ดูแลเรื่องการเรียนให้พวกเขาเติบโตมาพึ่งพาตัวเองได้ แน่นอนว่าพระเจ้าทรงดูแล แต่!พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน และพระเจ้าไม่ใช่แค่ดูแลแต่พระองค์เป็นผู้ที่ปั้นลูกทุกคน เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเทศนาว่าพระเจ้าทรงปั้นเด็กทุกคนไว้60% ส่วนอีก40%เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องอบรมสั่งสอนเขา น้าตุ๊กไม่รู้ว่าจะ60/40หรือเปล่าแต่ก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงปั้นไว้เกินครึ่ง (แต่พระองค์ควบคุมอยู่100%) เหลือไว้ส่วนหนึ่งให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ (อีกแล้ว เห็นมั๊ยพระองค์จะทรงเหลือไว้ให้เป็นหน้าที่เราเสมอ แล้วคุณจะงอมืองอเท้าอยู่ได้ไง) เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีลูกแล้วไม่ดูแล ส่วนที่พระเจ้าทรงเหลือไว้ให้คุณทำนั้น........มันก็จะว่างเปล่า........มากพอที่จะทำให้คุณเหน็บหนาวได้......ในเวลาที่พวกเขาโตขึ้น

ยชว.18:9-10 ยังเหลืออิสราเอลอีกเจ็ดเผ่าที่ยังไม่ได้จับฉลากรับแบ่งที่ดิน โยชูวาเลยส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสำรวจเขตแดนในคานาอันแล้วแบ่งเป็นเจ็ดเขต หลังจากนั้นก็จับฉลากแบ่งกัน

อ่าน ยชว.18:11 เผ่าเบนจามินได้อยู่ที่เล็กของเทือกเขาที่อยู่ระหว่างเผ่าใหญ่สองเผ่า คือ ยูดาห์กับเอฟราอิม เมืองสำคัญหลายๆเมืองอยู่ในเขตของเผ่าเบนจามิน รวมทั้งนครเยรูซาเล็มก็อยู่ในเขตทางใต้ของเบนจามินด้วย

ยชว.20:1-3 ในข้อนี้พระเจ้าทรงย้ำให้โยชูวาตั้งเมืองลี้ภัย เพื่อว่าใครก็ตามที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาจะได้ไปอยู่ และพ้นจากการอาฆาตของญาติผู้ตาย เมืองลี้ภัยจะมีอยู่หกเมือง ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกสามเมือง ตะวันตกสามเมือง

หลังจากนั้น ก็มีการจับฉลากแบ่งที่ตามหัวเมืองให้แก่คนเลวีซึ่งมีทั้งหมด ๔๘ หัวเมือง และพระเจ้าทรงอำนวยการจับฉลากให้เมืองของพวกปุโรหิตได้อยู่ใกล้ๆเขตของนครเยรูซาเล็ม ตอนนั้นพวกปุโรหิตอาจจะไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมพวกเขาถึงได้อยู่ตรงนั้น แต่เพราะต่อมาเยรูซาเล็มจะเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลและเป็นที่ตั้งพระวิหารของพระเจ้าด้วย

ยชว.22:1-2/4 เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการรบและการแบ่งเขตโยชูวาก็บอกทหารสองเผ่าครึ่งที่เลือกจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกให้กลับบ้านได้ มีการชมเชยที่พวกเขารักษาสัญญาช่วยพี่น้องสู้รบจนได้รับชัยชนะ พร้อมทั้งตักเตือนให้ระวังที่จะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า เสร็จแล้วก็อวยพรส่งพวกเขากลับบ้านไป

ยชว.22:10-12 คนสองเผ่าครึ่งนี้เมื่อกลับมาที่เขตแดนของตัวเองแล้ว ก็ตั้งใจที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า แสดงให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพี่น้องฝั่งคานาอัน ก็เลยสร้างแท่นบูชาไว้ที่ชายแดน แต่พวกทางฝั่งคานาอันเข้าใจผิดคิดว่าคนสองเผ่าครึ่งคิดจะตั้งศาสนาของตัวเอง ก็เลยรวมตัวกันจะยกทัพไปทำสงครามกะพวกฝั่งโน้น

ยชว.22:18-19 คนอิสราเอลให้ฟีเนหัสบุตรของเอเลอาซาร์ เข้าไปถามคนสองเผ่าครึ่งว่า “พวกท่านคิดจะกบฎต่อพระเจ้าหรือ ทำอย่างงี้จะทำให้อิสราเอลทั้งหมดพลอยโดนลงโทษไปด้วย ถ้าแผ่นดินฝั่งนี้ไม่ดีหรือไม่สะอาดก็ข้ามไปอยู่กับพวกเราที่ฝั่งโน้นเถอะ อย่าทำอย่างงี้เลย (ฟังดูดี ช่างมีน้ำใจ)

ดูต่อไปว่าคนสองเผ่าครึ่งจะว่าไง อ่านต่อ ยชว.22:26-27/28-29

คนสองเผ่าครึ่งอธิบายว่า พวกเขาไม่ได้สร้างแท่นบูชาเพื่อตั้งศาสนาใหม่ของตัวเอง แต่ตั้งไว้เป็นพยานว่าเขาเชื่อในพระเจ้าเดียวกันกับคนฝั่งตะวันตก แท่นนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อถวายเครื่องบูชา แต่สร้างไว้เป็นพยานและที่ระลึกเท่านั้นเอง

เมื่อชี้แจงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกทางฝั่งคานาอันก็สบายใจยกทัพกลับบ้านไป คนรูเบนกับคนกาดเรียกแท่นนั้นว่า “แท่นพยาน” เพราะแท่นนั้นเป็นพยานระหว่างพี่น้องว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเดียว

มาถึงตอนสุดท้ายของหนังสือโยชูวา คือช่วงที่อิสราเอลจะทำพันธสัญญาที่เชเคมอีกครั้งหนึ่งกับวาระสุดท้ายของโยชูวา

ยชว.23:14 โยชูวากล่าวว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกนี้แล้ว” แปลว่าไร ก็แปลว่าจะตายละ รู้ตัวว่าใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็เลยเรียกประชุมบรรดาผู้นำเผ่าต่างๆของอิสราเอล แล้วโยชูวาก็บอกว่า พวกท่านได้เห็นแล้วก็ได้รู้แก่ใจแล้วว่าพระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อิสราเอลนั้น ไม่มีซักอย่างที่ล้มเหลว สำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดไว้ก็เป็นจริงตามนั้นเสมอ

ยชว.23:6-8 โยชูวาเตือนประชาชนให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า อย่าเผลอไปเอาอย่างคนต่างชาติที่หลงเหลืออยู่ในคานาอัน อย่าไปไหว้พระของพวกเขาหรือแม้แต่พูดถึงชื่อของพระเหล่านั้น เด็กๆคงรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงย้ำเรื่องนี้บ่อยมาก ทั้งโมเสสและโยชูวาก่อนตายก็เตือนคนอิสราเอลซ้ำๆเรื่องเดียวกันนี้แหละ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องสำคัญมาก และ พระบัญญัติสิบประการก็ยังบัญญัติเรื่องนี้ไว้เป็นข้อแรก

คำอำลาของโยชูวา

ยชว.24:1-2 ในตอนนี้บรรดาผู้นำของคนอิสราเอลได้พากันไปที่เมืองเชเคมอีกครั้งหนึ่งเพื่อย้ำคำสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้า ว่าพวกเขาจะสัตย์ซื่อและดำเนินตามถ้อยคำ คำสอนของพระองค์ โยชูวาเริ่มต้นอรัมภบทถึงบรรพบุรุษของอิสราเอล ตั้งแต่ที่พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมออกมาจากเมืองเออร์ในดินแดนเมโสโปเตเมีย เพราะเทราห์พ่อของอับราฮัมนั้นหลงไปกราบไหว้พระอื่น แล้วพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานดินแดนคานาอันแก่เชื้อสายของอับราฮัมแล้วพระองค์ก็ทรงกระทำให้สำเร็จดังคำสัญญา

ยชว.24:14-15 โยชูวาบอกว่า เมื่อทุกคนได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว ก็จงยำเกรงและดำเนินชีวิตด้วยความรักและซื่อสัตย์ต่อพระองค์ แต่ถ้าใครไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติพระเจ้า ก็จงเลือกซะตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องมาให้คำมั่นสัญญา แต่ส่วนตัวเขาเองโยชูวาบอกว่าเขาเลือกที่จะรับใช้พระเจ้าตลอดไป

ยชว.24:21-23 ประชาชนยืนยันกับโยชูวาว่าพวกเขาเลือกที่จะปรนนิบัติพระเจ้า โยชูวาก็ได้ย้ำกับประชาชนว่า “พวกท่านเป็นพยานปรักปรำตัวเองนะ” หมายความว่า พวกท่านพูดเองนะ ไม่ได้มีใครบังคับนะ เพราะในข้อที่๑๙ นั้นโยชูวาพูดว่า “ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และสัตย์ซื่อ พูดคำไหนก็คำนั้น และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความหวงแหน หมายความว่าถ้าวันไหนพวกเขาทิ้งพระเจ้าแล้วหันไปหาพระอื่น พวกเขาก็จะถูกพระเจ้าพิพากษานะ โยชูวาพูดอย่างงี้เพราะคงรู้สึกว่าประชาชนอาจจะรับปากไปส่งๆ แบบขอไปทีรึเปล่า ก็เลยพูดไล่เบี้ยลองใจคนอิสราเอลประมาณว่า ”พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ส่วนพวกท่านน่ะเป็นคนบาปแถมชอบกบฎซะด้วย” (แล้วจะไหวเหรอ)

เป็นการพูดกดดันเพื่อที่จะดูว่าพวกเขายึดมั่น ยืนยันที่จะเดินตามพระเจ้าจริงมั๊ย มีความเชื่อจริงๆรึเปล่า แต่ปรากฎว่าประชาชนก็ยังยืนยันอย่างแน่วแน่ว่า “พวกเขาเลือกที่จะนมัสการพระเจ้า”

ดูต่อไปยชว.24:26-28 พอประชาชนยืนยันที่จะอยู่ฝ่ายพระเจ้าเป็นที่แน่นอนแล้ว โยชูวาก็ทำพิธียืนยันคำสัญญากับประชน และตั้งศิลาก้อนใหญ่ไว้เป็นที่ระลึกเพื่อทุกคนจะได้รู้ว่าสัญญาแล้วจะกลับคำไม่ได้ แต่การกลับคำไม่ได้นั้น เป็นสิ่งที่ดีเพราะพระองค์ทรงการันตีให้เราเหมือนกันว่า พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จดังคำที่สัญญาไว้ ไม่ว่าเราจะแย่ขนาดไหนหรือบางครั้งจะหลงเจิ่นไป ถ้าเราเป็นของพระองค์ยังไงๆก็จะทรงตามกลับมาจนได้ (แม้ว่าสภาพเราอาจจะต้องยับเยินซะหน่อย)

ยชว.24:29-31 พระธรรมโยชูวาก็จบลงที่การสิ้นชีวิตของโยชูวาและเอเลอาซาร์ โดยมีบันทึกยืนยันว่าคนอิสราเอลในสมัยนั้นได้ติดตามและปรนนิบัติพระเจ้าอย่างไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะโยชูวาได้ดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างที่ดี และก็เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะว่าผู้นำที่ดีก็มีจะส่วนสำคัญในการเป็นแบบอย่างของผู้ตาม

สุดท้าย ยชว.24:32-33 ในข้อนี้บอกว่า เขาฝังกระดูกของโยเซฟไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ยาโคปซื้อจากลูกหลานฮาร์โมพ่อของเชเคม (ก็คงจะซื้อเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว) และสุดท้ายก็เป็นบันทึกการสิ้นชีวิตของเอเลอาซาร์ ว่ามีการฝังศพท่านไว้ที่เขตเมืองของฟีเนหัส เขตเมืองที่ได้อาศัยอยู่เท่านั้น เพราะเอเลอาซาร์กับฟีเนหัสลูกของเขาเป็นปุโรหิต ก็เลยไม่ได้มีส่วนแบ่งที่ดินอะไร ร่างของเอเลอาซาร์ก็เลยถูกฝังในเขตที่ฟีเนหัสอาศัยในแดนเทือกเขาของคนเผ่าเอฟราอิม

ทีนี้น้าตุ๊กอยากจะพูดถึงโยเซฟ เด็กๆคิดมั่งมั๊ยว่า “มันน่าทึ่งแค่ไหนที่วันนี้กระดูกของเขาได้ถูกนำกลับมาฝังในดินแดนที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้ลูกหลานของโยเซฟ” ถ้าเราอ่านเรื่องนี้อย่างผิวเผินก็คงจะผ่านเลยไปอย่างไม่คิดอะไร

เปิดไปดูปฐก.50:22-26 ก่อนตายโยเซฟบอกกับพี่น้องว่า “พระเจ้าจะสำแดงพระองค์และจะพาลูกหลานของอิสราเอลออกไปจากอียิปต์แน่นอน” แล้วถ้าถึงวันนั้นก็ให้เอากระดูกของเขาไปด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ต้องหนักแน่นมากๆของโยเซฟ เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แต่โยเซฟก็ไม่ทันได้อยู่เห็นพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมา แต่ในขณะที่เขายังไม่เห็นว่าอะไรจะเป็นจริงขึ้นมา ยังสั่งลูกหลานไว้ก่อนตายประมาณว่า ถ้าพระเจ้ามาพาออกไปจากอียิปต์เมื่อไหร่.........เอากระดูกข้าไปด้วย ถ้าไม่เชื่อลึกถึงจิตใต้สำนึกแล้ว น้าตุ๊กว่า บางทีคนเราเวลาใกล้ตายก็ไม่ค่อยจะมีสติมาสนใจรายละเอียดพวกนี้ซักเท่าไหร่ (โดยเฉพาะคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า) บางคนอาจจะกลัวว่าตายแล้วจะไปไหนหรือยังห่วงอะไรซักอย่างบนโลกนี้ เสียดายนั่นเสียดายนี่สมองจะวุ่นวายมาก แต่ถ้าเป็นคนที่มีพระเจ้าและชีวิตก็ดำเนินอยู่กับพระองค์ทุกวัน จิตวิญญาณของเขาก็จะจดจ่ออยู่กับพระองค์จนลมหายใจสุดท้ายเหมือนโยเซฟ ที่มีแต่ความเชื่อมั่นคงและยังคงสั่งเสียกับลูกหลานให้ตระหนักถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษ

วันนี้น้าตุ๊กขอจบหนังสือโยชูวาไว้ที่ความเชื่อของโยเซฟ อาทิตย์หน้าเราจะมาเรียนเรื่อง"ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า" เพื่อที่เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชัยชนะในองค์พระเยซูคริสต์ เหมือนที่โยชูวามีชัยชนะเหนือแผ่นดินแห่งพันธสัญญาด้วยเชื่อในฤทธิอำนาจของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล แล้วพบกันสัปดาห์หน้า

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 3

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ (9-8-2009)

ยชว.9:3-6/9:12-15 ในข้อนี้คืออุบายของชาวเมืองกิเบโอนที่ปลอมตัวเป็นคนต่างชาติ มีการจัดฉากโดยเอาข้าวขึ้นรากับถุงเหล้าองุ่นขาดๆ มาตบตาคนอิสราเอล ทำทีว่าเดินทางมาจากแดนไกล คนอิสราเอลก็หลงกลยอมทำสัมพันธไมตรีด้วย พอมาจับได้ทีหลังว่าพวกนี้คือชาวคานาอัน ก็โกรธแต่ทำสัญญาไปแล้วก็เลยฆ่าพวกเขาไม่ได้ ทำได้แค่ยึดเมืองแล้วก็เกณฑ์คนให้เป็นกรรมกรรับใช้อิสราเอล ( แล้วทำไมถึงโดนหลอก ) ในข้อที่๑๔บอกว่าแต่พวกเขาหาได้ทูลขอการแนะนำจากพระเจ้าไม่ แปลว่าไม่ปรึกษาพระเจ้านั่นเอง ถึงได้โดนหลอก

ยชว.10:3-5 เมื่ออาโดนีเซเดกเจ้าเมืองเยรูซาเล็ม รู้ข่าวว่าอิสราเอลยึดเยรีโคและเมืองอัยได้แล้ว ก็ตกใจกลัวเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะถึงคิวของเยรูซาเล็มมั่งล่ะ และยิ่งได้ยินว่ากิเบโอนขอทำสัญญาไมตรีกับอิสราเอลแล้วก็ยิ่งตกใจ เพราะกิเบโอนเป็นเมืองใหญ่ๆกว่าเมืองอัย แถมชายฉกรรจ์เมืองนั้นก็ดูจะล่ำสันแข็งแรง แต่ก็ยังยอมสิโรราบต่ออิสราเอล แล้วเยรูซาเล็มจะเหลือมั๊ยเนี่ยเพราะเยรูซาเล็มอยู่ติดกับเมืองกิเบโอน.......คิดได้อย่างงั้นแล้ว อาโดนีเซเดกก็เลยไปหาพันธมิตรอีก๔เมือง รวมตัวกันจะยกไปตีกิเบโอน

ยชว.10:6-7 ฝ่ายเมืองกิเบโอนพอเห็นเจ้าเมืองทั้ง๕ตั้งค่ายจะมาตีเมืองของตน ก็วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากโยชูวา โยชูวาก็ยกกำลังทหารขึ้นไปช่วยกิเบโอนในฐานะที่เป็นพันธมิตร

ยชว.10:10-11 การศึกครั้งนี้พระเจ้าทรงกระทำให้ศัตรูของอิสราเอลแตกกระจายพ่ายแพ้ ทั้งด้วยคมหอก คมดาบและลูกเห็บไฟที่ตกจากฟ้า แต่ในข้อที่๑๑บอกว่าคนที่ตายด้วยลูกเห็บไฟที่ตกจากฟ้ามีมากกว่าคนที่ตายด้วยดาบ เด็กๆคิดว่าพระเจ้าจะทรงบันดาลให้ศัตรูของอิสราเอลมีอันเป็นไปหรือพ่ายแพ้โดยที่อิสราเอลไม่ต้องออกแรงสู้รบเลยได้มั๊ย ได้แน่นอน พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง หลายคนสงสัยเสมอว่าในเมื่อพระเจ้าใหญ่ที่สุดและควบคุมทุกอย่าง แล้วทำไมบางครั้งคนของพระองค์ยังต้องเผชิญกับปัญหาหรือความทุกข์ยาก

คำตอบที่ตอบมาหลายครั้งแล้วก็คือ เพื่อที่จิตวิญญาณของพวกเราจะได้เติบโตและแข็งแรง ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพราะพระองค์ทรงเตรียมเราให้เหมาะสมกับพระสิริของพระเยซูคริสต์ เตรียมเราให้บริสุทธิ์คู่ควรกับแผ่นดินสวรรค์ จริงอยู่ที่ความบกพร่องของเราทั้งหลายจะถูกรวบยอดไปในวันที่วิญญาณเราออกจากร่างหรือไม่ก็วันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา (แล้วแต่ว่าวันไหนจะมาถึงก่อน) แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องจำไว้ก็คือ พระเจ้าจะทรงเว้นช่องว่างหรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไว้ให้เราทำเองเสมอ เพื่อพิสูจน์หัวใจของเรา แล้วถ้าเราเป็นของพระองค์จริงๆ เราจะยอมเผชิญทุกอย่างด้วยความรักที่มีต่อพระองค์อย่างท่วมท้นโดยไม่มีวันที่จะหลงหายหรือหันหลังให้กับพระองค์ แม้เวลาที่เราทุกข์ยากแสนสาหัสโดยที่เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เราก็จะบอกพระเจ้าว่า”พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเมตตา หรือแม้ลูกจะต้องล้มลงลูกก็คงไปไหนไม่รอด จะขอตายอยู่แทบพระบาทของพระองค์นี่แหละ” (เคยมั๊ย) ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่เพราะรักพระเจ้าจนหมดใจ ไม่เห็นว่าใครจะแทนพระองค์ได้

ยชว.10:12-14 ในข้อนี้บอกว่า โยชูวาทูลขอให้พระเจ้าหยุดดวงอาทิตย์ไว้ไม่ให้ตก และดวงจันทร์ไม่ให้ขึ้นมา คือให้หยุดช่วงกลางวันไว้เพื่อให้มีแสงสว่างจนกว่าอิสราเอลจะรบชนะศัตรู ในพระคำภีร์บันทึกไว้ว่า วันนั้นพระเจ้าทรงสดับฟังคำร้องทูลของเขา เป็นพิเศษจริงๆเพราะนับจากนั้นมาก็ไม่มีปรากฎการณ์แบบวันนั้นเกิดขึ้นอีกเลย

ชัยชนะในครั้งนั้นกับเหตุการณ์ที่ดวงอาทิตย์หยุดไปชั่วขณะนั้น สร้างความมั่นใจให้โยชูวามาก ทำให้อิสราเอลรบชนะเมืองแถบเนินเขารวมทั้งที่ราบตามฝั่งทะเลไปจนถึงคาร์เดชบาราเนียและเมืองกาซา เป็นอันว่าภาคใต้ของคานาอันก็ตกป็นของอิสราเอล

ยชว.11:1-5 เมื่อ“ยาบิน” เจ้าเมืองฮาโซร์ได้ยินถึงชัยชนะของอิสราเอล ที่สามารถยึดครองทั้งภาคกลางและภาคใต้ได้หมดแล้ว ก็กลัวมากรีบไปชวนเมืองต่างๆทางภาคเหนือให้มารวมกำลังกัน ปรากฎว่าคราวนี้มีทั้งกำลังคน ม้าศึก และรถรบจำนวนมากมายมหาศาล เรียกว่าอาวุธครบมือ ในพระคำภีร์บอกว่า ”มากเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล” เด็กๆลองนึกภาพดู ว่ากองทัพทางภาคเหนือนี้จะใหญ่โตขนาดไหน

ยชว.11:6-8 ถึงแม้กองทัพที่อิสราเอลต้องเผชิญจะใหญ่โตหรือน่ากลัวขนาดไหน พระเจ้าทรงตรัสเสริมกำลังโยชูวาว่า “อย่ากลัวเขาเลย เพราะพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ พระองค์จะทรงกระทำให้พวกเขาพ่ายแพ้แก่อิสราเอล” ฟังเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลัง แล้วเวลาที่เด็กๆต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย แล้วพระเจ้าทรงบอกว่า “อย่ากลัว” เรากลัวมั๊ย แล้วปัญหาที่เราคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้วสำหรับเรา มันมีอะไรมั่ง (สอบเข้าเรียนต่อไม่ได้ เอ็นทรานซ์ไม่ติด สัมภาษณ์งานแล้วเขาไม่รับ ขอวีซ่าแล้วไม่ผ่าน ขอเงินแล้วแม่ไม่ให้ อะไรอีก เดือนนี้ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือแม้แต่ ไม่มีเงินจะผ่อนรถ ) แค่เนี้ย! เราก็คิดว่าฉันแย่แน่แล้ว แต่ไม่เคยแน่ซักที ทุกครั้งก็ผ่านได้ตลอด และถ้ามาเทียบกับกองทัพที่อิสราเอลต้องเผชิญ หรือการทดลองที่หลายๆบุคคลในพระคำภีร์ต้องพบเจอแล้ว เรื่องของเรามันไร้สาระไปเลย เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับปัญหาเล็กน้อย พอให้รำคาญใจ หรือปัญหาใหญ่ขนาดไหน ก็จงวางใจในพระเจ้า พระองค์บอกว่า “อย่ากลัว” ก็ไม่ต้องกลัว หรือถ้ายังกลัวอยู่นิดหน่อยก็ไม่เป็นไรแต่อย่าถึงกับสติแตกหรือเข้าขั้นวิตกจริตก็แล้วกัน เพราะนั่นก็เป็นบาป เพราะถ้าเรากลัว แปลว่า เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าจัดการได้ ไม่เชื่อว่าพระองค์เอาอยู่ ก็หมายถึงไม่เชื่อว่าพระเจ้าใหญ่ที่สุด (จริงมั๊ย)

ยชว.11:9 ในข้อนี้บอกว่าโยชูวา ได้กระทำตามพระบัญชาของพระเจ้า คือ ตัดเอ็นน่องม้าและเผารถรบทิ้งไป เพื่ออะไร ก็เพื่อที่อิสราเอลจะได้ไม่ไปยึดติดหรือคิดพึ่งพาในสิ่งเหล่านี้ แทนที่จะพึ่งในพระคุณพระเจ้า เพราะไม่ว่ายุคใดสมัยใดมนุษย์ก็มักจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นตัววัดความเป็นมหาอำนาจทางการรบ คือถ้าใครมีม้าศึกหรือรถรบเยอะๆเนี่ยก็ดูจะเป็นต่อนะ เพราะส่วนใหญ่พวกที่มีแต่ตัวกับหัวใจก็มักจะสู้ไม่ได้ เรียกว่าถ้าเดินดินมากับมือเปล่าส่วนใหญ่ก็จะแพ้พวกที่มีม้าศึกกับรถรบ แต่ชัยชนะของอิสราเอลในครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ถ้าเรามีพระเจ้า สิ่งอื่นใดบนโลกนี้หรือโลกไหนก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”

ยชว.11:18-20 หลังจากที่อิสราเอลยึดดินแดนทางเหนือไว้ได้แล้ว ในพระคำภีร์ก็มีการบันทึกเขตแดนต่างๆที่อิสราเอลยึดได้ทั้งในสมัยโยชูวาและโมเสส พร้อมทั้งมีการยืนยันว่านอกจากชาวเมืองกิเบโอนแล้ว ไม่มีเมืองไหนที่ได้ทำสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลเลย ทุกเมืองแข็งข้อขึ้นต่อสู้กับอิสราเอล เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้พวกเขามีจิตใจแข็งกระด้าง เพื่ออะไร เพื่อที่เมืองเหล่านี้จะได้ถูกทำลายจนสิ้นซาก ตามพระวจนะของพระองค์ที่ตรัสไว้กับโมเสส

ยชว.11:22-23 ในข้อนี้ระบุว่า ยังมีคนคานาอันหลงเหลืออยู่กระจัดกระจายไปทั่ว ตามที่ราบเพราะพวกเขามีรถรบที่อิสราเอลทำลายได้ไม่หมด ซึ่งจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของแต่ละเผ่าที่ต้องกำจัดชาวคานาอันเหล่านี้ให้หมดไป แต่อิสราเอลดูเหมือนจะเบื่อหน่ายการทำสงคราม ก็เลยเหยียดยาวปล่อยปละละเลย ไม่ยอมกำจัดชาวคานาอันที่เหลืออยู่นี้ให้หมดไป จนพวกเขาแว้งกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้อิสราเอลในเวลาต่อมา แล้วเราจะได้เรียนกันต่อไปในหนังสือผู้วินิจฉัย

ในบทที่๑๒จะเป็นการบันทึกรายชื่อกษัตริย์หรือเจ้าเมืองที่พ่ายแพ้แก่โมเสส และ โยชูวา ซึ่งรวมทั้งสิ้นคือ๓๑คน ทีนี้ เราจะข้ามไปดู

ตอนที่ ๓ ของหนังสือโยชูวา การจัดสรรแผ่นดิน

ยชว.14:1-3ในข้อนี้บอกว่า คนอิสราเอลใช้วิธีจับฉลากในการแบ่งที่ดินสำหรับคนอีกเก้าเผ่าครึ่ง เพราะอีกสองเผ่าครึ่งเลือกจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกไปแล้ว (ถูกมะ) การจับฉลากนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าใครจะได้อยู่ตรงไหน ส่วนเนื้อที่จะได้มากหรือน้อยต้องคำนวณจากจำนวนของคนในเผ่า ว่ากันไปตามสัดส่วน แล้วในตอนท้ายพระคำภีร์ก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า คนเลวีนั้นไม่มีส่วนแบ่งในมรดกเหล่านี้ แต่พวกเขาจะอยู่กระจายกันไปตามหัวเมืองต่างๆของคนอิสราเอล เพื่อจะดูแลทั้งการดำเนินชีวิตและจิตวิญญาณของคนอิสราเอลได้อย่างทั่วถึง (คลาดสายตาไม่ได้ เหมือนพวกเราเลยเนอะ)

ยชว.14:4-5 ถึงเผ่าเลวีจะไม่มีส่วนแบ่งแต่อิสราเอลก็ยังมี๑๒เผ่าอยู่ดี เพราะพงศ์พันธ์โยเซฟ ได้รับสิทธิบุตรหัวปีแทนรูเบน ก็เลยได้รับมรดกสองเท่าของพี่น้อง คือนับเป็นสองเผ่า ตามจำนวนบุตรของโยเซฟ คือ เอฟราอิมกับมนัสเสห์

ยชว.14:12-14 คาเลบ คนเผ่ายูดาห์ได้มาหาโยชูวา ขอให้ยกแดนเทือกเขาที่มีคนอานาคอาศัยอยู่ให้เขา เพราะคาเลบมั่นใจว่าเขาจะสามารถกำจัดพวกยักษ์อานาคได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ในข้อที่ ๑๑ เขาบอกว่า”ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรง เหมือนตอนหนุ่มๆที่โมเสสใช้ให้ไปรบเมือ๔๕ปีก่อน” ต้องเรียกว่ามีความเชื่ออย่างเสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว เพราะตอนนี้คาเลบก็อายุปาเข้าไป๘๕ปีละ ยังอาสาจะกำจัดพวกยักษ์อานาค

ยชว.15:13-14 แล้วก็กำจัดได้จริงๆซะด้วย การกระทำของคาเลบในครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “เขามีความเชื่อในพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้เชื่อแค่คำพูด ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปหรือสังขารจะร่วงโรยขนาดไหน มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเชื่อของเขาเลย” เพราะอะไร น้าตุ๊กคิดว่าเพราะคาเลบต้องคิดได้จริงๆ (ไม่ได้พูดแต่ปาก) ว่าชัยชนะหรือความสำเร็จทุกอย่างนั้น “มันมาจากพระเจ้า” เพราะถ้าคิดว่ามาจากเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง มันคงจบไปแล้วล่ะ จบไปพร้อมกับอายุ๘๕แล้ว จะไม่จบได้ไงเพราะถ้าคาเลบคิดว่า “ฉันเก่ง” ตอนนี้ถ้าก้มลงมองตัวเองก็คงเห็นแต่กล้ามเหี่ยวๆ หรือหลังงอๆ ของตัวเอง แต่นี่คาเลบ forever young เพราะเขาเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คาเลบจึงมองข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดของมนุษย์ไปอย่างสนิทใจ

เพราะฉะนั้น ตรงจุดเนี้ยเด็กๆต้องเอาอย่างคาเลบ บอกตัวเองอยู่เสมอว่าชัยชนะและความสำเร็จทุกอย่างนั้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น และถ้าเราคิดได้อย่างงี้แล้ว มีอะไรที่เราทำไม่ได้มั๊ย (หมายถึงเรื่องดีๆนะ) ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ นอกจากพระเจ้าไม่อนุญาต แล้วถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตก็ขอบคุณพระองค์ เพราะมันต้องไม่เป็นผลดีกับชีวิตของเราแน่นอน เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เวลาที่มีปัญหาหรือความทุกข์ยากขอให้เด็กๆเปลี่ยนท่าทีในการเผชิญกับปัญหาซะใหม่! หลายครั้งที่เรายังรู้สึกล้มเหลวกับการเดินผ่านอุปสรรคต่างๆในชีวิตก็เพราะ “เราแค่อ้างว่า ฉันเชื่อพระเยซูแต่เราเผลอเข้าฟาดฟันกับปัญหาด้วยแรงกำลังของตัวเอง” มองปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วประเมินผลลัพธ์ด้วยปัจจัยทางโลกหรือทางเนื้อหนังที่ตัวเองมี เช่น ฉันไม่เก่ง ฉันแก่แล้ว ฉันจน ฉันไม่มีเส้น ไม่รู้จักคนใหญ่คนโต แต่น้าตุ๊กก็ไม่ได้หมายถึงการประเมินในจุดด้อยของตัวเองอย่างเดียวแต่หมายรวมถึงอย่าเย่อหยิ่งในจุดเด่นของตัวเองด้วย พูดง่ายๆว่าไม่รับผิดแต่ก็ไม่รับชอบด้วย เหมือนที่อ.เปาโลสอนไว้ในหนังสือ 2โครินธ์10:17 “ถ้าผู้ใดจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ...” เพราะในเวลาที่เรามืดแปดด้านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และยอมจำนนต่อพระเจ้า พระองค์ก็ประทานความรอดให้เรา ต่อเมื่อเราได้รับความสำเร็จในสิ่งต่างๆแล้ว เรากลับอวดหรือแม้แต่แอบคิดว่าสมควรแล้วที่ฉันได้รับ เพราะฉันเป็นคนดี เพราะฉันสอบผ่าน เพราะฉันทำได้ เพราะฉันเป็นคนพิเศษ หรือเพราะฉันดีกว่าคนอื่น อย่างงี้ก็คงจะเรียกได้ว่าไม่รับผิดแต่จะรับชอบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในความเป็นจริง เพราะถ้าคุณจะรับความชอบคุณก็ต้องรับผิดด้วย

สรุปแล้ว น้าตุ๊กอยากจะสอนเด็กๆว่าเวลาที่เราเข้าต่อสู้ในสงครามทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ ขอให้เด็กๆโฟกัสที่พระเจ้า เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยฤทธิ์อำนาจและชัยชนะของพระเยซูคริสต์ ภาวนาใคร่ครวญพระวจนะที่พระองค์ทรงบอกไว้ในพระคำภีร์ ท่องไว้เสมอว่า “ลูกอ่อนแรงแต่พระองค์ทรงฤทธิ์” I can’t , but you can. อย่าเพียงแต่พูดว่า ฉันเชื่อพระเยซูแต่ไม่ได้มอบทุกพื้นที่ชีวิตของเราให้กับพระองค์

หรือมีบางกรณีที่เลือกจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า “แค่บางเรื่อง” เพราะอะไร เพราะเราถูกสอนให้อธิฐานว่า “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” แล้วบางครั้งน้ำพระทัยของพระเจ้าก็ไม่โดนใจเรา เราก็เลยไม่ชอบทำเฉไฉหลีกเลี่ยงการอธิฐานบางเรื่องกับพระองค์เพราะ กลัวผลลัพธ์ที่ออกมา เลยหลอกตัวเองว่าไม่อยากรบกวนพระเจ้าแล้วไปหาทางแก้ปัญหาแบบวัดดวงเอาเอง (อย่าแปลกใจว่าทำไมน้าตุ๊กถึงคิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น คิดเอาเองหรือเปล่า) เปล่าเลย ที่ยกตัวอย่างมานี้ไม่ได้ว่าใคร น้าตุ๊กว่าตัวเอง ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆเคยเป็นอย่างงี้จริงๆ (นี่เอาตัวเองมาขายเลยนะเนี่ย) ซึ่งมันผิด เพราะพระเจ้าทรงเหมือนพ่อ แม่ อยากให้เราบอกเล่าเรื่องราวในทุกวัยวันของชีวิตแด่พระองค์ พ่อแม่อยากรู้ทุกความเคลื่อนไหวของลูกและพร้อมจะช่วยแก้ปัญหาให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดสำหรับลูกเสมอ แต่ลูกเองที่บางทีไม่อยากเชื่อฟัง เหมือนที่บางครั้งเราไม่อธิฐานฝากปัญหาไว้กับพระเจ้า เพราะกลัวคำตอบจะไม่โดนใจ ซึ่งในจุดนี้เราต้องคิดเสียใหม่และวางใจให้ได้ในทุกเรื่อง..... น้าตุ๊กเองก็เติบโตช้ามาก (แต่ไม่เป็นไรขอให้โตก็แล้วกัน) จนทุกวันนี้ยิ่งเข้าใกล้พระเจ้าก็ยิ่งรู้สึกว่าเรายังรู้น้อยจัง เพราะไม่ว่าจะดำเนินกับพระเจ้ามานานแค่ไหน พระเจ้ายังคงเมตตาสำแดงพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้เห็นอย่างไม่หยุดยั้ง พระคุณความงดงามของพระองค์สดใหม่ทุกวัน กี่เดือนกี่ปีพระเจ้าก็ทรงมีเซอร์ไพร้สตลอด ยังไม่เคยซักทีที่จะมั่นใจว่าฉันอ่านขาดหรือฉันรู้แล้ว แต่ไม่มีปัญหาในความไม่มั่นใจของตัวเองเพราะน้าตุ๊กมั่นใจในพระเจ้า ว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องถูลู่ถูกังเราขนาดไหนก็ตาม และขอฤทธานุภาพแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราอวยพรสติปัญญาและเสริมเรี่ยวแรงกำลัง ให้เด็กๆทุกคนเต็มล้นด้วยความรู้และความเข้าใจในพระวจนะของพระองค์
แล้วพบกันสัปดาห์หน้าค่ะ