วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัยครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ 18:10:2009

บทเพลงของเดโบราห์และบาราค
บทประพันธ์หรือบทเพลงของเดโบราห์เริ่มต้นด้วยการนมัสการพระเจ้า แล้วก็ย้อนระลึกถึงชัยชนะของอิสราเอล และการสำแดงของพระเจ้าบนภ.ซีนายในสมัยโมเสส ถ้าเด็กๆสังเกตดูก็จะเห็นว่าบทเพลงหรือบทประพันธ์ที่คนอิสราเอลแต่งขึ้นในสมัยนั้น มักจะมีการกล่าวรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่พระเจ้าปลดปล่อยคนอิสราเอลให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์เสมอ เพราะแท้จริงแล้วเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนั้น มันเป็นสัญญาณถึงความรอดในยุคพระคุณของเราด้วย
เดโบราห์กล่าวต่อไปถึงคนอิสราเอลที่ถูกชาวคานาอันเบียดเบียน คอยปล้นสะดมจนทำไร่ทำนาไม่ได้ จนกระทั่งเดโบราห์นำพวกเขาจนได้รับชัยชนะและหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ ทำให้อีกหลายๆเผ่าพลอยตื่นตัวลุกขึ้นสู้ศัตรู
ในข้อที่๒๓-๒๗ บอกว่าบางคนในอิสราเอลเห็นแก่ตัวมาก ไม่ยอมช่วยพี่น้อง แต่”ยาเอล”นั้นน่าสรรเสริญเพราะมีความกล้าหาญอย่างมาก ที่ใช้เหล็กขึงเต๊นท์ตอกขมับศัตรู
ในข้อต่อมาก็กล่าวถึงแม่ของ”ศิเศรา”ที่ถูกเหล็กตอกขมับตาย ว่าป่านนี้คงจะคอยบุตรสุดที่รักจะเอาของที่ริบได้จากอิสราเอลมาแบ่งให้ (เพราะปกติ มันน่าจะเป็นอย่างงั้น) แต่ว่าไม่มีทางที่ลูกจะกลับมาอีกแล้ว เพราะครั้งนี้เขาพ่ายแพ้แล้วก็ถูกฆ่าตาย......ส่วนตอนท้ายของบทเพลงก็เป็นการขอพรต่อพระเจ้า ให้ศัตรูนั้นพินาศไป และให้อิสราเอลเจริญรุ่งเรือง
ซัมการ์ ผวฉ.3:31 เรื่องของซัมการ์
ซัมการ์เป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล ที่พระคำภีร์พูดถึงเป็นคนที่สามภายหลังเอฮูด ที่พระเจ้าส่งมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอล ให้พ้นจากการเบียดเบียนของพวกฟิลิสเตีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ค่อนข้างจะเข้มแข็งแล้วก็น่ากลัว ฟิลิสเตียเป็นคนทะเล ที่เริ่มบุกเข้ามายึดครองดินแดนคานาอันในช่วง1250ปีกคศ. ก็คือไล่เลี่ยกับสมัยของโยชูวา ส่วนชัมการ์ เป็นชาว “ฮูเรียน” หมายความว่าเป็นชาวต่างชาติไม่ใช่คนอิสราเอล เรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าของเราทรงเป็นสากล ก็คือ..พระองค์เป็นพระเจ้าของคนทุกชาติไม่ได้เป็นพระเจ้าของอิสราเอลชาติเดียว เพราะฉะนั้นพระองค์จะใช้ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอิสราเอลเท่านั้น แล้วในข้อนี้ก็บอกว่า พระองค์ใช้ชัมการ์ให้ฆ่าชาวฟิลิสเตียไปมากถึงหกร้อยคน ดังนั้น ชัมการ์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้วินิจฉัยคนหนึ่งของอิสราเอลเหมือนกัน
กิเดโอน ตอนที่๑ ผวฉ.6:1-40
ในสมัยของกิเดโอน คนอิสราเอลก็ทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก (ยังไง) อย่างเดิม...ก็คือหันไปไหว้พระอื่น เมื่อเราเรียนพระคำภีร์กันมาเรื่อยๆ เราจะรู้สึกได้เลยว่า...คนคานาอันกับคนอิสราเอลสมัยนั้นชอบบูชาพระบาอัลกันมากๆ เพราะอะไร เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนั้น..เป็นเกษตรกร แล้วเชื่อกันว่า พระบาอัลเป็นเทพแห่งพายุและฝน มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือผลผลิตทางการเกษตร จริงๆก็คือเหตุผลเดิมๆของคนทุกยุคทุกสมัยน่ะแหละ คือห่วงเรื่องปาก..เรื่องท้อง ฐานะความเป็นอยู่ของตัวเอง ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คงจะเหมือนกับคนที่ชอบไปไหว้พระต่างๆ หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็ตามที่เชื่อว่า....ถ้าไหว้แล้วจะทำให้เขารวย (อารมณ์เดียวกัน) แล้วเราก็เคยคุยกันไปหลายครั้งแล้วว่า เรื่องปากท้องหรือเงินเนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์หวั่นไหวได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้น มันก็ไม่แปลกเลยที่อิสราเอลจะสามารถรับเอาวัฒนธรรมผิดๆพวกนี้เข้ามาในชีวิตอย่างง่ายดาย จนกลายเป็นวงจรความบาปที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก
พระคำภีร์บอกว่า...ครั้งนี้พระเจ้าทรงมอบอิสราเอลไว้ในมือของชาวมีเดียนกับชาวอามาเลข คำว่า”มอบไว้ในมือ” ไม่ได้แปลว่าฝากฝังให้ช่วยดูแลนะ แต่แปลว่า “เป็นลูกไก่ในกำมือ” ยังไงยังงั้นเลย (จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด) ในข้อ๓.บอกว่า “เพราะคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไหร่ คนมีเดียนกับคนอามาเลข ก็มาปล้นเอาไปจนหมดทั้งพืชผลและฝูงสัตว์” ข้อที่๕.บอกว่า “เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ..” เปรียบเทียบกองทัพของศัตรูเป็นฝูงตั๊กแตน แปลว่า มากันเยอะจนตาลายนับไม่ถ้วน
เมื่อคนอิสราเอลร้องทุกข์กับพระเจ้า เพราะทนไม่ไหวแล้วถูกเขารังแก สู้เขาไม่ได้ กลัวมากจนต้องไปหลบอยู่ตามถ้ำ พระเจ้าจึงทรงเรียก “กิเดโอน” กิเดโอนเป็นใคร เป็นคนสำคัญของอิสราเอลรึเปล่า เป็นคนที่เกิดในตระกูลใหญ่โตใช่มั๊ย หรือว่าเป็นคนที่กล้าหาญจนออกหน้าออกตา......
ไม่ใช่ซักอย่างเดียว พระคำภีร์ผวฉ.6:15 บอกว่า “กิเดโอน ทูลพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะช่วยคนอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ (อันนี้น่าจะหมายถึงมีฐานะ..ต่ำต้อยที่สุด) และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในครอบครัว (คนเล็กน้อยตามความหมายที่พระคำภีร์เคยใช้นั้นมีตั้งแต่... เป็นคนไม่สำคัญ ไม่ได้มีบทบาทหรือหน้าที่ๆสำคัญอะไรในครอบครัวหรืออาจจะหมายถึงยังเด็กอยู่ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่) .....หรือว่า พระเจ้าทรงเรียกกิเดโอน เพราะเขาเป็นคนกล้าหาญรึเปล่า ไม่ใช่แน่,,,ย้อนกลับไปดูข้อที่๑๑. ข้อนี้บอกเราว่าอะไร..... ตอนที่พระเจ้าเรียกกิเดโอน กิเดโอนนวดข้าวอยู่ที่ไหน พระคำภีร์บอกว่า”เขากำลังนวดข้าวอยู่ในบ่อย่ำองุ่น” กล้าหาญมั๊ยล่ะ... “ขนาดจะนวดข้าว ยังต้องหลบไปนวดในบ่อย่ำองุ่น เพราะกลัวคนมีเดียนจะเห็น”
เพราะฉะนั้น หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เด็กๆได้เห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เลือกที่จะรักใคร หรือเลือกคนหนึ่งคนใดจากฐานะชาติตระกูล แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้เลือกที่ความสามารถ แล้วก็ไม่ใช่...คนดีเท่านั้นด้วยนะ ที่จะได้รับความรอด สัญญาณอันนี้พระเจ้าแสดงให้เราได้เห็นตลอดเวลา น้าตุ๊กเลยอยากจะให้เด็กๆมั่นใจให้ได้จริงๆว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นแบบไหน ถ้าพระเจ้าเลือกเราให้มาเป็นลูกของพระองค์แล้ว ทุกคนสามารถได้รับความรอดอย่างเท่าเทียมกัน รอดก็คือรอด ไม่มีรอดมาก รอดน้อย เช่นเดียวกันกับความเชื่อ ที่น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ว่ามีแค่สองอย่าง คือเชื่อ กับไม่เชื่อ ไม่มีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่มีคะแนน50เต็ม100 หรือว่า 70 เต็ม 100 99.99 ก็ไม่มี มีแค่ 0 กับ 100 คะแนนเต็มเท่านั้น และเด็กๆอย่าสับสนระหว่าง "คนที่ไม่มีความเชื่อ กับคนที่จิตวิญญาณยังไม่เติบโตนะ เพราะสองกลุ่มนี้ถ้าดูเผินๆบางครั้งก็จะคล้ายกัน แต่ความจริงไม่เหมือนกันเลย"
อย่างที่น้าตุ๊กพูดไปแล้วว่า...ไม่ใช่คนดีเท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงเลือกเข้ามารับความรอด เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเข้าใจไว้ด้วยเช่นกัน....ว่าพระเจ้ายังทรงรักคนบาป รักคนที่ไม่น่ารัก รักคนที่โลกอาจจะประนามว่าเป็นคนไม่ดี แล้วเราเป็นใคร...เราเป็นลูกของพระองค์ซึ่งต้องดำเนินตามพระลักษณะของพระองค์จนสุดกำลัง แล้วเราก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งซึ่งต้องขอพระเมตตาจากพระเจ้า เป็นเพียงคริสเตียนที่จดจ่อรอการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ตรงจุดนี้น้าตุ๊กอยากจะให้เด็กๆใจกว้างกับทุกคน เพราะพระคำภีร์บอกว่า...จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรารักแต่คนที่ทำดีกับเรา...เพราะคนต่างความเชื่อเขาก็ทำกันอย่างนั้น แล้วถ้าเราเลือกที่จะรักแต่คนที่เราพอใจ รักเฉพาะคนที่รักเรา เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
การรักศัตรูหรือรักคนที่เขาทำร้ายเราไม่ใช่เรื่องง่าย อันนี้ขอพูดตรงๆ ถ้าใครบอกว่าฉันทำได้ทันทีที่มาเชื่อพระเจ้า น้าตุ๊กไม่ค่อยอยากจะเชื่อ (แต่อาจจะมีก็ได้นะ...ถ้าป็นกรณีพิเศษสุดๆที่พระเจ้าเสริมกำลัง แต่ยังไม่เคยเห็น) ตามประสบการณ์ของน้าตุ๊กเราจะไม่สามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ แต่เราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย น้อยจริงๆ...น้อยจนไม่สามารถรู้สึกได้ในวันต่อวัน จำได้มั๊ยที่น้าตุ๊กเคยสอน เขาใช้คำว่า “เมตามอร์โฟลิส” บรรยายภาพความงดงามของการเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายวิญญาณของเรา เพราะเมตามอร์โฟลิสเป็นภาษากรีก แปลว่า การเปลี่ยนแปลงซึ่งใช้บรรยายการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งที่ “หนอนกลายเป็นผีเสื้อ” ถ้าเด็กๆเคยดูสาระคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะเข้าใจและเห็นภาพชัดเจนขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายวิญญาณนี้เป็นขั้นตอนสำคัญอันหนึ่งที่จะนำเราไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจะไม่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณ ความประพฤติ หรือการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปภายในวันเดียว หรือเดือนเดียว แต่เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเราได้ทุกครั้งเมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว....นานแค่ไหนแต่ละคนคงไม่เท่ากัน บางคนห้าปี บางคนสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้กระทั่งจะต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยพระเจ้า
แล้วก็เช่นกันเราไม่สามารถที่จะเลือกปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า...แค่บางเรื่อง หรือเลือกเอาเฉพาะที่เราชอบ แล้วคิดว่าอันไหนที่ไม่ชอบ....ฉันก็จะไม่ทำ ฉันจะทำแต่ที่ฉันชอบ อย่างงี้...ไม่ได้ ถ้าใครคิดแบบนี้ คงต้องไปเคลียร์กับพระเจ้าเอง อาจจะไม่มีใครมาว่าเราหรอก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ เราจะต้องรับผิดชอบมันต่อพระพักตร์พระเจ้า
ดูต่อไปในข้อที่๑๓ กิเดโอนบอกว่า “...แต่สมัยนี้ พระเจ้าทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว” (มันใช่.มั๊ยเนี่ย) จริงๆแล้วเด็กๆว่า ใครทิ้งใครก่อน ทุกครั้งที่พระเจ้าพิพากษาพวกเขา ก็เป็นเพราะว่าอิสราเอลน่ะแหละ ที่ทิ้งพระเจ้าไปไหว้พระอื่น จนพระองค์ต้องตีสอน แต่ข้อนี้กิเดโอนพูดหน้าตาเฉยว่าพระเจ้าทิ้งพวกเขา...งงมะ นี่แหละ..มนุษย์ ชอบโทษคนอื่นอยู่เรื่อยไป ฉันต้องถูกเป็นคนแรก และจะขอผิดเป็นคนสุดท้าย
หลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงสัญญากับกิเดโอนว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ แล้วเจ้าจะโจมตีคนมีเดียนเหมือนกับโจมตีคนๆเดียว” หมายความว่า กิเดโอนจะเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายๆ
กิเดโอนเริ่มทำการที่เรียกว่า ปฏิรูปบ้านเมืองตามบัญชาของพระเจ้า โดยคำสั่งแรกที่พระเจ้าสั่งให้ทำคือ ไปพังแท่นบูชาของพระบาอัล แล้วพอเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองเห็นแท่นบูชาของพวกเขาถูกทำลายก็ยกกันมาหาโยอาช พ่อของกิเดโอน บอกให้ส่งตัวกิเดโอนออกมาเพื่อที่พวกเขาจะได้เอาหินขว้าง กิเดโอนจนตาย
เปิดไปดูฉธบ.13:6-11
จริงๆพระบัญญัติบอกว่า ใครที่ควรจะต้องถูกหินขว้างจนตาย คนที่ไหว้รูปเคารพหรือคนที่หันไปไหว้พระอื่นต่างหากที่ต้องถูกหินขว้างจนตาย แต่แทนที่จะเป็นอย่างงั้น คนอิสราเอลกำลังจะเอาหินขว้างกิเดโอนให้ตายเพราะเขาทำลายแท่นบูชาของพระเทียมเท็จ เห็นหรือยัง.... ความเชื่อของคนอิสราเอลผิดเพี้ยนไปมากขนาดไหน คริสเตียนก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ระวัง...ความเชื่อของเราก็มีสิทธิที่จะผิดเพี้ยนได้เหมือนกัน เราเองก็จะสามารถหลงทางได้ตลอดเวลาเหมือนอิสราเอลในสมัยนั้น เด็กๆบางคนอาจจะกำลังสงสัยว่า...แล้วจะให้ระวังยังไง เราก็จะต้องติดสนิทกับพระเจ้าด้วยการมาโบสถ์ เรียนพระคำภีร์ อ่านพระคำภีร์ แล้วที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เรื่องไหนที่เราไม่รู้หรือไม่แน่ใจก็ให้เราปรึกษาศิษยาภิบาล
ในข้อที่๓๑.บอกว่า แต่โยอาช (ซึ่งจริงๆเป็นคนดูแลศาลของพระบาอัล) ได้ตอบชาวอิสราเอลว่า “พวกท่านจะออกโรงแทนพระบาอัลหรือ จะพยายามช่วยพระบาอัลหรือไง ใครสู้แทนพระบาอัลจะต้องถูกฆ่าตายในเช้าวันนี้ แล้วอีกอย่างถ้าพระบาอัลมีจริงหรือศักดิ์สิทธิ์จริง เขาต้องปกป้องตัวเองได้ถ้าจะมีใครมารื้อแท่นของเขา” โยอาชพูดแค่นั้น คนอิสราเอลตาสว่างทันที ทุกคนสำนึกผิดกลับใจใหม่หันมาร่วมแรงร่วมใจกับกิเดโอนต่อสู้คนมีเดียน หลังจากนั้นมากิเดโอนก็เลยได้อีกชื่อหนึ่งว่า “เยรุบบาอัล” แปลว่า “ให้บาอัลสู้คดีเอง”
หลังจากนั้น เมื่อชาวมีเดียนกับชาวอามาเลขยกทัพข้ามน.จอร์แดนมาตั้งค่ายเตรียมจะปล้นคนอิสราเอลเหมือนเคย พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตกับกิเดโอน....กิเดโอนก็ส่งผู้สื่อสารไปตามเผ่าอื่นให้มาร่วมรบ รวมกันแล้วก็มีหลายหมื่นคน แต่กิเดโอนก็ยังไม่มั่นใจ จึงก็ขอหมายสำคัญจากพระเจ้า....โดยเอาขนแกะไปวางไว้กลางแจ้ง แล้วกิเดโอนก็ขอพระเจ้าว่า...ให้มีน้ำค้างเฉพาะบนขนแกะเท่านั้น ส่วนบริเวณรอบๆนั้นแห้ง พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้เป็นตามที่ขอ เสร็จแล้วกิเดโอนก็ขออีก เหมือนเซ้าซี้ แต่ทำไมพระเจ้าไม่โกรธ ดูข้อที่๓๙.(อ่าน) “....ขออย่าให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์ทูลอีกสักคครั้งเดียว” หมายความว่า พระเจ้าไม่โกรธถึงแม้กิเดโอนจะเซ้าซี๊ขออัศจรรย์อย่างซ้ำซาก เพราะว่ากิเดโอนขอด้วยความถ่อมสุภาพและด้วยจิตใจที่ยำเกรงพระองค์......เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้คิดว่า พระเจ้ามองดูที่หัวใจและเจตนาของเราเสมอ เพราะฉะนั้น ต่อให้เราผิดพลาดหรือทำอะไรโง่ๆซักกี่ครั้งกี่หน พระเจ้าก็ไม่โกรธ....ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจ หรือทำลงไปเพราะจิตใจที่เย่อหยิ่ง ไม่เชื่อฟัง อีกครั้ง..กิเดโอนบอกว่าอะไร ขอให้ขนแกะนั้นแห้ง แต่ให้บริเวณโดยรอบนั้นเปียกน้ำค้าง ? แล้วคืนวันนั้นพระเจ้าก็กระทำตามที่กิเดโอนขออีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทำให้กิเดโอนมีความมั่นใจอย่างมาก
กิเดโอน ตอนที่๒ ผวฉ.7:1-25
เมื่อกิเดโอนเตรียมที่จะรบกับคนมีเดียน พระเจ้าได้บอกเขาว่า กองทัพของเจ้ามีกำลังคนมากเกินไป เราจะไม่ให้เจ้ารบชนะคนมีเดียนด้วยกำลังคนมากมายขนาดนี้ เพื่อที่ชาวอิสราเอลจะไม่สามารถอวดได้ว่าพวกเขาชนะด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง เสร็จแล้วพระเจ้าก็ให้ประกาศกับทหารทุกคนว่า “ใครที่กลัวจนตัวสั่น ก็ให้กลับบ้านไป หรือไม่ก็ลงไปจากกิเลอาด ปรากฎว่า มีคนกลับไปสองหมื่นสองพันคน เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน พระเจ้าก็บอกว่า ยังมีคนเยอะเกินไป แล้วพระองค์ก็ทรงกระทำให้เหลือแค่สามร้อยคน ด้วยวิธีของพระองค์ คือ บอกให้คนเหล่านี้ไปดื่มน้ำในลำธาร แล้วเลือกเอาเฉพาะคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม คือใช้ลิ้นเลียน้ำคล้ายๆสุนัข.....ให้ไปร่วมรบ ส่วนคนที่คุกเข่าก้มลงดื่มน้ำนั้นให้กลับบ้านไป รวมแล้วคนที่จะไปร่วมรบกับกิเดโอนมีแค่...สามร้อยคน
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ เราจะได้ระลึกอยู่เสมอว่า”พระเจ้า คือ ผู้ประทานความสำเร็จ”
หลายครั้งพระเจ้าอาจจะต้องทำอย่างงี้ ถ้าพระองค์เห็นว่ายังมีความเย่อหยิ่งอยู่ในใจของเรา เพราะพระองค์ก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เราจะคิดอะไรถ้าเราประสบความสำเร็จในขณะที่มีตัวช่วยเยอะแยะมากมาย หรือมีความพร้อมทางปัจจัยในทุกๆด้าน เด็กๆเข้าใจมั๊ยคะ อย่างเรื่องกิเดโอนเงี้ย ถ้าพระเจ้าไม่จำกัดคนที่ไปรบให้เหลือแค่สามร้อย เมื่อพวกเขาชนะ พวกเขาก็อาจจะแอบคิดได้ว่า เออ...พวกเราคงชนะเพราะมีกำลังคนมาก หรือ ฉันนี่มันก็เจ๋งเหมือนกัน เพราะฉะนั้น... ถ้าพระเจ้าไม่ปลดอาวุธหรือเอาตัวช่วยบางอย่างออกไปจากชีวิตเราซะบ้างเนี่ย บางทีวันที่เราประสบความสำเร็จ.....เราก็อาจจะหลงคิดไปได้เหมือนกันว่า.......เพราะฉันเก่ง....เพราะฉันดี....หรือไม่ก็ฉันแน่กว่าคนอื่น
เมื่อเข้าใจอย่างงี้แล้ว ถ้าวันไหนพระเจ้าทรงอนุญาตให้เราตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกันกับกิเดโอนก็จงก้มศีรษะลงขอบพระคุณ เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อความเชื่อของเรา แต่สถานะการณ์ของเรากับกิเดโอนอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว อาจจะถูกประยุกต์ให้แตกต่างกันนิดหน่อย เช่น สมมติว่าเรากำลังจะตกงาน ช่วงที่ทำงานอยู่ก็เห็นใสๆว่ามีเงินเหลือเก็บ แต่พอตกงานปุ๊บ....ถึงเวลาต้องหาอะไรทำหรือเริ่มต้นทำการค้าของตัวเอง ในทันใดนั้นพระเจ้าก็ทรงเห็นว่า เฮ้ย..มีทุนมากไป ว่าแล้วพระเจ้าก็ทรงตัดกำลังทรัพย์ของเรา เหมือนที่ทรงตัดกำลังทหารของกิเดโอน ให้เราเหลือเงินลงทุนน้อยมากๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะมีทุนมาก ทุนน้อยหรือแม้แต่ไม่มีทุนเลย พระเจ้าก็สามารถประทานความเจริญรุ่งเรืองให้เราได้แน่นอน และตามประสบการณ์แล้ว...น้าตุ๊กเคยลงทุนทำการค้าด้วยเงินหลักล้าน แล้วก็พังพินาศไม่เป็นท่าจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่กลับเคยได้รับความสำเร็จเมื่อครั้งที่มีเงินทุนไม่ถึงหลักพัน (พูดจริงนะ ไม่ได้เว่อร์ นี่มันกิเดโอนชัดๆ) แต่ยังไงก็ตามสำหรับน้าตุ๊กแล้วมันมีค่ามากทั้งสองประสบการณ์ มีค่ามากจริงๆเพราะน้าตุ๊กได้ดื่มด่ำทั้งความทุกข์ที่แสนสาหัสและความสุขที่มันแทบจะล้นสำลักออกมาทางจมูก ทั้งความทุกข์ยากและความสุขสำราญที่พระเจ้าประทานให้น้าตุ๊กนั้นบอกได้คำเดียวว่า...มันแทงลึกถึงไขข้อกระดูกได้พอกันอย่างยุติธรรมเลยทีเดียว ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครที่อยากจะล้มเหลว แต่สำหรับคนที่เคยทุกข์ยากแสนสาหัสมาแล้วก็คงจะคิดเหมือนน้าตุ๊กว่า “เวลาที่มองกลับไปมันก็ขำๆดี ถึงแม้ว่าในขณะที่เผชิญกับมันจะขำไม่ออก” อยากจะหนุนใจคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาว่ามันเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนสำหรับเรา แต่ถ้าตอนนี้รู้สึกหน้ามืดขำไม่ออก ยังมองไม่เห็นข้อดีก็คิดซะว่า มันเป็นประสบการณ์ ที่อย่างน้อยตอนแก่จะได้มีอะไรมันส์ๆเล่าให้ลูกหลานฟังมั่ง มันจะได้ไม่เบื่อเรา..(เห็นมะ..มีข้อดีจนได้)
พระคำภีร์บอกต่อไปว่า กิเดโอนแอบได้ยินคนมีเดียนคุยกันว่า....เขาฝันเห็นขนมบารลีก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่าย แล้วทำให้เต๊นท์ของคนมีเดียนพังราบไป ซึ่งก็หมายถึงคนอิสราเอลจะมาทำลายกองทัพของคนมีเดียน จริงๆแล้ว พวกเขาไม่น่าจะกลัวเพราะอิสราเอลไม่น่าจะทำอะไรพวกเขาได้ แต่พอกิเดโอนได้ยินอย่างงั้นจิตใจก็ฮึกเหิม หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
ในตอนกลางคืนที่ค่ายของพวกมีเดียนก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด ขณะที่พวกทหารนอนหลับ กิเดโอนคิดอุบาย ให้ทหารอิสราเอลถือเขาสัตว์และหม้อที่มีคบเพลิงคนละใบ แล้วสั่งทหารว่า “จงคอยดูว่าเรากระทำอย่างไร ก็ให้กระทำตาม” คืนนั้นทหารอิสราเอลที่ยืนล้อมอยู่นอกค่าย ก็ได้รับสัญญาณจากกิเดโอนให้เป่าเขาสัตว์ แล้วทุกคนก็ต่อยหม้อในมือที่ถืออยู่คนละใบให้แตก ปรากฎว่าทหารชาวมีเดียนก็เลยตกใจประสาทหลอน แล้วพระเจ้าก็กระทำให้พวกเขาฆ่าฟันกันเองอย่างวุ่นวาย สุดท้ายทหารมีเดียนก็พยายามหนีเอาตัวรอด
แต่กิเดโอนก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ให้คนไปส่งข่าวที่เผ่าเอฟราอิมให้ออกมาคอยสกัดศัตรูที่กำลังจะหนี คนเอฟราอิมก็ได้จับเจ้านายคนสำคัญของชาวมีเดียน..แล้วก็ฆ่าทิ้งเก็บเอาหัวกลับมาให้กิเดโอน
วันนี้เวลาหมด เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกิเดโอนตอนที่สามกัน
พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น