ความรอด
คือ อะไร
เด็กๆคิดว่า
”ความรอด” คืออะไร...???
หลายคนยังไม่เข้าใจชัดเจน
ถึงความหมายของคำว่า “ความรอด” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนที่ไม่มีพระเจ้า..จะไม่มีวันเข้าใจความหมายของคำว่าความรอด..ได้อย่างถูกต้องแน่นอน
ความรอดเป็น Main Target คือ เป็นเป้าหมายหลักของคริสเตียน เพราะงั้น ถ้ามี”ความรอด” นั่นหมายถึง
ก็ต้องมีสภาวะที่ “ไม่รอด”ด้วย สำหรับพระคำภีร์ ความไม่รอด คือ
สภาวะที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป
ในภาษากรีกแปลออกมาแล้วมีความหมายว่า missing target ก็คือ
พลาดเป้าหมาย..ผิดวัตถุประสงค์ พระคำภีร์อธิบายโทษของความบาปว่าเป็น“การตายฝ่ายวิญญาณ”
พระคำภีร์ของเราเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุประมาณ
3000 ปี..เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ
“พระผู้ทรงสร้าง” ทั้งฟ้าสวรรค์..แผ่นดินโลกรวมถึงทุกอย่างที่อยู่บนโลก
พระคำภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกที่มาที่ไปทั้งของมนุษย์และจักรวาล” และพระคำภีร์เป็นความจริง
ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าไหร่..ความจริงในพระคำภีร์ก็ถูกสำแดงให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นเช่น
ในหนังสือ โยบ 26:7 “พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือออกคลุมที่เวิ้งว้าง
และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า” สมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าโลกเป็นยังไงคะ..”แบน” บางกระแสก็ว่ามีปลาวาฬอยู่ใต้โลกอะไรซักอย่างเนี่ย แล้วมนุษย์ก็เพิ่งมารู้ว่าโลกกลมอย่างเป็นทางการเมื่อโคลัมบัสค้นพบทวืปอเมริกา....
แต่หนังสือโยบที่เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคศ. กลับบันทึกเรื่องนี้ไว้แล้ว..พระเจ้าบอกไว้ก่อนแล้วว่าโลกไม่ได้วางอยู่บนปลาวาฬหรืออะไรทั้งนั้น
แต่มันลอยอยู่ในอากาศ โอเค..มันเป็นความรู้ทั่วๆไปของทุกวันนี้ว่าโลกกลมและลอยอยู่ในจักรวาล แต่..มันไม่ใช่เรื่องที่รู้กันทั่วไปในสมัย 5-6 พันปีที่แล้ว เพราะสมัยนั้นไม่มีดาวเทียม แล้ววิทยาการอะไรต่างๆก็ยังไม่ก้าวหน้า จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตัวอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้เกี่ยวกับความจริงในพระคำภีร์ แต่น้าตุ๊กไม่อยากให้เรายึดติดกับความเป็นเหตุ..เป็นผลตามสติปัญญามนุษย์..
มากจนเกินไป เพราะหลายครั้ง
ในทางพระเจ้า..ไม่ต้องมีเหตุผล ความสมเหตุ..สมผลตามสคิปัญญามนุษย์เอามาเป็นบรรทัดฐานของพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระเจ้าอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวงและมนุษย์ไม่สามารถเอาสติปัญญาอันน้อยนิดไปจำกัดพระเจ้าได้ เรามีหน้าที่แค่เชื่อฟัง..ทุกอย่างที่พระองค์บอกไว้ในพระคำภีร์
ทีนี้
เรากลับมาพูดถึงสภาวะที่ไม่ได้รับความรอดของมนุษย์ หรือที่พระคำภีร์เรียกว่า “การตายฝ่ายวิญญาณ”...ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ย้อนกลับไปในปฐมกาลเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะมีสายสัมพันธ์กับมนุษย์แบบ
“พ่อกับลูก” เปิดไปที่...
ปฐก.3:17-19 การล้มลงไปในความบาปของมนุษย์ในครั้งนั้น อ.เปาโลได้บันทึกความจริงข้อนี้ไว้ในหนังสือ
โรม 3:23 ว่า..”เพราะว่าทุกคนทำบาป
และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” ความหมายในข้อนี้
พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือปฐมกาลว่า ความไม่เชื่อฟังของอาดามและเอวาทำให้ “มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราที่รู้จักความดีและความชั่ว” ความหมายในข้อนี้ ส่วนตัวของน้าตุ๊กเชื่อว่า “ถ้าอาดามกับเอวาไม่ทำบาป มนุษย์น่าจะไร้เดียงสาเหมือนสัตว์ต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น” คือ มันจะทำอะไรเลวร้าย..น่าเกลียดขนาดไหน ก็ไม่มีใครประนามมันจริงจัง เพราะรู้สึกว่ามันทำตามสัญชาตญาณ อย่างสัตว์ป่าในอเมซอน..ที่อยู่ตามในทุ่งหญ้าซาวานาหรือที่ไหนก็ตาม...ถ้าเด็กๆจะเคยดูดิสคัฟเวอรี
หรือแอนนิมอลแพลนเน็ต..ก็น่าจะเห็นภาพชัดเจน เวลาที่พวกสัตว์นักล่าไม่ว่าจะเป็นชีตาร์..สิงโต หรือสัตว์อะไรก็ตามมันล่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม มีใครประนามมั๊ย..ว่ามันเป็นฆาตกร..ไม่มี แต่ถ้าเป็นคนฆ่ากันตายล่ะ มันคนละฟิลเลยอ่ะ..จริงมะ หรืองูบางชนิดที่กินงูด้วยกันเอง..ก็ไม่เห็นมีใครจะว่ามันวิปริตผิดธรรมชาติ มีแต่บอกว่า..เออ ! มันก็อย่างเงี้ยแหละ งูบางชนิดมันก็กินกันเอง มันแค่ทำตามสัญชาตญาณ แต่ถ้าคนกินคนเป็นไง...รับไม่ได้
รู้สึกว่ามันวิปริต ผิดธรรมชาติอะไรประมาณนี้
เด็กๆพอเห็นภาพมั๊ย พระเจ้าจึงทรงบอกว่า
“มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเรา..อาจจะเหมือนพระองค์หรือจะรวมทูตสวรรค์อะไรด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ” แต่ที่แน่ๆ..การที่พระเจ้าพูดแบบนี้แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ตั้งใจหรือมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์เป็นแบบนี้..แบบไหน
“ที่จะรู้จักความดีและความชั่ว”
โรม 3:22-23 ..โดยความชอบธรรมที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว “ทุกคนไม่ต่างกัน”
ทุกคนล้วนทำบาป แล้วบาป ก็คือ บาป ไม่มีบาปมาก..บาปน้อย ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน..มันก็บาปเท่ากันตามมาตรฐานของพระเจ้า
เด็กๆลองนึกภาพ เชื้อบาป..ก็เหมือนเชื้อโรคชนิดนึง อย่างเชื้อหวัด 2009 เนี่ย
แต่ละคนที่ติดก็ออกอาการไม่เท่ากัน..ไม่เหมือนกัน บางคนเป็นไช้แค่นิดหน่อย บางคนปวดหัว
ตัวร้อน ร้อนมาก..ร้อนน้อย บางคนอาการหนักต้องแอดมิทนานหรือถึงตายก็มี ทั้งที่เชื้อตัวเดียวกัน..แต่ติดแล้วออกอาการไม่เหมือนกัน เชื้อบาปก็เช่นกัน ติดแล้ว..บางคนก็แอบมีความคิดชั่วเล็กๆน้อยๆ
ขี้อิจฉา ขี้โกง ขี้ขโมย แต่บางคนเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปเลย..ก็มี นี่ก็เชื้อบาปตัวเดียวกัน แต่ออกอาการมากน้อยไม่เท่ากันเพราะภูมิคุ้มกันและรายละเอียดทุกอย่างของความเป็นหนึ่งชีวิต..มันต่างกัน
หรืออย่างเชื้อเอดส์เนี่ย ก็สามารถทำให้เราเห็นภาพการติดเชื้อบาปจากบรรพบุรุษได้อย่างชัดเจน เพราะอะไร..หลายครั้ง บางคนเกิดมายังไม่ได้ทำอะไรเลย...ก็ติดเชื้อแล้วเพราะพ่อแม่เป็นเอดส์ ข้อที่ 23 พระเจ้าจึงทรงบอกว่า..”เพราะว่า
ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”
แปลว่า มนุษย์ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้าทุกคน จะออกอาการมาก..น้อยไม่เกี่ยว แต่ที่แน่ๆบาปทุกคน
ดู
โรม 3:24-25 “..แต่พระเจ้าทรงประทานพระกรุณา
ให้เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า”
แปลว่า ให้ฟรีๆ
ทำไมพระเจ้าต้องทำอย่างนี้..เพราะมนุษย์มักล้มเหลวในการรักษาสัญญา ล้มเหลวในการทำตามพระบัญญัติ
ไม่ว่าจะบัญญัติไหนก็ตาม..แม้แต่คำสอนที่ดีที่สุดของมหาศาสดา..ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้ชอบธรรมได้..
ตลอดประวัติศาสตร์ในพระคำภีร์พิสูจน์ได้ให้เห็นแล้วว่า..
”พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสัตย์ซื่อ ส่วนมนุษย์..ไม่” เด็กๆที่เรียนประวัติศาสตร์กับน้าตุ๊กมาน่าจะเห็นภาพชัดเจน ตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ กันดารวิถี ผู้วินิฉัย
เรื่อยมาจนถึง 2พงศ์กษัตริย์
อิสราเอลล้มเหลวตลอด
ไม่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้าได้คงเส้น..คงวาเลย ดีแป๊บเดียว..เดี๋ยวก็ทำบาปอีกแล้ว เพราะฉะนั้น
ถ้าเงื่อนไขของการได้ไปสวรรค์ มันต้องขึ้นอยู่กับความดีที่มนุษย์ทำ คิดว่า จะมีซักคนมั๊ย..ที่จะได้ไป ไม่มีทาง
เพราะมาตรฐานของพระเจ้าคือ แค่คิดก็ผิดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบาปข้อไหนก็ตาม..ลักทรัพย์..ล่วงประเณี..หวานความแตกร้าว..เป็นพยานเท็จ ทุกข้อ..แค่คิดก็ผิดแล้ว (สมมติ เราเดินผ่านบ้านนึง เห็นต้นมะม่วงมีลูกเต็มต้นเลย
แล้วก็แอบคิดในใจ
โอโห..น่าไปเด็ดมากิน..ผิดแล้วนะ
ขโมยยัง..ยัง แต่มาตรฐานของพระเจ้า
“แค่คิดก็ผิดแล้ว” เพราะงั้น..ไม่มีซักคนเดียวที่จะสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง)
เพราะอย่างนี้
พระเจ้าจึงจำเป็นต้องเตรียมทางรอดไว้ให้มนุษย์ด้วยพระคุณของพระองค์ แล้วต้องเป็น”พระคุณซ้อนพระคุณ”เท่านั้น หมายความว่า “เป็นทางที่จัดเตรียมโดยพระองค์และต้องสำเร็จได้โดยพระองค์เอง” เพราะถ้าต้องให้มนุษย์ตะเกียกตะกายทำเอง..ไม่มีทางสำเร็จ และ”พระเยซูคริสต์เจ้า”
คือ ทางนั้น..ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้
ข้อที่
25 บอกว่า “พระเจ้าทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา
โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์”
นี่คือ ทางที่เหนือชั้น..ที่พระเจ้าเตรียมไว้เพื่อให้มนุษย์ได้ไปสวรรค์ คือ แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายที่ไม้กางเขนหลั่งพระโลหิตชำระเราให้หลุดพ้นจากความผิดบาปทั้งปวง..ง่ายๆแค่นี้เอง เรามาดูข้อพระคำภีร์ที่สนับสนุนความจริงในเรื่องนี้กัน
ดู
ยอห์น 3:16 “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก..” นี่คือ เหตุผลว่าทำไม..พระเจ้าต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยมนุษย์ แล้วพระคำภีร์ข้อนี้ก็คุ้นหูเราที่สุด แต่ไม่แน่ใจว่า..ทุกคนจะซาบซึ้งกับคำนี้จริงๆมั๊ย
และอีกครั้ง..ที่เทคโนโลยีมีส่วนยืนยันความจริงในข้อนี้ เพราะเมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์กล้องที่ทำให้มองเห็นพื้นผิวของดาวต่างๆที่อยู่ไกลๆ หรือแม้กระทั่งสามารถเดินทางไปยังดาวต่างๆได้มากขึ้นและไกลขึ้น ทั้งดาวศุกร์ ดาวอังคาร หรือแม้แต่ดวงจันทร์ มันทำให้เรารู้ว่า ในดวงดาวต่างๆเหล่านั้น..มันไม่มีต้นไม้ ไม่มีสัตว์
ไม่มีอากาศ
ไม่มีแม่น้ำหรือทะเล
แม้แต่น้ำซักหยด..ก็ไม่มี มีแต่ก้อนกรวด
ก้อนหิน สีดำ สีเทา สีน้ำตาล ซึ่งแตกต่างกับโลกอย่างสิ้นเชิงเพราะโลกมีแต่สิ่งทรงสร้างที่สวยงามอยู่เต็มไปหมด
เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักโลกจริงมั๊ย..ถ้าไม่รัก..คงจะไม่บรรจงสร้างไว้สวยงามขนาดนี้
และในบรรดสิ่งที่ทรงสร้าง
“มนุษย์” คือ สิ่งที่พระเจ้ารักที่สุด แต่มนุษย์ก็เลือกที่จะเชื่อตัวเองแทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แล้วพอตกลงไปในความบาปมนุษย์ก็ทำร้ายกันเอง รวมทั้งทำลายสิ่งสวยงามที่พระเจ้าสร้างไว้แทบทุกอย่าง แต่ถามว่าพระเจ้ายังรักมนุษย์มั๊ย..คำตอบคือ
รัก..อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนได้ประทานพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวให้มาไถ่บาปให้แก่เรา
ทำไมการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ถึงช่วยให้เราหลุดพ้นจากความบาปและอำนาจของมารได้
พระเจ้าทรงบอกเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ไว้อย่างไร เปิดๆไปดู
เอเฟซัส
1:17-19 อันนี้คือ คำอธิฐานของอ.เปาโล
“..คือพระบิดาผู้ทรงสง่าราศี จะทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา
และประจักษ์แจ้งในเรื่องราวของพระเจ้า” คำว่า
สติปัญญาในข้อนี้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “spirit of wisdom” หมายถึง สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับไอคิว ความรู้หรือความสามารถของมนุษย์ แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า..ที่เราสามารถเพิ่มพูนได้ โดยการให้ความร่วมมือกับพระองค์..อย่างไร ก็ด้วยการอธิฐานอย่างสม่ำเสมอ..ฟังถ้อยคำเยอะ แล้วก็ให้ไวต่อเสียงเตือนจากพระเจ้า (ในส่วนนี้
ต่อไปเราคงได้เรียนกันอย่างละเอียดอีกครั้ง)
ข้อที่ 18 บอกว่า
“ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไรสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ” พระเยซูคริสต์มีอำนาจเหนือมาร เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่บาป พระองค์เกิดจากหญิงพรมจารีโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจากการปฎิสนธิของมนุษย์ พระเยซูคริสต์จึงไม่ทรงเกี่ยวข้องใดๆกับเชื้อบาปที่อาดามกับเอวาทำไว้
แล้วตลอดเวลาที่ดำเนินอยู่บนโลกจนถูกเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน..พระเยซูก็ไม่เคยทำบาปเลยไม่ว่าจะถูกทดลองกี่ครั้งก็ตาม
ดู
เอเฟซัส 1:19-22 ข้อที่ 20 บอกว่า
“..พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย
และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เองในสวรรคสถาน” เมื่อพระเยซูทรงยอมตายที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่เราแล้ว
สิ่งสำคัญสุดที่ยืนยันว่าพระองค์มีอำนาจเหนือมารก็คือ
การเป็นขึ้นมาจากความตายและทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ สิ่งนี้เป็นการกรันตีจากพระเจ้าว่าพระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์แต่ยอมถูกฆ่า..ก็เพื่อที่จะจ่ายราคาแทนเรา ข้อที่
21 บอกว่า
“พระเยซูได้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอบครอง
เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น..” ชัดเจนว่า
พระเยซูใหญ่กว่าเทพทั้งปวง
อยู่เหนือนามทุกนาม ไม่ใช่แค่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าที่จะมาถึงด้วย
ดังนั้น
ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับทุกอย่างร่วมกับพระองค์ เพราะข้อที่ 22 บอกว่า พระคริสต์
ประมุขแห่งคริสตจักรพระเจ้า ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์
และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร” พูดง่ายๆว่า อะไรที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วยเพราะพระคริสต์เป็นบุตรหัวปี..แล้วเราเป็นน้อง อ.เปาโลถึงอยากให้เรารูว่า “มรดกสำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมเพียงไร” ทั้งมีชัยชนะเหนือมาร ทั้งอยู่สูงกว่าเทพทั้งปวงที่มีในโลกนี้และโลกหน้า
เพราะฉะนั้น
ไม่ต้องกลัวผีนะคะ เพราะขนาดเทพทั้งปวง..เราก็ยังสูงกว่าเลย
ที่น้าตุ๊กพูดอย่างงี้ก็เพื่อที่จะให้เรามั่นใจในฐานะตัวเอง..แต่ต้องไม่เอาไปเย่อหยิ่งหรือเกทับใครนะคะ
ดู 1ยอห์น 3:9-10 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้าผู้นั้นไม่ทำบาป..” นี่คือ สภาวะที่จะติดตัวผู้เชื่อมา เพราะเมื่อเรารับเชื่อพระเยซู..เราก็ได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้า และเมล็ดของพระองค์ซึ่งก็คือ ”พระวิญญาณบริสุทธิ์” ก็ดำรงอยู่ในเรา ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะพลาดพลั้งทำผิดไป..ไม่บางครั้งล่ะ..หลายครั้ง แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งของคริสเตียนก็คือ
เราจะสำนึก..เราจะไม่ชิลด์กับความบาปหรือเหยียดยาวอยู่กับมันได้โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะงั้น
แม้จะผิดพลาดไปบ้างแต่ยังไงคริสเตียนก็จะกลับใจใหม่ แล้วก็หันเข้ามาในทางพระเจ้าได้ในที่สุด
วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า..เราจะมาต่อกันเรื่อง “การสามัคคีธรรมกับพระเจ้า” ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น