วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเพื่อให้เกิดพลัง อาทิตย์ที่ 28:10:2012


“สามัคคีธรรม” คือ การเข้าไปมีส่วนร่วม..แบบเป็นหนึ่งเดียวกัน  ธรรม ในที่นี้ เราหมายถึง ทางของพระเจ้า  รวมกันก็คือ  การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อที่จะดำเนินอยู่ในทางพระเจ้า   ซึ่งมีอยู่ 3 ขั้นตอนที่สำคัญสำหรับคริสเตียน
ดู 1เธสะโลนิกา 5:17-18  วิธีแรกที่เราจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ก็คือ “การอธิฐาน”  การอธิฐานสำคัญมากสำหรับคริสเตียน  เราถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก  ให้อธิฐานทุกวัน  อย่างน้อยที่สุด 2 ครั้ง คือ ตื่นนอนขึ้นมาก็ต้องอธิฐานเลย..เป็นอย่างแรก  กับ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน  เด็กๆต้องทำให้เป็นนิสัยนะคะ  ข้อที่ 18 บอกว่า “..เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย  ฟังดีๆ “เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าในพระคริสต์” ข้อนี้มีความหมายตามนั้นจริงๆ  เพราะพระเยซูอุตส่าห์ยอมมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อเรา  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนม่านในวิหารก็ขาดออก..เป็นสัญลักษณ์ว่าโดยความเชื่อในพระเยซู..ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเรากับพระเจ้าได้อีกต่อไป    เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยการอธิฐานได้ตลอดเวลาที่เราต้องการ  ไม่เหมือนในพันธสัญญาเดิม..ที่มีแต่มหาปุโรหิตเท่านั้น..ที่สามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในห้องอภิสุทธิสถาน  และกว่าจะเข้าเฝ้าได้ก็ต้องเตรียมการกันอย่างยุ่งยากซับซ้อนมากมายหลายชั่วโมง  เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ค่อยอธิฐานหรือทำไม่สม่ำเสมอ..ก็ให้กลับใจใหม่นะคะ เพราะสิ่งนี้มีค่ามาก  แล้วการที่จะอธิฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้ก็ง่ายดายมาก  ทำได้ทุกที่..ทุกเวลาที่เราต้องการ..ผ่านทางพระเยซูคริสต์    แล้วถ้าเรายังไม่ทำอีก..เราจะไม่มีวันเข้าถึงพระเจ้าได้  เพราะง่ายขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าหา..แล้วจะไปเข้าทางไหน   สุดท้ายแล้ว เราจะไม่มีวันที่จะทำอะไรได้สำเร็จอย่างถูกต้องด้วย..ถ้าเราไม่อธิฐาน   (เดี๋ยวเด็กๆโตขึ้น  ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้นเอง  เพราะจะมีประสบการณ์ตรง)  ทีนี้ มาดูว่าพระเยซูสอนเกี่ยวกับเรื่องการอธิฐานไว้อย่างไรบ้าง   อย่างแรกเลยเปิดไปดู..
ดู มัทธิว 6:1-2  “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น  ถ้าทำอย่างนั้น  เราจะไม่ได้รับบำเน็จจากพระเจ้า”  คำว่า “ศาสนกิจ” น้าตุ๊กคิดว่าหมายถึงทุกอย่าง..ที่เกี่ยวกับงานของพระเจ้า  และรวมถึงการทำดีให้เป็นที่ถวายเกียรติ..เป็นที่ชอบพระทัยต่อพระพักตร์พระองค์   ทั้งการช่วยงานทุกอย่างในโบสถ์  การทำทาน..การช่วยเหลือคนอื่นทุกรูปแบบ  หรือแม้แต่การอธิฐาน  พระเยซูบอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น   อย่าทำแล้วไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้..ว่าฉันถวายเยอะ   ฉันบริจาคเงินช่วยเหลือคนน้ำท่วมไป..กี่หมื่นกี่แสน  หรือตอนสร้างโบสถ์ฉันก็ช่วยออกเงินเยอะมาก..น่าจะเอาชื่อฉันไปติดไว้ที่หน้าโบสถ์  อะไรต่างๆเหล่านี้..ก็เป็นการป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ทั้งสิ้น  พระเยซูทรงบอกว่า..อย่าทำ   (เพราะงั้น เราจะไม่ได้เห็นชื่อหรือรูปถ่ายของคนที่บริจาคหรือถวายเงินในการสร้างสิ่งต่างๆตามผนังโบสถ์เหมือนที่เห็นกันตามวัด)   หรือ แม้แต่เวลาที่เราอธิฐานพระเยซูก็บอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น..  ข้อที่ 6 บอกว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน  ปิดประตูให้เรียบร้อย  แล้วก็อธิฐาน..ถ้าเป็นได้   แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเราอธิฐานนอกบ้านไม่ได้..ไม่ใช่  เราควรอธิฐานตลอดเวลาด้วยซ้ำไปแต่เราแค่อธิฐานในใจ  สงบใจแล้วระลึกถึงพระเจ้า..คุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว  อย่าไปยืนทำท่าโฮลี่  โบกไม้..โบกมือ  โหวกเหวกโวยวายอยู่ตามที่สาธารณะ  เหมือนคนเคร่งศาสนาซะเต็มประดาอะไรอย่างนั้น..อย่าทำ  (หรือแม้แต่ในห้องประชุม  พระคำภีร์บอกว่าต้องมีระเบียบ  อันไหนที่ไม่มีระเบียบ..ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า)
ดู 1ซามูเอล 3:20-21  “..เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชีโลห์ โดยพระดำรัสของพระเยโฮวาห์”  ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์โดย..”พระดำรัส” เพราะฉะนั้น วิธีที่สอง..ที่จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้นก็คือ การใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์..ในพระคำภีร์..ไม่ใช่ทุกวันนะแต่ควรจะทำทั้งวัน   น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า มันเป็นไปได้ที่เราจะสนิทกับใครหรือไว้ใจใครได้โดยที่ไม่รู้จักเขาเลยหรือรู้จักไม่ดีพอ  ดังนั้น  เราควรจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้าตลอดเวลา
แต่..พอได้ยินคำว่าสามัคคีธรรมแล้ว  เด็กๆอย่าไปคิดถึงภาพพิธีกรรมที่ลึกลับซับซ้อน  หรือภาพนักบวชบำเพ็ญตะบะที่ต้องออกๆไปปลีกวิเวกตามป่าตามเขาห่างไกลแสงสีความเจริญ..ไม่ใช่   คริสเตียนสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปกตินี่แหละ    โดยการสงบใจอธิฐานหรือคิดจดจ่อซ้ำไปซ้ำมาอยู่กับถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ว่าจะตอนนั่งอยู่บนรถ   ทานอาหาร  ออกกำลังกาย   หรือแม้แต่กำลังเดินอยู่ตามทาง   เด็กๆสามารถเริ่มต้นฝึกได้ด้วยการหัดจำพระคำภีร์สักข้อนึง..เริ่มจากสั้นๆก่อนก็ได้  แล้วก็คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา..ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้   ตัวอย่างเช่น
.....เวลาที่มีรายได้ลดลง  แล้วเรากลัวว่าจะขัดสนมีรายรับไม่พอรายจ่าย  เราก็ท่องเลย สดุดี  23
           “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ  ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ”  ไม่อดตายแน่แต่เราจะอุดมสมบูรณ์เหมือนแกะที่ผู้เลี้ยงพาไปกินหญ้าในทุ่งที่หญ้าเขียวสดและริมธารน้ำแดนสงบ..คือ อุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำและอาหาร..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับใคร 
.....หรือในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ  แผ่นดินไหว  น้ำท่วมโคลนถล่ม  มีโรคระบาดแปลกๆเยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้  หลายครั้งเราก็อดที่จะนึกกลัวไม่ได้  ก็ท่องเลย สดุดี 91:1-8 
    “..พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์จะไว้วางใจ" 
        “..พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..”  เพราะฉะนั้น ยิ่งสิ่งที่ตามองเห็น..ทำให้เรากลัวมากขนาดไหน  เรายิ่งต้องจำถ้อยคำของพระเจ้าไว้ให้ขึ้นใจ  พกไว้เหมือนเป็นอาวุธที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาไล่ความกลัวได้ตลอดเวลา       
ดู โรม 12:1-2  “..อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม” ... เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้า..เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่   เพราะฉะนั้น  ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้ามาหลายปีแต่นิสัย  ความคิด..จิตใจไม่เปลี่ยนเลย  (หมายถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น..เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น)  ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองว่าเราติดสนิทกับพระเจ้าน้อยเกินไปรึเปล่า   คำว่า   ”จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่” ในข้อนี้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่มาจาก  ”การทรงสถิต”  รับเชื่อแล้ว..พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา  และการที่เราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ก็เป็นมาโดยพระวิญญาณที่อยู่กับเรา เราไม่สามารถเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการทำเลียนแบบ  ถ้าต้องทำให้เหมือน..ก็เท่ากับการที่ต้องทำตามกฎบัญญัติอย่างครบถ้วน  ซึ่งไม่มีวันเป็นไปได้  เพราะเราไม่มีกำลังมากพอ   แต่คริสเตียนทำได้..ด้วยการพึ่งในพระคุณของพระวิญญาณ  และเราสามารถให้ความร่วมมือกับพระเจ้าได้..ด้วยการติดสนิทกับพระองค์ผ่านการอธิฐาน..ทูลขอ..และใคร่ครวญข้อพระคำภีร์อยู่เป็นประจำ   ข้อที่ 2 บอกว่า “..เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าอะไรดี  อะไรเป็นที่ชอบพระทัย  และอะไรดียอดเยี่ยม”  เด็กๆดูดีๆ สิ่งที่ดีในข้อนี้มันมีหลาย level  ไม่ได้มีแค่ good แต่มี excellent ด้วย  และในทางพระเจ้า..น้าตุ๊กขอบอกว่า  เราควรจะทำแบบ excellent  คือ เป็นที่ชอบพระทัยอย่างยอดเยี่ยม  แต่ก่อนจะเป็นได้เราต้องรู้ก่อนว่าพระเจ้าชอบอะไร..ไม่ชอบอะไร  และคู่มือเล่มเดียวที่จะบอกเราได้ก็คือ พระคำภีร์ 
ดู ยอห์น 13:34-35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน แล้วคนทั้งปวงก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”  การจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนของพระเจ้า..เป็นสาวกของพระคริสต์ ก็คือ “เราต้องรักซึ่งกันและกัน”  ไม่ใช่การถือพระคำภีร์เล่มโตมาโบสถ์  ไม่ใช่การรู้พระคำภีร์ทั้งเล่ม  หรือแม้แต่การที่เราถวายอย่างมากมาย  ก็ไม่ได้เป็นข้อบ่งบอกถึงการเป็นสาวกของพระคริสต์  แต่พระเจ้าบอกชัดเจน ว่า”ให้เรารักซึ่งกันและกัน” อย่างงั้นเราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระองค์
พระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพากันในการสามัคีธรรม..เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน  เราไม่สามารถที่จะเติบโตไปคนเดียวเพียงลำพัง  ฉันรอดแล้ว..ฉันไม่สนใจคนอื่น..ไม่ได้  ดังนั้น นอกเหนือจากการอธิฐานและอ่านพระคำภีร์เพื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์แล้ว  พระเจ้าต้องการให้เรามีปฎิสัมพันธ์กับพี่น้อง  หลายๆศาสนามักจะมีค่านิยมว่า “คนที่จะเติบโตหรือพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าทางฝ่ายวิญญาณ..จะต้องหนีไปปลีกวิเวกอยู่คนเดียว  ไปขึ้นเขาลงห้วย  หรืออย่างน้อยที่สุดต้องรู้จักตัดทางโลกไปทำสมาธิ..หรือเดินจงกลมอยู่ตามวัดวาอาราม  แต่สำหรับคริสเตียน..ไม่ใช่  พระเจ้าสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง  เราไม่สามารถเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ได้..ด้วยการไปปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว  หรือเอาแต่นั่งอธิฐานอยู่ในบ้านโดยไม่ออกมาพบปะผู้คนเลย 
ดู ยอห์น 15:4-6  “..ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ...ไม่ได้จริงๆ  เพราะงั้น เราทุกคนจึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร  เราต้องมีส่วนร่วมและมีความสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์  ครอบครัวผู้เชื่อ  เพราะพระเจ้าทรงใช้  ”พฤติกรรม และสถานการณ์” เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างอุปนิสัยของเราทุกคน  เด็กๆลองคิดดู..ว่าเราจะแข็งแรงได้ยังไงถ้าเราไม่เคยเจอปัญหา..ไม่เคยเจอคนนิสัยแย่ๆ  ถ้าทั้งชีวิตของเราวางอยู่บนความสุขสบาย  เจอแต่คนดีๆ ช่างเอาอกเอาใจ  เราไม่มีทางเติบโตหรอก  เพราะเราจะไม่รู้จักอดทน  ไม่รู้จักแบ่งปัน  ไม่รู้จักอดกลั้น ไม่รู้จักการรอคอย  ที่สำคัญเราจะรักใครไม่เป็น   เราจะไม่มีทางได้ฝึกฝนหรือเรียนรู้ที่จะรักแบบพระเยซู   เพราะพระเยซูไม่ได้เลือกที่จะรักเฉพาะคนดีๆหรือคนที่น่ารักเท่านั้น  แต่พระองค์ทรงรักคนบาป..อย่างพวกเราและมนุษย์ทุกคน  เพราะฉะนั้น  ถ้าไม่ออกจากบ้าน..มาปฎิสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์  ไม่มีส่วนร่วมกับชุมชนหรือสังคมไหนๆเลย   เราก็จะไม่ได้เจอคนที่เห็นแก่ตัว  ไม่ได้เจอคนขี้โกง  ขี้อิจฉา  ขี้ใจน้อย  ขี้บ่น  คือเราจะไม่มีโอกาสเจอคนนิสัยแย่ๆ..แล้วเราจะไปฝึกความอดทนตอนไหน..
ดู 2โครินธ์ 4:16-17  “..เพราะการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆบนโลกนี้เรารับแค่ประเดี๋ยวเดียว  แต่จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์”  ซึ่งมันคุ้มจะตาย   เด็กๆจำไว้ว่า..ปัญหาเป็นแค่เครื่องมือที่พระเจ้าใช้ในการฝึกฝนให้เรารู้จักอดทน  ดึงให้เราเข้าใกล้และไว้วางใจพระองค์มากขึ้น   เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราออกห่างพระเจ้า  หรือเผลอไปให้ความสำคัญกับบางสิ่งมากกว่าพระองค์  พระเจ้าก็จะเอาสิ่งนั้น..ออกไปจากชีวิตเราแล้วใส่ปัญหาเข้ามาแทน  และในเวลาที่เราไม่เหลืออะไร  ไม่มีใครช่วยได้  หรือมองไม่เห็นทาง  เราก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจนที่สุด   
ดังนั้น อย่าท้อถอยหรืออ่อนระอาใจในเวลาที่เกิดปัญหา  เพราะข้อที่ 16 บอกว่า “..ถึงกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” ...ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มสุดๆ  เพราะกายภายนอกมันเป็นสิ่งที่จะอยู่แค่ชั่วคราว  แต่จิตวิญญาณที่จำเริญขึ้นใหม่ต่างหาก..ที่จะอยู่กับเราถาวรนิรันดร์  เพราะงั้น บนโลกนี้เราจะมีรูปร่างหน้าตาหรือมีอาชีพอะไร..ฐานะจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญ  เพราะสิ่งที่เราจะเอาติดไปสวรรค์คือ จิตวิญญาณที่ถูกสร้างใหม่ให้มีความไพบูลย์เหมือนพระคริสต์  ไม่ใช่อาชีพ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเงินทอง
หัวข้อสุดท้ายที่เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนอีกสักนิด ก็คือ “เรื่องของการรับบัพติศมาในน้ำ” 
ดู มัทธิว 28:18-20  “..เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์”  การรับบัพติศมาของคริสเตียนเป็นการแสดงออกทางภายนอก..ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในชีวิตและจิตวิญญาณของผู้เชื่อ  เล็งถึงการมีส่วนร่วมในการวายพระชนม์ของพระคริสต์  การฝัง  รวมถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์    
บัพติศมาในน้ำเป็นขั้นตอนการสำแดงออกถึงความเชื่อฟัง  หลังจากที่เรารับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว  พระคำภีร์บอกว่า “..ให้ทุกคนที่เชื่อรับบัพติศมาด้วยน้ำ  ไม่ใช่แค่นั้น  พระเยซูเองก็ยังทำเป็นตัวอย่าง  ด้วยการไปรับบัพติศมากับยอห์น “   เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องสำคัญมาก    ถามว่า รับเชื่อแล้ว  ไม่บัพติศมาแล้วจะไม่รอดหรือ  น้าตุ๊กว่า..ก็ไม่ใช่  แต่การบัพติศมาเป็นเหมือนกับการแสดงออกหรือการประกาศตัวว่าเราเป็น”คนของพระเยซู”  ได้รับการไถ่จากการตายที่ไม้กางเขนของพระองค์แล้ว   แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ต้องเปรียบการรับเชื่อในพระคริสต์เป็นการแต่งงาน  ส่วนบัพติศมาเป็นเหมือนการสวมแหวนแต่งงาน   ซึ่งถ้าเราแต่งงานแล้ว  แค่ไม่สวมแหวน..เราก็ยังเป็นคนที่แต่งงานแล้วอยู่ดี    แต่การสวมแหวนเป็นเหมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า”ฉันแต่งงานแล้ว”  “ฉันมีเจ้าของแล้ว” “ฉันเป็นของพระเจ้า” ประมาณนั้น 
แต่สรุปก็คือ ทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้  เราต้องทำตามอย่างเคร่งครัด   ไม่ใช่เพราะน้ำที่ใช้ในการบัพติศมาเป็นน้ำวิเศษหรือศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิปาฏิหารย์อะไร..ไม่ใช่   แต่หัวใจที่เราจะได้รับความรอดมันอยู่ที่”การเชื่อฟัง”   พระเจ้าสั่งอะไร..ทำตาม  จะเข้าใจ..ไม่เข้าใจก็ทำตาม  อย่างนั้นถึงจะได้ชื่อว่า “มีความเชื่อ” 
                              ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น