วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่11 อาทิตย์ที่ 21:8:2011

เรากำลังอยู่ที่เรื่องราวของ”เอลียาห์”ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า..รัชกาลของก.อาหับในหนังสือ1พกษ. เอลียาห์กำลังอยู่กับความรู้สึกล้มเหลว..หมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะเมื่อพระเจ้าทรงนำให้สำแดงความอัศจรรย์มากมายต่อชาวอิสราเอลแล้ว เอลียาห์ก็”คาดหวัง”การฟื้นฟูใหญ่ในอิสราเอล เอลียาห์คิดว่าก.อาหับรวมทั้งคนอิสราเอลจะต้องคิดได้แล้วกลับใจใหม่ เพราะบนภ.คารเมล ทุกคนได้เห็นแล้ว..ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน พระเจ้าชนะพระบาอัล คำพูดทุกคำที่พระเจ้าตรัสผ่านเขา..ก็เป็นความจริงทั้งหมด..ไม่ได้ผิดไปซักคำเดียว อะไรๆก็น่าจะจบลงอย่างสวยงาม แต่!มันผิดคาด เพราะเมื่ออาหับกลับมาเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เยเซเบลฟังแล้ว เยเซเบล..ไม่เก็ทเลย แล้วก็ไม่ได้สนใจรายระเอียดที่อาหับเล่าด้วยซ้ำ เยเซเบลรู้สึกเสียหน้า..ที่อาหับปล่อยให้เอลียาห์ฆ่าปุโรหิตพระบาอัลตายหมด..อย่างงี้มันมันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ เยเซเบลเลยสั่งการไป..ถ้าฉันฆ่าเอลียาห์ไม่ได้..จะไม่ขออยู่เป็นคน ถ้าฉันอยู่..แกต้องตาย เท่านั้นล่ะ!เอลียาห์ ถอดใจเลย..ไม่เอาละ..งานรับใช้ ทำไปแล้วรู้สึกสูญเปล่า ทุ่มสุดตัวก็ไม่เห็นจะได้อะไร ไม่เห็นใครจะกลับใจใหม่ อย่างงี้จะยืนหยัดอยู่ทำไม..หนีดีกว่า เอลียาห์เลยหนีไปที่เอเบอร์เชบา ไปหลับอยู่ใต้ต้นซาก แต่อาการอย่างนี้ น้าตุ๊ก..เรียกว่าสลบดีกว่า พระเจ้าก็ทรงเมตตา..เข้าใจความรู้สึกทุกอย่างของเอลียาห์ พระองค์ก็ให้ทูตสวรรค์มาปรนนิบัติเอลียาห์..เหมือนพ่อดูแลลูก ณ.เวลานั้น เอลียาห์กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน อยู่อย่างงั้น จนมีกำลังขึ้นมาอีกครั้งนึง..

ดู1พกษ.19:8-9 หลังจากที่ได้กินอิ่มนอนหลับเต็มที่แล้ว..เอลียาห์ก็ออกเดินไปยังภ.โฮเรบสี่สิบวัน..สี่สิบคืนโดยที่ไม่ได้กินหรือดื่มอะไรอีกเลย พระคำภีร์บอกว่าเอลียาห์ไปด้วยกำลังของอาหารที่ทูตสวรรค์เอามาเลี้ยง ภ.โฮเรบนี้ อีกชื่อก็คือ..ภ.ซีนาย เด็กๆน่าจะจำได้ เพราะซีนายเป็นภ.ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล..เป็นที่ๆโมเสสได้พบกับพระเจ้า เป็นที่ๆพระเจ้าประทานพันธสัญญาให้กับชนชาติอิสราเอล..ให้พวกเขาได้เป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรร พระบัญญัติสิบประการหรือแม้แต่รูปแบบของพลับพลาพระเจ้าก็ทรงประทานให้กับอิสราเอลที่ภูเขานี้ ซีนายหรือโฮเรบเลยถูกเรียกว่า”เป็นภูเขาของพระเจ้า” เพราะฉะนั้น ตอนนี้เอลียาห์กลับมายืนอยู่ในจุดเดียวกัน..จุดที่มีความสำคัญมากกับประวัติศาสตร์ของอิสราเอล แล้วพระวจนะของพระเยโฮวาห์มาถึงเอลียาห์ และพระเจ้าตรัสกับท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่" ..มาทำอะไรที่นี่ ข้อที่10 เอลียาห์ก็บอกว่า..ข้าพระองค์อุตส่าห์ร้อนรนต่อสู้รับใช้เพื่อพระองค์ แต่คนอิสราเอลกลับทอดทิ้งพระเจ้า..เหลือเขาคนเดียว..ตอนนี้เขาเหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วยังถูกตามฆ่าอีก” เอลียาห์ออกอาการบ่นกับพระเจ้า เราเคยบ่นกับพระเจ้ามั๊ย น้าตุ๊กเคยนะ..ยอมรับตามตรง เพราะบางสถานการณ์มันหนักสำหรับเรา แล้วเนื้อหนังเราก็อ่อนแอเกินกว่า..”จะนิ่ง” ถามว่าพระเจ้าโกรธมั๊ย..ไม่โกรธเลย ถ้าเราบ่น..งอน..หรือมีความกังวลที่เกิดมาจาก”ความอ่อนแอของเนื้อหนัง..ไม่ใช่หัวใจที่กบฎ”

ดู1พกษ.19:11-12 พอเอลียาห์บ่นกับพระเจ้าพระองค์บอก..งั้นออกไปยืนบนภูเขา ข้อที่11บอกว่า มีลมพัดแรงมากจนหินแตกเป็นก้อน..แต่พระเจ้าหาได้สถิตในลมนั้น จากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระเจ้าก็ไม่ได้สถิตในแผ่นดินไหวนั้น แล้วหลังจากแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในไฟ ภายหลังจากไฟถึงได้มี”เสียงเบาๆ” เสียงเบาๆเท่านั้นเอง หลายครั้งมนุษย์ชอบคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่น่าจะอยู่ในการอัศจรรย์ที่มันดูยิ่งใหญ่อลังการ หรือสถิตในวิหารที่คราคร่ำไปด้วยเครื่องสัตวบูชา..ควันธูปหรือเสียงสวดภาวนา แต่จริงๆแล้ว..ไม่เสมอไป ลอง"นิ่ง"และ"พินิจ"ดูความอภิสุทธิ์ของธรรมชาต แล้วคุณจะพบ.."พระเจ้า" เมื่อเวลาพระองค์ตรัส..พระองค์ก็ตรัสในใจเราเบาๆ เพราะงั้น..ต้องฟังให้ดี แล้วหลายครั้ง พระเจ้าก็สำแดงพระองค์ในความเงียบ..ในเวลาที่นิ่งสงบ ดังนั้น เวลาที่เรามีปัญหา..ให้เราปลีกตัวออกจากความสับสนวุ่นวาย..ตัดทุกอย่างออกจากความคิดก่อน ไปกินนอน..กินนอนเหมือนเอลียาห์ก็ได้..เมื่อรู้สึกมีแรงมากขึ้นแล้วจงก้มศีรษะอธิฐานต่อพระเจ้า ข้อที่13 เมื่อพระเจ้าทรงตรัสอีกครั้งเอลียาห์ก็เอาผ้าคลุมหน้าแล้วไปยืนที่ปากถ้ำ พระเจ้าก็ถามอีก..”ว่าเอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เอลียาห์ก็ตอบแบบเดิมเลย “ว่า..เนี่ย เขาร้อนรนรับใช้พระองค์ แต่มันไม่มีประโชน์อะไรเลย ใครๆเขาก็ทิ้งพระองค์กันไปหมด เหลือแต่เขาคนเดียว แล้วตอนนี้..ก็ยังถูกเยเซเบลตามฆ่าเอาชีวิต เอลียาห์ยังยืนยันว่าเขารู้สึกผิดหวัง หมดกำลังใจ หมดความั่นใจ หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากผิดหวังเหมือนเอลียาห์..ก็จงอย่าคาดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวมนุษย์เพราะมันหวังไม่ได้ พระเจ้าให้ทำอะไรก็ทำ..แน่นอนทุกอย่างที่พระเจ้าให้ทำ..จะต้องสำเร็จแน่นอน..แต่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า..ไม่ใช่ตามใจเรา พระคำภีร์ก็บอกไว้ “ว่าเราเป็นคนปลูก อีกคนรดน้ำ แต่ผู้ที่ทำให้จำเริญขึ้นคือพระเจ้า” ไม่ใช่เรา..

ดู1พกษ.19:15-16 ในขณะที่เอลียาห์หมดหวัง..หมดความมั่นใจในตัวเอง แต่พระเจ้ายังคงเชื่อมั่นในเอลียาห์และพวกเราด้วย พระองค์บอกเอลียาห์ว่า กลับไปเถอะ กลับไปยังทางที่เจ้ามา มาทางไหน..ไปทางนั้น ถึงจะรู้สึกล้มเหลวบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ลุกขึ้นแล้วไปต่อ.. จากนั้น พระเจ้าก็ได้มอบหมายงานรับใช้ที่สำคัญให้เอลียาห์ทำอีก คือ ไปเจิมตั้งคนสามคน คนแรกก็คือให้เขาไปเจิม”ฮาซาเฮล”ให้เป็นกษัตริย์เหนือซีเรีย (น่าสนมาก จุดนี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทรงกระทำการอยู่เหนือชนทุกชาติ ไม่เฉพาะแต่อิสราเอลเท่านั้น) คนที่สองคือให้ไปเจิม”เยฮู”เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และสุดท้าย คือเจิม”เอลีชา”ให้เป็นผู้เผยวจนะในอิสราเอลต่อจากเอลียาห์ และต่อไปเราจะเห็นว่าสามคนนี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมาก ตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ทั้งหมดก็คือ”พระเจ้า” และปรากฎว่า เมื่อพระเจ้าสั่ง..เอลียาห์ก็เชื่อฟังแล้วก็ทำตาม นี่คือ แบบอย่างที่ดี..เพราะไม่ว่าจะเหนื่อยหรือเบื่อแค่ไหน เอลียาห์ก็ยังเชื่อฟังและทำตามที่พระเจ้าสั่ง ดังนั้น ต่อไปเราจะเห็นว่าเอลียาห์เป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่แล้วก็พิเศษกว่าคนอื่น เพราะเขาเป็นผู้ที่ไม่ต้องพบกับความตาย..แต่พระเจ้ารับเอลียาห์ไปสวรรค์ทั้งที่มีชีวิตอยู่..(สุดยอด)

ดู1พกษ.19:19-20 คนแรกที่เอลียาห์มาเจิมตั้งตามคำสั่งของพระเจ้าก็คือ”เอลีชา”เอลียาห์ มาพบเอลีชา..ขณะที่เขากำลังไถนาอยู่ด้วยวัว12คู่..ไม่ธรรมดานะ (ปกติเขาไถนากันใช้วัวกี่ตัว..อันนี้น้าตุ๊กไม่แน่ใจเหมือนกัน) และเมื่อเจอเอลีชาแล้ว..เอลียาห์ทำไง“ทิ้งเสื้อคลุม” ลงบนเอลีชา อันนี้เป็นสัญญาณที่คนอิสราเอลเข้าใจดี..ว่าเป็นการเรียกให้ตามมา เพราะเสื้อคลุมเป็นสัญญลักษณ์ของ”สิทธิอำนาจ” (เหมือนอย่างที่โยนาธาน..ลูกก.ซาอูล ยอมถอดเสื้อคลุมมอบให้ดาวิด เพื่อเป็นการสำแดงว่า..เขายอมรับว่าดาวิดจะเป็นกษัตริย์คนต่อไปของอิสราเอล) พอเอลีชาเห็นอย่างงั้น..เขาก็บอกเอลียาห์ว่า..ขอไปลาพ่อกับแม่ก่อนแล้วเขาจะไปกับเอลียาห์ทันที เพราะทุกคนในอิสราเอลรู้ว่าเอลียาห์เป็นใคร..เอลียาห์เป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่มาก เขาเป็นคนที่เรียกไฟตกมาจากฟ้า..อธิฐานแล้วฝนก็ตกลงมา แล้วก็ยังเคยอธิฐานแล้วคนตายก็ฟื้นขึ้นมา พระเจ้าทำการอัศจรรย์ผ่านเอลียาห์เยอะมาก เอลียาห์จึงเป็นที่ยอมรับอย่างมากในอิสราเอล..ไม่มีใครไม่รู้จักเอลียาห์ เพราะฉะนั้น เมื่อเขามาเรียกเอลีชา..เอลีชาเลยตัดสินใจเดินตามทันที แล้วก็เดินตามอย่าง”ไม่หันหลังกลับด้วย” เพราะไร..ข้อที่21 บอกว่า”และเอลีชาก็กลับจากติดตามเอลียาห์ แล้วเขาก็จับวัวคู่นั้นฆ่าเสียเอาเครื่องแอกต้มเนื้อวัว และให้แก่ประชาชนและเขาก็รับประทาน..” กลับมาฆ่าวัว..แล้วเอาอะไรเป็นเชื้อเพลิง..เอาแอกซึ่งเป็นเครื่องมือหากินอ่ะ..แทนฟืนในการต้มวัว เรียกว่าทุบหม้อข้าวตัวเองเลย..ไม่เอาแล้วอาชีพเดิม จากนี้ไปจะไม่กลับมาไถนาอีกแล้ว ต่อไปจะตั้งใจรับใช้พระเจ้าอย่างเดียว..นี่คือ ความหมายของข้อนี้

แล้วก็มาถึงสงครามระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย..อีกครั้งนึง

ดู1พกษ.20:1-3 ข้อนี้ บอกว่า “ก.เบนฮาดัดแห่งซีเรียได้รวมตัวกับกษัตริย์อีก32องค์..ยกทัพมาล้อม”สะมาเรีย”..เมืองหลวงของอิสราเอลไว้ พร้อมทั้งยื่นเงื่อนไขบางอย่างซึ่งเป็นการกดดันอิสราเอลอย่างมาก อาหับจึงรับไม่ได้กับข้อเสนอของเบนฮาดัด อาหับบอกว่า..ข้อเสนอตอนแรกน่ะ..ก็พอจะรับได้ แต่อันหลังที่บอกมานั้น..รับไม่ได้จริงๆ เพราะข้อที่6 เบนฮาดัดให้คนมาบอกอาหับว่า “ข้าพเจ้าจะส่งข้าราชการของข้าพเจ้าไปหาท่านพรุ่งนี้ และเขาทั้งหลายจะค้นวังของท่าน ทั้งบ้านเรือนข้าราชการของท่าน สิ่งใดที่เป็นที่ชอบตาของท่าน เขาจะหยิบเอาไป” ประมาณว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะส่งลูกน้องไปที่สะมาเรียนะ แล้วพวกเขาก็จะค้นวัง กับบ้านเรือนของพวกข้าราชการ และถ้าคนของเขาอยากได้หรือถูกใจอะไรก็ต้องปล่อยให้หยิบกันตามสบายนะ..โอโห!พูดอย่างงี้ ด้วยความเคารพ..สมัยนี้ต้องบอกว่า “ให้เอาเท้ามาถีบหน้ากันดีกว่า..เพราะมันดูถูกกันมากเกินไป” พออาหับไม่ยอม ข้อที่10 เบนฮาดัดเลยใช้คนมาขู่อีก..ว่า”ถ้าผงคลีแห่งสะมาเรียจะพอแก่คนที่ติดตามข้าพเจ้ามาสักคนละหยิบมือหนึ่ง ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษข้าพเจ้าและให้หนักยิ่งกว่า".. ถ้าในสะมาเรียยังเหลือฝุ่นพอให้คนของเขาแค่คนละกำมือ ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษเขา หมายความว่า เขาจะทำลายสะมาเรียให้สิ้นซาก..ไม่ให้เหลือแม้แต่ฝุ่นเลย ข้อที่11อาหับก็โต้กลับไป “ขอท่านผู้ที่สวมเกราะ อย่าอวดอ้างอย่างผู้ที่ถอดเกราะแล้วเลย” แปลว่า อย่าเพิ่งคุยล่วงหน้า..ยังไม่ได้รบกัน..ก็อย่าเหมาว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายชนะ

ดู1พกษ.20:13-14 ข้อนี้ กล่าวถึงผู้เผยพระวจนะอีกคนในอิสราเอล..ที่มาหาอาหับในขณะที่สะมาเรียถูกกองทัพของซีเรียกดดัน พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนนี้มาหาอาหับแล้วบอกว่า..”พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าเห็นกองทัพใหญ่นี้หรือ ดูเถิด เราจะมอบไว้ในมือของเจ้าในวันนี้ เจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์" คือ พระองค์จะช่วยให้อิสราเอลรบชนะซีเรีย จุดนี้ ทำให้เราอดคิดไม่ได้ เพราะอาหับนี่ชั่วร้ายมะ..ชั่วร้ายมากแต่จะชั่วร้ายแค่ไหน พระเจ้าก็ยังคงเมตตาเพราะเห็นแก่คนอิสราเอล ข้อที่14 อาหับถามว่า..”พระเจ้าจะใช้ใคร” ผู้เผยพระวจนะก็บอกว่า..”มหาดเล็ก” อาหับก็ถามอีกว่า”แล้วใครจะเริ่มรบ” ผู้เผยพระวจนะก็บอกว่า”พระองค์” ก็คือ อาหับเอง..ที่จะต้องนำทัพออกไป อาหับก็เชื่อฟัง..เขาก็จัดกองทัพไปแล้วออกรบก็ปรากฎว่า..ชนะ ชนะได้ไง..ข้อที่16 บอกว่า ทั้งเบนฮาดัดกับกษัตริย์อีก32องค์ “กำลังดื่มเมาอยู่ในทับอาศัย” กำลังเมากันอย่างเต็มขนาด คือ ประมาทมาก..เพราะคิดว่ายังไงอิสราเอลก็อยู่ในกำมือ..จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด กระดูกคนละเบอร์..ทั้งกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างกันมาก มองตามสติปัญญามนุษย์แล้วอิสราเอลไม่มีอะไรสู้ซีเรียได้เลย..เบนฮาดัดเลยประมาท ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่ออิสราเอล เพราะในพระเจ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ และเมื่อพระองค์เผยพระวจนะ..ก็ต้องเป็นตามนั้นเสมอ

ข้อที่ 22 บอกว่า พอชนะแล้วผู้เผยพระวจนะก็มาอีกแล้วบอกอาหับว่า..อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ เพราะเดี๋ยวปีหน้าเบนฮาดัดจะยกมาอีก แล้วก็มาจริงๆ..

ดู1พกษ.20:23-25 คราวนี้เบนฮาดัดวางแผนใหม่ ตั้งใจจะไปรบกับอิสราเอลในที่ราบ ทำไมพวกเขาจึงคิดเปลี่ยนแผน..ข้อที่20 พวกที่ปรึกษาของเบนฮาดัดบอกว่า..”พระทั้งหลายของเขาเป็นพระแห่งภูเขา เขาทั้งหลายจึงแข็งกว่าเรา แต่ขอให้เราสู้รบกับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว” คือ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา เพราะฉะนั้น ถ้ารบตามภูเขาเนี่ย แพ้แน่ๆ..ไม่มีทางสู้อิสราเอลได้ ต้องเปลี่ยนแทซติกใหม่..ไปรบในที่ราบ..ถ้ารบที่ราบต้องชนะแน่ เพราะพระเจ้าของอิสราเอลคงมาช่วยไม่ได้ (นี่คือ วิถีและความเชื่อของคนต่างชาติหรือคนที่ไม่มีพระเจ้า ทุกวันนี้พวกเขาก็ยังมีวิถีอย่างงี้อยู่ คือ พระ..องค์นั้นช่วยเรื่องนี้ พระ..องค์นี้ช่วยเรื่องนั้น ถ้าอยากรวยต้องไปหาเจ้านึง อยากมีลูกก็ต้องไปหาอีกเจ้านึง แล้วพวกเขาก็ไม่เคยเฉลียวใจว่า..ถ้าพระที่ใหญ่จริงน่าจะช่วยได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีเจ้าไหนที่ช่วยได้ทุกอย่างเพราะพระเหล่านั้นคือพระเทียมเท็จ พระเจ้าเที่ยงแท้มีแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา) ในเมื่อคนซีเรียคิดอย่างงั้น คิดว่าพระเจ้าเป็นแค่พระเจ้าแห่งภูเขา..ถ้าไม่ได้อยู่บนภูเขา..พระเจ้าก็จะช่วยไม่ได้ ข้อที่28 พระองค์เลยใช้ผู้เผยพระวจนะไปบอกอาหับว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะคนซีเรียได้กล่าวว่า `พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าแห่งภูเขา พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าแห่งที่ลุ่ม ดังนั้นเราจะมอบประชาชนหมู่ใหญ่นี้ไว้ในมือของเจ้า และเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์" ให้มันรู้กันไป..ว่าจะมีอะไรมาจำกัดฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้ ในเมื่อพวกต่างชาติคิดอย่างงั้น พระองค์จะทำให้รู้ว่าพระเจ้าของอิสราเอลเป็นของจริงและยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีอะไรมาจำกัดฤทธานุภาพของพระองค์ได้..ไม่ว่าจะเป็นสถานที่..เวลาหรือสถานการณ์แบบไหน..พระเจ้าก็ช่วยได้เสมอ แล้วครั้งนี้ซีเรียก็พ่ายแพ้ต่ออิสราเอลอีกครั้ง..ข้อที่29 บอกว่า “อิสราเอลก็ฆ่าคนซีเรียซึ่งเป็นทหารราบเสียหนึ่งแสนคนในวันเดียว

ดู1พกษ.20:31-32 หลังจากที่ซีเรียต้องแพ้อิสราเอลอีกครั้งนึง ข้อที่31 บอกว่า..มีข้าราชการคนนึงมาทูลเบนฮาดัดว่า เขารู้มาว่าอาหับเป็นคนใจอ่อน ก็เลยวางแผนกันด้วยการนุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกพันศีรษะอะไรต่างๆ แล้วไปขอยอมแพ้แต่โดยดี..อาหับจะได้ไว้ชีวิต ปรากฎว่า..ได้ผลจริงๆ เด็กๆดูตามไปในข้อที่32-34 จะเห็นว่ามีการตกลงเป็นพี่..เป็นน้อง แล้วก็ทำสนธิสัญญาอะไรต่างๆร่วมกัน ทั้งๆที่ซีเรียก็สร้างปัญหาให้อิสราเอลมากมายเหลือเกิน แต่อาหับยังใจอ่อนยอมปล่อยให้เบนฮาดัดลอยนวลอยู่ และสิ่งนี้พระเจ้าไม่พอพระทัย พระองค์เลยส่งผู้เผยพระวจนะมาอีกครั้งนึง..แต่ครั้งนี้ดูจะซับซ้อนนิดนึง เด็กๆดูตามไปในข้อที่35 บอกว่า ผู้เผยพระวจนะคนนี้..ไปขอให้เพื่อนทำร้ายร่างกายเขา (ตามคำสั่งของพระเจ้า)..เพื่อที่ตามตัวจะได้มีแผล..ดูสมจริง คำพิพากษาของพระเจ้าจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เพื่อนคนแรกปฏิเสธไม่ยอมทำ..ก็เลยถูกสิงโตกัดตาย และในเมื่อคนแรกไม่ยอมทำ..ก็เลยต้องไปหาอีกคน ปรากฎว่าคนที่สองนี้ยอมทำ..ผู้เผยพระวจนะก็เลยได้มีแผลตามตัวสมจริง จากนั้น..ผู้เผยพระวจนะก็ไปหาก.อาหับ..

หมดเวลาแล้วค่ะ สัปดาห์หน้าพบกันนะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น