วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ 22:5:2011

ดู 1พกษ.2:10-11 แล้วดาวิดก็บรรทมหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ..เป็นอันปิดฉากตำนานความยิ่งใหญ่ของก.ดาวิดแห่งอิสราเอล [A man after God’s own heart] บุรุษย์ผู้เข้าถึงพระทัยและกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้ามากที่สุด.. พูดแล้วก็ใจหาย เพราะการได้เรียนรู้เรื่องของเขา..ทำให้เรารู้สึกผูกพัน แล้วพระคำภีร์ก็ได้สำแดงให้เราเห็นว่าดาวิดยิ่งใหญ่จริงๆ ตราบจนทุกวันนี้ในอิสราเอลไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าดาวิดอีกแล้ว ลองดูที่ธงชาติของประเทศอิสราเอลก็ได้ ทุกวันนี้ยังเป็นรูป”ดาวดาวิดหรือดาวหกแฉก” อยู่ นี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า”ดาวิดคือภูมิใจของคนอิสราเอลจริงๆ ข้อที่10 บอกว่า..”เขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด” ปัจจุบันหลุมศพก็ยังอยู่..ที่นครดวิด คือ “เยรูซาเล็ม” ใครที่ไปเที่ยวอิสราเอล..ถ้าเป็นคริสเตียนจะไม่ค่อยพลาด..ส่วนใหญ่ก็ต้องไปเที่ยวชมสุสานของดาวิด..ถือเป็นไฮไลท์ของทริป

กลับมาที่หนังสือพงศ์กษัตริย์ หลังจากที่ดาวิดตายไปแล้วอาโดนียาห์ก็เหมือนจะไม่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะชิงบัลลังก์มาจากซาโลมอน ข้อที่13 บอกว่า..อาโดนียาห์ไปเข้าเฝ้านางบัทเชบา..ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง..คืออะไร

ดู1พกษ.2:15/16-18 ข้อที่13 บัทเชบาถามอาโดนียาห์ว่า..”เจ้ามาอย่างสันติหรือ”ประมาณว่า..”มีอะไรรึเปล่า..นี่มาดีใช่มั๊ย” อาโดนียาห์ก็บอกว่า”อ๋อ..มาดี..ไม่ได้มีปัญหาอะไร” ข้อที่15 อาโดนียาห์พูดกับบัทเชบาว่า..”พระองค์ก็รู้อยู่แก่ใจว่า..จริงๆแล้วอาณาจักรอิสราเอลเนี่ย!เป็นของเขา (แหม กล้าพูด) และชาวอิสราเอลก็อยากจะให้เขาได้ครองบัลลังก์ แต่ยังไงๆตอนนี้อิสราเอลก็เป็นของซาโลมอนแล้ว เขาก็แค่อยากจะขออะไรซักอย่าง.. อาโดนียาห์ขออะไร ข้อที่17 บอกว่า..”คือทูลขออาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายา" ฟังแล้วรู้สึกยังไง เพราะใครๆเขาก็รู้..ว่าสนมหรือนางในของพระราชา..เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสมบัติที่คู่กับบัลลังก์ของกษัตริย์..ไม่มีใครเขาขอกันหรอกนอกจากจะคิดไม่ดี..หรืออยากจะตีเสมอ ดังนั้น หลายคนในพระคำภีร์ก็จะใช้วิธีนี้เป็นสัญญาณของการตั้งตัวเป็นกบฎ จะชิงอำนาจจากพระราชา อาโดนียาห์ไม่ใช่คนแรกที่ทำอย่างงี้..

ดู 2ซมอ.3:7 กับ 2ซมอ.16:21 ใน 2ซมอ.บทที่3 ที่เราเรียนจบไป ก็มีคนนึงที่ทำอย่างงี้ คือ “อับเนอร์” อับเนอร์เป็นแม่ทัพของซาอูล พอซาอูลตายเขาก็สถาปนาอิชโบเชท.. ลูกของซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่อิชโบเชทก็เป็นแค่หุ่นเชิด..คนที่ควบคุมอยู่หลังบัลลังก์จริงๆก็คือ”อับเนอร์” แล้วพออับเนอร์เปลี่ยนใจจะแปรพักตร์มาอยู่ข้างดาวิด เขาก็บอกดาวิดว่า..เขาจะเอาบัลลังก์ของอิสราเอลมามอบให้..ทั้งที่ตอนนั้น อิชโบเชทยังอยู่บนบัลลังก์ แล้วอับเนอร์ทำไง..เบื้องต้นเขาใช้วิธีนี้แหละ..คือเข้าหาสนมของซาอูล เป็นเครื่องหมายที่จะบอกใครๆว่า..”ชั้นต่างหากที่กุมอำนาจอยู่เหนือบัลลังก์ของอิสราเอล..อิชโบเชทไม่ได้มีความหมายอะไร

อีกตัวอย่างนึง เด็กๆน่าจะยังจำได้ ใน2ซมอ.16 ตอนที่อาหิโธเฟลบอกให้อับซาโลมเข้าหาสนมที่ดาวิดทิ้งไว้เฝ้าวัง ครั้งนั้น ชัดเจนมากเพราะเขากางเต๊นท์นอนกับพวกสนมของพ่อบนหลังคาพระราชวังเลย เป็นการประกาศให้รู้ว่า”เขายึดบัลลังก์ของพ่อแล้ว”

ที่ต้องย้อนกลับไปดูตัวอย่างเก่าๆก็เพื่อให้เด็กๆเห็นภาพชัดเจน..ว่าตอนนี้ อาโดนียาห์คิดอะไรอยู่ แต่บัทเชบาก็พาซื่อไม่รู้ทันอะไรเลย..อาจจะมองคนในแง่ดี หรือคิดว่าเขารักกัน เพราะข้อที่ 18 บอกว่า บัทเชบารับปากดิบดีว่าจะขอนางอาบีชากจากซาโลมอนให้อาโดนียาห์..

ดู1พกษ.2:21-22 “..น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย” พอบัทเชบาออกปากขออาบีชากให้อาโดนียาห์ปุ๊บ..ซาโลมอนขึ้นเลย บัทเชบาอาจจะไม่รู้ทัน แต่ซาโลมอนเป็นคนฉลาด ฟังปุ๊บรู้ทันที..ไอนี่คิดไม่ดีละ ข้อที่ 22 ซาโลมอนเลยพูดว่า..”ไฉนเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้แก่อาโดนียาห์เล่า น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย” ขอทำไมแค่นางสนม..ขอบัลลังก์ให้เขาไปเลยสิ ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะพูดกันประมาณว่า “ถ้าพูดอย่างงี้ เอาปืนมายิงกันเลยดีกว่า555 ซาโลมอนโกรธจัด คราวที่แล้วก็ยกให้ไปทีละ..อาโดนียาห์ก็ยังไม่สังวรณ์ อย่างงี้เห็นทีจะเลี้ยงไม่ได้..ซาโลมอนเลยจำเป็นต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับอาโดนียาห์ เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะชิงบัลลังก์

ดู1พกษ.2:24-25 ข้อที่ 23 ซาโลมอนปฎิญาณในนามพระเจ้าว่า..”ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์เสียชีวิตของเขาแล้ว ขอพระเจ้าลงโทษผมและให้หนักยิ่งกว่า” แปลว่า ต้องฆ่าอาโดนียาห์ให้ได้ ถ้าวันนี้เขาไม่ฆ่าอาโดนียาห์ก็ขอพระเจ้าลงโทษเขา อันนี้ ก็แสดงให้เห็นสติปัญญาของซาโลมอนเหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้คิดเหมือนบัทเชบา โอเค..ถ้าดูเผินๆ การกระทำของบัทเชบาดูจะใสซื่อ..เหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จะเพราะเป็นคนจิตใจดีมองโลกในแง่ดี แต่ถ้าคิดอีกทีไม่รู้ว่าอย่างงี้เรียกว่า ”ซื่อ หรือ...อะไรกันแน่ พระเยซูคริสต์ทรงเคยสอนเรื่องนี้ไว้ดูมัทธิว10:16 ว่า..”เหตุฉะนั้น จงฉลาดเหมือนงู แต่ไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ” จริงๆในหนังสือปัญญาจารย์ก็เขียนไว้คล้ายๆกัน แต่จะยังไม่พูดถึง..เพราะสอนยากมาก..แล้วก็เข้าใจยากด้วย ถ้าไม่มีคำพูดที่คลอบคลุมความหมายได้ชัดเจน..น้าตุ๊กจะไม่สอน เพราะฉะนั้น ตอนนี้เอาแค่ข้อนี้ก่อน ”ฉลาดเหมือนงู แต่สุภาพเหมือนนกพิราบ” คือยังไง คือเราต้องรู้ให้ทันเล่ห์เหลี่ยมของโลก ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า..โลกก็คือที่ที่พระเจ้าสร้างให้มนุษย์อยู่ แต่พออาดามกับเอวาขัดคำสั่งพระเจ้า..โลกนี้ก็ตกลงไปในความบาป..มนุษย์ก็ตกเป็นทาสของเนื้อหนัง..การงานของเนื้อหนังก็จะคอยฉุดให้มนุษย์ทำบาป เพราะเราเป็นทาสมัน เรื่องใหญ่สุด ก็คือ เราถูกตัดขาดจากพระเจ้า นอกจากนี้ ก็ยังมีความบาปอื่นๆอีก เช่น.ไหว้รูปเคารพ..ล่วงประเวณี..อิจฉาริษยา..การทะเลาะวิวาท..และอีกหลายอย่าง ความชั่วร้ายทั้งหมดนี้เป็นของโลก เพราะฉะนั้น คำว่าโลกก็คือ ทุกอย่างที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกนี้ รวมถึงกิเลสตัณหาของมนุษย์ด้วย เพราะฉะนั้น ในทางพระเจ้า ส่วนใหญ่เราจะใช้ คำว่า”โลก” ในความหมายที่ค่อนข้างลบ อย่างในบริบทนี้ที่พระเยซูคริสต์บอกว่า “ดูเถิดเราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า..” นี่คือ คำที่พระองค์ใช้เปรียบเทียบในการที่คนของพระเจ้าต้องอยู่บนโลกใบนี้ เด็กๆคงนึกภาพออก “แกะ..ท่ามกลางฝูงหมาป่า” ก็ประมาณนักล่า..กับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆที่ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร พระเยซูคริสต์ทรงรู้ดีว่า โลกนี้เต็มไปด้วยการล่อลวงและเล่ห์เหลี่ยม คนของพระองค์เลยต้องอยู่ให้ฉลาดเหมือนงูแต่ไม่มีภัยหรือสุภาพเหมือนนกพิราบ” จะมองโลกแง่ดี..ไม่มีพิษภัยแต่..”ซื่อ”ไม่ทันคนเหมือนบัทเชบาคงไม่ได้ ถ้าซาโลมอนไม่ทันอีกคน..นึกภาพออกมั๊ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น .

ข้อที่25 บอกว่า..ซาโลมอนก็เลยต้องจัดการขั้นเด็ดขาด คือสั่งให้เบไนยาห์ไปฆ่าอาโดนียาห์..ในที่สุดอาโดนียาห์ก็ตาย เพราะเคยยกโทษให้ก็แล้ว เตือนก็แล้ว..ยังไม่เลิกคิดกบฎ เพราะฉะนั้น อาโดนียาห์ก็สมควรแล้วที่ต้องตาย.

ดู1พกษ.2:26-27 ข้อนี้บอกว่า..”ซาโลมอนปลดอาบียาธาร์ออกจากตำแหน่งปุโรหิต เสร็จแล้วก็เนรเทศให้กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด เพราะซาโลมอนรู้..ว่าอาบียาธาร์เป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดกับอาโดนียาห์ แต่เขาเป็นปุโรหิต..แล้วก็เคยปรนนิบัติก.ดาวิด ซาโลมอนก็เลยไว้ชีวิต แค่ปลดจากตำแหน่ง แต่ประเด็นสำคัญของข้อนี้ คือ การที่ซาโลมอนทำอย่างงี้เป็นการทำให้ “สำเร็จตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับวงศ์วานของเอลีที่เมืองชีโลห์ เรื่องอะไร..จำเอลีได้มั๊ย เอลีเป็นปุโรหิตตอนสมัยที่ซามูเอลยังเป็นเด็ก..

ดู1ซมอ.2:30 เอลีมีลูกสองคนที่เป็นปุโรหิตชั่ว คือ โฮฟนีกับฟีเนหัส สองคนนี้ชั่วร้ายมากใช้ตำแหน่งปุโรหิตแสวงหาผลประโยชน์ในพลับพลา เนื้อที่เขาเอามาถวาย จริงๆแล้วต้องถวายพระเจ้าก่อน..ต้องมีการเผาไขมันบนแท่นบูชาให้เรียบร้อย..เสร็จแล้วก็เอาไปต้ม ปุโรหิตถึงจะมาเอาส่วนของตัวเองได้..โดยเอาสามง่ามแทงลงไปในหม้อ..ได้ชิ้นไหนก็ชิ้นนั้น ไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ลูกของเอลีทั้งสองคนไม่ยอมให้ประชาชนทำตามกฎ กลับไปขู่เอาเนื้อส่วนที่ดีที่สุดก่อนที่เขาจะได้ถวายพระเจ้าด้วยซ้ำ แล้วยังล่วงประเวณีกับผู้หญิงที่อยู่หน้าพลับพลาอีกด้วย ทั้งที่เอลีก็รู้..แต่ก็ไม่ยอมเข้มงวดกับลูก ในที่สุดพระพิโรธของพระเจ้าและคำพิพากษาก็มาถึงวงศ์วานของเขา ข้อนี้ พระเจ้าทรงตรัสว่า “เราพูดจริงๆว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเข้าออกต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์ แต่บัดนี้ พระเจ้าทรงประกาศว่า “ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา” แปลว่า พระองค์ไม่เอาแล้ว..คนตระกูลนี้ ที่เคยสัญญาไว้พระองค์ยกเลิก เพราะเอลีกับลูกชายสองคนละเมิดข้อตกลงก่อนทำผิดกฎบัญญัติก่อน เพราะฉะนั้น การที่อาบียาธาร์ถูกปลดในบทที่2 ของหนังสือ 1 พกษ.นี้ จึงเป็นการทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นจริงเพราะ”เขาเป็นเชื้อสายของเอลี” อย่างปุโรหิตเมืองโนบ85คนที่ถูกซาอูลฆ่าก็เพราะ”พวกเขาเป็นเชื้อสายของเอลี”เช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราตั้งใจเรียนจริงๆเราจะรู้ว่า เราเองอาจจะลืมไปแล้วว่าพระเจ้าตรัสอะไรไว้บ้าง แต่..พระองค์ไม่เคยลืม พระวจนะของพระองค์จะต้องเป็นจริงเสมอ..อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

ดู1พกษ.2:28-29 คนต่อไปที่ซาโลมอนจะคิดบัญชีด้วย คือ โยอาบ ข้อนี้บอกว่า..โยอาบหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่แท่นบูชา แล้วก็ทำเหมือนอาโดนียาห์เลย..ครั้งแรกที่ซาโลมอนไว้ชีวิตอาโดนียาห์ เขาก็หนีไปที่แท่นบูชา..จับเชิงงอนของแท่นบูชาไว้ เป็นเครื่องหมาย..ขอความเมตตา ครั้งนี้โยอาบก็ทำเหมือนกันแต่ซาโลมอนสั่งให้เบไนยาห์ตามไปฆ่าเขา..ไม่ยกโทษให้ เบไนยาห์ก็ตามไป..แล้วก็บอกโยอาบว่าพระราชาสั่งให้ออกมา แต่โยอาบบอกว่า ไม่ออก..เขาจะตายที่นี่ เบไนยาห์เลยไปรายงานซาโลมอน ซาโลมอนเลยสั่งว่าถ้าไม่ออกมาก็ฆ่าเขาตรงนั้นเลย ข้อที่ 34 บอกว่า เบไนยาห์เลยต้องฆ่าโยอาบที่แท่นบูชา เสร็จแล้วก็ฝังศพไว้ที่บ้านของเขาในถิ่นทุรกันดาร จากนั้นข้อที่35 บอกว่า หลังจากที่จัดการกับอาบียาธาร์และโยอาบแล้ว ซาโลมอนก็ได้แต่งตั้งศาโดกขึ้นมาเป็นปุโรหิต แล้วก็ให้เบไนยาห์เป็นแม่ทัพแทนโยอาบ แต่ยังมีอีกคนที่ดาวิดสั่งให้คิดบัญชี

ดู1พกษ.2:36-37 ข้อนี้ บอกว่า..”ซาโลมอนให้คนไปตามชิเมอีมาแล้วสั่งว่า”ให้อยู่แต่ใน เยรูซาเล็ม..” ซาโลมอนคงจะเห็นว่า..ชิเมอีไม่ได้กบฎ ก็เลยให้โอกาสเขาแล้ววิธีของซาโลมอนก็เต็มไปด้วยสติปัญญา เขาสั่งให้ชิเมอีอยู่แต่ในเยรูซาเล็มห้ามออกไปไหนแล้วจะปลอดภัย แต่ถ้าวันไหนที่เขาก้าวออกจากเมือง..ตาย ชิเมอีก็โอเค..ยอมรับ เพราะรู้ตัวว่าความผิดของตัวเองก็ค่อนข้างอุกฉกรรจ์ เพราะโทษทัณฑ์ของคนที่ด่ากษัตริย์ จริงๆแล้วต้องถูกหินขว้างจนตาย เพราะฉะนั้น ซาโลมอนให้โอกาสขนาดนี้ก็ดีแล้ว แต่..เหมือนชิเมอีจะโชคไม่ดีหรือไม่ก็..ถึงคาด ข้อที่39 บอกว่า..อีกสามปีต่อมา ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น คือ ทาสคนนึงของชิเมอีเกิดหนีไปที่เมืองกัท (ของพวกฟิลิสเตีย) พอชิเมอีรู้เข้าก็จัดแจงขี่ลาออกไปตามหา”ด้วยตัวเอง” คงจะลืมตัวบวกกับความเสียดายทาสก็เลยทำให้เขา..ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับซาโลมอน ซาโลมอนเลยให้เบไนยาห์ประหารชีวิตชิเมอี (เกือบจะรอดอยู่แล้วเชียว)

ดู 1พกษ.3:1-3 ความผิดพลาดของซาโลมอนเริ่มจากบทที่3 นี้เอง ข้อที่1 บอกว่า “ซาโลมอนได้กระทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ทองแผ่นเดียวกัน..เข้าใจใช่มะ ก็คือ ไปแต่งงานกับลูกสาวฟาร์โรห์ พวกเราคิดว่าซาโลมอนคิดยังไง.. ก็ตอนนั้น อิสราเอลก็ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจเหมือนกันเพราะดาวิดสร้างผลงานไว้เยอะ ส่วนอียิปต์ก็ยิ่งใหญ่มาก่อนแล้วดินแดนก็ใหญ่กว่าอิสราเอลด้วย แถมมีพรมแดนติดกัน..ถ้าได้เชื่อมเป็นทองแผ่นเดียวกัน..อะไรจะเกิด ความยิ่งใหญ่ของทั้งสองอาณาจักรคงไม่มีใครเทียบได้ หลายคนก็จะใช้วิธีนี้..คือ ไปแต่งงานกับลูกของอีกบ้านนึง ยังไงก็จะสนิทเป็นเนื้อเดียวกันแน่นอน ซาโลมอนก็คงคิดอย่างงี้..แต่น่าเสียดาย เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ทรงประทานไว้ทางโมเสส คือ ไม่ให้ไปรับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยา..เพราะฉะนั้น ความผิดพลาดของซาโลมอนก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว..จากตรงนี้

ดู1พกษ.3:3-5 ข้อนี้ บอกว่า..”ซาโลมอนรักพระเจ้า และปฏิบัติตามกำเกณฑ์ของดาวิดราชบิดา คือ เดินตามรอยพ่อทุกอย่าง พ่อเคยทำยังไงเขาก็ทำอย่างงั้น..เว้นแต่ยังถวายเครื่องบูชาบนปูชนียสถานสูง” การถวายบูชาพระเจ้าบนที่ปูชนียสถานสูงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าทรงกำหนดให้คนอิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาเฉพาะในที่ๆกำหนดไว้เท่านั้น เพื่อไร จะได้ทำอย่างถูกต้องตามพระบัญญัติ..ไม่ใช่ไปทำกันเองมั่วๆ ต้องมีปุโรหิตเป็นผู้ดูแลพิธี แล้วอีกอย่างก็เป็นการป้องกันไม่ให้พิธีกรรมของต่างชาติแทรกซึมเข้ามาในหมู่คนอิสราเอล แต่ซาโลมอนกับคนอิสราเอลจำนวนมากก็ยังชอบไปถวายบูชาบนภูเขาสูงๆ ข้อที่4 บอกว่า..ซาโลมอนเสด็จไปถวายเครื่องบูชาที่เมืองกิเบโอน คงเป็นเพราะเต๊นท์พลับพลาและแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่สร้างในสมัยโมเสสอยู่ที่นั่น แต่หีบพันธสัญญาไม่ได้อยู่เพราะดาวิดเอากลับมาไว้ที่เยรูซาเล็ม ข้อที่5 บอกว่า พระเจ้าทรงปรากฎแก่ซาโลมอนเป็นครั้งแรกในความฝันที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าทรงถามซาโลมอนว่า “เจ้าอยากได้อะไร จงขอเถิด” (อยากให้พระเจ้าถามอย่างงี้มั่ง..กันเป็นแถวเลย 555) มาดูกันว่าซาโลมอนขออะไร..

ดู1พกษ.3:9 “ขอทรงประทานความคิดและความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์” ซาโลมอนขอ“สติปัญญา..ความเข้าใจ..การมีวินิจฉัยต่อเหตุการณ์ทั้งปวง” ถ้าเป็นเราจะขอไร..บ้าน..รถ..หรือบางทีอาจจะเป็นเงินซักหลายๆล้าน..ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราขาดสติปัญญาและความเข้าใจที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ซาโลมอนฉลาดมากที่ขอสติปัญญา..โดยส่วนตัวแล้วน้าตุ๊กคิดว่าสติปัญญา คือ กุญแจที่ไขไปสู่ความสามรถในการเอาตัวรอดทั้งปวง..โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติปัญญาจากพระเจ้า..ที่มนุษย์ไม่มีจะเทียบเคียงได้แล้ก็ไม่มีทางที่จะคิดออกด้วยว่าพระปัญญาของพระองค์ล้ำเลิศเพียงใด โอเค..เท่าที่ทรงสำแดงให้เราเห็น อย่างเช่น ระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกควบคุมไว้อย่างเป็นระบบ วงจรชีวิตที่น่าทึ่งของสรรพสัตว์บนโลก หรือพืชพรรณนับหลายล้านชนิดกับระบบนิเวศน์ที่สอดผสานกันอย่างลงตัว ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่งดงามโอ่อ่าตระการตาจนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็คงยังไม่ถึง10%ของพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า..น้าตุ๊กเชื่อ แล้วทำไมซาโลมอนถึงรู้จักขอสติปัญญาความรอบรู้ เขาได้แรงบันดาลใจมาจากไหน เปิดไปดู..

สภษ.4:3-9 “เมื่อเราเป็นลูกอยู่กับพ่อ (อันนี้ซาโลมอนพูด)..บิดาสอนเรา และพูดกับเราว่าให้หัวใจของเจ้ายึดคำสอนของเราไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของเราและมีชีวิตอยู่ อย่าลืมและอย่าหันกลับจากถ้อยคำแห่งปากของเรา จงเอาปัญญาและความรอบรู้ อย่าทอดทิ้งเธอ และเธอจะรักษาเจ้าไว้ จงรักปัญญา และปัญญาจะระแวดระวังเจ้า ที่เริ่มต้นของปัญญาเป็นอย่างนี้ คือ จงเอาปัญญา แม้เจ้าจะได้อะไรก็ตามจงเอาความรอบรู้ไว้ หนังสือสุภาษิตเนี่ยซาโลมอนเป็นคนเขียนไว้..แล้วหลายๆอย่างก็เป็นคำสอนของดาวิด จากข้อนี้มันทำให้เรารู้ว่า”ดาวิดสอนซาโลมอนไว้อย่างดีเยี่ยมเลย”..ว่าในบรรดาสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดไม่มีอะไรเทียบได้กับ”ปัญญา”เพราะฉะนั้น ที่ซาโลมอนขออย่างงี้..ต้องให้เครดิตร์ดาวิด เพราะสอนลูกดีมาก..ดาวิดปูพื้นฐานความเข้าใจ”ในทางพระเจ้า” (ย้ำ!ในทางพระเจ้า..ไม่ใช่ทางโลก) ให้กับซาโลมอนไว้อย่างดี นี่คือ ตัวอย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องเก็บไปคิดทบทวน..ว่าแต่ละวันเราสอนอะไรลูก..เราใส่อะไรให้กับชีวิตของเขา..ทั้งที่ตั้งใจแล้วก็ไม่ตั้งใจ.

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น