วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่1 อาทิตย์ที่15:5:2011

หนังสือ พงศ์กษัตริย์ในต้นฉบับเดิมเป็นหนังสือเล่มเดียว ถูกเขียนขึ้นหลังจากอิสราเอลแตกออกเป็นอาณาจักรและถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในต่างแดน ส่วนเนื้อหาก็ต่อเนื่องกับหนังสือซามูเอลเลย คือ เป็นเรื่องราวตั้งแต่วัยชราของกษัตริย์ดาวิดไปจนถึงวาระที่อิสราเอลต้องตกไปเป็นเชลย
ส่วน..ผู้เขียน น่าจะเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า หลายคนเชื่อว่า"เยเรมีห์" คือผู้เขียน เพราะลักษณะของหนังสือพงศ์กษัตริย์ไม่ได้เน้นการบันทึกประวัติศาสตร์แบบหนังสือราชการ แต่เนื้อหาเจตนาจะให้ผู้อ่านเห็นภาพฝ่ายวิญญาณ..คือการสำแดงที่ชัดเจนของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ต่อไปเราจะเห็นว่าเรื่องราวของกษัตริย์หลายๆคนที่โดดเด่นด้านการเมือง..อาจไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ซักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้มีส่วนสำคัญกับเรื่องของจิตวิญญาณ ส่วนกษัตริย์บางคนที่ไม่ได้มีบทบาทมากมายเกี่ยวกับการเมือง..เรื่องราวของเขากลับถูกบันทึกไว้ยาวเหยียด เพราะมีรายละเอียดที่สำคัญต่อ”ความเชื่อของคนอิสราเอล”(จริงๆคือ สำคัญต่อความเชื่อของมนุษยชาติทุกคน) และนั่นก็คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกให้หนังสือพงศ์กษัตริย์เป็น 1ใน 66 เล่มของพระคำภีร์
โครงเรื่องของหนังสือ1พงศ์กษัตริย์ แบ่งเป็น 2 ตอนใหญ่ๆ คือ “สมัยที่อาณาจักรยังเป็นหนึ่งเดียว” กับ “สมัยที่อิสราเอลแตกออกเป็นสองอาณาจักร” รวมเวลาทั้งหมดประมาณ 75 ปี แต่ใน 75 ปีนี้ 40 ปีแรก เป็นเรื่องราวในสมัยของซาโลมอน..ซึ่งหมายถึงเรื่องราวในสมัยของซาโลมอน คือ รายละเอียดส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ แล้วเราก็ยังแบ่งโครงเรื่องของทั้งสองตอนออกเป็นหัวข้อย่อยได้อีก..เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
ตอนที่ 1 ”สมัยที่ยังเป็นหนึ่งเดียวกัน” ก็แบ่งออกเป็น 4 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1. วาระสุดท้ายของกษัตริย์ดาวิด จนถึงตอนที่ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์
ช่วงที่ 2. เรื่องราวการพัฒนาบ้านเมืองของซาโลมอน หรือเรียกว่า..เป็นรายละเอียดที่แสดงให้เห็นสติปัญญาของซาโลมอน
ช่วงที่ 3. ช่วงเวลาที่ซาโลมอนสร้างพระวิหาร
และช่วงที่ 4. คือ ช่วงปลายสมัยของซาโลมอน..ที่จะแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่และความเจริญจนถึงขีดสุด และ การตกต่ำลงของก.ซาโลมอน
ตอนที่ 2 คือ “สมัยที่แตกออกเป็นสองอาณาจักร” ก็แบ่งเป็น 4 ช่วงเหมือนกัน คือ
ช่วงที่ 1. เริ่มจากการกบฎของเผ่าทางเหนือของอิสราเอล
ช่วงที่ 2. เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ”กษัตริย์อิสราเอลฝ่ายเหนือ” กับ “กษัตริย์ของยูดาห์” ซึ่งอยู่ฝ่ายใต้ และเมื่อเรียนๆไปเราจะรู้ว่า ทางฝ่ายเหนือที่เรียกว่าอิสราเอล..ไม่มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมสำหรับพระเจ้าเลยซักองค์เดียว ส่วนทางฝ่ายใต้ หรือ ยูดาห์ ยังมีกษัตริย์ที่ชอบธรรมสำหรับพระเจ้าอยู่บ้าง..แต่ก็แค่บางองค์เท่านั้น
ช่วงที่ 3. เราจะได้เห็นงานรับใช้ที่ล้นด้วยพระคุณพระเจ้าของ “เอลียาห์”
และช่วงที่ 4 ก็จะกลับมาเป็นรายละเอียดของกษัตริย์อิสราเอลและยูดาห์อีกครั้ง กับสิ่งที่พวกเขาเลือกทำ..และผลที่พวกเขาต้องกิน
ดู 1พกษ.1:1-2 ข้อนี้บอกว่า..”ตอนนี้ก.ดาวิดแก่มากแล้ว จะห่มผ้าซักกี่ผืนก็ไม่อุ่นซักที” แหม..อาการเหมือนคนอกหักเลยเนอะ..หนาวใจผ้าห่มอะไรก็ไม่ช่วย (ฟังแล้วนึกถึงเพลงสมัยก่อนของ ดิ อิมโพสซิเบิล ที่ร้องหนาวเนื้อ..ห่มเนื้อประมาณนั้น) แต่จริงๆไม่มีไรเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่หรอก ตอนนี้ ดาวิดคงจะมีอาการที่เรียกว่า”วัยทอง” มากกว่า เพราะอายุปาเข้าไปใกล้จะ70แล้ว ก็เลยหนาวๆร้อนๆ ตามประสาคนแก่ พวกข้าราชการคนสนิทก็เลยคิดว่า..เออ หาผู้หญิงสาวๆซักคนมาดูแลดีกว่า จะได้กอดพระราชาไว้ให้หายหนาว เพราะจริงๆแล้ว ไออุ่นจากร่างกายมนุษย์ด้วยกัน..มันช่วยได้จริงๆ ข้อที่ 3 บอกว่า..เขาก็เลยเสาะหาไปทั่วแล้วก็ได้มาคนนึงชื่อ “นางอาบีชาก” เป็นชาวชูเนม ซึ่งสวยงามมาก และเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่ถูกกล่าวถึงในบทเพลงซาโลมอนด้วย ข้อที่4บันทึกไว้ว่า”อาบีชาก”ได้ดูแลปรนนิบัติก.ดาวิด “..แต่พระราชาหาทรงร่วมกับเธอไม่” แปลว่า ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วต่อไปอาบีชากก็จะได้เป็นภรรยาของซาโลมอน เพราะนางในหรือนางสนมถือเป็นสมบัติตกทอดที่อยู่คู่กับราชบัลลังก์ อันนี้เป็นวิถีปฏิบัติที่เขายึดถือกัน
ดู 1พกษ.5-6 ข้อนี้บอกว่า”อาโดนียาห์” โอรสของดาวิดกับนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า “เราเองจะเป็นพระราชา” คำว่า”ยกตัวเอง” ในพระคำภีร์ฉบับภาษาอักฤษใช้คำ ambitious แปลว่า ทะเยอทะยาน และความหมายของคำว่าทะเยอทะยาน ก็คือ อยากได้ อยากเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่หรือไม่เหมาะกับตัวเอง นั่นก็คือ\\\ อาโดนียาห์ กำลังคิดจะชิงบัลลังก์ด้วยการยกตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทนดาวิด เพราะไร ตอนนี้ เขาเป็นคนโตสุดในบรรดาลูกของดาวิดที่ยังมีชีวิตอยู่ สองคนแรกที่โตกว่าเขาตายไปหมดแล้ว คือ คนแรกคืออัมโนนที่ข่มขืนทามาร์..เลยถูกอับซาโลมฆ่า ลูกชายคนที่สองก็ อับซาโลม ที่กบฎแล้วก็ไล่ฆ่าดาวิด แต่อับซาโลมก็ถูกโยอาบฆ่าตาย มาตอนนี้อาโดนียาห์เลยคิดเอาเองว่าบัลลังก์ก็น่าจะเป็นของเขา เพราะตอนนี้เขากลายเป็นคนโตสุด ถามว่ารู้มั๊ยว่าพระเจ้าทรงเลือกซาโลมอน น้าตุ๊กว่า..น่าจะรู้นะ แต่ทะเยอทะยานไง..ก็เลยคิดจะรวบรัดตัดตอน อาโดนียาห์เลยเตรียมรถรบ พลม้าจำนวนมากมายใช้วิ่งนำหน้าเวลาตัวเองจะไปไหนมาไหน มาทรงเดียวกับอับซาโลมเลย..แล้วก็หล่อเหมือนกันด้วย ข้อที่ 6 บอกว่า “แต่ราชบิดา (คือ ดาวิด) ก็ไม่เคยขัดใจท่าน..” แปลว่า ดาวิดรู้มั๊ยว่าอาโดนียาห์กำลังจะทำอะไร..รู้ แต่ก็ไม่ว่าอะไร..อีกแล้ว ดาวิดนี่เป็นคนยังไงนะ..ดุลูกไม่เป็น ลูกจะทำผิดคิดร้าย..ไม่เคยเห็นเขาว่าลูกซักที จุดนี้ไม่ดีเลย..อย่าทำตามเพราะหลายครั้งมันทำให้เกิดความเสียหายที่ลุกลามใหญ่โต..
ดู1พกษ.1:7-8 ต่อให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเลือกซาโลมอนแต่อาโดนียาห์ก็ไม่สนใจ เพราะไร..ตอนนี้ดาวิดก็แก่มากแล้วแต่ไม่เห็นจะจัดการอะไรเลย แล้วทั้งที่รู้อยู่ว่าอาโดนียาห์คิดจะทำอะไร แต่ดาวิดก็ไม่เคยห้ามหรือชี้แนะ อาโดนียาห์เลยคิดว่าเขาน่าจะมีโอกาส เลยเริ่มวางแผนด้วยการไปหาแนวร่วมทั้งทางฝ่ายทหารคือโยอาบ..กับฝ่ายการศาสนา คือ อาบียาธาร์..ที่เป็นปุโรหิต เพราะในสมัยนั้นในหลายๆประเทศผู้นำฝ่ายการศาสนากับผู้นำทางฝ่ายการปกครองนั้นมีความสำคัญมากพอกัน เดิมทีผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณจะสำคัญกว่าด้วยซ้ำ อาโดนียาห์จึงชักชวนทั้งสองฝ่ายมาเข้าพวกเพื่อให้ครบองค์ประชุม สังเกตุมะ..ใครก็ตามที่จะวางแผนชั่วก็ต้องนึกถึงโยอาบตลอด แล้วทั้งโยอาบและอาบียาธาร์ก็เอาด้วย ข้อที่9 บอกว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมอาโดนียาห์ก็ไปจัดงานเลี้ยงเปิดตัว..ตั้งใจจะสถาปนาตัวเอง มีการถวายเครื่องบูชาแล้วก็เชิญพี่น้องทุกคน..ข้าราชการและประชาชนชาวยูดาห์ทั้งหมดมาร่วมงาน แต่ไม่ได้เชิญซาโลมอน ไม่ได้เชิญ ศาโดก ไม่ได้เชิญเบไนยาห์กับนาธันมาร่วมงาน เพราะพวกนี้ไม่ได้เข้าข้างอาโดนียาห์ ตอนนี้เลยเหมือนจะแบ่งเป็นสองพวก
ดู1พกษ.1:11-12/13 เด็กๆจำ”นาธัน”ได้มะ นาธันที่พระเจ้าใช้ให้มาพิพากษาดาวิด..ตอนที่เขาวางแผนฆ่าอุรีอาร์สามีของบัทเชบา ตอนนี้นาธันต้องออกโรงอีกครั้งนึง เพราะเขาเป็นคนของพระเจ้าก็เลยเข้าข้างซาโลมอนเพราะนาธันรู้ว่าซาโลมอนเป็นคนที่พระเจ้าเจิมไว้ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากดาวิด พอเห็นอาโดนียาห์กำลังจะสถาปนาตัวเอง..นาธันเลยอยู่เฉยไม่ได้..รีบเอาเรื่องไปบอกให้บัทเชบารู้ (เพราะบัทเชบาเป็นแม่ของซาโลมอน) ข้อที่11 นาธันทูลบัทเชบาว่า..”อาโดนียาห์ โอรสนางฮักกีท ทรงราชย์แล้ว ดาวิดเจ้านายของฝ่าพระบาทก็ไม่ทราบเรื่อง ขอข้าพระบาทถวายคำปรึกษา” ประมาณว่าขอแนะนำอะไรหน่อย บัทเชบาต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกดาวิดด่วนเลย เพราะถ้าไม่รีบแก้ไขหรือทำอะไรซักอย่าง..เดี๋ยวจะไม่ทันการ” บัทเชบาก็เชื่อฟัง รีบไปเข้าเฝ้าดาวิด บัทเชบาพูดกับดาวิดว่า..”โอ กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉันได้ทรงปฏิญาณไว้มิใช่หรือว่า ซาโลมอนจะได้ครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา” แล้วบัทเชบาก็เล่าให้ดาวิดฟังว่าตอนนี้อาโดนียาห์กำลังทำอะไร
ดู1พกษ.1:20-21 หลังจากที่ได้เล่าความเคลื่อนไหวต่างๆของอาโดนียาห์ให้ดาวิดฟังแล้ว บัทเชบาพูดทิ้งท้ายกับดาวิดว่า ”บัดนี้ อิสราเอลทั้งสิ้นก็เพ่งดูฝ่าพระบาทเพื่อฝ่าพระบาทจะตรัสแก่เขาว่าจะให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของพระราชา” แปลว่า ทั้งที่พระเจ้าเลือกซาโลมอนไว้แล้ว แต่ดาวิดไม่เคยทำอะไรให้ชัดเจนเลย..ปล่อยให้รู้กันแค่วงใน จุดนี้ถือว่าดาวิดก็ละเลยไปนิดนึง..ความจริงเขาน่าจะทำอะไรให้เรียบร้อยมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ดาวิดไม่ใช่แค่แก่..ใกล้ตายแล้ว แต่ก็ยังไม่จัดการเรื่องต่างๆให้มันเรียบร้อย แล้วลูกเขาแต่ละคนไม่ใช่จะรักดีเหมือนพ่อ ข้อที่22 บอกว่า..ขณะที่บัทเชบากำลังอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ดาวิดฟัง..นาธันก็เข้ามาสนับสนุนคำพูดของบัทเชบาทำให้ดาวิดตาสว่าง คิดได้ว่า..เออ มันถึงเวลาแล้วนะ ที่ต้องทำอะไรให้มันเรียบร้อยซะที ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกมันตีกันอยู่อย่างงี้
ดู1พกษ.1:30-31 ข้อนี้ดาวิดเลยประกาศทันทีว่า..”ซาโลมอนจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน” จากนั้นดาวิดก็สั่งให้ศาโดก..นาธัน..และเบไนยาห์เตรียมพิธีสถาปนาซาโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์ทันที ข้อที่33 ดาวิดสั่งให้พาซาโลมอนขี่”ล่อ” (ล่อที่เป็นลูกผสมระหว่างม้ากับลา หน้าตาคงจะเหมือนลาแต่สูงใหญ่เหมือนม้าแล้วก็อดทนกว่า) ดาวิดสั่งให้พาซาโลมอนขี่ล่อไปที่น้ำพุ”กีโฮน” ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็เจิมตั้งซาโลมอนให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล..มีการเป่าแตรและประกาศว่า..”ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ” เสร็จแล้วก็ให้ซาโลมอนขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ แล้วดาวิดก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า” เขาจะได้เป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้กำหนดตั้งเขาไว้ให้เป็นผู้ครอบครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์” เป็นอันเสร็จพิธี..
จริงอยู่ถ้าว่ากันตามศักดิ์แล้วอาโดนียาห์น่าจะได้เป็น เพราะตอนนี้เขาเป็นคนโต แต่ที่ดาวิดเลือกซาโลมอนก็เพราะพระเจ้าเลือก..พระองค์บอกไว้แล้วว่าซาโลมอนจะเป็นกษัตริย์ต่อจากดาวิดแล้วจะเป็นคนสร้างพระนิเวศน์ให้กับพระองค์
ดู1พกษ.1:41-43 เสียงโห่ร้องสรรเสริญกษัตริย์ซาโลมอนกับเสียงร้องร้องรำทำเพลงคงจะดังก้องไปไกลมาก อาโดนียาห์กับพรรคพวกที่กำลังกินเลี้ยงกันอยู่เลยได้ยินเพราะอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่..ทำให้โยอาบที่ตอนนั้นกำลังกินเลี้ยงอยู่กับฝ่ายอาโดนียาห์..ฉุกใจถามขึ้นทันทีว่า..”เสียงอึกทึกครึกโครมที่ได้ยินมาจากในกรุง..มันหมายความว่าไร” สักพักก็มีคนวิ่งมารายงานว่าเสียงที่ได้ยินอยู่เนี่ยเป็นเสียงถวายพระพรแด่พระราชาองค์ใหม่คือ”ซาโลมอน” ที่ดาวิดได้ทำการเจิมตั้งอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ซาโลมอนก็กำลังประทับบนบัลลังก์ของดาวิด..พวกข้าราชการก็กำลังถวายพระพรกันอึกทึกครึกโครมอย่างที่ได้ยินกันอยู่นี่แหละ พอได้ยินอย่างงั้นปุ๊บ..วงแตกเลย ทั้งอาโดนียาห์..โยอาบรวมทั้งแขกทุกคนหนีกันกระจาย..อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะถ้าที่นั่งอยู่บนบัลลังนั่นคือกษัตริย์ ที่เปิดตัวกันอยู่ข้างล่างนี้ก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้..นอกจากกบฎ เพราะจะมีกษัตริย์สองคนได้ไง..ที่สำคัญยังไงบนบัลลังก์นั่นก็ต้องเป็นของแท้เพราะมีการการันตีจากดาวิด..กษัตริย์องค์เดิม ขืนยังอยู่ในงานกับอาโดนียาห์ก็คงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ข้อที่49 ถึงบอกว่า..”บรรดาแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็เลยกลัว และลุกขึ้นต่างคนต่างไปตามทางของตน”
ดู1พกษ.1:51-52 ข้อนี้ บอกว่า อาโดนียาห์กลัวหนักเลย..หนีเข้าไปในแท่นบูชา แต่ไม่นานซาโลมอนก็ตามมา อาโดนียาห์เลยไปจับ”เชิงงอน”ของแท่นบูชาไว้ ทำอย่างงี้แปลว่าไร..ขอความเมตตา การจับเชิงงอนของแท่นบูชาเป็นสัญญาลักษณ์ว่าขอความเมตตา แล้วอาโดนียาห์ก็พูดว่า”ขอกษัตริย์ซาโลมอนปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในวันนี้ว่าจะไม่ประหารผู้รับใช้ของพระองค์เสียด้วยดาบ” (ฟังดูแล้วขัดหูยังไงไม่ทราบ ตัวเองทำผิดยังมีหน้ามาขอให้เขาสัญญิง..สัญญาอีก) อาโดนียาห์กลัวมากเพราะตัวเองทำความผิดร้ายแรง..คิดจะชิงบัลลังก์แต่ไม่สำเร็จ..เลยขอร้องให้ซาโลมอนไว้ชีวิตเพราะโทษของกบฎนี่คือตายสถานเดียว แต่ซาโลมอนก็ใจดี กล้าขอ..ก็กล้าให้ ข้อที่52 ซาโลมอนตรัสว่า”ถ้าเขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมของเขาสักเส้นเดียวก็จะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่ถ้าพบความอธรรมในตัวเขาเขาต้องตาย” พูดง่ายๆว่าถ้าไม่ทำผิดอีกอาโดนียาห์ก็จะอยู่อย่างปลอดภัย..ครั้งนี้ซาโลมอนจะยกให้ แต่ถ้าไม่เลิกล้มความตั้งใจและคิดจะกบฎอีกซาโลมอนเอาตายแน่ จากนั้นเขาก็ปล่อยอาโดนียาห์กลับวังไป
บทที่ 2 ก็มาถึงวาระสุดท้ายของกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่ พอรู้ตัวว่ากำลังจะตายดาวิดมีเรื่องมากมายที่ได้สั่งเสียไว้กับซาโลมอนทั้งเรื่องเก่า..เรื่องใหม่
ดู 1พกษ.2:2-3 ดาวิดบอกว่า”จงเข้มแข็งและสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย” เพราะตอนนั้น ซาโลมอนเพิ่งจะอายุ20 เท่านั้นเอง ข้อที่3 บอกว่า เรื่องแรกเลยที่ดาวิดสั่งเสียกับซาโลมอนเป็นเรื่องที่สำคัญสุดต้องย้ำกันอยู่ทุกยุคทุกสมัย คือ “จงถือรักษาพระบัญชา..พระบัญญัติของพระเจ้าตามที่ทรงบันทึกไว้ในหนังสือของโมเสส และจงดำเนินอยู่ในพระมรรคาของพระองค์ ตรงจุดนี้ ถ้าสำหรับพวกเราก็มีอยู่สองข้อที่สำคัญที่สุด คือ รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ แล้วก็รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง..แค่สองข้อก็ครอบคลุมแล้ว เพราะถ้าเรารักคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเหมือนอย่างที่เรารักตัวเอง เราก็จะไม่ฆ่าคน ไม่ขโมย ไม่เอาเปรียบเขา ไม่อิจฉา ไม่ถือสาหาความ ไม่กล่าวโทษหรือแม้แต่นินทาว่าร้าย เพราะไม่มีใครหรอกที่จะคิดไม่ดีหรืออยากทำร้ายตัวเอง ข้อต่อไปดาวิดสั่งอะไร...
ดู1พกษ.2:5-6 หลังจากที่กำชับให้ซาโลมอนถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัดแล้ว คนแรกเลยที่ดาวิดสั่งให้ซาโลมอนจัดการ ก็คือ “โยอาบ” เพราะโยอาบเป็นเหมือนหนาม.ยอก.อกดาวิดมาตลอด ทำผิดหลายต่อหลายครั้งแต่ดาวิดก็กำจัดเขาไม่ได้ซะที มาตอนนี้ ตัวเองใกล้ตายเลยฝากให้ซาโลมอนช่วยคิดบัญชี คดีสำคัญที่ดาวิดคาดโทษไว้ก็คือ เขาฆ่าอับเนอร์ กับ อามาสา..สองคนนี้เป็นแม่ทัพทั้งคู่แค่คนละสมัยกัน ข้อที่6 ดาวิดพูดกับซาโลมอนว่า..”เจ้าจงกระทำให้เหมาะสมตามปัญญาของเจ้า อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสันติ” พูดง่ายๆว่า..ทำไงก็ได้ให้โยอาบไม่ได้แก่ตาย ซาโลมอนต้องจัดการกับโยอาบ เพราะชัดเจนว่าเขาเป็นตัวอันตราย..เห็นๆอยู่ว่าล่าสุดเขาก็ยังเข้าร่วมกับอาโดนียาห์จะก่อการกบฎอีก..แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ดาวิดเลยสั่งให้ซาโลมอนหาวิธีจัดการขั้นเด็ดขาด
จากนั้น ข้อที่ 7 ดาวิดก็สั่งฝากฝังให้ซาโลมอนช่วยดูแลลูกหลานของบารซิลลัย..ให้ดูแลคนตระกูลนี้อย่างดีเพราะบารซิลลัยสัตย์ซื่อและจงรักภักดีต่อดาวิดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ชนาดตอนที่เขาต้องหนีอับซาโลม คนส่วนใหญ่ก็แปรพักตร์เข้าข้างอับซาโลมไปแล้ว แต่บารซิลลัยเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ยังสัตย์ซื่อและติดตามคอยช่วยเหลือดาวิดตลอดเวลา นอกจากนี้ ก็ยังมีอีกคนที่ดาวิดสั่งคิดบัญชี..
ดู1พกษ.2:8-9 คนสุดท้ายที่ดาวิดฝากเรื่องไว้กับซาโลมอนก็คือ”ชิเมอี” ข้อนี้ ดาวิดบอกว่า ”เพราะเขาด่าเราอย่างน่าสลดใจ ในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม”คือ ตอนที่ต้องหนีอับซาโลมออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ชิเมอีเป็นคนที่มาซ้ำเติมเขาอย่างเต็มที่ แต่ตอนนั้น ดาวิดไม่ได้คิดบัญชี..ยกโทษให้ เพราะตอนที่ได้กลับมาเยรูซาเล็มอีกครั้ง ชิเมอีก็เสนอหน้ามารอต้อนรับ..แล้วขอให้ดาวิดยกโทษให้..ดาวิดก็โอเค หลายคนสงสัยว่า เฮ้ย!ดาวิดเจ้าคิดเจ้าแค้นรึเปล่า รับปากแล้วว่าจะไม่เอาผิดชิเมอี มาตอนนี้ทำไมถึงฝากให้ซาโลมอนจัดการ ความจริงก็คือ ชิเมอี เนี่ย!..เป็นคนกะล่อน แต่โอเค เมื่อเขาร้องขอให้ดาวิดยกโทษ ก็ไม่มีเหตุผลที่คนอย่างดาวิดจะไม่ให้อภัย แต่ดาวิดรู้ว่าจริงๆแล้วชิเมอี..คบไม่ได้ แต่ดาวิดต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้ก็เลยไม่ฆ่าเขา มาถึงตอนนี้ น้าตุ๊กว่าดาวิดพยายามจะอุดรอยรั่วมากกว่า..เขารู้ว่าใครคือจุดอ่อน..ที่มักสร้างปัญหาให้อิสราเอล ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะต้องกำจัดจุดอ่อน..ตัดเนื้อร้ายที่สร้างปัญหาลากยาวเรื้อรังให้หมดสิ้นไปซะที ข้อที่9 ดาวิดบอกว่า ”เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีความผิด และเพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา เจ้าจะทราบว่าควรทำประการใดแก่เขา..” ดาวิดเชื่อมือซาโลมอนมากเลย มั่นใจว่าซาโลมอนต้องจัดการได้ ที่สำคัญซาโลมอนไม่เคยสัญญาไรไว้กับชิเมอี ตรงจุดนี้ถือว่าดาวิดแยบยลมาก.. ถึงสั่งฝากให้ซาโลมอนหาวิธีจัดการกับชิเมอี..วิธีไหนก็ได้ แล้วซาโลมอนก็จัดการได้จริงๆ แบบสมเหตุสมผลด้วย แต่จะแบบไหนเดี๋ยวเราจะได้รู้กัน
วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ..พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น