วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 2 ซามูเอล ครั้งที่ 11 อาทิตย์ที่ 16:1:2011

ทบทวน : เรากำลังอยู่ในช่วงการถูกพิพากษาของดาวิด ถึงตอนนี้เขาจะได้อยู่กินเป็นเรื่องเป็นราวกับบัทเชบาแล้ว แต่วิธีการที่ทำให้ดาวิดได้บัทเชบามา..มันผิดมหันต์ พระเจ้าทรงพิพากษาโทษดาวิดขั้นรุนแรง ลูกคนแรกที่เกิดกับบัทเชบาต้องตายตั้งแต่ยังเด็ก อัมโนนก็ข่มขืนทามาร์..น้องคนละแม่ จนในที่สุด..อับซาโลมพี่แท้ๆของทามาร์ก็ฆ่าอัมโนนในทิ้ง จากนั้นอับซาโลมก็หนีไปอยู่กับคุณตา แต่ก็ได้กลับมาที่เยรูซาเล็มเพราะอุบายของโยอาบ ตอนแรกดาวิดก็สั่งกักบริเวณเขา..แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของโยอาบอีกเหมือนเดิมที่ทำให้อับซาโลมได้รับอิสระภาพ

แล้วหลังจากที่อับซาโลมได้รับอิสระให้เข้านอกออกใน ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบแล้ว เขาก็เริ่มสานต่อแผนชั่วที่เขาแอบคิดไว้ในใจ ตั้งต้นสร้างความเสียหายให้ดาวิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เอาความดีเข้าตัว..เอาชั่วให้พ่อเป่าหูประชาชนวันละนิดละหน่อย จนในที่สุด คนส่วนใหญ่ก็มีใจเข้าข้างอับซาโลม

แน่นอน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ถ้าเราละประเด็นนี้ไว้ในใจ เพราะเป็นสิ่งที่มันแน่นอนอยู่แล้ว อีกประเด็นที่มีส่วนสำคัญมาก ที่ทำให้อับซาโลมสามารถก่อการร้ายได้ ก็คือ ความเจ้ากี้เจ้าการเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงของโยอาบ บวกกับความใจอ่อนของดาวิด..ที่รักลูกแล้วก็ยกโทษให้โดยไม่ลงวินัยอับซาโลมเล เด็กๆต้องจำไว้ว่า..ไม่มีใครเลยที่จะถูกสร้างใหม่..เปลี่ยนใหม่ให้สวยงามหรือสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นได้..โดยที่ยังไม่กลับใจ เพราะฉะนั้น นิสัยของอับซาโลมไม่มีทางเปลี่ยน เพราะเขายังไม่สำนึกว่าตัวเองผิด..อับซาโลมยังไม่กลับใจ

คราวที่แล้วเราจบลงตอนที่อับซาโลมขอดาวิดกลับไปที่เฮโบรน...โกหกว่าจะไปแก้บน แต่จริงๆคือไปก่อการกบฎเตรียมจะชิงบัลลังก์พ่อตัวเอง พอดาวิดรู้ข่าวว่าอับซาโลมกำลังจะเข้ามายึดครองเยรูซาเล็ม แล้วประชาชนส่วนใหญ่ก็มีใจเข้าข้างเขาด้วย าวิดตัดสินใจ..หนี เพราะถ้าอยู่..ไม่เขาก็ลูกคงต้องตายกันไปข้างนึง

บทที่15:18 บอกว่า มีคนมากมายขอติดตามไปกับก.ดาวิด และในจำนวนนี้มีคนต่างชาติมากถึง 600 คนที่เต็มใจจะไปตายเอาดาบหน้ากับดาวิดด้วย..(ไม่ใช่แค่ยิวเท่านั้น..ที่ศรัทธาในตัวดาวิด เหมือนพระเยซูคริสต์ที่ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ของบรรดาประชาชาติ..มากกว่ายิวหรืออิสราเอลส่วนใหญ่..(ด้วยความเคารพ..ถ้าบังเอิญท่านใดไม่เห็นด้วย )

ดู 2ซมอ.15:19-20 ในเวลาที่ลำทุกยากลำบากหรือตกอยู่ในอันตราย สิ่งนึงที่จะปรากฎชัดเจนคือ เพื่อนแท้หรือคนที่จริงใจกับเรา มันธรรมดามากที่เราจะมีเพื่อนมากมายในเวลาที่อยู่อย่างปกติสุข แต่เวลาที่ทุกข์ยากหรือช่วงที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายต่างหาก..ที่จะพิสูจน์ได้ว่า..ใครคือเพื่อนแท้ ข้อนี้บอกว่า..ในจำนวนคนต่างชาติที่ติดตามไปกับดาวิด มีชาวกัทคนนึงชื่อ ”อิททัย” พอดาวิดเห็นอิททัยตามมาด้วย ดาวิดก็รับสั่งว่า..เจ้าตามเรามาทำไม กลับบ้านไปเถอะเพราะอิททัยเพิ่งมาถึงเยรูซาเล็มเมื่อวานนี้เอง แถมยังมีญาติพี่น้องที่อายุยังน้อย ไม่สมควรที่จะตามไประหกระเหินกับเขาเพราะดาวิดเองก็ยังไม่รู้จะอยู่ยังไง ขืนตามไปจะลำบากเปล่าๆ แต่อิททัยยังคงยืนยันความตั้งใจที่จะติดตามดาวิด..ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ข้อที่21 อิททัยบอกว่า”พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด..ดาวิดอยู่ที่ไหน ตายที่ไหน เขาก็จะขออยู่ที่นั่นด้วย..” คำพูดนี้คุ้นๆมะ เหมือนที่”นางรูธ”พูดกับนาโอมีไง..ถ้าเด็กๆจำได้ สุดท้าย ดาวิดเลยยอมให้อิททัยติดตามไป....

ดู2ซมอ.15:24-25 ข้อนี้บอกว่า เมื่อดาวิดข้ามลำธารขิดโรนไปแล้ว “ศาโดก”..ปุโรหิต พร้อมกับคนเลวีก็ตามมาถึงพอดี ไม่ได้มาตัวเปล่า..เอาหีบพันธสัญญามาด้วย พอดาวิดเห็นอย่างงั้นก็บอกให้ศาโดกกลับไป..แล้วก็เอาหีบพระสัญญากลับไปด้วย ข้อที่25ดาวิดบอกว่า..ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า..ยังไงเขาก็ต้องได้กลับมาอยู่ที่เยรูซาเล็ม แต่ถ้าพระเจ้าไม่โปรดให้เป็นอย่างงั้น..หีบพันธสัญญาก็ช่วยอะไรไม่ได้ !! ดาวิดไม่เคยมองว่าหีบพันธสัญญาเป็นเครื่องลางของขลัง..ที่นำติดตัวไปแล้วจะทำให้เค้าโชคดีหรือสมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ดาวิดเห็นพระเจ้าใหญ่สุด ถ้าพระองค์ประสงค์สิ่งใด..ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่เกี่ยวเลยว่าหีบพันธสัญญาจะอยู่ที่ไหนหรืออยู่กับใคร เพราะฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรทั้งสิ้น

ดู 2ซมอ.15:26 “ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระองค์เห็นชอบเถิด” ในเวลาที่ทุกข์ยากแสนสาหัส..เป็นตายเท่ากันจะมีกี่คนที่ยังพูดคำนี้ ถ้าเรากำลังจะไม่มีบ้านอยู่.. ถูกฟ้องล้มละลาย..พ่อแม่หรือลูกเรากำลังจะตายไม่มีเงินรักษา..เราจะพูดกับพระเจ้าว่าอะไร ก็คงจะประมาณว่า..โอ พระเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด ขอ”อย่าให้เขาทำกับลูกอย่างงั้น..อย่างงี้เลย หรือไม่ก็..”ขอ”ให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นให้ลูกได้เงินมาโดยอัศจรรย์..อะไรก็ว่าไป (ส่วนใหญ่จะอธิฐานอย่างงี้..) เรากล้าพูดอย่างดาวิดหรือไม่ ”พระองค์เจ้าข้า ลูกอยู่นี่..ขอพระองค์ทรงกระทำกับลูกตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด” ถ้าเราเป็นดาวิด น้าตุ๊กว่าอย่างน้อยที่สุด..เราคงต้องขอให้พระเจ้าเปลี่ยนหัวใจของอับซาโลม ให้เขาล้มเลิกหรือหยุดการกระทำที่ชั่วร้าย แต่ดาวิดไม่ขอซักคำ..ในเวลาที่อกกลัดหนองที่สุดเพราะถูกลูกตัวเองกบฎแล้วเดี๋ยวจะตามฆ่าด้วย ดาวิดยังทูลพระเจ้าว่า.. ”ลูกอยู่นี่ ขอพระองค์กระทำกับลูกตามน้ำพระทัยเถิด” นี่คือแบบอย่างของการวางใจแล้วก็ยอมจำนนกับพระเจ้าจริงๆ โดยที่ไม่ได้เอาตัวเองหรือความสุขส่วนตัวเป็นศูนย์กลาง แต่ดาวิดเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง..ฮาเลลูยา ขอพระเกียรติมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราตลอดไป..เอเมน

สุดท้าย ดาวิดขอให้ศาโดกกลับไปอยู่ที่เยรูซาเล็ม..เอาหีบพระสัญญากลับไปด้วย คอยส่งข่าวให้เขารู้ความเคลื่อนไหวของอับซาโลม..จะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ..ว่าเขาควรจะไปไหนหรือทำยังไงต่อ

ดู2ซมอ.15:30-31 ลองนึกภาพดาวิดเอาผ้าคลุมหน้า เดินเท้าเปล่า เดินไปร้องไห้ไป เด็กๆคิดว่าดาวิดร้องไห้ทำไม บางคนคิดว่าดาวิดสงสารตัวเองที่ต้องมา..ตก..ระกำลำบาก บางคนบอกเสียใจที่ถูกลูกตัวเองกบฎ..อันนี้อาจจะมีส่วน แต่น้าตุ๊กเชื่อว่า..ดาวิดร้องไห้กับพระเจ้า..เสียใจ..สำนึกผิดในบาปที่ตัวเองทำมากกว่า น้าตุ๊กเห็นภาพดาวิดขอโทษพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก..เขาไม่ได้ร้องเพราะตัวเองกำลังลำบาก..น้าตุ๊กเชื่ออย่างงั้น ข้อที่31 บอกว่า ในจำนวนคนที่ร่วมกบฎกับอับซาโลมมี“อาหิโธเฟล”รวมอยู่ด้วย คราวที่แล้วน้าตุ๊กอธิบายให้ฟังแล้วว่า อาหิโธเฟล เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า คำปรึกษาของเค้ามีค่ามากเป็นเหมือนบัญชาจากพระเจ้า แล้วทำไมคนที่มีวินิจฉัยอย่างงี้ถึงไปเข้าข้างอับซาโลม เหตุผลก็คือ เพราะพระเจ้าอนุญาต แล้วอีกเหตุผลที่พอเข้าใจได้ ก็คือ จริงๆแล้ว อาหิโธเฟลเป็นปู่แท้ๆของบัทเชบา หมายความว่า เขาเองก็อาจจะเก็บงำความไม่พอใจไว้เหมือนกันที่ดาวิดทำกับหลานเขาเสียๆหายๆ เพราะฉะนั้น เมื่ออับซาโลมมาชวนเข้าพวก..อาหิโธเฟลก็คงตกลงทันที..โดยไม่ต้องคิดนาน

ดู2ซมอ.15:32-33/34 พอดาวิดขึ้นไปถึงภูเขามะกอกเทศ ข้อนี้บอกว่า.. ”หุชัย” เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของดาวิดก็มาถึงพอดี ในสภาพที่เสื้อผ้าขาดวิ่น แล้วก็มีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความทุกข์ใจแสนสาหัส เรื่องอะไร..ก็เรื่องที่ดาวิดต้องประสบกับชะตากรรมครั้งนี้ หุชัยมาด้วยความตั้งใจที่จะติดตามดาวิดไปทุกหนทุกแห่ง แต่ดาวิดไม่เห็นด้วย(อีกแล้ว) ..ที่หุชัยจะไปลำบากกับเขา ดาวิดเลยบอกว่า..ถ้าตามไป..ยังไงหุชัยก็ต้องเป็นภาระ สู้กลับไปอยู่เยรูซาเล็มแล้วทำทีไปเป็นพวกเดียวกับอับซาโลม..จะมีประโยชน์กว่า อย่างน้อยจะได้คอยทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลไม่มีน้ำหนักบ้าง..ก็ยังดี สถานการณ์จะได้เป็นประโยชน์กับดาวิดมากที่สุด ซึ่งหุชัยก็เห็นด้วย..ยอมกลับไปอยู่ที่เยรูซาเล็ม..คือไปเป็นหอกข้างแคร่ของอาหิโธเฟล ข้อที่37 บอกว่า ตอนที่หุชัยกลับไปถึง..อับซาโลมก็มาถึงเยรูซาเล็มพอดี

ดู2ซมอ.16:1-2 เด็กๆลองมองภาพรวมนะ..

...ตั้งแต่ข้อที่19 พอดาวิดกำลังจะออกจากเยรูซาเล็ม “อิททัย”..ที่เป็นคนต่างชาติแท้ๆ ยังขอตามไปรับใช้ดาวิด

...พอข้ามลำธารขิดโรนไป ข้อที่24พระคำภีร์บรรยายภาพ”ศาโดก”ปุโรหิตกับคนเลวีก็วิ่งตามดาวิดมา..เอาหีบพระสัญญามาด้วย แต่ดาวิดก็ขอให้พวกเค้ากลับไปอยู่ที่เยรูซาเล็ม

...จากนั้น เดินต่อไปอีกหน่อยพอถึงบนภูเขามะกอกเทศ ข้อที่32 ”หุชัย” เพื่อนเก่าของดาวิดก็ตามมาอีก ไปไหนไปกัน..ขอไปร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย

...จนบทที่16 นี้ หลังจากที่เจอหุชัย พอดาวิดออกเดินต่อไป มีคนตามมาอีกแล้ว คราวนี้ คือ “ศิบา” ข้าเก่าของซาอูล..ที่ดาวิดสั่งให้คอยรับใช้เมฟีโบเชท(ลูกที่เป็นง่อยของโยนาธาน) ศิบามาพร้อมลาคู่นึงกับเสบียงอาหารเยอะแยะมากมาย เพราะฉะนั้น จริงๆแล้วประเด็นที่พระคำภีร์จะชี้ให้เห็นก็คือ “มีคนรักดาวิดเยอะมาก”..ไม่ใช่แค่ลูกน้อง..เพื่อนเก่า หรือยิวเท่านั้น..ที่พร้อมจะไปตายกับดาวิด แต่..!!คนต่างชาติรวมทั้งลูกน้องเก่าของซาอูล..อย่าง”ศิบา”ก็รักดาวิดด้วยเหมือนกัน เรียกว่า กำลังใจท่วมท้นเลย แต่..!! อย่าเพิ่งนึกว่า..จะมีแต่คนให้กำลังใจ เพราะข้อต่อไป..มันกำลังจะเป็นอีกด้านนึง..(ซึ่งจุดนี้ก็สะท้อนภาพของพระคริสต์..ได้ชัดเจนมาก)

ดู2ซมอ.16:5-7 “บาฮูริม” เป็นเมืองเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากเยรูซาเล็ม พอดาวิดเดินทางมาถึงเมืองนี้ พระคำภีร์บอกว่า..มีชายคนนึงชื่อ”ชิเมอี” โผล่มาถึง..ก็ด่าเลย..ด่าดาวิดเสียๆหายๆ หาว่าดาวิดเป็นคนถ่อย กระหายเลือด..ซึ่งไม่จริงเลยซักเรื่อง ชิเมอีเดินไปด่าไป แล้วไม่ใช่ด่าเฉยๆเอาหินขว้างใส่ดาวิดกับทหารองครักษ์ด้วย สาเหตุก็คือ ชิเมอี..เป็นคนเผ่าเบนยามิน เป็นลูกหลานซาอูล..ก็คงจะแค้นมานานแล้ว แต่เราก็ยัง..งง ว่า ทำไมเขาถึงกล้าทำ เพราะชิเมอีมาคนเดียว ..อาวุธอะไรก็ไม่มี แต่รอบตัวดาวิด..องครักษ์เพียบ ตรงจุดนั้น เราคิดว่าดาวิดจะรู้สึกยังไง หัวใจก็กำลังบอบช้ำต้องหนีออกจากบ้านตัวเอง..เดินไปร้องไห้ไป ถูกลูกในไส้ทรยศหักหลัง แล้วยังมีคนมาตามด่า..ปาหินใส่ ถ้าเป็นพวกเราโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขนาดนี้(ภาษาชาวโลก)คงน้อยใจจนถึงอาจจะเผลอประชดประชันพระเจ้า แต่ดาวิดทำไงดูต่อไป..

ดู2ซมอ.16:9-10 ในที่สุดอาบีชัย..ทหารของดาวิดก็ทนไม่ไหว ออกปากขออนุญาตดาวิดไปตัดหัวชิเมอี..อาบีชัยไม่เข้าใจว่าดาวิดทนอยู่ได้ยังไง ปล่อยให้ชิเมอีทั้งด่า..ทั้งขว้างหิน..ซัดดินใส่..โดยไม่ตอบโต้อะไรเลย.. ถ้าดาวิดอนุญาตอาบีชัยจะข้ามไปตัดหัวชิเมอีทันที แต่ดาวิดไม่อนุญาต ดาวิดพูดว่าไง..”บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย (หมายถึง..โยอาบกับอาบีชัย) นี่มันกงการอะไรของเจ้า “ถ้าเขาด่าเราเพราะพระเจ้าตรัสสั่งเขาว่า”จงด่าดาวิด” แล้วใครจะพูดได้ว่าทำไมเจ้าถึงทำอย่างงี้” และเช่นกัน..

........ถ้าพระเจ้าสั่งเขาว่า..”จงด่าน้าตุ๊ก” แล้วใครจะพูดได้ว่าทำไมถึงทำอย่างงี้

.........ถ้าพระเจ้าสั่งเขาว่า..”จงอิจฉา ลูกศร” แล้วใครจะพูดอะไร

.........ถ้าพระเจ้าสั่งเขาว่า..”จงโกง พี่มายด์” แล้วใครจะทำไม

.........ถ้าพระเจ้าสั่งเขาว่า...”จงเกลียด ครูหนุ่ย” แล้วใครจะทำอะไรได้....จริงหรือไม่ !!!

เพราะฉะนั้น นี่เป็นการสำแดงความวางใจในพระเจ้าของดาวิดที่เราต้องเอาเยี่ยงอย่าง ถ้าเราจะถูกโกง..ถูกด่า..ถูกอิจฉา..ถูกเอาเปรียบ..ถูกเกลียดหรือถูกกระทำอะไรก็ตาม..พระเจ้าก็เป็นผู้อนุญาตทั้งสิ้น ถ้าคิดได้อย่างงี้แล้ว..ทุกอย่างผ่านมั๊ย..ผ่านแน่นอน เพราะเราจะมองคนที่ทำร้ายเรา..ไปอีกแบบนึง..คือ เขาเป็นแค่เครื่องมือของพระเจ้า ในการที่จะฝึกเราให้โตขึ้น..อดทนมากขึ้น เห็นภาพความชั่วร้ายของตัวเอง และภาพฝ่ายวิญญาณชัดเจนขึ้น แล้วแทนที่เราจะโกรธเขา ตำหนิเขา หรือต่อว่า..ตีโพยตีพายกับคนที่ทำไม่ดีกับเรา เราก็จะกลับหันมาสำรวจแล้วก็แก้ไขที่ตัวเราเอง เพราะเราเชื่อว่า..นั่นมาจากพระเจ้า แล้วทุกอย่างก็จะเป็นผลดีกับเรา..แน่นอน

ดู2ซมอ.16:11-12 ดาวิดบอกว่าขนาดลูกแท้ๆ..มันยังตามฆ่าเราเลย แล้วจะเอาอะไรกับใครก็ไม่รู้..มาถึงก็ด่าเอา..ด่าเอา แต่ช่างเถอะให้เขาด่าไป ดาวิดเชื่อว่าพระเจ้ากำลังพูดกับเขาผ่านชิเมอี..ที่กำลังด่าเขาอย่างเมามัน แล้วเขาก็ไม่ควรที่จะไปปิดปากของชิเมอีด้วยเพราะพระเจ้าทรงใช้ชิเมอีอยู่ ดาวิดเลยเลือกที่จะอดทนต่อไป..ปล่อยให้ชิเมอีทั้งด่า..ทั้งขว้างหินไส่อยู่อย่างงั้น ดาวิดแค่หวังว่า..พระเจ้าจะทรงเมตตาเมื่อเห็นเขาอดทน..ตอบแทนการร้ายด้วยความดี ย้ำ!! ต้องตอบแทนการร้ายด้วยการดี..เสมอ

ส่วนข้อที่ 15-19 จะเป็นรายละเอียดตอนที่”หุชัย”เข้าไปถวายตัวรับใช้อับซาโลม ตามคำแนะนำของดาวิด ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน เพราะหุชัยรู้จักพูด อับซาโลมก็เลยไว้ใจตั้งหุชัยให้เป็นที่ปรึกษา..เหมือนอาหิโธเฟล ทีนี่ก็มาถึงเรื่องสำคัญอีกประเด็นนึงของบทนี้....

ดู2ซมอ.16:20-21 ข้อนี้ อับซาโลมบอกกับอาหิโธเฟลว่า..”จงให้คำปรึกษา หรือพูดง่ายๆก็คือให้อาหิเฟลเผยพระวจนะมา..ว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไป” เพราะเป็นที่รู้กันว่า..คำปรึกษาจากปากของอาหิโธเฟลเป็นเหมือนบัญชาจากพระเจ้า ข้อที่21 อาหิโธเฟลแนะนำให้อับซาโลมเข้าหานางสนมทั้งสิบของดาวิด !!!..ที่ดาวิดทิ้งไว้เฝ้าวัง (ไม่ได้พาไปด้วย เพราะดาวิดไม่ได้คิดว่าจะไปแล้วไม่กลับ) แล้วการเข้าครอบครองฮาเร็มของใครก็ตาม มันเท่ากับเป็นการประกาศว่า”เข้าแทนที่แล้ว” การทำอย่างงี้ก็ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของดาวิดอย่างแรง แล้วถือเป็นการประกาศไปในตัวด้วย..ว่าอับซาโลมยึดบัลลังก์ของพ่อแล้ว

ดู2ซมอ.16:22-23 ข้อนี้บอกว่า..”เขาจึงกางเต๊นท์ให้อับซาโลม บนดาดฟ้าของหลังคาพระราชวัง แล้วอับซาโลมก็เข้าหานางสนมของพ่อ..ที่เดียวกันกับที่ดาวิดมองลงมาเห็นบัทเชบาอาบน้ำ ข้อที่23 ย้ำว่า..”สมัยนั้นคำปรึกษาของอาหิโธเฟลเป็นเหมือนบัญชาของพระเจ้า” คือข้อนี้เนี่ย.. ตั้งใจจะบอกเหตุผลเรา..ว่าทำไมอับซาโลมถึงเชื่อ แล้วก็ทำตามคำแนะนำของอาหิโธเฟลทุกเม็ด (ทั้งที่ มันเป็นคำปรึกษาที่ล่อแหลม ไม่น่าจะทำตาม) แล้วพวกเรายังจำคำพิพากษาดาวิดที่พระเจ้าตรัสผ่านทางนาธันไว้ได้มะ!!!

กลับไปดู 2ซมอ.12:10-12 ยังไม่ลืมคำพิพากษาของพระเจ้าที่นาธันพูดไว้..ใช่มะ!! เพราะเรียนกันไปไม่นาน “..พระเจ้าบอกว่า เพราะดาวิดไปแย่งภรรยาของอุรีอาร์ พระองค์ก็จะให้ภรรยาของดาวิดถูกแย่งไปเหมือนกัน” แล้วตอนนี้ คำพิพากษาของพระเจ้าเป็นจริงรึยัง..มันเกิดขึ้นจริงแล้ว โดย”อาหิโธเฟล”นี่แหละ..ที่ดันไปแนะนำให้อับซาโลมเข้าหานางสนมของดาวิด! ข้อที่12 พระเจ้าตรัสต่อไปว่า..ดาวิดทำการนี้อย่างลับๆ ฉวยโอกาสตอนที่สามีเค้าไม่อยู่..แอบไปพาตัวบัทเชบามานอนด้วย แต่พระองค์จะให้คนอื่นได้หลับนอนกับภรรยาของดาวิดอย่างเปิดเผย แล้วเปิดเผยจริงอย่างว่ามั๊ย เปิดเผยสุดๆเลย..ไม่มีอะไรจะเปิดเผยกว่านี้แล้ว..ก็เล่นกางเต๊นท์บนหลังคา ใครไปใครมา..ก็เห็นหมดว่าอับซาโลมหลับนอนกับสนมของพ่อบนดาดฟ้าหลังคาพระราชวัง..

ก่อนหน้านี้..ที่เราแอบสงสัยกันอยู่..ว่าทำไมคนที่มีวินิจฉัย แล้วก็เป็นเสมือนทูตของพระเจ้าอย่าง”อาหิโธเฟล”ถึงได้ไปเข้าพวกกับคนอย่างอับซาโลม ถึงตอนนี้ เราจะได้เข้าใจกันอย่างชัดเจน..ว่าพระปัญญาของพระเจ้าไร้ขีดจำกัด บางอย่างที่มนุษย์มองว่ามันไม่น่าจะเป็นผลดี..ไม่เวริค ไม่น่าจะเป็นงั้น..ไม่น่าจะเป็นงี้ (ตามสติปัญญาของมนุษย์) แต่ทั้งหมดคือความแยบยล..ที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้พระวจนะของพระองค์สำเร็จ..เป็นจริง..เกิดขึ้นจริง “เสมอ (ย้ำ!เสมอ)” แล้วนั่นเป็นเรื่องที่เราต้องดีใจ..เพราะหมายความว่า คำสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าเราจะได้อยู่สวรรค์..และมีชีวิตนิรันดร์.”ก็ต้องจริงด้วย” เพราะฉะนั้น สารพัดเรื่องราวที่พระคำภีร์ชี้ให้เห็น..เล่าให้ฟัง ก็เพื่อให้เราแน่ใจในสิ่งนี้ที่พระองค์สัญญาไว้ อย่าคิดว่ามันเป็นแค่นิยายหรือเรื่องเล่า..ไม่ใช่

พระคำภีร์มีมิติ แต่ละคนอ่านก็เข้าใจได้ไม่เท่ากัน..แต่ถ้าเราตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า ตั้งมั่นที่จะแสวงหาพระองค์ อธิฐานขอพระเจ้าเปิดตาใจของเรา..พระองค์ก็จะทรงสำแดงให้เราเห็นแน่นอน..ว่าพระองค์สุดยอดขนาดไหน

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ..ขอพระคุณความรักของพระเจ้า ปกคลุมอยู่เหนือพวกเราทุกคนที่ได้ยินพระวจนะของพระองค์ และแผ่ไพศาลไปเหนือประชากรไทย..ผู้ทุกข์ยากในอินเดีย..อาฟริกา และทุกซอกทุกมุมของโลก..เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา อาเมน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น