วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่12 อาทิตย์ที่ 28:8:2011

ดู1พกษ.20:39-40/41-42 พอได้แผลเรียบร้อยตามที่พระเจ้าสั่งแล้ว ผู้เผยพระวจนะก็ปลอมตัวไป..เอาขี้เถ้าใส่หน้าให้คนจำไม่ได้ เสร็จแล้วก็ไปดักรออยู่ตรงถนนที่อาหับจะเดินผ่าน พอเห็นอาหับเดินมาผู้เผยพระวจนะคนนี้ก็เรียก ทำทีเหมือนจะร้องทุกข์บอกว่า”ตอนเขาไปรบ มีทหารคนนึงสั่งให้เขาเฝ้าเชลยไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้หนีไปได้นะ..ถ้าปล่อยให้หนีไป..เขาจะต้องตาย หรือไม่ก็ถูกปรับเป็นเงิน1ตะลันต์ (ก็ประมาณ34กก.) แต่ในขณะที่เขามัวยุ่งอยู่กับธุระอื่น..ปรากฎว่าเชลยก็หนีไป เขาเลยมีสภาพอย่างเงี้ย..คือถูกทำร้ายจนสบักสบอม พอได้ยินอย่างงั้น อาหับ..บอก ”สมควรละ..ที่โดนอย่างนั้น เพราะเจ้าปล่อยให้เชลยหนีไปได้” เมื่อผู้เผยพระวจนะได้ยินอาหับพูดอย่างงั้นปุ๊บ!แสดงตัวทันที..จัดแจงเอาขี้เถ้าออกเผยโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วก็สวนเลย "พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าได้ปล่อยชายคนที่อยู่ในมือของเจ้า ผู้ซึ่งเราได้กำหนดให้ทำลายนั้น ชีวิตของเจ้าจะต้องแทนชีวิตของเขา และชนชาติของเจ้าแทนชนชาติของเขา" เพราะอาหับไว้ชีวิตเบนฮาดัด..คนที่พระเจ้าสั่งให้ทำลาย” ดังนั้นอาหับจะต้องตายด้วยน้ำมือของคนซีเรีย..ต้องชดใช้ความผิดนี้ด้วยชีวิตของตัวเอง..อย่างที่อาหับหลุดปากพิพากษาเขามะกี้นี้ เพราะเบนฮาดัด คือ เชลยของพระเจ้าที่มอบไว้ในมืออาหับแต่อาหับกลับปล่อยเบนฮาดัดไป ผู้เผยพระวจนะคนนี้มาแบบเดียวกับนาธันเลย..ถ้าเราจำได้ ตอนที่นาธันมากล่าวโทษดาวิด เขาก็ใช้วิธีเรื่องเล่าอย่างงี้แหละ ทำให้ดาวิดติดกับ..จนหลุดปากพิพากษาตัวเอง อาหับก็ไม่รู้จะทำไง..ได้แต่อารมณ์เสียกลับวังไป

อาหับ กับ สวนองุ่นของนาโบท

เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ”จิตวิญาณของอาหับ..มีปัญหาจริงๆ”

ดู1พกษ.21:1-2/3-4 ในบทนี้พระคำภีร์พูดถึงคนๆนึงที่ชื่อ”นาโบท” นาโบทเนี้ยเขามีที่ดินซึ่งเป็นสวนองุ่นอยู่ติดกับพระราชวังฤดูร้อนของอาหับ..ที่เมืองยิสเรเอล ยิสเรเอลตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศและก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของอิสราเอล เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสวนองุ่น..สวนผลไม้เพราะเป็นที่ราบแล้วดินก็ดี เรียกว่าเป็นแหล่งของการเกษตรที่ใช้เลี้ยงอิสราเอลทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ อาหับก็เลยไปสร้างพระราชวังฤดูร้อนที่นั่น..แล้วติดกันก็เป็นที่ของนาโบท เราไม่รู้ว่าอาหับเล็งที่ดินของนาโบทมานานรึยัง เพราะข้อนี้ บอกว่า”อาหับได้ไปพูดกับนาโบท..ขอให้เขาขายที่ให้” คงจะมองมาจากพระราชวัง แล้วเห็นที่เขาสวยดี ก็เลย ”อยากได้” เพราะอยากจะขยายอาณาเขตที่ดินของตัวเอง เลยไปขอซื้อ..ถ้าไม่ขาย..แลกกันก็ได้ แต่นาโบท”ไม่เอา” นาโบทยืนกรานปฏิเสธอย่างเดียว ข้อที่ 3 นาโบท พูดว่า"ขอพระเจ้าทรงห้ามข้าพระบาทในการที่จะยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ฝ่าพระบาท” เพราะไร..เด็กๆจำได้มั๊ย ตอนที่อิสราเอลเข้ายึดครองดินแดนนี้ พระเจ้าจัดสรรที่ดินให้พวกเขาด้วยวิธีไหน.. ”จับฉลาก” ได้ตรงไหน..หมายความว่านั่นคือที่ๆพระเจ้าเลือกให้ ดังนั้น เขาจะเปลี่ยนมือไม่ได้ อิสราเอลที่ชอบธรรมจะไม่ขาย..แลกเปลี่ยนหรือยกที่ดินให้ใคร ถึงต้องเอาไปจำนอง..แต่เมื่อปีแห่งการปลดปล่อยมาถึง..ก็ต้องคืนให้เจ้าของเดิม เพราะฉะนั้น สิ่งที่นาโบททำนี้ถูกต้องตามพระบัญญัติทุกอย่าง แต่อาหับเข้าใจอย่างนาโบทมั๊ย..ไม่เลย เพราะข้อที่4 บอกว่า “อาหับก็เสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและไม่พอพระทัยยิ่งนัก..พระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ไม่เสวยพระกระยาหาร” อยากได้ของๆเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ..ป่วยไปเลย โอโห..ช่างเป็นผู้นำที่”นิสัยเหมือนเด็กไม่โต” แล้วก็โลภในทรัพย์สินของเพื่อนบ้านอย่างแรง..

ดู1พกษ.21:5-6/7 พอเยเซเบลเห็นอาหับ ตรอมใจ ก็เลยถาม..ทำไมไม่กินข้าว กลุ้มใจเรื่องไรหรอ อาหับก็เลยเล่าให้ฟัง..ว่าเรื่องมันเป็นงี้ๆ พอเยเซเบลฟังปุ๊บ! โฮ้ยยย..เรื่องขี้ผง พระองค์เป็นถึงกษัตริย์..เรื่องแค่นี้จะไปยากอะไร ลุกขึ้นกินข้าวซะ..เดี๋ยวหม่อมชั้นจัดการเอง..สบายใจได้ เยเซเบลทำไง..จัดแจงเขียนจดหมายในนามของกษัตริย์อาหับ ส่งไปถึงผู้นำที่เมืองยิสเรเอล..”ให้ตั้งลูกแห่งเบลีอัลสองคนให้นั่งตรงข้ามกับเขา..” คือ ให้ตั้งพยานเท็จสองคนขึ้นมา..ไปจ้างมาเลยสองคน เพราะจะประหารใครต้องมีพยานอย่างน้อย..สองคน คนเดียวไม่ได้ ข้อที่13 บอกว่า “แล้วพยานเท็จสองคนนั้นก็ได้ฟ้องนาโบทต่อหน้าประชาชนกล่าวว่า นาโบทได้สาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์" ..เยเซเบลสร้างพยานเท็จขึ้นมา หาว่านาโบท..สาปแช่งพระเจ้า เพราะเยเซเบลรู้ดี..ว่าความผิดข้อนี้ ตามพระบัญญัติแล้วต้องมีโทษถึง”ตาย” สุดท้าย นาโบทก็ถูกหินขว้างตายจริงๆ พอนาโบทตาย..เขาก็เอาเรื่องมารายงานเยเซเบล เยเซเบลก็มาบอกอาหับ ”เรียบร้อยละ..เข้าไปยึดครองที่ได้เลย”(นิสัย) ถามว่าอาหับรู้เรื่องที่เยเซเบลทำมะ..รู้ เสียใจมะ..ไม่เลย เพราะข้อที่ 16 บอกว่า “อยู่มาพออาหับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ลุกขึ้นไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์” เป็นไงอาหั..กษัตริย์แห่งอิสราเอล พอไม่ได้ดั่งใจ..ก็งอแง ไม่ยอมกินข้าว พอได้..ดีใจ โดยที่ไม่สนใจเลยว่าจะได้มาโดยวิธีไหน แต่ไม่ต้องห่วง..พระเจ้าไม่ปล่อยให้คนชั่วได้ลอยนวล..แน่นอน

ดู 1พกษ.21:17-19 ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าสั่งให้เอลียาห์ไปพบอาหับแล้วเผยพระวจนะกับเขาว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ท่านได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ' และเจ้าจงพูดกับเขาว่า `พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ในที่ซึ่งสุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย” ทำไว้แบบไหนจะต้องโดนแบบเดียวกัน ส่วนอาหับเมื่อเจอเอลียาห์ก็พูดว่า.."โอ ศัตรูของข้าเอ๋ย เจ้าพบข้าแล้วหรือ"แต่เอลียาห์ไม่สนใจ..เดินหน้ากล่าวโทษอาหับอย่างตรงไปตรงมา "ข้าพระองค์พบพระองค์ เพราะว่าพระองค์ยอมขายพระองค์เพื่อกระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า..” ..เอลียาห์บอกอาหับยอมขายตัวเพื่อทำชั่ว..ใช้คำแรงมาก ข้อที่21 เอลียาห์บอกต่อไปว่า “ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเจ้า เราจะเอาคนชั่วอายุต่อจากเจ้าออกไปเสีย และจะขจัดผู้ชายทุกคนเสียจากอาหับ ..เราจะกระทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม..” พระเจ้าจะขุดรากถอนโคนพงศ์พันธ์ของอาหับอย่างสิ้นซาก..ไม่ให้เหลือเลย

ดู1พกษ.21:23-25 “..และส่วนเยเซเบล พระเยโฮวาห์ตรัสว่า `สุนัขจะกินเยเซเบลข้างกำแพงยิสเรเอล ผู้ใดในราชวงศ์อาหับที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และผู้อยู่ในราชวงศ์เขาที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน" เรียกว่า ไม่ต้องลำบากฝังศพกันเลย ข้อที่25 บอกว่า.. ไม่มีผู้ใดได้ขายตนเองเพื่อกระทำความชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อย่างอาหับ ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุแหย่ พระองค์ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียนในการดำเนินตามรูปเคารพ ดังสิ่งทั้งปวงที่คนอาโมไรต์ได้กระทำ ซึ่งเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล” นี่คือ การเผยพระวจนะที่รุนแรง..แข็งกร้าวมาก แล้วเอลียาห์ก็คงใส่อารมณ์เต็มที่ เพราะเขาก็..มีอะไรในใจกับอาหับอยู่แล้ว เอลียาห์คงขัดใจตั้งแต่คราวก่อน..ที่อาหับไม่เข้มแข็งพอที่จะนำคนอิสราเอลให้กลับใจใหม่..ทั้งที่ได้เห็นการอัศจรรย์บนภ.คารเมลแล้ว แต่พอกลับเชื่องเหมือนลูกแมว..เวลาที่อยู่กับเยเซเบล มาตอนนี้ พระเจ้าให้เผยพระวจนะพิพากษาอาหับ..เอลียาห์เลยจัดเต็ม

1พกษ.21:27-29 ข้อนี้บอกว่า เมื่อาหับได้ยินคำพิพากษา..”ก็ฉีกฉลองพระองค์ และทรงสวมผ้ากระสอบและถืออดอาหาร..ประทับในผ้ากระสอบ และทรงดำเนินไปมาอย่างหนักพระทัย” นี่คือ เครื่องหมายของการสำนึกผิด และกลับใจใหม่ ซึ่งแท้จริงแล้ว..สิ่งนี้ เป็นหัวใจสำคัญในการที่พระเจ้าจะทรงยกบาปผิดให้กับเรา อย่างในยุคพระคุณนี้ถ้าเราไม่สำนึกว่าเราเป็นคนบาปและกลับใจใหม่เชื่อในพระเยซูคริสต์..ก็ไม่มีทางเลยที่เราจะรอด และได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่เชื้อบาปทำให้มนุษย์เย่อหยิ่งเกินกว่าที่จะสำนึกผิด..มองเห็นและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป มนุษย์จึงมักพอใจมากกว่าที่จะข้ามขั้นตอนนี้ไป และรักที่จะหาทางแก้ความบาปตามแต่สติปัญญาและรสนิยมของตัวเอง..ซึ่งส่วนมากจะไม่มีขั้นตอนของการสำนึกผิดและกลับใจใหม่รวมอยู่ด้วย แต่ในทางพระเจ้านั้น“ไม่มีสิ่งใดกลับคืนสู่สภาพดีได้ โดยปราศจากขั้นตอนของการสำนึกผิดและกลับใจใหม่” พระวจนะของพระเจ้าจึงมาถึงเอลียาห์ว่า..” เพราะเขาได้ถ่อมตัวลงต่อหน้าเรา เราจะไม่นำเหตุร้ายมาในสมัยของเขา แต่มาในสมัยบุตรชายของเขา เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเขา" พระเจ้าเคยตรัสแบบนี้ทีแล้ว ตอนที่พระองค์พิพากษาซาโลมอน แต่ตอนนั้นพระองค์ทรงเลื่อนวาระของการพิพากษาออกไปเพราะเห็นแก่ดาวิด ทีนี้ หลายคนอาจจะมีคำถามว่า “แล้วมันต่างกันยังไง..เพราะแค่เลื่อนออกไป แต่ก็ยังต้องรับโทษอยู่ดี” จริงๆแล้วต่างมาก..สำหรับซาโลมอน กับ อาหับ..เพราะการที่ไม่ต้องเห็นความวิบัติของลูกหลานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เนี่ย..คือ พระคุณที่สุดแล้ว เพราะสำหรับคริสเตียน..น้าตุ๊กเชื่อว่า เมื่อเราไม่ได้อยู่ในร่างกายนี้แล้ว เราจะคิดเหมือนพระเจ้า รู้สึกเหมือนพระเจ้า เราจะไม่ได้รู้สึกแบบนี้..แบบตอนที่อยู่ในโลก เพราะงั้น ถ้าบังเอิญตายไปแล้วและเราสามารถมองลงมาเห็นลูกหลานถูกพระเจ้าลงวินัย..เราจะไม่ทุกข์ อันนี้ เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณที่ลึกลงไปนืดนึง แต่น้าตุ๊กเชื่อว่า..เด็กๆจะเข้าใจในที่สุด

ดู1พกษ.22:1-3/4 อิสราเอลกับซีเรียไม่ได้รบกัน..สามปี หลังจากนั้น ข้อที่2 บอกว่า “เยโฮชาฟัท” ก.แห่งยูดาห์ ได้ไปเฝ้าอาหับก.อิสราเอล จริงๆแล้วตอนที่แบ่งแยกดินแดนกันใหม่ๆ อิสราเอลกับยูดาห์ไม่ถูกกัน..เป็นศัตรูกัน แต่ในสมัยของอาหับนี้อิสราเอลกับยูดาห์ดีกัน เพราะไร..ลูกสาวของอาหับไปแต่งงานกับลูกชายของเยโฮชาฟัท ก็เลยดีกัน..คล้ายๆจะกลับเป็นทองแผ่นเดียวกัน พออาหับจะไปรบกับซีเรียก็เลยชวนโฮชาฟัท ข้อที่3 เขาพูดกับเยโฮชาฟัทว่า.. "ท่านทราบกันหรือไม่ว่าเมืองราโมทในกิเลอาดเป็นของเรา และเราได้นิ่งอยู่มิได้เอาออกมาจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรีย" คือ อาหับอยากจะไปยึดดินแดนกิเลอาดคืนจากซีเรีย (กิเลอาดที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน) ซึ่งแต่เดิมดินแดนนั้นเป็นของอิสราเอลสองเผ่าครึ่ง ปรากฎว่าเยโฮชาฟัทก็เต็มใจ เขาพูดกับอาหับว่า ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นดังประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นดังม้าของท่าน" ก็ประมาณว่า เรามันคนครอบครัวเดียวกัน..ว่าไงก็ว่าตามกันอยู่แล้ว แต่เยโฮชาฟัท..เป็นกษัตริย์ที่ดี..รักพระเจ้า ข้อที่5 เขาเลยพูดกับอาหับว่า"ขอสอบถามดูพระดำรัสของพระเยโฮวาห์วันนี้เถิด" คือ เอาไงก็ได้..แต่ขออย่างเดียว..”ให้ถามพระเจ้าดูก่อน”

ดู1พกษ.22:6-7 ในเมื่อเยโฮชาฟัทอยากให้ถามพระเจ้าก่อน..อาหับก็เลยเรียกผู้เผยพระวจนะ400คน..มาถาม โอโห..ทำไมถึงต้องมากมายขนาดนั้น แล้วปรากฎว่าทั้ง400คนนั้น ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า..”ให้ไปรบเถอะ รับรองชนะแน่นอน” แต่เยโฮชาฟัทฟังแล้วคงรู้สึกว่ายังไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ฟังแล้วมันยังไม่ใช่.. ทั้งที่ผู้เผยพระวจนะของอาหับพูดเป็นเสียงเดียวกันถึง400คน แต่เยโฮชาฟัทคงไม่รู้สึกถึงการเจิมลงมาของพระเจ้า ทำไมเขาถึงรู้สึกได้..เพราะเยโฮชาฟัทยำเกรงพระเจ้า..ติดสนิทกับพระเจ้า เพราะงั้น อะไรที่ไม่ใช่..ไม่ได้มาจากพระองค์..เขาจะมีเซ้นส์ พวกเราเหมือนกัน ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้า..มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์อย่างเสมอต้นเสมอปลายเราก็จะมีวินิจฉัยเหมือนเยโฮชาฟัท ไม่ว่าความเทียมเท็จนั้นจะแฝงมากับอะไร เราก็จะแยกออก..ว่าอันไหนเป็นน้ำพระทัย..อันไหนไม่ใช่ ข้อที่ 7 เยโฮชาฟัทก็เลยถามอาหับว่า "ที่นี่ไม่มีผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์อีกซึ่งเราจะสอบถามได้แล้วหรือ" คิดดู 400 คน..ยังไม่มีน้ำหนักพอให้เยโฮชาฟัทเชื่อ..

ดู1พกษ.22:8-9 พอเยโฮชาฟัทถามว่า”ยังมีคนอื่นอีกมั๊ย ที่มันน่าเชื่อถือกว่านี้” อาหับก็บอกว่า..”มีคนนึง ชื่อ”มีคายาห์” แต่คนนี้นะ..พูดอะไร..ไม่เคยดีเลย.เลยไม่อยากจะฟัง “..เพราะเขาพยากรณ์แต่ความร้าย ไม่เคยพยากรณ์ความดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย" อาหับว่างั้น (อาหับคงอยากฟังแต่คำตอบที่ชอบๆ) เด็กๆเคยเป็นอย่างอาหับมะ..น้าตุ๊กเคย..ยอมรับ คือ บางครั้ง เราอยากจะถามความเห็นเพื่อน แต่ในใจลึกๆเรารู้อยู่แล้วล่ะ..ว่าแต่ละคนจะตอบว่าไง.. หลายครั้งเราก็เลยไม่อยากจะถามเพื่อน..”ที่ไม่เคยพูดแบบเข้าข้างเราเลย” แต่เราชอบไปถาม..คนที่เรารู้ว่า ถามแล้ว..จะได้คำตอบแบบที่ชอบ..อาหับก็เหมือนกัน ข้อที่8 เยโฮชาฟัท ก็บอกว่า "ขอกษัตริย์อย่าตรัสดังนั้นเลย" ..อย่าไปคิดอย่างงั้น ไปเชิญมาเถอะ..เขาจะอยากฟัง

ดู1พกษ.22:13-14 อาหับเลยให้คนไปตาม”มีคายาห์”มา แต่ระหว่างทางก่อนที่จะมาเฝ้ากษัตริย์ คนที่ไปตามก็บอกมีคายาห์ว่า "ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้พยากรณ์ก็พูดสิ่งที่ดีแก่กษัตริย์เป็นปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่ดี" ประมาณว่า..ครั้งนี้ ช่วยพูดให้ดีๆหน่อยนะ เพราะก่อนหน้านี้..ทั้ง400คน เขาพูดไว้ดีหมดแล้ว..และก็เป็นเสียงเดียวกันด้วย เพราะงั้น เดี๋ยวเข้าไปแล้ว..มีคายาห์ช่วยพูดไปทางเดียวกันหน่อย..นะ จะได้ไม่มีปัญหา ข้อที่14 มีคายาห์ บอกว่า "พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะต้องพูดอย่างนั้น" แต่แปลกมากเพราะเมื่อไปถึงเขากลับบอกอาหับว่า ”ไปเถอะ..รบแล้วจะชนะ อะไรต่างๆตามที่เขาบอกให้พูด..” แต่พออาหับได้ยินอย่างงั้น..ก็บอกว่า "เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระเยโฮวาห์" ....เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ..ว่าให้เผยตามที่พระเจ้าตรัสจริงๆ คือ อาหับ “ไม่เชื่อ” เพราะปกติแล้วมีคายาห์ไม่เคยพูดดีเลย เพราะฉะนั้น ที่เขาพูดวันนี้ “ต้องไม่ใช่ความจริง” พอมีคายาห์ได้ยินอย่างงั้น..ก็เลยเผยพระวจนะตามจริง..

ดู1พกษ.22:17-18 ข้อที่17 มีคายาห์บอกว่า."ข้าพระองค์ได้เห็นคนอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขาอย่างแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และเจ้าตรัสว่า `คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้เขาต่างกลับยังเรือนของตนโดยสันติภาพเถิด'..แปลว่า อย่าไปรบเลย ถ้าไปก็จะแพ้ พออาหับได้ยินอย่างงั้นก็หันไปบอกเยโฮชาฟัททันทีว่า “เห็นมะ บอกแล้ว..ว่าคนเนี้ย ไม่เคยพูดดีเลย ไอที่พูดดีๆมะกี้..เขาแกล้ง ตอนนี้ถึงจะของจริง.. จากนั้น มีคายาห์ก็พูดต่อไปว่า ”ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งและตรัสว่า `ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับเพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด' บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น ข้อที่22 บอกว่า แล้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้า เฝ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ทูลว่า `ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง' ยังไง..โดยไปเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้พยากรณ์ของเขาทั้ง400คนนั้น และพระเจ้าก็ตรัสว่า..โอเค ตามนั้น..ไปจัดการได้”... คือ ตอนนี้ มีคายาห์เผยความจริงให้ฟังทั้งหมดเลย..ว่าจริงๆแล้วสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะ400คนพูดนั้น..มันมาจากวิญญาณร้าย..ที่พระเจ้าอนุญาตให้มา เพื่อที่จะล่อลวงอาหับให้ออกไปรบ..แล้วถูกฆ่าตาย

ดู1พกษ.22:23-24 พอมีคายาห์เผยความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าบัลลังก์พระเจ้า ผูเผยพระวจนะ400คนนั้น..โมโหมาก พูดอย่างงี้ ก็หาว่าพวกเขาเผยพระวจนะเทียมเท็จสิ ยอมไม่ได้..ข้อที่ 24 บอกว่า “เศเดคียาห์..ที่เป็นหัวหน้า เลยเดินเข้ามาแล้วตบหน้ามีคายาห์เลย..แล้วบอกว่า เป็นไปไม่ได้..เขาต่างหากที่พูดความจริง มีคายาห์นั้นแหละที่เผยความเท็จ” เอาล่ะสิ..อาหับจะเชื่อใคร ถ้าอาหับจะตัดสินกันด้วยการลงคะแนนเสียง..เด็กๆว่า ใครชนะ แน่นอน มีคายาห์ไม่มีทางชนะ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ มันทำให้เรารู้ว่า..บางครั้งพวกมากหรือฝ่ายที่ได้คะแนนเสียงมากก็ไม่ใช่จะถูกเสมอไป การโวทเป็นแค่วิธีที่มนุษย์นิยมใช้เพื่อยุติข้อขัดแย้ง แต่ในฝ่ายวิญญาณแล้ว..วิธีนี้ไม่ใช่บรรทัดฐาน การเชื่อตามเสียงส่วนมากเอามาใช้ในทางพระเจ้า..ไม่ได้ ข้อที่27 อาหับบอกว่า "เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารแห่งความทุกข์กับน้ำแห่งความทุกข์ จนกว่าเราจะกลับมาโดยสันติภาพ"..สั่งขังมีคายาห์ซะงั้น ถามว่าลุกๆแล้วอาหับเชื่อมะ..ว่ามีคายาห์พูดความจริง เชื่อ..แต่ชั้นไม่ชอบ..ไม่ยอมรับ มีคายาห์ก็เลยบอกว่า..”งั้นรอดูก็ละกัน ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าใครจริง..ใครเท็จ ถ้าอาหับกลับมาอย่างปลอดภัยแปลว่าเขาผิดจริง..แปลว่าเขาไม่ได้พูดสิ่งที่มาจากพระเจ้า

หมอเวลาแล้วค่ะ..สัปดาห์หน้าจะเป็นตอนจบของหนังสือ1 พงศ์กษัตริย์แล้วนะคะ

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น