คราวที่แล้ว
เรามาถึงตอนที่พวกปุโรหิตอายัดและยัดเยียดความผิดให้พระเยซู
เสร็จพวกเขาก็นำพระองค์มาหาปีลาต..ที่ต้องพามาหาปีลาตเพราะตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโรม พวกเขาเลยต้องมาหา“ปีลาต” เพราะปีลาตเป็นตัวแทนของรัฐบาลโรม และเมื่ออยู่ ต่อหน้าปีลาต
ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด และเขาก็พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป บอกให้เฆี่ยนพอแล้ว..ก็ปล่อยตัวไป แต่พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม
ปีลาตก็บอก วันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร เขาบอก..ปล่อยบารับบัส ลุกา 23:20
บอกว่า “ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า
"ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด" ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า
"ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย
เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย”.. แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้จะยืมมือเขาฆ่าพระเยซู สุดท้าย
ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้
เจ้ารับธุระเอาเองเถิด" บรรดาหมู่ชนก็ตอบว่า
"ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด" ดูต่อ..
ดู มัทธิว 27:26-31 เมื่อผู้นำของพวกยิวยืนยันที่จะปล่อยบารับบัส
และกดดันให้ปิลาตสั่งประหารพระเยซู สุดท้าย ปีลาตก็ต้องยอมจำนน โดยสั่งให้เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่กางเขน แต่ก่อนจะถูกตรึง
พระองค์ก็ถูกกระทำทารุณมากมายโดยพวกทหารโรม
ข้อนี้ คงไม่ต้องอธิบายมาก..ภาพมันชัดเจนอยู่แล้ว
เราว่าไปทีละข้อเลยละกัน..เด็กๆก็นึกภาพตาม “พวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก
เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์ แล้วก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ..สวมพระเศียรของพระเยซู แล้วเอาไม้อ้อให้พระองค์ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้า พร้อมทั้ง เยาะเย้ยพระองค์ว่า
"กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ" แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์
และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระเยซู..”...
การกระทำทั้งหมดนี้ ปิลาตไม่ได้สั่ง..พวกทหารทำเองด้วยความคึกคะนอง ทำเพื่อเยาะเย้ย.. “ เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว
เขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน”...
ขอให้เด็กๆท่องและก็จำสภาพในเวลานี้ของพระเยซูคริสต์ไว้ให้ดี พระองค์ถูกกระทำการทารุณอย่างทุกข์ทรมาน อย่างที่บอก พระองค์เป็นพระเจ้าแต่กลับ “ยอม” ที่จะโดนดูถูกเหยียดหยามโดย
“มนุษย์” มนุษย์ที่แท้จริงแล้ว “ไม่ฉลาดเท่าไหร่..”.หลายคนอาจจะคิดว่าตัวฉลาด แต่ถ้าเทียบกับพระเจ้าแล้ว..”มนุษย์ไม่สามารถเลย..ช่วยตัวเองก็ไม่ได้.แล้วหลายครั้งก็ยังจะเย่อหยิ่งอีกด้วย
!” แต่พระเยซูยังยอมตายเพื่อช่วยมนุษย์ที่แสนจะเย่อหยิ่ง..ให้ได้รับความรอด
ด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ..ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน รักทั้งที่มนุษย์สุดแสนจะน่าเกลียด เพราะงั้น ถ้าเราเข้าใจชัดเจนในจุดนี้ เราจะซาบซึ้งในรักแท้ของพระเจ้า..ที่เรียกว่า
“รักแบบอากาเป้” หรือที่บันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 13..... แล้วในขณะที่พระเยซูยอมโดนดูถูกเพื่อเรา ถามตัวเองซิ..เราเคยยอมให้คนอื่นดูถูก (อย่างไม่ตอบโต้)..บ้างมั๊ย ขณะที่พระเยซูยอมสละชีวิตเพื่อเรา..เราเคยยอมเสียสละเพื่อคนอื่นบ้างรึเปล่า ไม่ต้องอะไรมาก
บางครอบครัว..พี่น้องกันยังไม่ยอมกันเลย
แม้แต่พ่อแม่ โอเค พ่อแม่ทุกคนรักลูก..ยอมตายแทนลูกได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าลูกไม่รัก..หรือรักไม่เท่าที่หวัง..ทนได้มั๊ย..ส่วนใหญ่ก็จะเสียใจ..น้อยใจ..ตีอกชกตัว..ตัดพ้อไปต่างๆนาๆ เพราะอะไร..เพราะรักแบบคาดหวัง ”มากเกินไป”
ในขณะที่พวกทหารกระทำต่อพระองค์อย่างไม่น่าให้อภัย..พระเยซูก็ยังอธิฐานขอพระเจ้ายกโทษให้เขา..เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป แต่ถ้าเป็นเรา.. ทำไง..ขอพระเจ้าลงโทษเขา
(รึเปล่า).. หนักๆยิ่งดีมันจะได้สำนึก !! (ใช่มั๊ย) ถ้าคิดให้ดี..อะไรต่างๆเหล่านี้
ล้วนแต่เป็นภาพที่ทำให้เราเห็นรักแท้ของพระเจ้า..ชัดเจนขึ้น ภาพนี้ทำให้เรารู้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่จะรักมนุษย์อย่างบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู
ดู มัทธิว 27:33-34 พระเยซูถูกนำมาที่ “กลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ” ..ก็คงจะเป็นที่ที่ใช้ประหารชีวิตคน เราลองลำดับเหตุการณ์ตามไป..พระเยซูถูกจับตั้งแต่ประมาณ
ตี 1
จากนั้นก็ถูกอายัดพระองค์ไว้ให้พวกปุโรหิตไต่สวนคดีทั้งคืน..จนมาถึงปิลาตตอนเช้ามืด และมาตอนนี้ที่กำลังจะถูกตรึงคือเวลาประมาณ 9
โมงเช้า..ไม่ได้นอน..โดนทรมานทั้งคืน ข้อที่
34 บอกว่า “เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย”....พระเยซูไม่เสวยเพราะ“ของขม”
ที่เขาใส่ปนมาในน้ำองุ่น มันคือ สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยลดความเจ็บปวด เพราะงั้น เมื่อพระเยซูชิมแล้ว..พระองค์เลยไม่รับ หมายความว่า พระองค์ไม่เอาตัวช่วย แต่เลือกที่จะแบกรับความทุกข์ทรมานแบบเต็มๆ..เพื่อสยบทุกคำโต้แย้งของมาร เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา “มาร”
จะปิดปากเงียบ..ยอมจำนนกับคนที่พึ่งในพระคุณของพระคริสต์ การไถ่ของผู้ที่เชื่อในการตายบนไม้กางเขนของพระเยซู..รับรอง
“เคลียร์” ไม่มีข้อกังขา (เอเมนมั๊ยคะ)
ดู มัทธิว 27:39-42 “ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็ด่าทอพระองค์
สั่นศีรษะของเขา กล่าวว่า
"เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด
ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด".. ข้อนี้บอก
คนที่เดินผ่านไปมา..เห็นพระเยซูแล้ว..ก็ส่ายหัว พูดทำนองว่า
“ถ้าตัวเองเป็นพระบุตรพระเจ้าจริง..ช่วยตัวเองให้รอดก่อน ดีมั๊ย !”..ประมาณนั้น เนี่ยคือ
ความโง่ของมนุษย์..โง่ เพราะตัดสินทุกอย่างตามสิ่งที่ตามองเห็น ข้อที่
42 พวกปุโรหิตพูดอีกว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้
แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา”... ลักษณะนิสัยอันนึงที่เป็นผลพวงจากการล้มลงในความบาปของมนุษย์ ก็คือ
“ชอบที่จะเป็นผู้ควบคุม”..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควบคุมพระเจ้าหรือแม้แต่พระอื่นๆของเขา
(จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) ดูอย่าง คำพูดของพวกปุโรหิตในข้อนี้.. คือ “..ถ้าเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง ก็ลงมาจากกางเขนให้ได้เดี๋ยวนี้
และเราจะเชื่อ” ....ความหมายของพวกเขา ก็คือ...“ถ้าจะให้เชื่อ
ก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ...1234 อะไรก็ว่าไป ถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์เรียกทูตสวรรค์มา..ให้ดูเป็นพระเอกหน่อย..แล้วก็ลงมาจากกางเขนซะ..อย่างสง่างาม
(เหมือนภาพยนตร์น้ำเน่าทั่วไป)... แล้วถ้าพระเยซูต้องทำอย่างที่เขาพูด ถามจริงๆว่า ตกลงใครใหญ่..ใครคือผู้ควบคุม มนุษย์ คือ ผู้ควบคุม..ใช่มั๊ย แล้วจะไปรอดรึเปล่า เพราะถ้าพระเยซูลงจากกางเขน อะไรจะเกิดขึ้น..โอเค คนพวกนั้นก็คงจะตื่นเต้น..โฮซันนายอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า
แต่ความพอใจอันนั้นของมนุษย์ต้องแลกมาด้วยความพินาศใหญ่หลวงชั่วนิรันดร์..เพราะการไถ่บาปก็จะไม่สำเร็จ...ถูกมั๊ยคะ
และ ทุกวันนี้ คนจำนวนมากก็ยังเป็นเหมือนปุโรหิตพวกนี้ คือ..ประมาณว่าต้องทำให้ฉันรวยก่อน..ฉันถึงจะเชื่อพระเจ้า ต้องให้ฉัน..ได้ดั่งใจ..ได้งานดีมีชื่อเสียง..มีบ้าน..มีรถ ถูกรางวัล..อะไรก็ว่าไป ส่วนใหญ่คิดได้แค่นั้น..นิยามคำว่า “ดี” ของคนส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้กับแค่ ”สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้" ...ซึ่งสำหรับพระเจ้ามันคือความมืดบอด แต่มนุษย์ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองฉลาดเพราะ..ไม่ค่อยจะเผื่อใจว่า..มันอาจมีอะไรอีกมากมายนะในสิ่งที่เขามองไม่เห็น
ดู ยอห์น 19:30-34 เมื่อพระเยซูรับน้ำองุ่น
(ที่ไม่ใส่สมุนไพรลดความเจ็บปวด) แล้ว พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว"
และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป รวมเวลาที่พระองค์ถูกตรึงบนกางเขนราว 6 ชม. เพราะพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า และสิ้นพระชนม์ตอนบ่าย 3
และ สะบาโตกำลังจะเริ่มแล้วตอน 6 โมงเย็น ดังนั้น เขาจะปล่อยให้ศพแขวนอยู่อย่างงั้น..ไม่ได้
ต้องเอาลงมาและไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนสะบาโตจะเริ่ม แต่ปัญหาคือโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูอีกสองคน..ยังไม่ตาย เขาทำไง..ข้อที่ 32 บอก “พวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง
และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์” ...
ที่เขาทุบขาก็เพื่อจะให้น้ำหนักทั้งหมดทิ้งตัวลงมา..ปกติเวลาหายใจมันต้องยกตัวขึ้น ดังนั้น พอขาหักแล้วก็จะไม่สามารถที่ยันตัวขึ้นมาหายใจได้อีก ในที่สุด..ก็ขาดใจตาย พอมาถึงพระเยซูเขาไม่ได้ทุบขาเพราะพระองค์ตายแล้ว..แต่วิธีเช็คของเขา
ก็คือ เอาหอกแทงสีข้าง พอแทงปุ๊บ..เลือดกับน้ำก็พุ่งออกมา อันนี้แสดงว่าตายแล้ว เพราะร่างกาย ทุกระบบหยุดทำงาน ของเหลวทุกอย่างมากองรวมกันไม่มีการสูบฉีด พอเอาหอกแทงเข้าไป..ของเหลวทุกอย่างก็พุ่งออกมา เป็นสัญญาณว่าตายแล้ว..แน่นอน
จากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธียก็นำพระศพของพระเยซูไปฝัง
ในสุสานของเขา..ที่เขาเตรียมไว้สำหรับตัวเอง อันนี้
ก็คล้ายๆคนจีนที่ชอบซื้อที่ฝังศพหรือฮวงซุ้ยเตรียมไว้สำหรับตัวเอง สรุปแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย..พระเยซูมีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีเลยนะ มีแต่คนเตรียมให้.. ถ้ามองฝ่ายโลก..พระองค์ไม่มีสมบัติของตัวเองเลยบนโลกนี้
ดู มัทธิว 27:62-66 ปรากฎว่า
พวกปุโรหิตยังจำได้..ว่า พระเยซูเคยบอกว่า
“อีกสามวันพระองค์จะฟื้นขึ้นมา” ..ก็เลยไปขอกำลังทหารจากปิลาตให้มาเฝ้าหน้าอุโมงค์หน่อย เขาไม่คิดหรอกว่าพระเยซูจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ
แต่ เขาคิดว่าที่พระองค์พูดอย่างนั้น..ก็เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกสาวกมาขโมยศพ..จะได้ไปหลอกประชาชนว่าพระองค์ฟื้นขึ้นมา ซึ่งพวกปุโรหิตก็กลัวว่ามันจะทำให้ประชาชนสับสนวุ่นวายไม่จบสิ้น
..ก็เลยอยากจะกันไว้ก่อนด้วยการไปขอทหารยามจากปิลาตมาเฝ้าหน้าอุโมงค์ ข้อที่ 65 บอก “ ปิลาตก็อนุญาตให้พวกเขาเอายามไปเฝ้าให้แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
..เพื่อไม่ให้สาวกมาขโมยศพ ซึ่งจริงๆไม่มีใครมาขโมย..แต่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา พระคำภีร์บอกว่า
ทหารยามก็มาเฝ้าวันเสาร์ทั้งวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตกกลางคืนก็ยังไม่มีอะไร แต่พอเช้าวันอาทิตย์ ..เกิดไรขึ้น ช่วงนี้ให้เด็กๆเปิดไปดู
ดู ลูกา 24:1-8 ข้อนี้ บอกว่า “เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์”..คือ วันอาทิตย์ เมื่อมารีย์ชาวมักดาลา..มาถวายเครื่องหอมที่อุโมงค์
..ก็พบว่าทูตสวรรค์ได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วศพของพระเยซูก็หายไป ถ้าอ่านเผินๆ หลายคนก็จะเข้าใจว่า..ทูตสวรรค์มากลิ้งก้อนหินให้พระเยซูออกมา แต่จริงๆ..ไม่ใช่นะ ที่ทูตสวรรค์ต้องมากลิ้งก้อนหิน..
ก็เพื่อให้สาวกเข้าไปดู ไม่ใช่กลิ้งให้พระเยซูออกมา เพราะเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์มีร่างที่ใหม่สามารถเดินผ่านทุกอย่างได้ ข้อที่
5 บอกว่า “.. ชายสองคนนั้น..(ซึ่งก็คือ
ทูตสวรรค์) จึงพูดกับเขาว่า "พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว
จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายเมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี..ว่า.
บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป ถูกตรึงที่กางเขน
และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”.....ดูนะ พระเยซูบอกไว้แล้วว่าวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่ ศัตรูของพระองค์คือพวกปุโรหิตยังจำได้เลย..ถึงต้องเกณฑ์ทหารยามไปเฝ้าหน้าอุโมงค์ แต่พวกสาวกกลับจำคำของพระเยซูไม่ได้..ถ้าทูตสวรรค์ไม่มาเตือนความจำ..ก็นึกไม่ออก
ลูกา 24:13-16
ในตอนท้าย
จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสำแดงพระองค์ของพระเยซูแก่เหล่าสาวก..หลังจากที่คืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว ข้อนี้ บอกว่า “ขณะที่สาวกสองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส
พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้
คุยกันไป..คุยกันมาจนถึงที่หมาย..สาวกก็เชิญให้พระองค์เสวย” ข้อที่ 30 บอกว่า “ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยกับเขา
พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้ ตาของสาวกสองคนนั้น..ก็หายฟางแล้วก็จำได้..ว่าเป็นพระเยซูจริงๆ
แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา” จากนั้น เมื่อสาวกสองคนไปเล่าเรื่องนี้ให้อีกสิบคนฟัง พระเยซูก็ทรงปรากฏต่ออัครสาวกอีกสิบคน ข้อที่ 36 “เมื่อเขาทั้งสองกำลังเล่าเหตุการณ์เหล่านั้น
พระเยซูเองทรงยืนอยู่ที่ท่ามกลางเขาและตรัสว่า
"ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”...ประมาณว่า
ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่...พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา
และยังอยู่กับพวกเราจนทุกวันนี้ด้วย เอเมนมั๊ย
กลับมาที่ มัทธิว 28:16-20 เมื่อเหล่าสาวกไปพบพระเยซูที่แคว้นกาลิลี
สิ่งที่พระองค์สั่งไว้แก่เหล่าสาวกที่ได้พบพระองค์ คือ เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้
นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” นี่คือ มหาบัญชาสุดท้ายที่พระเยซูสั่งไว้กับเหล่าสาวกและพวกเราด้วย
คือ ให้เราประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดผ่านทางการตายบนไม้กางเขน..เป็นพยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์..และให้ชนทุกชาติได้รับบัพติศมาในนามของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ..ผ่านทางความเชื่อ..รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ และถือรักษาสิ่งที่พระองค์สอนไว้ในพระคัมภีร์ สุดท้าย สำคัญมาก พระองค์บอกว่า
“พระองค์จะอยู่กับเราจนถึงวันพิพากษา”... สำหรับเรื่องนี้
เท่าที่ดำเนินกับพระเจ้ามา..น้าตุ๊กเชื่อและสำผัสได้จริงๆว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ด้วย..ตลอดเวลา
และน้าตุ๊กก็เชื่อว่า เด็กๆจะสามารถสัมผัสเรื่องนี้ได้เหมือนกัน..ถ้าเราเรียนรู้ที่จะติดสนิทกับพระองค์
หนังสือ มัทธิว ก็จบสมบูรณ์แล้วนะคะ
จนกว่าพบกันใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ