วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 20 (จบ)

คราวที่แล้ว เรามาถึงตอนที่พวกปุโรหิตอายัดและยัดเยียดความผิดให้พระเยซู  เสร็จพวกเขาก็นำพระองค์มาหาปีลาต..ที่ต้องพามาหาปีลาตเพราะตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโรม    พวกเขาเลยต้องมาหา“ปีลาต”  เพราะปีลาตเป็นตัวแทนของรัฐบาลโรม  และเมื่ออยู่ ต่อหน้าปีลาต  ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด   และเขาก็พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป  บอกให้เฆี่ยนพอแล้ว..ก็ปล่อยตัวไป   แต่พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม ปีลาตก็บอก วันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร   เขาบอก..ปล่อยบารับบัส   ลุกา 23:20 บอกว่า ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า "ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"  ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร  เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย”.. แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้จะยืมมือเขาฆ่าพระเยซู  สุดท้าย  ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด"  บรรดาหมู่ชนก็ตอบว่า "ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"   ดูต่อ..
ดู มัทธิว 27:26-31   เมื่อผู้นำของพวกยิวยืนยันที่จะปล่อยบารับบัส และกดดันให้ปิลาตสั่งประหารพระเยซู    สุดท้าย ปีลาตก็ต้องยอมจำนน   โดยสั่งให้เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่กางเขน   แต่ก่อนจะถูกตรึง พระองค์ก็ถูกกระทำทารุณมากมายโดยพวกทหารโรม   ข้อนี้ คงไม่ต้องอธิบายมาก..ภาพมันชัดเจนอยู่แล้ว   เราว่าไปทีละข้อเลยละกัน..เด็กๆก็นึกภาพตาม     พวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์   แล้วก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ..สวมพระเศียรของพระเยซู   แล้วเอาไม้อ้อให้พระองค์ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา  จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้า  พร้อมทั้ง เยาะเย้ยพระองค์ว่า "กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ" แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระเยซู..”...  การกระทำทั้งหมดนี้  ปิลาตไม่ได้สั่ง..พวกทหารทำเองด้วยความคึกคะนอง  ทำเพื่อเยาะเย้ย..  “ เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน”...
ขอให้เด็กๆท่องและก็จำสภาพในเวลานี้ของพระเยซูคริสต์ไว้ให้ดี  พระองค์ถูกกระทำการทารุณอย่างทุกข์ทรมาน   อย่างที่บอก พระองค์เป็นพระเจ้าแต่กลับ “ยอม” ที่จะโดนดูถูกเหยียดหยามโดย “มนุษย์”  มนุษย์ที่แท้จริงแล้ว “ไม่ฉลาดเท่าไหร่..”.หลายคนอาจจะคิดว่าตัวฉลาด  แต่ถ้าเทียบกับพระเจ้าแล้ว..”มนุษย์ไม่สามารถเลย..ช่วยตัวเองก็ไม่ได้.แล้วหลายครั้งก็ยังจะเย่อหยิ่งอีกด้วย !”  แต่พระเยซูยังยอมตายเพื่อช่วยมนุษย์ที่แสนจะเย่อหยิ่ง..ให้ได้รับความรอด   ด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ..ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน  รักทั้งที่มนุษย์สุดแสนจะน่าเกลียด   เพราะงั้น ถ้าเราเข้าใจชัดเจนในจุดนี้  เราจะซาบซึ้งในรักแท้ของพระเจ้า..ที่เรียกว่า “รักแบบอากาเป้” หรือที่บันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 13..... แล้วในขณะที่พระเยซูยอมโดนดูถูกเพื่อเรา  ถามตัวเองซิ..เราเคยยอมให้คนอื่นดูถูก (อย่างไม่ตอบโต้)..บ้างมั๊ย   ขณะที่พระเยซูยอมสละชีวิตเพื่อเรา..เราเคยยอมเสียสละเพื่อคนอื่นบ้างรึเปล่า  ไม่ต้องอะไรมาก บางครอบครัว..พี่น้องกันยังไม่ยอมกันเลย  แม้แต่พ่อแม่ โอเค พ่อแม่ทุกคนรักลูก..ยอมตายแทนลูกได้  แต่ถ้ารู้สึกว่าลูกไม่รัก..หรือรักไม่เท่าที่หวัง..ทนได้มั๊ย..ส่วนใหญ่ก็จะเสียใจ..น้อยใจ..ตีอกชกตัว..ตัดพ้อไปต่างๆนาๆ   เพราะอะไร..เพราะรักแบบคาดหวัง ”มากเกินไป”
ในขณะที่พวกทหารกระทำต่อพระองค์อย่างไม่น่าให้อภัย..พระเยซูก็ยังอธิฐานขอพระเจ้ายกโทษให้เขา..เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป  แต่ถ้าเป็นเรา.. ทำไง..ขอพระเจ้าลงโทษเขา (รึเปล่า)..  หนักๆยิ่งดีมันจะได้สำนึก !! (ใช่มั๊ย)    ถ้าคิดให้ดี..อะไรต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นภาพที่ทำให้เราเห็นรักแท้ของพระเจ้า..ชัดเจนขึ้น  ภาพนี้ทำให้เรารู้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่จะรักมนุษย์อย่างบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู 
ดู มัทธิว 27:33-34  พระเยซูถูกนำมาที่ “กลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ” ..ก็คงจะเป็นที่ที่ใช้ประหารชีวิตคน   เราลองลำดับเหตุการณ์ตามไป..พระเยซูถูกจับตั้งแต่ประมาณ ตี 1 จากนั้นก็ถูกอายัดพระองค์ไว้ให้พวกปุโรหิตไต่สวนคดีทั้งคืน..จนมาถึงปิลาตตอนเช้ามืด  และมาตอนนี้ที่กำลังจะถูกตรึงคือเวลาประมาณ 9 โมงเช้า..ไม่ได้นอน..โดนทรมานทั้งคืน   ข้อที่ 34 บอกว่า “เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย”....พระเยซูไม่เสวยเพราะ“ของขม” ที่เขาใส่ปนมาในน้ำองุ่น มันคือ สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยลดความเจ็บปวด  เพราะงั้น เมื่อพระเยซูชิมแล้ว..พระองค์เลยไม่รับ  หมายความว่า พระองค์ไม่เอาตัวช่วย  แต่เลือกที่จะแบกรับความทุกข์ทรมานแบบเต็มๆ..เพื่อสยบทุกคำโต้แย้งของมาร   เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา “มาร” จะปิดปากเงียบ..ยอมจำนนกับคนที่พึ่งในพระคุณของพระคริสต์   การไถ่ของผู้ที่เชื่อในการตายบนไม้กางเขนของพระเยซู..รับรอง “เคลียร์” ไม่มีข้อกังขา  (เอเมนมั๊ยคะ)    
ดู มัทธิว 27:39-42   “ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็ด่าทอพระองค์ สั่นศีรษะของเขา  กล่าวว่า "เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด"..   ข้อนี้บอก คนที่เดินผ่านไปมา..เห็นพระเยซูแล้ว..ก็ส่ายหัว  พูดทำนองว่า “ถ้าตัวเองเป็นพระบุตรพระเจ้าจริง..ช่วยตัวเองให้รอดก่อน ดีมั๊ย !”..ประมาณนั้น   เนี่ยคือ ความโง่ของมนุษย์..โง่ เพราะตัดสินทุกอย่างตามสิ่งที่ตามองเห็น    ข้อที่  42 พวกปุโรหิตพูดอีกว่า เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา”... ลักษณะนิสัยอันนึงที่เป็นผลพวงจากการล้มลงในความบาปของมนุษย์ ก็คือ “ชอบที่จะเป็นผู้ควบคุม”..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควบคุมพระเจ้าหรือแม้แต่พระอื่นๆของเขา (จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม)      ดูอย่าง คำพูดของพวกปุโรหิตในข้อนี้.. คือ “..ถ้าเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง  ก็ลงมาจากกางเขนให้ได้เดี๋ยวนี้  และเราจะเชื่อ” ....ความหมายของพวกเขา ก็คือ...“ถ้าจะให้เชื่อ ก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ...1234 อะไรก็ว่าไป  ถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์เรียกทูตสวรรค์มา..ให้ดูเป็นพระเอกหน่อย..แล้วก็ลงมาจากกางเขนซะ..อย่างสง่างาม (เหมือนภาพยนตร์น้ำเน่าทั่วไป)...  แล้วถ้าพระเยซูต้องทำอย่างที่เขาพูด  ถามจริงๆว่า ตกลงใครใหญ่..ใครคือผู้ควบคุม  มนุษย์ คือ ผู้ควบคุม..ใช่มั๊ย  แล้วจะไปรอดรึเปล่า   เพราะถ้าพระเยซูลงจากกางเขน  อะไรจะเกิดขึ้น..โอเค คนพวกนั้นก็คงจะตื่นเต้น..โฮซันนายอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า  แต่ความพอใจอันนั้นของมนุษย์ต้องแลกมาด้วยความพินาศใหญ่หลวงชั่วนิรันดร์..เพราะการไถ่บาปก็จะไม่สำเร็จ...ถูกมั๊ยคะ
และ ทุกวันนี้ คนจำนวนมากก็ยังเป็นเหมือนปุโรหิตพวกนี้  คือ..ประมาณว่าต้องทำให้ฉันรวยก่อน..ฉันถึงจะเชื่อพระเจ้า  ต้องให้ฉัน..ได้ดั่งใจ..ได้งานดีมีชื่อเสียง..มีบ้าน..มีรถ  ถูกรางวัล..อะไรก็ว่าไป ส่วนใหญ่คิดได้แค่นั้น..นิยามคำว่า “ดี” ของคนส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้กับแค่ ”สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้" ...ซึ่งสำหรับพระเจ้ามันคือความมืดบอด  แต่มนุษย์ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองฉลาดเพราะ..ไม่ค่อยจะเผื่อใจว่า..มันอาจมีอะไรอีกมากมายนะในสิ่งที่เขามองไม่เห็น
ดู ยอห์น 19:30-34  เมื่อพระเยซูรับน้ำองุ่น (ที่ไม่ใส่สมุนไพรลดความเจ็บปวด) แล้ว  พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป  รวมเวลาที่พระองค์ถูกตรึงบนกางเขนราว 6 ชม.  เพราะพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า   และสิ้นพระชนม์ตอนบ่าย 3    และ สะบาโตกำลังจะเริ่มแล้วตอน 6 โมงเย็น   ดังนั้น เขาจะปล่อยให้ศพแขวนอยู่อย่างงั้น..ไม่ได้  ต้องเอาลงมาและไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนสะบาโตจะเริ่ม   แต่ปัญหาคือโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูอีกสองคน..ยังไม่ตาย   เขาทำไง..ข้อที่ 32  บอก “พวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์”  ... ที่เขาทุบขาก็เพื่อจะให้น้ำหนักทั้งหมดทิ้งตัวลงมา..ปกติเวลาหายใจมันต้องยกตัวขึ้น   ดังนั้น พอขาหักแล้วก็จะไม่สามารถที่ยันตัวขึ้นมาหายใจได้อีก  ในที่สุด..ก็ขาดใจตาย    พอมาถึงพระเยซูเขาไม่ได้ทุบขาเพราะพระองค์ตายแล้ว..แต่วิธีเช็คของเขา ก็คือ เอาหอกแทงสีข้าง   พอแทงปุ๊บ..เลือดกับน้ำก็พุ่งออกมา  อันนี้แสดงว่าตายแล้ว  เพราะร่างกาย ทุกระบบหยุดทำงาน  ของเหลวทุกอย่างมากองรวมกันไม่มีการสูบฉีด  พอเอาหอกแทงเข้าไป..ของเหลวทุกอย่างก็พุ่งออกมา  เป็นสัญญาณว่าตายแล้ว..แน่นอน 
จากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธียก็นำพระศพของพระเยซูไปฝัง  ในสุสานของเขา..ที่เขาเตรียมไว้สำหรับตัวเอง  อันนี้ ก็คล้ายๆคนจีนที่ชอบซื้อที่ฝังศพหรือฮวงซุ้ยเตรียมไว้สำหรับตัวเอง  สรุปแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย..พระเยซูมีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีเลยนะ  มีแต่คนเตรียมให้.. ถ้ามองฝ่ายโลก..พระองค์ไม่มีสมบัติของตัวเองเลยบนโลกนี้
ดู มัทธิว 27:62-66  ปรากฎว่า  พวกปุโรหิตยังจำได้..ว่า พระเยซูเคยบอกว่า “อีกสามวันพระองค์จะฟื้นขึ้นมา”  ..ก็เลยไปขอกำลังทหารจากปิลาตให้มาเฝ้าหน้าอุโมงค์หน่อย   เขาไม่คิดหรอกว่าพระเยซูจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ   แต่ เขาคิดว่าที่พระองค์พูดอย่างนั้น..ก็เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกสาวกมาขโมยศพ..จะได้ไปหลอกประชาชนว่าพระองค์ฟื้นขึ้นมา   ซึ่งพวกปุโรหิตก็กลัวว่ามันจะทำให้ประชาชนสับสนวุ่นวายไม่จบสิ้น ..ก็เลยอยากจะกันไว้ก่อนด้วยการไปขอทหารยามจากปิลาตมาเฝ้าหน้าอุโมงค์      ข้อที่ 65 บอก “ ปิลาตก็อนุญาตให้พวกเขาเอายามไปเฝ้าให้แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ..เพื่อไม่ให้สาวกมาขโมยศพ   ซึ่งจริงๆไม่มีใครมาขโมย..แต่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา   พระคำภีร์บอกว่า ทหารยามก็มาเฝ้าวันเสาร์ทั้งวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ตกกลางคืนก็ยังไม่มีอะไร  แต่พอเช้าวันอาทิตย์ ..เกิดไรขึ้น  ช่วงนี้ให้เด็กๆเปิดไปดู
ดู ลูกา 24:1-8 ข้อนี้ บอกว่า “เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์”..คือ วันอาทิตย์  เมื่อมารีย์ชาวมักดาลา..มาถวายเครื่องหอมที่อุโมงค์ ..ก็พบว่าทูตสวรรค์ได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วศพของพระเยซูก็หายไป    ถ้าอ่านเผินๆ หลายคนก็จะเข้าใจว่า..ทูตสวรรค์มากลิ้งก้อนหินให้พระเยซูออกมา  แต่จริงๆ..ไม่ใช่นะ  ที่ทูตสวรรค์ต้องมากลิ้งก้อนหิน.. ก็เพื่อให้สาวกเข้าไปดู  ไม่ใช่กลิ้งให้พระเยซูออกมา   เพราะเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  พระองค์มีร่างที่ใหม่สามารถเดินผ่านทุกอย่างได้   ข้อที่ 5 บอกว่า “.. ชายสองคนนั้น..(ซึ่งก็คือ ทูตสวรรค์) จึงพูดกับเขาว่า "พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า   พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายเมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี..ว่า. บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป  ถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”.....ดูนะ พระเยซูบอกไว้แล้วว่าวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่  ศัตรูของพระองค์คือพวกปุโรหิตยังจำได้เลย..ถึงต้องเกณฑ์ทหารยามไปเฝ้าหน้าอุโมงค์  แต่พวกสาวกกลับจำคำของพระเยซูไม่ได้..ถ้าทูตสวรรค์ไม่มาเตือนความจำ..ก็นึกไม่ออก   
ลูกา 24:13-16  ในตอนท้าย จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสำแดงพระองค์ของพระเยซูแก่เหล่าสาวก..หลังจากที่คืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว  ข้อนี้ บอกว่า “ขณะที่สาวกสองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส  พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้  คุยกันไป..คุยกันมาจนถึงที่หมาย..สาวกก็เชิญให้พระองค์เสวย”  ข้อที่ 30  บอกว่า “ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้ ตาของสาวกสองคนนั้น..ก็หายฟางแล้วก็จำได้..ว่าเป็นพระเยซูจริงๆ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา”  จากนั้น  เมื่อสาวกสองคนไปเล่าเรื่องนี้ให้อีกสิบคนฟัง  พระเยซูก็ทรงปรากฏต่ออัครสาวกอีกสิบคน   ข้อที่ 36  “เมื่อเขาทั้งสองกำลังเล่าเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูเองทรงยืนอยู่ที่ท่ามกลางเขและตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”...ประมาณว่า ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่...พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา และยังอยู่กับพวกเราจนทุกวันนี้ด้วย เอเมนมั๊ย
กลับมาที่ มัทธิว 28:16-20  เมื่อเหล่าสาวกไปพบพระเยซูที่แคว้นกาลิลี   สิ่งที่พระองค์สั่งไว้แก่เหล่าสาวกที่ได้พบพระองค์  คือ  เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”  นี่คือ มหาบัญชาสุดท้ายที่พระเยซูสั่งไว้กับเหล่าสาวกและพวกเราด้วย คือ ให้เราประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดผ่านทางการตายบนไม้กางเขน..เป็นพยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์..และให้ชนทุกชาติได้รับบัพติศมาในนามของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ..ผ่านทางความเชื่อ..รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ  และถือรักษาสิ่งที่พระองค์สอนไว้ในพระคัมภีร์  สุดท้าย สำคัญมาก พระองค์บอกว่า “พระองค์จะอยู่กับเราจนถึงวันพิพากษา”... สำหรับเรื่องนี้ เท่าที่ดำเนินกับพระเจ้ามา..น้าตุ๊กเชื่อและสำผัสได้จริงๆว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ด้วย..ตลอดเวลา   และน้าตุ๊กก็เชื่อว่า เด็กๆจะสามารถสัมผัสเรื่องนี้ได้เหมือนกัน..ถ้าเราเรียนรู้ที่จะติดสนิทกับพระองค์ 

      หนังสือ มัทธิว ก็จบสมบูรณ์แล้วนะคะ จนกว่าพบกันใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 19

บทที่ 26   “ใกล้ถึงวาระที่พระเยซูคริสต์จะถูกอายัดและตรึงที่กางเขน”
ดู มัทธิว 26:1-2   จากคราวที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูตรัสถึงวันพิพากษาเสร็จ  พระองค์ก็บอกสาวกว่า “อีกสองวันจะถึงวันปัสกา  และ บุตรมนุษย์ ซึ่งหมายถึงพระองค์เอง..จะถูกอายัดไว้และถูกตรึงที่กางเขน ” .....เด็กๆจำวันปัสกาได้มั๊ยคะ ถ้าเรียนหนังสืออพยพ ก็น่าจะจำได้ ปัสกา คือ วันที่พระเจ้าปลดปล่อยิวหรือฮีบรู (นำโดยโมเสส)..ให้หลุดพ้นจากความเป็นทาส..และพาพวกเขาออกจากอียิปต์ มาสู่คานาอัน..ดินแดนที่พระองค์สัญญาไว้    ปัสกา คือ คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีทั้งหมด..ของคนอียิปต์    เพราะ ความดื้อของฟาโรห์..ที่ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไป..ทั้งที่พระองค์ส่งภัยพิบัติมาเตือนแล้วถึง 9  ครั้ง   ให้เราย้อนไปดูหนังสืออพยพ  เพราะ แท้จริงแล้วการปัสกาในวันนั้น คือ หมายสำคัญที่พระเจ้าสำแดงกับเรา..ถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะทำในหนังสือมัทธิวข้อนี้...
อพยพ 12:5-7 / 23-24    “..ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิ ...ในเย็นวันนั้นให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะของเขา   แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน  เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น   ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน 
... ลูกแกะที่ปราศจากตำหนิ เล็งถึงพระเยซูคริสต์  พระองค์ คือ ผู้เดียวที่ปราศจากตำหนิ  เพราะ พระองค์เกิดจากพระเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้เกิดจากการสมสู่ของมนุษย์   พระเยซูจึงบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อความบาปจากอาดามบรรพบุรุษเหมือนเรา   เลือดแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิ..ที่พระเจ้าให้ทาไว้ที่ประตู จึงเล็งถึง เลือดของพระยซูคริสต์ที่จะหลั่งออกบนไม้กางเขนชำระบาปให้กับมนุษย์..เพื่อจิตวิญญาณของเราจะไม่ตายและได้รับความรอด...ได้รับการผ่านเว้น จากทูตอะไรก็ตาม   ถ้าเราเชื่อในโลหิตของพระเยซู..ก็จะไม่มีใครสามารถฆ่าวิญญาณของเราให้ตายได้  เหมือนที่ข้อนี้ บอกว่า พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น ไม่ยอมให้ผู้สังหารเข้าไป   เพื่อจะประหารท่าน” .....บาปเวรหรือบ่วงกรรมอะไรก็ตาม..จะไม่สามารถเอาผิดหรืออายัดเราได้อีกเลย..ถ้าเราเชื่อพระเยซู  โลหิตของพระองค์ก็จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันมารชั่วให้กับเรา  เปิดไปดูข้อพระคำที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
ดู 1โครินธ์ 15:55-58   “เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ..” ...”เหล็กใน” แปลง่ายๆก็คือ  พิษสง  หมายความว่า “จริงๆแล้ว  สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์..ไม่ใช่ความตาย  แต่พิษสงหรือสิ่งที่มันออกฤทธิ์..และทำให้มนุษย์”เดือดร้อน” ตอนจะตาย คือ “ความบาป”.. และความบาปออกฤทธิ์เพราะธรรมบัญญัติ”..อย่างที่น้าตุ๊กเคยสอนว่าธรรมบัญญัติเป็นเหมือนกระจกเงา..ซึ่งส่องแล้วทำให้เราสวยขึ้นหรือดีขึ้น..ไม่ได้  ธรรมบัญญัติก็เหมือนกันที่สามารถทำได้แค่..ชี้ให้เรารู้ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก  อันไหนดี..อันไหนไม่ดี    เพราะฉะนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว มนุษย์ไม่รู้หรอก..ว่าอันไหน คือ ความบาป
ข้อที่ 57 จึงบอกว่า “จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”....เพราะเราอยู่ใต้ธรรมบัญญัติหรือเปล่า..เปล่าเลย  น้าตุ๊กย้ำหลายครั้งแล้ว..ว่าเราอยู่ ”ใต้พระคุณ” ของพระเยซูคริสต์  เด็กๆต้องเคลียร์ความหมายตรงนี้ให้ดี   ใครจะอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ..ให้เขาอยู่ไป อยากจะตะเกียกตะกายทำความดีด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง..ให้เขาทำไป  แต่เราไม่..เราไม่มีกำลังพอ  เราไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์เหมอนพระเยซูคริสต์ได้..ด้วยการทำเหมือน  แต่เราจะไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ได้ด้วยการ”ทรงสถิต”ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเท่านั้นที่จะประทานพระคุณนั้นแก่เรา  ความรู้ในกฎบัญญัติ..จะกี่ข้อก็ตามมันช่วยให้เราเป็นคนดีพร้อม..ไม่ได้   กฎบัญญัติมีแต่จะตอกย้ำซ้ำเติมว่าเราน่าเกลียดสูง..ต่ำ..ดำ..เตี้ย..ผิดบาปแค่ไหน  เหมือนที่พระคัมภีร์บอก  “..ฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ”... ดังนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว  ความบาปจะออกฤทธิ์..ไม่ได้เลย !  มนุษย์จะไม่รู้จัก..ว่าบาปเป็นยังไง   แต่ที่บาปออกฤทธิ์เต็มขนาดได้  เพราะมีธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกหรือผิด..มัน missing target แค่ไหน   และ สิ่งเดียวในสากลโลกที่จะล้างบาปในใจมนุษย์ได้..ในขณะที่มีธรรมบัญญัติ ก็คือ พระคุณความชอบธรรมที่ผ่านทางโลหิตของพระเยซูคริสต์  อย่างเดียวเท่านั้น..ที่จะชำระเราได้ในระดับที่ลึกถึงจิตวิญญาณ
 กลับมาที่หนังสือมัทธิว..  
ดู มัทธิว 26:3-5   ข้อนี้ บอกว่า พวกผู้นำศาสนารวมทั้งประชาชนกลุ่มนึงกำลังวางแผนที่จะฆ่าพระเยซู  นำโดยมหาปุโรหิตของพวกยิวที่ชื่อ “คายาฟาส”   คายาฟาส..มีอีกชื่อว่า โยเซฟ  เขาเป็นมหาปุโรหิตที่ประจำการในช่วงปี คศ.18-36  พระคำภีร์บอกว่าคายาฟาสเป็นคนวางแผนการที่จะดำเนินคดีพระเยซูโดยใช้”อุบาย”   ถ้าต้องใช้อุบาย หมายความว่า..จริงๆแล้วพระเยซูไม่มีความผิด  แต่อยากจะฆ่าพระองค์ให้ได้  ก็เลยต้องวางแผนการยัดเยียดความผิด..ตั้งพยานเท็จ  อะไรต่างๆ เพื่อที่พระเยซูจะได้ต้องโทษถึงประหารชีวิต     ข้อที่ 5 บอกว่า “แต่เขาตกลงกันว่า "ในช่วงเทศกาลอย่าพึ่งทำเลย เดี๋ยวประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย”..รอให้ผ่านปัสกาไปก่อน   เพราะ วันเทศกาลประชาชนจะต้องเตรียมเครื่องถวายบูชาฆ่าแกะ..ฆ่าแพะ อะไรต่างๆ มันก็เรื่องเยอะพอแล้ว  และถ้าจะจับกุมพระเยซูวันเทศกาล..เดี๋ยวความวุ่นวายมันจะเพิ่มเป็นสองเท่า เพราะจริงๆเขายังไม่รู้หรอกว่าจะฆ่าพระองค์สำเร็จมั๊ย   มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้..ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นเพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า
ดู มัทธิว 26:14-16   “ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ถามว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะชี้พระองค์ (ซึ่งหมายถึงพระเยซู)..ให้ท่านจับ ท่านทั้งหลายจะข้าพเจ้าเท่าไหร่" ฝ่ายเขาก็ให้เหรียญเงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญ”    
เรื่องยูดาสอายัดพระเยซู..เป็นเรื่องที่คริสเตียนรู้จักดี..เรียนกันมาตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก    ยูดาส อิสคาริโอท เป็น 1 ใน สาวก 12 คนที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมากๆ   หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า..ทำไม ยูดาสถึงทำได้ลงคอ   เหตุผลในมุมมองของนักวิชาการบางคน  ก็อธิบายว่า  “ อิสราเอล ..เป็นชนชาติที่มีความเชื่อหรือความรักชาติอย่างเข้มข้น  เขาภูมิใจในการเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  แตะเรื่องอะไรก็ได้..แต่อย่าแตะเรื่องศาสนาหรือความเชื่อนะ..เขายอมตายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว  ถ้าเราสังเกตดู  จะเห็นว่าในอิสราเอลจะมีกลุ่มบุคคลที่ร้อนรนในความเชื่อและรักชาติอย่างสุดขั้วอยู่..เยอะมากในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นโมเสส โยชูวา  ผู้วินิจฉัยทุกคนที่พระเจ้าส่งมาช่วยกู้อิสราเอล  มาจนถึงสมัยพระเยซูคริสต์..ที่อิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของโรม ก็ยังมีคนกลุ่มนึง คือ  “พวกซีล็อต” ที่พยายามจะกบฏต่อโรมหลายต่อหลายครั้ง  แล้วเขาก็เคยทำสำเร็จด้วย..ครั้งนึง  แต่หลังจากนั้น โรมก็ยกทัพมาบดขยี้เผาทำลายเยรูซาเล็ม  จนพวกซีล็อตต้องหนีไปอยู่ที่”ป้อมมาซาดา” ป้อมมาซาดานี่ดังมาก..เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก  ก็ เพราะเป็นที่ๆ พวกซีล็อตไปจนมุมทหารโรมัน  แต่พวกเขาไม่ยอมตายด้วยน้ำมือคนต่างชาติ     แต่เลือกที่จะตายด้วยมือของคนชาติเดียวกัน   เขาทำไง..ก็ฆ่ากันเอง  คือ พ่อฆ่าลูก..พี่ฆ่าน้อง แล้วเหลือคนสุดท้ายก็ฆ่าตัวเองตาย  นี่คือ ความรักชาติ..รักศักดิ์ศรีอย่างเข้มข้นของยิว   
และพวกซีล็อตที่ว่านี้ก็อยู่ในสมัยของพระเยซูคริสต์..แล้วก็จับตาดูพระเยซูอยู่    แต่..เขารู้สึกผิดหวังที่พระเยซูไม่ฉวยโอกาสกบฏต่อโรม   เขาคิดอยู่อย่างเดียว..ว่าพระเมสสิยาห์จะมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอลให้ได้มีเอกราช..ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของโรม..เหมือนคนที่พระเจ้าส่งมาในสมัยผู้วินิจฉัย  เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ..คิดไม่ถึง  ดังนั้น พวกซีล็อตก็คงไม่ปลื้มพระเยซูเท่าไหร่   เพราะพระองค์ไม่นิยมความรุนแรง..ซึ่งก็ทำให้พวกเขาผิดหวัง   และยูดาสก็เช่นกัน..ที่อาจจะคิดแบบเดียวกันหรือรู้สึกผิดหวังในองค์พระเยซูด้วยรึเปล่า..ถึงตัดสินใจอายัดพระองค์เพื่อแลกกับเงิน 30 เหรียญ..นี่เป็นอีกมุมมองนึง
ดู มัทธิว 26:17-19  ปัสกาสุดท้ายก่อนวันที่พระเยซูจะถูกตรึงมาถึงแล้วนะคะ   ข้อนี้ สาวกก็มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงปัสกาที่ไหน “  ในมัทธิว บันทึกไว้แค่ว่า “สาวกเหล่านั้นก็กระทำตามที่พระเยซูทรงรับสั่ง  แต่ในมาระโก..ลูกา  บันทึกไว้ละเอียดกว่านั้น คือ พระเยซูสั่งให้สาวกเข้าไปในเมือง  แล้วบอกว่า..จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป  แล้วเขาจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว  ซึ่งห้องนั้นจะเป็นที่ที่พระองค์ร่วมปัสกากับสาวก  พอสาวกไป..แล้วก็เจอจริงๆ ตามที่พระเยซูบอก   
ข้อที่ 21 พระเยซูได้เป็นพยานว่า ยูดาสจะทรยศพระองค์  เมื่อรับประทานกันอยู่พระองค์จึงตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา  ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์นัก  พากันถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ" (ใช่เขามั๊ย ใช่เขามั๊ย) พระองค์ตรัสตอบว่า (ยอห์น 13:26 )   "คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้" และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอท..”...ก็เป็นที่ชัดเจนว่าพระองค์หมายถึง ยูดาส
ดู มัทธิว 26:26-29  หลังจากทานปัสกาเสร็จ  พระเยซูก็เริ่มประกอบพิธีมหาสนิทเป็นครั้งแรก  โดยใช้เหล้าองุ่นกับขนมปังไร้เชื้อที่ใช้กันในเทศกาลนั้นแหละ..เป็นองค์ประกอบสำคัญและพระองค์ก็สั่งตั้งแต่ตอนนี้ ..ว่าให้เราทำมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการทนทุกข์ของพระองค์..ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชม.ข้างหน้า   จากนั้น ยูดาสก็ไปหาปุโรหิตเพื่อเตรียมที่จะชี้ตัวพระเยซู  ส่วนพระเยซู..หลังจากปัสกาแล้ว  พระองค์ไปที่..”สวนเกทเสมนี”   สวนเกทเสมนี..เป็นสวนมะกอกเทศตั้งอยู่เชิงเขาทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม  เกทเสมนี..ภาษาฮีบรู แปลว่า “ที่คั้นน้ำมันมะกอก”  ถามว่ายูดาสรู้มั๊ย..ว่าพระองค์จะไปที่นั่น..รู้แน่นอน  เพราะเป็นที่ที่พระเยซูชอบไปอธิฐาน  ข้อที่ 37 บอกว่า พระองค์ก็พาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและหนักพระทัยยิ่งนัก พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด”....พระเยซูรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น  และพระองค์ต้องการเพื่อน...  แต่ สาวก..ลืมตาไม่ขึ้น  เพราะตอนนั้นน่าจะประมาณตี 1 แล้ว  สาวกก็เลยเอาแต่นอน
ดู มัทธิว 26:39 ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรงซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า "โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”...มีคนเคยถามน้าตุ๊กว่า ทำไมพระเยซูถึงอธิษฐานอย่างนี้   ปัญหาของเขา คือ คำว่า “ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไป.” ...ถ้าเลื่อนไปการไถ่บาปก็ไม่สำเร็จสิ  แล้วทำไมพระเยซูถึงขออย่างนี้  น้าตุ๊กก็อธิบายว่า พระคัมภีร์บันทึกอย่างนี้เพื่อ..ให้เรารู้ว่า “พระเยซูทรงสภาพมนุษย์จริง 100 %”  พระองค์รู้มั๊ยว่า..พระองค์มาจากพระบิดา..รู้  รู้มั๊ยว่า..พระองค์เป็นพระเจ้า..รู้แน่นอน  แต่ในขณะเดียวกันเมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้เราแล้ว  พระองค์ก็ทรงสภาพมนุษย์ 100%   เรารู้เพราะไร..พระองค์หิวเป็น..เจ็บเป็น..รู้จักเหนื่อย..รู้จักกลัว คำอธิฐานของพระองค์ในข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่าพระองค์”กลัวนะ”..กลัวจนเหงื่อเป็นเลือด  นี่คือ พระประสงค์ของพระเจ้าที่บันทึกพระคำข้อนี้ไว้..เพื่อให้เราเข้าใจ..ว่าการไถ่บาปของพระคริสต์ “แฟร์ เพลย์”..บริสุทธิ์ยุติธรรม.. ไม่ใช่บอกมาไถ่บาป..ยอมถูกตรึง..แต่ไม่เจ็บ..ไม่ใช่
 เหมือนเวลาเราดูหนัง..ส่วนใหญ่   พระเอกกับผู้ร้าย..ต่อให้มีอาวุธเลิศ หรู อลังการแค่ไหน..แต่พอฉากสุดท้าย ต้อง..มาต่อยกัน  มือเปล่า.. ปลดอาวุธออกทั้งคู่..เพื่อให้รู้ว่า มันแฟร์นะ..ถ้าพระเอกชนะ..ก็ขาวสะอาด   ในทางเดียวกัน พระเยซูทรงชนะอย่างขาวสะอาด..เราที่เชื่อในการไถ่ของพระองค์ก็”ขาวสะอาด”ไปกับพระองค์ด้วย   (นี่คือ ภาพที่อธิบายได้)
แต่ยังไงก็ตาม ข้อนี้ พระเยซูก็ทรงลงท้ายคำอธิฐานของพระองค์ว่า แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า”....พระองค์แค่ขอ..ด้วยความกลัว..เพราะพระองค์ทรงสภาพมนุษย์  เนื้อหนังจึงทำให้พระองค์กลัว..แต่พระองค์ไม่บาป เพราะยังไง..พระองค์ก็ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระบิดา 
ดู มัทธิว 26:45-47  พระเยซูทรงอธิฐานในสวนเกทเสมนี 3 ครั้ง ..แล้วเวลานั้นก็มาถึง  พระองค์กลับมาบอกสาวกว่า “ตื่นได้แล้ว  จะนอนต่อกันอีกนานมั๊ย  คนที่จะอายัดพระองค์กำลังมาแล้ว  ..พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ  ยูดาส ก็พาคนของปุโรหิตและพวกผู้นำประชาชน..ถือทั้งดาบ..ทั้งตะบอง  เข้ามาจับพระเยซู   โดย ยูดาสให้สัญญาณว่า..ถ้าเขาจุบคนไหน..คนนั้นแหละ คือ พระเยซู  (การจุบ ถือเป็นธรรมเนียมการทักทายด้วยความรักและนับถือของยิว)   ข้อที่ 49 บอก “ขณะนั้น ยูดาสก็ตรงมาหาพระเยซูทูลว่า "สวัสดี พระอาจารย์" แล้วจุบพระองค์  พอยูดาสจุบ ปั๊บ.. คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมตัวพระองค์ไป”....
ข้อที่ 57 บอกว่า “ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปยังบ้านของ”คายาฟาส”มหาปุโรหิต ที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมกันอยู่”....จริงๆคนพวกนี้เขาประชุมกันตั้งแต่ก่อนจะส่งยูดาสไปจับพระเยซูแล้ว...ต้องวางแผนกันอย่างรัดกุม  เพราะคืนวันปัสกาเป็นวันพฤหัส..วันรุ่งขึ้นก็คือวันศุกร์..  แล้ววันเสาร์ คือ สะบาโต  หมายความว่าถ้าเขาจะฆ่าพระเยซู...เขาต้องทำให้เรียบร้อยภายก่อนวันสะบาโต  (เพราะ วันสะบาโต ห้ามประหารชีวิตคน)  แล้ว จริงๆสะบาโต จะเริ่มนับตั้งแต่ศุกร์เย็นหลังตะวันตกดิน   เพราะฉะนั้น ถ้าจะรีบฆ่าพระเยซู..เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดิน.. พวกเขาถึงพยายามทำทุกอย่างแบบรวบรัด..
 ดู มัทธิว  26:59-63  พวกปุโรหิต กับ สมาชิกสภาได้หาพยานเท็จมาเบิกปรักปรำพระเยซู เพื่อจะประหารพระองค์เสีย”...เมื่อพระเยซูถูกจับมาอยู่ต่อหน้าปุโรหิตและสภา..เขาก็ต้องมีการสอบสวน  และปุโรหิตพวกนี้ก็มีการตั้งพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู   ถ้าต้องตั้งพยานเท็จมาปรักปรำ..มันก็หมายความว่า พระเยซูไม่มีความผิด   แต่ถึงจะตั้งมายังไง..ก็ยังเอาผิดพระองค์ไม่ได้   เพราะถึงจะมีพยานเท็จแต่..ไม่มีหลักฐาน     สุดท้าย คายาฟาสใช้ไม้ตาย...โดยเอาพระบัญญัติมาเป็นเครื่องมือปรักปรำพระเยซู  ข้อที่ 63  บอก “ มหาปุโรหิตจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า "เราสั่งให้ท่านปฏิญาณโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่... ให้พูดออกมาว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่"  พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ท่านว่าถูกแล้ว..” ...คำนี้เอง..ที่ทำให้พระเยซูโดนประหารชีวิต  เพราะยิวถือว่าการอ้างตัว..อย่างนี้ เป็นการลบหลู่พระเจ้า ..และจะต้องโทษถึงตาย   “...และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”...พอพระเยซูพูดจบปุโรหิตฉีกเสื้อผ้า..เป็นสัญญาณว่าพระองค์พูดดูหมิ่นพระเจ้า 
สุดท้าย สภาก็ลงมติให้พระเยซูรับโทษตาย   จากนั้น ก็นำตัวพระองค์ไปให้ปีลาต..ในตอนที่อยู่ต่อหน้าปีลาต  ให้เด็กๆเปิดไปที่หนังสือลูกา..เพราะบันทึกไว้ชัดเจนกว่า...

ดู ลูกา 23:13-18   ที่พวกปุโรหิตต้องพาพระเยซูมาหาปีลาตก็เพรา..ตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลโรม  ซึ่งตอนนั้น ตัวแทนของรัฐบาลโรมก็คือ ปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่โรมแต่งตั้งไว้  ทีนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าปีลาต  ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด  ที่สำคัญก็คือ ภรรยาของเขาก็บอกให้ปล่อยพระเยซูไปเพราะเมื่อคืนฝันไม่ดี..ชายคนนี้เป็นคนชอบธรรม..เขาไม่มีความผิด   ปีลาตจึง..พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป  บอกให้เอาไปเฆี่ยน..แค่นี้พอแล้ว..เฆี่ยนเสร็จก็ปล่อยตัวไป  พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม  ปีลาตก็พยายามอีก..บอกวันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร   เขาบอก..ปล่อยบารับบัส  ข้อที่ 20 บอกว่า ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"  ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร  เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้ต้องการยืมมือเขาฆ่าพระเยซู  สุดท้าย  ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด"  บรรดาหมู่ชนเรียนว่า "ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"   
    หมดเวลาแล้ว พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 18

คราวก่อนเราจบลงบทที่ 24  ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของยุคสุดท้ายซึ่งพระเยซูทรงบอกเราเกี่ยวกับหมายสำคัญของยุคสุดท้ายไว้หลายเรื่อง เช่น จะมีพระคริสต์เทียมเท็จ  จะมีสงคราม  การกันดารอาหาร  โรคระบาด  อะไรต่างๆเหล่านี้  น้าตุ๊กก็อยากให้เด็กๆจำไว้พอสังเขปก่อน  เพราะมันเป็นเรื่องที่เข้าใจค่อนข้างยาก  และถามว่าเราจำเป็นต้องโฟกัสกับมันจริงๆมั๊ย..ก็น่าจะระดับหนึ่งเท่านั้นนะคะ  เพราะส่วนสำคัญจริงที่เราควรใส่ใจ คือ พระบัญญัติข้อใหญ่กับการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องงดงามจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกลมหายใจเข้าออก  ส่วนหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์อะไรต่างๆที่พระเยซูบอกไว้..ขอให้เราคอยระวังอยู่ด้วยการอธิฐาน  ไมอย่าไปจดจ่อกับมันจนลืมข้อสำคัญกว่าที่เราควรทำ
        เรามาดูบทที่ 25  คำอุปมาเรื่องหญิงพรมจารีสิบคน
ดู มัทธิว 25:1-6   อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว  ในจำนวนนั้นมีคนฉลาดห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน  พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันสำรองใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย ”.....ทำไมคนที่ไม่เตรียมน้ำมันไป  ถึงถูกตัดสินว่าเป็นคนโง่..ให้เราสังเกตรายละเอียดที่พระคำภีร์บันทึกไว้ดีๆนะคะ  เพราะเรื่องนี้ อ่านเผินๆก็เหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก  แต่ถ้าจะให้ชัดเจนจริงๆ มันยากอยู่..ทำใจยากด้วยสำหรับบางคน  
หญิงพรมจารีสิบคนนี้คล้ายกันในหลายๆด้าน  คือ  1.  ทุกคนได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงสมรส      2. ทุกคนมาด้วยความเต็มใจ  และชื่นชมยินดี ทุกคน..ไม่มีใครถูกบังคับให้มา    3. ทุกคนต้องรู้สึกชอบ  หรือบางคนอาจถึงขั้นหลงรักเจ้าบ่าว  เพราะทั้งสิบคนนี้แสดงออกด้วยการถือตะเกียงมารอเจ้าบ่าว    และ 4. เมื่อเจ้าบ่าวมาช้าทุกคน”ง่วง” และเผลอหลับไปเหมือนกันทั้งสิบคน
ความหมายของข้อนี้ ก็คือ ในคริสตจักรของเราทุกวันนี้  ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์    และทุกคนในคริสตจักรก็ต้องมีการตอบสนองด้วยความเชื่อ..หลายคนอาจถึงกับรู้สึกหลงรัก พระเยซู..ด้วยความดีงามทั้งปวงของพระองค์  และทุกคนในคริสตจักรก็อาจจะดูเป็นผู้ชอบธรรม..ไม่เคยคิดจะต่อต้านพระเยซูคริสต์..ถูกมั๊ยคะ  เพราะถ้าต่อต้านก็คงไม่มาโบสถ์..ไม่รับเชื่อ  แต่พระคัมภีร์บอกว่า สุดท้ายแล้วทั้งสิบคนนี้หรือสมาชิกของคริสตจักรที่รักพระเยซู..กลับมีสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ....
ดู มัทธิว 25:7-12  พอถึงเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า `ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”  ...หญิงพรมจารีทั้งสิบคนก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน  แต่ ! เพียง 5 คนเท่านั้นที่มีน้ำมันสำรอง อยู่มากพอที่จุดตะเกียงได้ตอนเจ้าบ่าวมา  ส่วนอีก 5 คน..ที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นคนโง่นั้น..ไม่มีน้ำมัน  น้ำมัน คือ อะไร ???   น้ำมันคือ “ความพร้อมในจิตใจหรือความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง     “อย่างเสมอ”  ไม่ใช่ความเชื่อที่ขึ้นๆลงๆหรือความเชื่อที่ถูกทำให้หันเหออกไปได้ง่ายๆ   เพราะงั้น เราจะเห็นว่า  คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนหรือหญิงพรมจารีสิบคนนี้ ถ้ามองภายนอกไม่มีอะไรต่างกัน..ดูแล้วทุกคนเหมือนกัน   แต่พระเจ้าบอก..ไม่ใช่  เพราะมันมีความต่างที่ซ่อนอยู่ภายในของผู้เชื่อทั้งสิบคนนี้   แม้ทุกคนจะได้รับเชิญเหมือนกัน  เชื่อพระเยซูเหมือนกัน  แต่ ! ไม่ใช่ทุกคนที่จะตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อด้วย “ความพร้อมอย่างหนักแน่นจนถึงวันสุดท้าย”..และเมื่อพระเจ้ามองลงมา  พระองค์จึงมองเห็นคริสเตียนบางคนที่กำลังจะปล่อยให้น้ำมันหมด..ซึ่งอันตรายมาก  เพราะถ้าเวลาของพระเจ้ามาถึง..เจ้าบ่าวจะไม่รอและประตูสวรรค์ก็จะปิดตายสำหรับคนที่ไม่พร้อม  ข้อที่ 6 บอกว่าเจ้าบ่าวมาตอนไหน..มาตอนเที่ยงคืน  เวลาเที่ยงคืนในความหมายที่พระเจ้าอยากบอกเรา..คือ มันเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังหลับสนิท (ส่วนน้อย เราไม่พูดถึง)    แล้วเด็กๆลองนึกภาพ คนเราเวลาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในตอนที่หลับสนิทอยู่เนี่ย..มันเป็นไง..งัวเงียมั๊ย ..ตื่นขึ้นมาแล้วสติสัมปชัญญะ  ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างมันครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมเต็มร้อยรึเปล่า..ไม่ใช่  “แต่มันคือเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว”
และเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว ก็คือ จุดที่ตัดสินว่า ”จิตใต้สำนึกของเราจดจ่ออยู่กับอะไร”  เพราะพระเจ้าทรงยืนยันว่า ในเวลาที่พระเยซูจะเสด็จมาหรือแม้วลาที่เราจะถูกรับไป   จะเป็นเวลาที่มนุษย์ไม่ทันตั้งตัว.. จึงมีแต่คนที่ติดสนิทกับพระเจ้าจริงๆเท่านั้น..ที่จะมีความเชื่อเต็มล้นและพร้อมอยู่เสมอ..เหมือนน้ำมันที่ไม่ขาดจากตะเกียง..
ดู โรม 1:17-18  “ในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ..”...นี่คือ พระธรรมอีกข้อที่ยืนยันให้เราถือรักษาความเชื่อไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง    ไม่ใช่เชื่อแค่ตอนเริ่มต้น  แล้วจากนั้นก็เอาใจออกห่างพระเจ้า..ไปยึดติดกับอย่างอื่น..จนน้ำมันตะเกียง หรือหัวใจที่จดจ่อ..เตรียมพร้อมสำหรับพระเจ้า..มันเหือดหายไปแล้ว..เราก็ยังไม่รู้ตัว  อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวอีกสัก 2ปี 3 ปี เราค่อยมาเอาจริงเอาจังกับทางของพระเจ้า..เดี๋ยวรวยแล้ว  เราค่อยมาเรียนรู้พระคัมภีร์..ไม่ได้  เพราะความจริงจังเหล่านั้น คือ น้ำมันที่จะทำให้ตะเกียงสว่าง  ถ้าเรามัวแต่สนใจอย่างอื่น..เราจะกลายเป็นคนโง่ที่มีตะเกียง..แต่ ! ไม่มีน้ำมันพอถึงเวลาที่เจ้าบ่าวมา..ก็ไม่พร้อมที่จะไป  กว่าจะตั้งตัวได้..กลับมาอีกทีประตูสวรรค์ปิดแล้ว (ก็จบกัน)   ดังนั้น เรื่องนี้สำคัญนะคะ  เลือกซะแต่วันนี้..ว่าเราจะเป็นคนกลุ่มไหน  เราจะเป็นคนโง่..ที่ตอบรับคำเชิญ  มีการตอบสนองต่อข่าวดี  รักพระเยซูคริสต์  แต่ ! ไม่พร้อม..ไม่กลับใจใหม่  เพราะไม่เคยให้ความสำคัญหรือมีเวลาให้พระเจ้ามากพอ   หรือ ..เราจะเป็นคนฉลาดที่ถึงจะง่วงและเผลอหลับไปเหมือนกัน..แต่ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่..หัวใจก็พร้อมเสมอเพราะจิตใต้สำนึกเราติดสนิทกับพระเจ้า   วิธีเช็คง่ายๆ คือ สังเกตดูว่า ตอนตื่นนอนเราคิดถึงอะไรเป็นสิ่งแรก (..คิดทั้งที่ยังงัวเงียนั่นแหละค่ะ) 
ดู มัทธิว 25:13   เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา  พระเจ้าจึงเตือน  ให้เราต้องพร้อมอยู่เสมอ..โดย อย่าลืมว่า
1.เราต้องสวมความชอบธรรมของพระคริสต์ เป็นชุดสำหรับงานเลี้ยง  เพราะทางเดียวที่เราจะรอดได้ คือ ต้องพึ่งพระคุณความชอบธรรมหมดจดงดงามของพระเยซูคริสต์..ไม่ใช่ความดีหรือเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง 
 และ 2. น้ำมันสำหรับตะเกียง คือ ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคงต้องเต็มล้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราเสมอ   เพื่อที่เราจะพร้อม..เมื่อพระองค์เสด็จมาหรือเราจะถูกรับไป..แล้วแต่อันไหนจะถึงก่อน   อย่าคิดแค่..ได้ชื่อว่าเป็น ”คริสตเตียน” ฉันพอแล้ว  เพราะหลายคนอาจจะเป็นแต่ชื่อ..ดูภายนอกเหมือนกัน  แต่ความต่างที่มันซ่อนอยู่ภายในต่างหาก..ที่จะเป็นตัวกำหนดจุดหมายปลายทางจิตวิญญาณของเรา    ประตูสวรรค์จะเปิดพร้อมให้เราเข้าไป..ก็ต่อเมื่อน้ำมันต้องไม่ขาดและตะเกียงต้องไม่ดับ...ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง..ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ต้องอยู่กับเราจนลมหายใจสุดท้าย..ไม่ใช่แค่วันแรกหรือปีแรกที่เรารับเชื่อ..ไม่ใช่  และอีกอย่างที่ต้องจำไว้ คือ น้ำมันหรือความเชื่อมันเป็นของส่วนตัว..ของใครของมัน  จะมายืมกัน..ไม่ได้    
ดู มัทธิว  25:14-18  “อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล จึงเรียกพวกผู้รับใช้มาเพื่อที่จะฝากทรัพย์สมบัติของเขาไว้   คนหนึ่งให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนให้ไว้แค่ตะลันต์เดียว  ตามความสามารถของแต่ละคน” 
....ผู้รับใช้ก็คือ “พวกเราทุกคนที่เป็นคริสเตียน”    นาย คือ พระเจ้า   ส่วนตะลันต์ที่นายให้ไว้  หมายถึง  หน้าที่  ความรับผิดชอบ  หรือพันธกิจต่างๆที่พระเจ้ามอบหมายให้เรา    พระเจ้าให้เท่ากันมั๊ย..ไม่เท่า     ข้อที่ 15 บอกว่า  “พระองค์ให้ตามความสามารถของแต่ละคน”    ข้อที่ 16 บอก “คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินไปค้าขาย  ลงทุนอะไรต่างๆ  แล้วก็ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์  คนที่ได้สองตะลันต์ก็เหมือนกัน ที่มีการเอาเงินที่นายให้ไว้ไปลงทุนจนได้กำไรมาอีกสองตะลันต์”....ความหมายในข้อนี้ ก็คือ เราทุกคนสมควรอย่างยิ่ง..ที่จะใช้เวลา..เรี่ยวแรงกำลัง..สติปัญญา  รวมถึงทรัพย์สินเงินทองด้วย..ในการที่จะ”ทำการดี” ทั้งปวง...ตามความสามารถที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา   ลองทบทวนดูว่า.. ถ้าเราเป็นคนฉลาด..เราจะใช้ความฉลาดของเราทำอะไร  ถ้าเราเป็นคนขยัน..เราเลือกที่จะขยันในเรื่องไหน  หรือถ้าเราร่ำรวย..เงินส่วนใหญ่ของเราถูกใช้ไปเพื่ออะไร  นี่คือ สิ่งที่พระคำข้อนี้ต้องการให้เราตระหนักคิด  เพราะทุกตะลันต์ที่เรามี..พระเจ้าเป็นคนประทานให้ทั้งสิ้น  เรารับมาแล้ว..เอาไปลงทุนกับงานของพระเจ้ารึเปล่า..ใช้มันให้เกิดประโยชน์ในราชกิจแค่ไหน  หรือเราเป็นแบบบ่าวคนที่สามที่ได้ตะลันต์เดียว..แล้วยังเอาไปฝังดิน คือ ไม่คิดจะใช้สติปัญญา..ความสามารถ..เรี่ยวแรงกำลัง..เงินหรือแม้แต่เวลาเพื่อจะทำการดีใดๆให้เกิดผลในทางพระเจ้าเลย     ขอให้เราอย่าเป็นอย่างนั้นนะคะ  เพราะในวันที่นายกลับมาทุกคนต้องพิพากษาตามการกระทำของตัวเอง..ดูต่อ...
ดู มัทธิว 25:26-30  พอคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงกับนายว่า “ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด เงินของท่านอยู่นี่”    นายบอกว่าไง “เจ้าผู้รับใช้ชั่วช้าและเกียจคร้าน  อย่างน้อย.. เจ้าก็ควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย” ...ขี้เกียจยังไง..เอาไปฝากแบ๊งค์ไว้ก็ยังดี  แต่นี่ดันเอาเงินไปฝังดิน..การเอาเงินไปฝังดินมันชี้ให้เห็นว่า..บ่าวชั่วคนนี้มันไม่เห็นค่า..ไม่สนใจพระพรที่พระเจ้าให้..แม้แต่นิดเดียว    เด็กๆจำไว้ว่า “สิ่งที่เราเชื่อมันต้องสำพันธ์กับสิ่งที่เราทำ”   ดังนั้น เมื่อเราเชื่อพระเยซู..เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์  และเมื่อเรามีพระวิญญาณ..ตามธรรมชาติเราก็ต้องเกิด”ผลของพระวิญญาณ”   ไม่มีผู้เชื่อคนไหนที่ไม่บังเกิดใหม่..หรือถูกสร้างใหม่  ถ้าเราเชื่อจริงๆยังไงเราก็ต้องถูกสร้างใหม่ให้เหมือนพระเยซูมากขึ้น   ถึงจะไม่เห็นผลในวันเดียวแบบทันที..ทันควัน  แต่ยังไงผลของพระวิญญาณจะต้องสำแดงออกในตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ    
จริงอยู่ที่ความรอด  ”ไม่ใช่ด้วยการกระทำ”  แต่ถ้าตลอดชีวิตเราไม่มีผลของพระวิญญาณเลย    ไม่ความรัก..ไม่รู้จักให้อภัย..ไม่เคยยินดีที่จะรับใช้หรือแบ่งปันให้พี่น้อง  ไม่เคยถ่อมสุภาพ.. หยาบคายตลอดชีวิต   ถ้าเป็นอย่างนั้น  ด้วยความเคารพ เราคง”ไม่ใช่คริสเตียน” แล้วค่ะ
ข้อที่ 30 พระเจ้าบอก “จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”.....และสาเหตุที่บ่าวคนนี้ถูกตัดสินโทษ..ไม่ใช่เพราะเรื่องได้กำไรหรือไม่กำไร   แต่เขาถูกพิพากษาเพราะ..”การเอาเงินไปฝังดิน”..มันเป็นการสำแดงว่าเขา ไม่เห็นค่า..ไม่แยแสต่อพระพรที่พระเจ้าให้
ดู มัทธิว  25:31-33   คำอุปมาหลายเรื่องในบทที่ 25  จะเกี่ยวกับวันพิพากษา  พระเยซูคริสต์อยากจะย้ำกับสาวก  เพราะตอนนั้น มันใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะถูกเอาไปตรึงที่กางเขนแล้ว   พระองค์พยายามบอกเราบ่อยๆซ้ำๆหลายครั้ง..ว่าวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาพิพากษาโลกนะ   ดังนั้น  พวกเราอยู่ในโลกนี้ต้องคอยระวัง..จดจ่อ..และเตรียมพร้อมรับการกลับมาของพระองค์  อย่ามัวแต่ลั้นลาสนใจอย่างอื่นจนความเชื่อถดถอย...หมดไปเหมือนน้ำมันในตะเกียงของหญิงพรมจารีโง่ 5 คนนั้น  หรือเป็นเหมือนบ่าวที่เอาเงินไปฝังดิน..เพราะไม่แยแสต่อตะลันต์หรือพระคุณที่พระเยซูให้ไว้กับเรา    ข้อนี้ พระคัมภีร์บอก “ในวันที่พระเยซูกลับมาพระองค์จะประทับที่บัลลังก์เพื่อพิพากษามนุษย์    และพระองค์จะแยกมนุษย์ออกเป็นสองพวก.. เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ  พระองค์จะจัดให้ฝูงแกะอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์  แต่ฝูงแพะนั้นจะให้อยู่ทางซ้าย”
“แกะ”  คือ ผู้ชอบธรรม (พวกเรานี่แหละ)   ส่วน”แพะ” คือ  คนอธรรม   “เบื้องขวา” เล็งถึง ที่แห่งพระคุณหรือที่อยู่ของคนชอบธรรม   ส่วน “เบื้องซ้าย” คือ ที่แห่งความพินาศ..ซึ่งจะเป็นที่อยู่ของคนอธรรม   การแยกแกะออกจากแพะเป็นภาพชีวิตประจำวัน..ที่ทุกเย็นคนเลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ  โอเค เวลาเลี้ยง..เลี้ยงรวมกันแต่พอหมดวันเขาจะแยก   เหมือนที่พระเยซูจะแยกคนของพระองค์ออกจากคนที่ไม่ใช่..เมื่อพระองค์เสด็จมา
มัทธิว 25: 34-39  เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง ข้อที่  34บอกว่า “พระเยซูจะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาซึ่งเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ว่า  ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก”....และในข้อนี้ พระเยซูบอกเหตุผลของคำพิพากษาไว้ด้วย    ข้อที่ 35 บอกว่า “เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็หาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา”     และ..เหตุผลที่พระเยซูบอกนี้ ทำให้ทั้งผู้ชอบธรรมและคนอธรรม..งง  ข้อที่ 37 บอก “เวลานั้น เหล่าผู้ชอบธรรมจะถามพระองค์ว่า ข้าพระองค์ไปถวายอาหาร..น้ำ..หรือเสื้อผ้าให้พระองค์ตอนไหน  เคยไปเยี่ยมพระองค์ในคุกตั้งแต่เมื่อไหร่  เพราะเท่าที่จำได้หลายคนไม่เคยพบพระเยซู  แล้วจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”  

ดูต่อ มัทธิว 25:40 -41   เมื่อผู้ชอบธรรมถาม  ข้อที่ 40 บอก..พระเยซูตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย”......มันจะมีวันนึงแน่นอนที่เราทุกคนต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า   และข้อนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า..ผู้ชอบธรรมที่จะได้อยู่เบื้องขวาของพระเยซูคริสต์นั้น..นอกจาก ต้องสวมความชอบธรรมของพระเยซูเป็นอาภรณ์..  พร้อมทั้งมีน้ำมันหรือความเชื่ออยู่เต็มขนาดจนถึงวันพิพากษาแล้ว    เรายังต้อง”ทำการดี”ต่อพี่น้องด้วย  พระเยซูบอก..ทุกอย่างที่เราปฏิบัติต่อคนรอบข้าง..มันมีความหมายเท่ากับเราปฏิบัติต่อพระองค์   ยากอบ 2:14  บอกว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว  พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ     ”....อย่าคิดว่าฉันรับเชื่อแล้วจบ  เพราะความรอดเป็นมาโดยพระคุณ..อันนั้นถูกต้องค่ะ  แต่เราทุกคนมีหน้าที่ต้องใช้เงินตะลันต์ของพระเจ้าให้เกิดผล.. เรายังมีหน้าที่ต้องรัก..ดูแล..และแบ่งปันต่อพี่น้องด้วย  เพราะแท้จริงแล้วหลักสำคัญของความเชื่อ มันคือเรื่องของ”ความสำพันธ์”..ทั้งความสำพันธ์ของเราต่อพระเจ้าและความสำพันธ์ระหว่างเรากับพี่น้อง    เพราะฉะนั้น คริสเตียนไม่สามารถเติบโตหรือถูกสร้างใหม่ได้ด้วยการอยู่คนเดียว   แต่พระเจ้าจะใช้ผู้คนและสถานการณ์ในการหล่อหลอมเราเสมอ
         ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ