วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 16


ดู มัทธิว 22:17-21  อาณาจักรโรมเข้ามายึดครองปาเลสไตน์หรือคานาอันตั้งแต่ ปีที่ 63 ก่อนคศ.   และเกี่ยวกับการถูกยึดครองนี้ คนยิว หรือ อิสราเอล มีทัศนะที่แตกต่างกันออกไป  เช่น  
“พวกเศโลเท” หรือพวกพรรคชาตินิยม..กลุ่มที่มีความร้อนรนในการที่จะฟื้นฟูอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นมาใหม่  จะมีความเห็นว่าอิสราเอลจะต้องต่อสู้กับโรมทุกวิถีทาง  
“พวกฟาริสี” เห็นว่า การอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรโรมเป็นการพิพากษาของพระเจ้า  ซึ่งพวกเขาต้องก้มหน้าก้มตา..ยอมรับไป
ส่วน“พวกสะดูสี” คิดว่า พวกเขาต้องร่วมมือกับอาณาจักรโรมเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชาวยิว    
ซึ่งถ้าเราสังเกตดู..ก็จะเห็นว่า แนวคิดของยิวแต่ละกลุ่ม..ก็มีเหตุผลไปคนละแบบ  แต่แบบไหนที่พระเจ้าพอพระทัย  คำตอบอยู่ที่..ข้อที่ 21  ที่พระเยซูตรัสว่า “..เหตุฉะนั้นของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า"  ที่พระองค์ตอบอย่างนี้  เพราะถ้าพระองค์บอกว่า..”ไม่ต้องจ่าย”.. ก็จะถูกหาว่าเป็นกบฏต่อซีซาร์  และความจริงมันก็มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ของชาวยิวที่จะต้องเสียส่วยให้กับอาณาจักรโรม  แต่ถ้าพระองค์ตอบเฉยๆว่า ”ต้องจ่าย”  ชาวยิวก็จะรับไม่ได้และไม่เข้าใจ  เพราะพวกเขาคิดแค่ว่า พระเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์..จะมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากอำนาจของโรม..เขาคิดแค่นั้น..พอใจแค่นั้น  เขายังไม่เข้าใจและไม่ได้มองถึงความรอดฝ่ายวิญญาณ 
และ.. พระเยซูทรงแยกเรื่องฝ่ายโลกออกจากเรื่องของฝ่ายวิญญาณ   พระองค์ชี้ให้เห็นว่า.. เรื่องของการอยู่ใต้อำนาจของโรมกับเรื่องของแผ่นดินพระเจ้า..มันคนละส่วนกัน  ความหมายของคำว่า “..ของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า”  หมายถึง  ให้เรามีวินิจฉัยแต่ละเรื่องให้ดีและกระทำทุกอย่างตามความเหมาะสม  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายเนื้อหนังหรืออยู่บนโลกใบนี้  หลายอย่างก็ต้องว่ากันไปตามกฎของโลกตามความเหมาะ..เช่น ต้องอยู่ใต้กฎหมาย   แล้วบรรทัดฐานของความเหมาะสมมันอยู่ตรงไหน  ทุกเรื่องมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เราต้องเอาพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐาน  เพราะงั้น ถ้าอยากเป็นคนมีวินิจฉัย..เราก็ต้องรู้ถ้อยคำพระเจ้า..เราต้องแสวงหาพระองค์
ดู มัทธิว 22:36-40   พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด" พระเยซูตอบว่า "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจ และสุดความคิด...นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่”....ก็เหมือนคราวที่แล้วที่เด็กๆได้อ่านพร้อมกัน ในฉธบ. 6:4 “ โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน”.. แล้วต่อจากข้อนี้ก็ยังมีกฎอีกมากมายที่พระเจ้าสั่งไว้อย่างละเอียดในเฉลยธรรมบัญญัติ    ซึ่งอันนั้นเป็นบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ทางโมเสส  แต่ ! ในยุคพระคุณนี้  พระเยซูย่อแก่นการดำเนินชีวิตของคริสเตียนไว้เหลือแค่ 2 ข้อ..จำง่าย  ซึ่งแน่นอน ข้อแรก ต้องคงไว้อย่างเคร่งครัด คือ “รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ”  เด็กๆจำต้องข้อนี้ไว้ให้ดี
ส่วนข้อที่ 2 พระเยซูบอก “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง”   ถ้าเราคิดให้ดีจะรู้ว่าข้อนี้เป็น “บรรทัดฐาน” ของกฎทุกข้อที่พระเจ้าตั้ง   หมายความว่า ถ้าเราทำข้อนี้ได้..เราจะไม่ละเมิดข้อไหนเลยในกฎบัญญัติทางโมเสส  เพราะไร..ถ้าเรารักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง..เราก็จะไม่ฆ่าคน..ไม่ขโมย..ไม่โกง..ไม่อิจฉา..ไม่หว่านความแตกร้าว..ถูกมั๊ยคะ  แต่ปัญหาทุกเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะ..เราไม่มีความรัก  หลายครั้งเรารักแต่ตัวเองหรือไม่รักแม้แต่ตัวเองและไม่เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น (ด้วยความรักแบบพระเจ้า)  รักแบบพระเจ้าเป็นยังไง..คำตอบง่ายๆคือ..
 1 โครินธ์ 13:4   คำจำกัดความของคำว่า”ความรักแบบพระเจ้า” หรือที่เรียกว่า รักแบบอากาเป้   สังเกตดูว่า อ.เปาโลขึ้นต้นความหมายของคำว่าความรักด้วยคำว่า”อดทน” และก็จบลงด้วยความ”อดทน”อีกเหมือนกัน   แสดงว่าในเรื่องความรัก”ความอดทน”ต้องสำคัญมาก 
อันแรก อ.เปาโล บอกว่า ความรักต้องอดทนนาน..นานมากๆ  เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอดทนกับคนอิสราเอล ..ตั้งแต่ที่ไถ่พวกเขาออกมา  พระองค์ก็ต้องอดทนนานมาก..พระองค์เตือนแล้วเตือนอีกนับครั้งไม่ถ้วน..กว่าจะลงวินัยพวกเขา  เพราะงั้น เราก็เช่นกัน..ที่ต้องอดทนกับความไม่เอาไหน..ความบกพร่อง..ความผิดพลาด...หรือแม้แต่ความเห็นแก่ตัวของคนอื่น..
อีกลักษณะหนึ่งของความรัก ก็คือ ความรักต้อง”กระทำคุณให้”  คนที่มีความรักแบบพระเจ้าจะคิดแต่เรื่องที่เป็น”คุณ”..”เป็นประโยชน์”.. ต่อคนอื่น  จะไม่คิดร้าย  หรือแม้แต่พูดให้คนอื่นเสียใจ  แต่จะทำสิ่งต่างๆในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเสริมสร้าง  สนับสนุนให้เกิดความดีงาม..ความสงบสุข..ความสามัคคี  ถ้ามีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง..แตกแยก..นั่นไม่ใช่แล้ว  วิธีง่ายๆที่จะดูว่าคนๆนั้นมีความรักแบบพระเจ้ามั๊ย ก็คือ คนที่มีรักแท้แบบพระเจ้า..ต้องเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วจะรู้สึก”ปลอดภัย” สบายใจ..ไม่อึดอัด..เช็คง่ายๆแค่นี้เอง
ลักษณะต่อมาเกี่ยวกับความรักที่ อ.เปาโลพูดถึง อีก 8 อย่าง..จะขึ้นต้นด้วยคำว่า”ไม่”  
อันแรก คือ ไม่อิจฉา   อิจฉาคืออะไร..อิจฉาก็คือ เห็นคนอื่นได้สิ่งที่ดีแล้วรู้สึกหงุดหงิด..ขัดใจ..ไม่มีความสุข  เหมือนคนงานในสวนองุ่นที่อิจฉาคนที่ทำงานน้อยกว่า แต่ได้เงินเท่าตัวเอง   หรือ เห็นข้างบ้านซื้อรถใหม่แล้วเรานอนไม่หลับ อย่างนี้เป็นต้น  เพราะคนที่มีความรักต้องรู้สึกยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้สิ่งที่ดี  และข้อนี้..ฝึกได้นะคะ  ง่ายๆก็คือ เด็กๆต้องโฟกัสที่พระเจ้า ..คิดอยู่เสมอว่า “เมื่อเรามีพระเจ้า เราก็มีทุกอย่าง  เพราะงั้น ไม่ว่าใครจะมีอะไร..มันไม่สำคัญอีกแล้ว  เพราะเรามีพระเจ้าและพระองค์ให้เราได้ทุกอย่าง..ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เงิน..ซื้อไม่ได้ ..จบมั๊ย    
ข้อต่อมา คือ ”ไม่อวดตัว” เพราะความรักจะทำให้เรายอมรับผู้อื่น..ไม่ยกตนข่มท่าน..ไม่เกทับกัน  แต่เราจะยอมรับและรักในแบบที่เขาเป็น..ไม่ใช่แบบที่เราอยากให้เป็น   ความรักจะทำให้เรายอมรับตัวเองด้วยเพราะเมื่อเรายอมรับตัวเอง..การโอ้อวดต่อคนอื่นมันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป..เราจะไม่เรียกร้องให้คนอื่นยอมรับเรา  แล้วก็ไม่พยายามโปรโมทตัวเองเกินจริง..หลายคนที่ยังวิ่งเสาะแสวงหาความเป็นคนสำคัญจากคนอื่นอยู่..นั่นเพราะเขาขาดความรัก  เขาถึงไม่เป็นตัวเอง..
”ไม่หยิ่งผยอง” แต่ ! ความรักจะทำให้เรา ”ถ่อมสุภาพ” ยอมรับในความแตกต่าง..ไม่หงุดหงิด..น้อยใจหรือขัดใจในเวลาที่คนอื่นไม่ให้ความสำคัญ    แต่เราจะยอมรับว่าคนอื่นเขาก็มีสิ่งดีๆในชีวิตของเขา..เราก็มีสิ่งดีๆในชีวิตของเรา  และ เราจะพอใจ..ยอมรับซึ่งกันและกัน..และมองเห็นความแตกต่างที่พระเจ้าสร้างด้วยความชื่นชม..ไม่ใช่ขมขื่น  
ดู โครินธ์ 13:5  “ไม่หยาบคาย”  ความหยาบคาย คือ ความแข็งกระด้าง..ไม่ละเอียดอ่อน..ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น  ถ้าลองไม่คิดถึงคนอื่นแล้ว..จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความรักได้มั๊ย..ไม่ได้หรอก   เพราะคนที่หยาบคาย คือ คนที่ชอบทำร้ายจิตใจหรือเชือดเฉือนคนอื่น..ด้วยทั้งคำพูดและการกระทำ..ซึ่งมันตรงข้ามกับความรักอย่างสิ้นเชิง  
“ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว”  อันนี้สำคัญ ทุกวันนี้ที่ปัญหามันเกิดขึ้นมากมายก็เพราะคนคิดเห็นแก่ตัว  คนประเภทนี้ หัวใจเขาจะเต็มไปด้วยความกลัว..กลัวไม่อิ่ม..กลัวไม่พอ..กลัวเสียหน้า..กลัวเสียเปรียบ..กลัวเสียฟอร์ม..กลัวเสียตังส์..กลัวตาย..กลัวทุกอย่าง  เขาถึงจ้องจะตักตวงทุกอย่างไว้”เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง”.. การแสดงออกของคนประเภทนี้ คือ.. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาจะดูดซับทุกอย่างจากคนรอบข้าง..โฟกัสที่ตัวเอง  ชอบที่จะกอบโกยไว้ก่อน..ให้ไม่เป็น  ไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง  แต่หลายครั้งคนประเภทนี้ให้อภัยไม่เป็นแล้วก็ให้เกียรติคนไม่เป็นด้วย   เพราะงั้น ถ้าเราเจอคนประเภทนี้ที่ไหน ก็ให้รู้ไว้ว่า..นี่คือ ลักษณะนึงของคนที่ขาดความรัก  วิธีแก้ คือ ต้องเติมเขาด้วยความรักของพระเจ้า 
“ไม่ฉุนเฉียว”  คนที่ฉุนเฉียว คือ คนที่ขาดความอดทน..เมื่อไม่ได้ดั่งใจ   คนที่ฉุนเฉียวไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวนะคะ  แค่ไม่มีความอดทนและจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ไม่ได้อย่างที่ต้องการ..ไม่ทันใจ..ไม่ได้ดั่งใจ..หรือถูกรบกวนจิตใจ  ซึ่งยังไงก็แล้วแต่..มันก็ไม่ใช่ความรัก  เพราะความรักต้อง..    ”อดทน”...แล้วก็นานด้วย
“ไม่ช่างจดจำความผิด” ...แล้วก็แล้วกันไป  อย่าไปขุดคุ้ยความผิดพลาดของเขาขึ้นมา  แต่เท่าที่เจอ..ส่วนใหญ่ ผิดครั้งเดียว..พูดกันอยู่นั่น.. จำกันจนตาย  ชอบที่จะตอกย้ำ..ซ้ำเติม..ผูกมัดให้เขาติดอยู่กับอดีต อะไรต่างๆเหล่านี้..ไม่ใช่ความรัก   ถ้าเรามีความรัก..ต้องให้อภัย  ปลดปล่อยเขาจากความรู้สึกผิด 
ดู โครินธ์ 13:6 -7 “ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด”  เพราะความรักแบบพระเจ้า..จะไม่ทำให้เราตาบอด  ถูก..ก็บอกว่าถูก  ผิด..ก็บอกว่าผิด  เราจะไม่เสแสร้งแกล้งเอาใจ แต่เราจะร้อนใจและอยากช่วยแก้ไขเมื่อคนที่เรารักประพฤติผิด   แก้ไขยังไง..ก็ตักเตือน โน้มนำเขา”ด้วยความรักและถ่อมสุภาพ”  อย่าไปใช้วิธีแบบเกลือจิ้มเกลือ..กระแนะกระแหนหรือประชดประชัน  เพราะถ้าเราทำอย่างนั้น มันคือ แก้แค้นหรือแก้เผ็ด  และมันจะช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้เลย 
“แต่ ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ”  แน่นอน เมื่อคนอื่นทำสิ่งที่ดีเราก็ต้องสนับสนุนชื่นชม  เสริมสร้างให้กำลังใจ   ไม่ใช่หมั่นไส้หรือดูแคลนว่า..ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย  ฉันทำได้ดีกว่านี้  อันนี้ ก็ไม่ใช่ความรักนะคะ  ข้อที่ 7 บอกว่า “ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น..”  แต่ส่วนใหญ่ที่น้าตุ๊กเห็น คือ ทนความผิดของตัวเองได้  แต่เวลาคนอื่นผิด..ฉันทนไม่ได้    อย่าให้เราเป็นแบบนั้น   ข้อต่อไปบอกว่า “..และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ”  อันนี้ สำคัญมากที่เราต้องมีความเข้าใจว่า “ทุกคนมีส่วนดี”..ไม่มีใครที่เลวไปหมดหรือดีไปหมดซะทุกอย่าง   เขาอ่อนแอเรื่องนี้..ก็อย่าไปตัดสินหรือชี้ชันว่า..เขาใช้การไม่ได้หรือไม่มีความเชื่อ..ไม่ใช่  เราไม่อ่อนแอเรื่องนี้..เราก็ต้องอ่อนแอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อย่าสะดุดใครเพราะความผิดของเขาแต่เราต้องเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  หาไปเถอะ..ยังไงก็ต้องเจอ  ข้อดีของทุกคน..ต้องมีแน่
คำจำกัดความสุดท้ายของรักแบบพระเจ้า คือ “..มีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง”...อย่าถอดใจกับใครเพียงแค่เห็นว่าเขาผิดพลาดหรืออ่อนแอ  เพราะพระเจ้ายังไม่เคยสิ้นหวังในมนุษย์..เราเองก็เช่นกันที่ต้องดำเนินตามพระองค์  เราต้องหวังอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยน..เขาจะเติบโต..เขาจะงดงามขึ้น  และอย่าไปเร่งให้ใครเติบโตอย่างรวดเร็วตามใจเรา..เพราะมันเป็นไปไม่ได้  พระเจ้ามีเวลาสำหรับทุกคนเสมอ  พระองค์จึงลงท้ายว่า “..และให้เราทนต่อทุกอย่าง”...แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กๆต้องเข้าใจ คือ ความรักเป็นทั้งของประทานและผลของพระวิญญาณ  เราไม่สามารถผลิตความรักแบบนี้ได้เองนะคะ  แต่เราสามารถรับจากพระเจ้าได้..ด้วยการอธิฐาน..ทูลขอ..ติดสนิทอยู่กับพระองค์  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้เติมความรักของพระเจ้าให้เราจนเต็มล้น...เอเมนมั๊ยคะ 
กลับมาที่ มัทธิว 23:1-4  บทนี้ พระเยซูทรงกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์กับฟาริสี..ไว้อย่างรู้เช่นเห็นชาติกันเลยทีเดียว   ภายในบทเดียว พระองค์ใช้คำว่า “วิบัติ แก่เจ้า..” ถึง 8 ครั้ง  ปกติที่เรียนกันมา..พระเยซูตรัสครั้งเดียวทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว  เพราะฉะนั้น ณ.จุดนี้ น้าตุ๊กถือว่าน่ากลัวมากข้อที่ 2 พระเยซูตรัสว่า “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส เหตุฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การกระทำของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่” .....นั่งบนที่นั่งของโมเสส หมายความว่า ผู้นำศาสนาเหล่านี้เขามีสิทธิอำนาจที่สืบทอดมาจากโมเสสจริง  จึงมีสิทธิที่จะสอนพระบัญญัติได้  เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้ประชาชนทำตามพระบัญญัติที่เขาสอน  แต่อย่าทำตามอย่างที่พวกเขาทำ  เพราะพวกเขา..ดีแต่สอน  แต่ตัวเอง..กลับไม่ทำตามบัญญัตินั้น  ยังไง..บ้าง 
ข้อที่ 4 บอกว่า “..ด้วยเขาเอาห่อของหนัก (ซึ่งหมายถึง ภาระหนัก) วางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย”    ทำไมพระบัญญัติถึงกลายเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับทุกคน  ก็เพราะพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีชอบต่อเติมเสริมแต่งเรื่องหยุมหยิมเข้าไป..ให้มันดูเคร่งครัดขึ้น..ทำยากขึ้น  จนกลายเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับมนุษย์   “..ส่วนตัวเขาเอง..แม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย”  (ในฉบับ ประชานิยม ใช้คำว่า “ไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวช่วยยก)  ก็หมายความว่า..นอกจากตัวเองจะไม่เคยทำตามบัญญัติแล้ว..ก็ยังไม่เคยหนุนใจใครเลยด้วย  มีแต่ประณามกระหน่ำซ้ำเติม  แล้วก็จับผิดคนที่ทำไม่ได้   
ดู มัทธิว 23:5-7  พระเยซุทรงชี้ให้เห็นว่า “..การกระทำทุกอย่างของธรรมาจารย์กับฟาริสีนั้น..เป็นการทำเพื่ออวดคนอื่น”....ไม่ว่าจะขยับทำอะไร..ก็จะเน้นแต่เรื่องภายนอก..แล้วก็ทำเพื่ออวดคนอื่น  “..เขาใช้กลักพระบัญญัติอย่างใหญ่ สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยอันยาว”..ในสมัยนั้น คนยิว เขาจะมีกลักพระบัญญัติที่ใช้บรรจุข้อความจากพระคำภีร์..เป็นกล่องเล็กๆ 2 ใบ ผูกติดกับสายหนังแล้วคาดไว้ที่หน้าผาก 1 ใบ กับที่แขนซ้ายอีก 1 ใบ  ทำ..ทำไม  ก็ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ใน ฉธบ. 6:8 ..ที่บอกว่า  “..จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน”...ยิวก็ทำตามตัวอักษรเลย  เพราะเข้าใจว่าพระเจ้าต้องการให้พวกเขาเอาพระบัญญัติติดไว้กับตัว  ก็เลยทำซื่อๆไปตามนั้น..(ตอนสอนฉธบ.น้าตุ๊กเคยเอาภาพมาให้ดูนะ  ชาวยิวจะคาดกลักที่ว่านี้..ไว้ที่หน้าผากตรงหว่างคิ้วจริงๆ)  และก็อีกเช่นเคยที่พวกธรรมาจารย์..ฟาริสี  จะต้องใช้กล่องที่ใหญ่กว่าคนอื่น.. เพื่ออวดให้ใครๆรู้ว่า “ฉันไม่ธรรมดา..ต้องพิเศษกว่าเสมอ” แล้วการ “สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยยาวๆ” ก็เหมือนกัน..ทุกสิ่งอย่างเขาก็พยายามทำแต่เปลือกนอก..ทำยังไงก็ได้..ให้คนดูที่เห็นเข้าใจว่าเขาเป็นคนเคร่งศาสนา
ข้อที่ 6 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและที่นั่งตำแหน่งสูงในธรรมศาลา”... อันนี้ ก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว  ตามงานเลี้ยง  ถ้าเราสังเกตดู..ก็จะเห็นว่า เจ้าภาพจะมีการจัดโต๊ะพิเศษไว้สำหรับแขก VIP ..ญาติสนิทหรืออะไรก็ตาม  ซึ่งมักจะเป็นตำแหน่งที่อยู่ด้านหน้าหรืออยู่ใกล้เจ้าภาพ   และประเด็น คือ โต๊ะที่ว่านี้ก็จะเป็น”จุดเด่น” ของคนในงาน  ทุกคนที่มาก็จะรู้ว่า “คนที่นั่งในโต๊ะนั้น คือ คนพิเศษหรือคนสำคัญ”  แล้วแบบนี้ พวกฟาริสี..ก็ชอบอีกเหมือนกัน (นึกภาพออกมั๊ยคะ)   หรือในธรรมศาลาพวกผู้นำศาสนายิวก็จะมีที่ประจำตำแหน่งเลย..ซึ่งอาจจะอยู่ในที่สูงกว่าคนอื่น  เขาจะไม่มานั่งรวมๆกับสมาชิกเหมือนผู้นำของเรา  แบบนี้ เขาไม่เอา..เพราะดูไม่ออกว่าใครเป็นคนสำคัญ  ข้อที่ 7 บอกว่า นอกจากจะชอบนั่งในที่ที่มีเกียรติแล้ว  พวกธรรมาจารย์กับฟาริสียัง“..ชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกเขาว่าท่านอาจารย์”..เพราะฟังแล้วดูมีเกียรติ..เป็นที่ยอมรับ..ไปไหนก็มีคนคอยคำนับ.. พูดง่ายๆว่า พวกเขา ชอบมากที่จะเป็นคนสำคัญ....เป็นที่เคารพบูชา..กราบไหว้ได้เลย..ยิ่งดี  ชอบที่จะเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น  ยึดติดในเกียรติยศศักดิ์ศรีคำยกย่อง  แล้วก็เสาะแสวงหาความเป็นคนสำคัญ..จากมนุษย์   สนใจแต่เรื่องเปลือกนอกแต่ไม่เคยสนใจน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระเจ้า   
ดู มัทธิว 23:9-10   “..อย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์”... ข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงบิดา..ที่เป็นคุณพ่อผู้ให้กำเนิดเรานะคะ แต่พระเจ้าหมายถึงอย่าไปนับถือพระอื่นหรือนามอื่นๆว่าเป็นบิดา   เรียกเสด็จพ่อ..หรือเจ้าพ่อนู้น นี้ นั้น..อะไรต่างๆ  (นึกออกมั๊ยคะ)  ไม่ได้หมายถึง..พ่อของเราที่เป็นมนุษย์  พ่อของเราก็คือบิดา..เรียกได้  แต่อย่าเรียกนามอื่นใดว่าเป็นพ่อของเรา ..เพราะมันไม่ใช่      ข้อที่ 10 บอกว่า “..อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า “พระครู” ด้วยว่าพระครูของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์.....”  อันนี้ พระเยซูหมายถึง อย่าให้ใครก็ตามที่อยู่ในฐานะผู้นำ...แสวงหาเกียรติยศหรือคำยกย่องจากมนุษย์  เพราะคำว่า “พระครู” มันมีนัยหมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ ..ไม่ใช่ครูธรรมดา   ซึ่งมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่สมควรกับคำนี้  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเรียกผู้นำของเราว่าเป็นครูหรืออาจารย์..ไม่ได้..ไม่ใช่   เรียกได้..แต่ ให้เรียกว่าครูหรือ อาจารย์เฉยๆไม่ต้องมีคำว่า”พระ”   จุดประสงค์ในข้อนี้พระเยซูทรงชี้นำให้เราทุกคนถ่อมใจ..ไม่ยึดติดกับสถานะทางสังคมเหมือนพวกฟาริสี  อันนี้ เราต้องเข้าใจในบริบทด้วย  ไม่งั้น เด็กๆจะงง  อย่างน้าตุ๊กนี้ ใครมาเรียกครูตุ๊ก..ได้มั๊ย..ได้ค่ะเพราะเขาก็เห็นว่าน้าตุ๊กเป็นคนสอนเด็กๆ  แต่มันสำคัญที่น้าตุ๊กนี่แหละ..ที่จะต้องไม่ยึดติด..ให้ทุกคนต้องเรียกฉันว่าครู  ไม่เรียก..ไม่ได้ อันนั้น ไม่ใช่แล้ว   เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 ข้อนี้ พระเยซูไม่ได้สอนให้เรา..ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่น  แต่พระองค์ไม่ต้องการให้ใครเอาสถานะทางสังคมมามาเป็นเครื่องมือแสวงหาเกียรติยศหรือความเป็นคนสำคัญจากมนุษย์ด้วยกัน  เพราะมันไม่มีประโยชน์   ตอนท้ายข้อที่ 8  พระองค์บอกว่า “...และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด”  หมายความว่า จริงๆแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน..เป็นพี่น้องกัน..ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร..ไม่มีใครดีกว่าใคร  เอเมนมั๊ยคะ

   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

นังสือ มัทธิว ครั้งที่ 15

เรามาทบทวนของคราวที่แล้วกันนิดนึง  เรื่อง “คนงานในสวนองุ่น”..จำได้นะ 
คนงานที่ทำงานตั้งแต่เช้าโวยวาย..ที่ได้เงินเท่ากับคนที่มาทำตอนบ่ายหรือทำตอนเย็น   พูดง่ายๆคือ ทำมากแต่ได้เงินเท่าคนที่ทำน้อย   เจ้าของสวนบอก “ ทำไมท่าน”อิจฉา” เมื่อเห็นเราใจดี     ” ....ทำไมต้อง “อิจฉา” ที่เห็นคนอื่นได้ดี..ได้มาก  ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เอาของตัวเองไปให้คนอื่นซะหน่อย   จริงๆเหตุการณ์อย่างนี้..น้าตุ๊กก็เห็นบ่อย  มีหลายคนมากที่ชอบมาบ่นว่าอยากเปลี่ยนงาน  สาเหตุก็ประมาณนี้  ชั้นอยู่มา 5 ปีแล้วเงินเดือน 2 หมื่น ยายคนนั้นเพิ่งเข้ามาทำไมได้มากกว่าหรือได้เท่ากัน  เลยรับไม่ได้..รู้สึกไม่แฟร์   ถ้าเรายังไม่ได้เรียนคำอุปมาข้อนี้..เราก็จะรู้สึกคล้อยตามเขาเหมือนกัน  แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว..ว่าจริงๆแฟร์มั๊ยคะ..แฟร์มาก   เพราะตอนที่มาสมัครงานเขาก็จะตกลงว่าจะจ้างเราเท่าไหร่..แต่ เขาไม่ได้ตกลงและไม่จำเป็นต้องตกลงกับเรา..ว่าเขาจะจ้างคนอื่นเท่าไหร่  เพราะงั้น ถ้าเขาจ่ายถูกต้องตามที่ตกลงไว้ในส่วนของเรา..มันก็ยุติธรรมแล้ว  ถูกมั๊ยคะ  เพราะฉะนั้นน้าตุ๊ก ขอหนุนใจนะ  ต่อไปเด็กๆทำงานก็ขอให้มีท่าทีต่อเรื่องนี้ให้ถูกต้อง..อย่าใจแคบ  แล้วพระเจ้าจะประทานบำเน็จให้เรามากมาย..ยิ่งกว่าที่เจ้านายจะให้ได้  เอเมนมั๊ย 
                มาถึงบทที่ 21  บทนี้เป็นช่วงที่พระเยซูเสด็จมาที่เยรูซาเล็ม  และพระองค์ก็เข้ามาอย่างผู้พิชิต  และฝูงชนจำนวนมากก็มารอต้อนรับพระองค์
ดู มัทธิว 21:12-13  พอมาถึงเยรูซาเล็ม  พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในวิหารพระเจ้า  พอไปถึงสิ่งที่พระองค์เห็นก็คือ “ธุรกิจการค้า”  ที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในบริเวณลานพระวิหาร..ทั้งโต๊ะแลกเงิน..ที่มีพ่อค้ามารับแลกเพื่อเอากำไร  เพราะเงินต่างชาติบางสกุลใช้จ่ายค่าบำรุงวิหารไม่ได้  นอกจากนี้ ก็ยังมีการขายนกพิราบ..อันนี้ทำให้เรานึกถึงภาพตามวัดในปัจจุบันนี้นะ..ที่มีการขายนกขายปลาให้คนเอาไปปล่อย  ส่วนที่วิหารของพระเจ้านี้มีการขายนกพิราบ  เพราะแม้แต่คนที่จนที่สุดก็ยังต้องถวายนกพิราบหนึ่งคู่เป็นเครื่องบูชา    แต่ประเด็น ก็คือ การค้าที่เขาทำกันในบริเวณพระวิหารนี้..มันเป็นธุรกิจที่ปุโรหิตมีส่วนได้ส่วนเสียด้วย ....จะแบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง  หรือกินเปอร์เซ็นต์กันยังไง..ไม่แน่ใจ  แต่ที่แน่ๆคือ เขาค้าขายกันด้วยอัตราที่ไม่ยุติธรรม  อัตราการแลกเงินก็แพง  นกพิราบก็ขายแบบโก่งราคา  เพราะอ้างว่าเป็นสัตว์ไม่มีตำหนิ.. ผ่านการรับรองจากปุโรหิตแล้ว   ถ้าซื้อที่อื่นอาจจะเอามาถวายไม่ได้นะ..เพราะมีตำหนิปุโรหิตไม่ให้ผ่าน..ไม่รับรอง  อะไรประมาณนี้   (เพราะ ตามพระบัญญัติระบุว่าของถวายพระเจ้าต้อง..ไม่มีตำหนิ  แต่จริงๆความหมายในข้อนี้ พระคัมภีร์เล็งถึง”พระเยซูคริสต์” ต่างหาก..ที่จะมาเป็นลูกแกะหรือเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิสำหรับพระเจ้า)    ข้อที่ 13 พระเยซูตรัสว่า “นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน' แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น `ถ้ำของพวกโจร” ...การค้าขายแบบไม่ไม่เป็นธรรม..ก็แย่มากแล้ว  แต่นี่ยิ่งหนักกว่า..เพราะกล้ามาทำกันในวิหารของพระเจ้าเลย  พระเยซูถึงโกรธมาก..พระองค์เห็นปุ๊บ ! พระองค์คว่ำโต๊ะ..พังทุกอย่างทิ้งเลย 
ดู มัทธิว 23-27  การที่พระเยซูเข้ามาในเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต  มีประชาชนจำนวนมากโห่ร้องสรรเสริญ  กับการที่พระองค์ขับไล่พวกพ่อค้าในวิหาร  คงทำให้พวกผู้นำศาสนาไม่พอใจ  พวกปุโรหิตจึงถามพระเยซูว่า “ท่านมีสิทธิอันใดจึงได้ทำเช่นนี้ ใครให้สิทธินี้แก่ท่าน" พระเยซูตอบเขาว่า “เราจะถามท่านข้อหนึ่งเหมือนกัน  ถ้าท่านตอบได้..เราถึงจะบอก..ว่าเรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด”  แล้วพระเยซูก็ถามพวกเขาว่า  “บัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน  จากสวรรค์หรือจากมนุษย์”  เจอคำถามนี้เข้าไปพวกปุโรหิตเลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  เพราะอะไร..ถ้าจะปฏิเสธว่าสิทธิอำนาจของยอห์นไม่ได้มาจากสวรรค์..ก็จะทำให้เขาเป็นที่เสื่อมศรัทธาของ ประชาชน  เพราะคนส่วนมากนับถือยอห์น  แต่ถ้าจะยอมรับ..ว่ายอห์นทำการโดยสิทธิที่มาจากสวรรค์  พวกเขาก็จะมีความผิดฐาน..”ไม่ยอมรับพระเยซู”  เพราะยอห์นเป็นพยาน..ยืนยัน..ตอกย้ำ..ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์จริงๆ   ในที่สุด พอไม่รู้จะตอบยังไง..เลยเลือกตอบแบบคนขี้ขลาดว่า “เขาไม่รู้”  พระเยซูเลยบอก “งั้นเราก็ไม่บอกเหมือนกัน..ว่าเราทำการนี้โดยสิทธิอันใด”  แต่ พระองค์ไม่จบแค่นั้น  พระองค์ยกคำอุปมาขึ้นมากล่าวโทษพวกเขาอีก
ดู มัทธิว 21:28-31  พระเยซูเล่าเรื่องบุตรสองคนที่พ่อใช้ให้ไปทำงานในสวนองุ่น  “คนแรก  พอพ่อใช้..ตอบว่า “ไม่ไป”..ไม่ต้องคิดเลยนะ บอกเลย..ว่าไม่ไป  แต่ต่อมาก็กลับใจ  แล้วไปทำงานในสวนองุ่น..ตามที่พ่อบอก” ส่วนอีกคน..พอพ่อใช้ตอบทันที..ว่า”จะไป  แต่ไม่ไป”  พระเยซูถามว่า “ลูกคนไหน ทำตามใจบิดา”  พวกปุโรหิตตอบว่า บุตรคนแรก  พระเยซูบอก ถ้างั้น “พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณีก็เข้าในแผ่นดินพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย”  เพราะอะไร...
บุตรคนแรก คือ ตัวแทนของพวกเก็บภาษี  โสเภณี  หรือแม้แต่พวกต่างชาติ..ที่รวมทั้งพวกเราด้วย  ที่แรกเลยไม่เชื่อพระเจ้า..ได้ชื่อว่ากบฎต่อมาตรฐานของพระองค์ แต่พอได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว..ก็กลับใจใหม่  มาเชื่อและ”ไปทำงานในสวนองุ่น” ก็คือ ยอมดำเนินตามที่พระเจ้าสอนหรือสั่งไว้ ซึ่งจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมที่ได้ชื่อว่าทำตามใจบิดา หรือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า
ส่วน บุตรคนที่สอง ก็คือ พวกเขาแหละ..บรรดาผู้นำศาสนาของยิว..ที่ดูเหมือนเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา..เกิดมาเป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้แต่แรก..ที่รับแต่ปากว่าจะเชื่อฟังและดำเนินตามพระเจ้า  แต่จริงๆแล้ว..”ไม่ทำ” ..เพราะเขาไม่เชื่อพระเยซู  นั่นก็เท่ากับไม่ทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้า  แต่กำลังทำงานในสวนของตัวเอง  ไม่ได้สร้างอาณาจักรพระเจ้า..แต่กำลังสร้างอาณาจักรของตัวเอง  พระเยซูถึงบอก..” พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณีก็เข้าในแผ่นดินพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย”
ดู มัทธิว 21:33-35  คำอุปมาข้อนี้ บอกว่า “เจ้าของสวนองุ่นคนนึงได้ทำสวนล้อมรั้ว..สร้างบ่อย่ำองุ่น  พร้อมทั้งหอเฝ้าไว้อย่างดี..เพื่อให้ชาวสวนเช่า  แล้วตัวเองก็ไปต่างแดน  เมื่อถึงเวลาเก็บผลองุ่น  เขาก็ให้บ่าวไปรับส่วนที่เป็นค่าเช่า  แต่ปรากฎว่าพวกคนเช่าสวนกลับจับคนของเขาเฆี่ยนตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างเสียให้ตายคนหนึ่ง  เจ้าของสวนก็ส่งคนไปอีกหลายคน  แต่ก็ถูกกระทำอย่างเดียวกัน    ครั้งหลังสุดเจ้าของสวนส่งลูกของตัวเองไปและพูดว่า   `พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา'  แต่ปรากฎว่า..เขาก็จับบุตรนั้น ผลักออกไปนอกสวนองุ่นแล้วฆ่าเสีย   ข้อที่ 40  พระเยซูถามพวกเขาว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทำอะไรแก่คนเช่าสวนเหล่านั้น"   พวกเขาตอบพระองค์ว่า “เจ้าของสวนจะทำลายล้างคนชั่วเหล่านั้นอย่างแสนสาหัส และจะให้สวนองุ่นนั้นแก่คนเช่าอื่นๆที่จะแบ่งผลโดยถูกต้องตามฤดูกาลแก่เขาต่อไป"...
ข้อนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงพฤติกรรมของพวกผู้นำอิสราเอลนั่นแหละ..และน้าตุ๊กก็เข้าใจว่าพระองค์ตรัสกับเราด้วย  รวมทั้งพระองค์ยังพยากรณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์เองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  “เจ้าของสวน” คือ “พระเจ้า” ......”ชาวสวน” คือ “ผู้นำของอิสราเอลทั้งในอดีตและในสมัยพระเยซูคริสต์”.......  “บ่าวหรือคนใช้” ก็ได้แก่ “บรรดาผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า” (เช่น  เอลียาห์  อิสยาห์  เปโตร  เปาโล  สเตเฟน  อะไรต่างๆเหล่านี้) “ส่วนบุตร” ก็คือ “พระเยซูคริสต์”  สำหรับบริบทนี้ พระเยซูเน้นผู้ฟังที่เป็นชาวยิว  และคานาอันหรือปาเลสไตน์ ก็คือ สวนองุ่นของพระเจ้า ความหมาย ก็คือ  เมื่อพระเจ้าทรงเลือกยิวหรืออิสราเอล  พระองค์ก็ประทานดินแดนที่พระองค์ ”เตรียมไว้” อย่างดีให้เป็นที่พำนักของพวกเขา   เพื่อที่ พวกเขาซึ่งเป็นผู้นำ..จะได้ดูแลเถาองุ่นของพระเจ้า  คือ คนอิสราเอล (อิสราเอล คือ เถาองุ่นของพระเจ้า)  และ”เมื่อถึงฤดูเก็บผลองุ่น  พระเจ้าก็ส่งผู้เผยพระวจนะของพระองค์มาเพื่อจะรับผล..ของพระองค์”... คือ พระเจ้ามาทวงให้พวกเขาทำตามสัญญา  สัญญาว่าอะไร..  เปิดไปดู...
ฉธบ. 6:4-9 (อ่านพร้อมกัน)  “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน” ...นี่คือ สาระที่สำคัญสุดของพระบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับอิสราเอลและรวมถึงพวกเราด้วย  ถ้าข้อนี้..ไม่ทำ  ข้ออื่น..ไม่มีความหมาย  เราจะกลายเป็นคนที่ต้องอยู่นอกสวนของพระเจ้าทันที    แต่ทั้งที่ พระเจ้า..ก็ส่งผู้เผยพระวจนะมาเตือนคนอิสราเอลหลายต่อหลายครั้ง  ไปดูได้เลยตลอดประวัติศาสตร์พระเจ้าส่งมาเป็นระยะๆไม่เคยขาด  เพื่อเตือนให้พวกเขาดูแล..ชี้นำ..จิตวิญญาณของผู้คนให้รักและเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ   แต่ผู้นำเหล่านั้นก็ไม่เชื่อฟัง  พวกเขากบฎต่อพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง  แถมยังทำร้ายผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าด้วย  ตราบจนเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา..( ในหนังสือมัทธิวที่เราเรียนกันอยู่เนี่ย ! )..เขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์..ไม่กลับใจใหม่..ไม่เปลี่ยนท่าทีในใจ   ที่พระเยซูสอน..เขาไม่เอาอะไรเลยซักอย่าง  แถม เอาพระองค์ไปฆ่า    ถามว่า เมื่อถึงวันพิพากษา..เมื่อเจ้าของสวน คือ พระเจ้า เสด็จกลับมา  พระองค์จะทำยังไงกับคนพวกนี้  คำตอบ ก็ตามนี้แหละ คือ “พระเจ้าจะทำลายล้างคนชั่ว..ที่ไม่เชื่อในพระบุตรนั้นอย่างแสนสาหัส และจะให้สวนองุ่นนั้น...หรือยกอาณาจักรสวรรค์  ให้แก่ชนชาติอื่น..ไม่จำเป็นต้องเป็นยิว..ก็มีสิทธิ์จะได้เข้าสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น.. ถ้าเขาเชื่อพระเยซู   
ดู มัทธิว  22:1-7  คำอุปมาเรื่องนี้”งานอภิเษก”..เนื้อหาก็จะคล้ายกันกับเรื่องก่อนหน้านี้   พระเยซูตรัสว่า “แผ่นดินสวรรค์เหมือน กษัตริย์องค์หนึ่งจัดงานเลี้ยงอภิเษกราชให้โอรส  เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว..ก็ใช้ข้าราชการไปตามผู้ที่ได้รับเชิญมางานนี้  แต่ ! พวกเขาไม่อยากมา  กษัตริย์ก็เลยใช้คนไปตามอีกรอบ..บอกว่า ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว  ทั้งวัวและสัตว์ขุนก็ฆ่าเรียบร้อย  จงมาร่วมงานนี้เถิด” 
กษัตริย์ คือ “พระเจ้า”  ราชโอรส คือ “พระเยซูคริสต์”  ข้าราชการที่กษัตริย์ส่งไป ก็คือ “ผู้เผยพระวจนะ”ของพระเจ้า   ส่วนแขกผู้ที่ได้รับเชิญเป็นพวกแรกเลย คือ “คนอิสราเอล”  ความหมายข้อนี้ ก็คล้ายๆข้อที่แล้ว  คือ พระเจ้าเตรียมอาณาจักรสวรรค์ไว้ให้แก่ผู้ที่พระองค์เลือกไว้  ผู้ที่จะได้เข้าสู่สวรรค์เปรียบเหมือน..คนที่จะได้ร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดก คือพระเยซูคริสต์  และพระเจ้าก็ทรงเลือกยิวหรืออิสราเอล..เป็นพวกแรก   แต่ ! พวกเขาบอกไม่ไป..ไม่ว่าง อิสราเอลปฎิเสธพระเยซูซึ่งก็เท่ากับปฏิเสธพระเจ้า   พระเจ้าก็ทรงอดกลั้นส่งผู้เผยพระวจนะไปตามอีก  แต่ ! “พวกเขาก็เพิกเฉยและไปเสีย”   ที่หนักกว่านั้น ข้อที่ 6 บอกว่า “ฝ่ายพวกนอกนั้นก็จับพวกผู้รับใช้ของท่าน ทำการอัปยศต่างๆแล้วฆ่าเสีย” ... คนของพระเจ้าหลายต่อหลายคน..ที่เป็นพยานในข่าวประสริฐถูกผู้นำศาสนาของอิสราเอลฆ่าตายแบบ..น่าสลดหดหู่มาก  อุตส่าห์เชิญมาร่วมงานเลี้ยง..มากินฟรีมีความสุขสำราญอย่างพรั่งพร้อม  แต่ ! ไม่ยอมมา  แถมยังทำการที่ถือเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของงาน..อย่างแรง  เพราะการที่พวกเขาฆ่า..ผู้นำสารหรือผู้เผยพระวจนะ  มันเป็นสิ่งที่สะท้อนชัดเจนว่า “พวกเขาไม่รักพระเจ้า”  ทำไม ! เพราะการล้มไปในความบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้า  มันทำให้มนุษย์”โกรธ” พระเจ้า   หลายครั้ง ในพระคำภีร์จึงใช้คำว่า “กลับคืนดี” กับการกลับใจใหม่ของมนุษย์    ข้อที่ 7 บอกว่า “กษัตริย์ก็ทรงพระพิโรธ จึงรับสั่งให้ยกกองทหารไป ปราบปรามฆาตกรเหล่านั้น และเผาเมืองเขาเสีย”...สุดท้าย ด้วยความดื้อแพ่งของอิสราเอล  พระเจ้าก็ทรงพิพากษาผู้นำเหล่านั้นและเยรูซาเล็ม..นครอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ถูกเผาทำลาย
ดูต่อ มัทธิว 22:8-14  ในเมื่องานสมรสก็พร้อมอยู่..พระเยซูทรงกระทำให้ทุกอย่างสำเร็จแล้ว ถึงแขกที่เชิญชุดแรก คือ พวกอิสราเอลจะไม่มาร่วมงานเลี้ยง คือ ไม่ยอมรับพระเยซู   แต่ ! พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว   ข้อที่ 9 บอกว่า “เหตุฉะนั้น จงออกไปตามทางหลวง พบคนมากเท่าใดก็ให้เชิญมา   ผู้รับใช้เหล่านั้นจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามทางหลวงแล้วแต่จะพบ ทั้งดีและชั่ว  ยากจนหรือร่ำรวย  หูหนวก  ตาบอด  เป็นใบ้  โง่หรือฉลาด ไปเชิญมาให้หมด..จนงานสมรสนั้นเต็มไปด้วยแขก” ......ในที่สุดข่าวประเสริฐก็ถูกประกาศออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก  ไม่ว่าเราจะเป็นคนชาติไหนพระเจ้าก็เชิญทุกคน   และในที่สุด น้ำพระทัยพระเจ้าก็สำเร็จ..เสมอ  งานเลี้ยงหรือแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกเชิญ
ข้อที่ 11 บอกว่า “แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงานสมรส  จึงรับสั่งถามเขาว่า `สหายเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส' ผู้นั้นก็นิ่งอยู่พูดไม่ออก” 
เรานึกว่า เรื่องราวของงานเลี้ยงเหมือนจะจบลงแล้ว  แต่ ! พระเจ้ายังอยากจะยืนยันบางอย่างกับเรา   "“ในบรรดาผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยง  กษัตริย์ได้มองเห็นคนที่ไม่ได้สวมชุดสำหรับงานแต่งงาน “....นั่นหมายความว่า ทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงต้องใส่ชุดงานแต่งงาน  ในสมัยนั้น..เขาจะมีชุดสำหรับงานเลี้ยงแต่งงาน..ซึ่งเป็นชุดที่เจ้าภาพเตรียมให้   ในที่นี้เจ้าภาพของเรา คือ พระเจ้า  และพระเจ้าก็ทรงเตรียมข่าวประเสริฐหรือความชอบธรรมที่ผ่านทางพระคริสต์..เป็นอาภรณ์ให้เราสวมในงานเลี้ยง   เพราะฉะนั้น เราต้องสวมชุดนี้เท่านั้นไปร่วมงานเลี้ยง  ถ้าไม่สวมแล้วจะทำไปนั่งเนียนๆอยู่ในงานเลี้ยง..จะรอดมั๊ย..ไม่รอดหรอก   ดูข้อที่ 13 บอก “กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า `จงมัดมือมัดเท้าคนนี้. (คือ คนที่ไม่ได้สวมชุดงานเลี้ยง)เอาไปทิ้งเสีย ที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'   เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันสักนิดในหนังสือโรม
ดู โรม 3:19-20   มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สวมชุดงานแต่งงานแต่คิดว่าตัวเองสามารถไปร่วมงานเลี้ยงได้  คือ ไม่เชื่อพระเยซูแต่คิดว่าตัวเองสมควรที่จะได้ไปสวรรค์..มีเยอะนะ   คนพวกนี้จะอ้างคุณงามความดีของตัวเอง  ประมาณว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา..ไม่เคยทำร้ายใครหรือทำอะไรชั่ว “เป็นพิเศษ”  แต่คำอ้างนี้ไม่ใช่ชุดสำหรับงานเลี้ยงของพระเมสโปดก  และมาตรฐานของพระเจ้าคือ “แค่คิดก็ผิดแล้ว”   เพราะงั้น ถ้าเขาอ้างสิ่งนี้  ก็เท่ากับเขากำลังรายงานบาปของตัวเองอยู่  เหมือนที่อ.เปาโลบอกไว้ในข้อนี้ว่า “ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ..เพื่อปิดปากทุกคน...”....เราอยู่ใต้อะไร...ใต้พระบัญญัติรึเปล่า...ไม่นะ  เราอยู่ใต้”พระคุณ”ของพระเยซูคริสต์  เราไม่ไหว..ใต้พระบัญญัติเราไม่ไหว  ใครอยากอยู่..ก็อยู่ไป..แต่คริสเตียนไม่อยู่   ข้อที่ 20  บอกว่า “ ในสายพระเนตรพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม  โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้..”  เพราะงั้น  ถ้าถึงวันงาน..วันแห่งการพิพากษา..ใครก็ตามที่ไม่พึ่งอาศัยอยู่ใต้พระคุณการไถ่ของพระคริสต์..ไม่ได้สวมความชอบธรรมของพระองค์เป็นชุดสำหรับงานแต่ง   แต่เลือกที่จะอาศัยคุณความดีของตัวเอง...ก็จะต้องปิดปากเงียบ..พูดไม่ออก.. เหมือนคนๆนี้..ที่ไม่ได้สวมชุดแต่งงาน..และเมื่อพระเจ้าถาม  เขาก็ถูกโยนออกมา  ตามที่พระคำภีร์บอกว่า “ด้วยผู้ที่ได้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย” (แจกให้ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใส่ชุดที่พระเจ้าเตรียมให้  เขาอยากจะใส่ชุดของตัวเองก็มีเยอะ อาจจะคิดว่าชุดของตัวเองสวยกว่า..เริ่ดกว่าหรืออะไรก็ตาม)

แต่สำหรับพวกเรา  ในวันที่เราได้พบพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าถามว่า เราใช้สิทธิอะไรที่จะเข้ามาในงานเลี้ยงหรือในสวรรค์  ตอบไปเลย “สิทธิ์ที่พระเยซูทรงวายพระชนม์เพื่อไถ่เรา   ข้าพระองค์มาตามคำเชิญของพระองค์และสวมความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นอาภรณ์   รับรอง พระเจ้าบอก โอเค ! เข้าไปได้  เอเมนมั๊ย
      ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 14

ดู มัทธิว 18:23-27  “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งจะคิดบัญชีกับทาส..”  พระเยซูยกคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา  เพื่อที่จะให้เราเห็นภาพ”พระคุณของพระเจ้า”ที่มีต่อเรา  และเพื่อให้เราส่งต่อพระคุณนั้นไปยังพี่น้อง   เรื่องมีอยู่ว่า “ชายคนหนึ่งเป็นหนี้เจ้าองค์หนึ่ง 1 หมื่น ตะลันต์   หมื่นตะลันต์เป็นจำนวนเงินที่ทั้งชีวิตก็หาไม่ได้..สำหรับยิวในสมัยนั้น   เพราะ 1 ตะลันต์มีค่าเท่ากับแร่เงิน 40 กก.   ดังนั้นหมื่นตะลันต์ก็คือแร่เงิน 4 แสน กก.  โอโห ! จะไปหาที่ไหนมาคืน  หรือ ถ้าคิดเป็นค่าแรง 1 ตะลันต์ เท่ากับค่าแรงกรรมกร 15 ปี  แล้วลองคิดดู  ถ้าจะทำงานใช้หนี้  ชายคนนี้ต้องเป็นทาสรับใช้นานถึง 1 แสน 5 หมื่นปี...แล้วจะอยู่ถึงมั๊ย  ดังนั้น เจ้าองค์นี้เลยสั่งชายคนนี้ ให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่ทั้งหมดเอามาใช้หนี้”  เพราะถึงยังไง..ชายคนนี้ไม่มีปัญญาใช้หนี้ได้แน่นอน  ต่อให้ขายจนหมดก็ยังได้ไม่คุ้มกับหนี้หมื่นตะลันต์    พอได้ยินคำสั่งของเจ้าองค์นั้น ข้อที่ 26 บอกว่า “ ชายคนนี้ก็ก้มลงกราบแทบเท้า บอกว่า “ขอโปรดผลัดไว้ก่อน..ขอให้ท่านอดทนต่อข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' ...พูดไปข้างๆคูๆแหละ  เพราะความจริง  มันเป็นไปไม่ได้เลย  แต่ ! เจ้าองค์นี้ก็มีพระทัยเมตตา “ยกหนี้ให้  และปล่อยให้เขาเป็นอิสระ 
ความหมายฝ่ายวิญญาณในเรื่องนี้ ก็คือ มนุษย์ทุกคนเป็นหนี้พระเจ้า  เพราะพระองค์คือผู้สร้างเรามา  พระองค์เป็นผู้ให้ชีวิต แต่มนุษย์กลับกบฎ..ไม่เชื่อฟัง..จนต้องล้มลงในความบาป  และโทษของความบาป ก็คือ “ความตาย”   เพราะงั้น หนี้ที่เราติดค้างพระเจ้า..ไม่ใช่แค่  หมื่นตะลันต์  แต่มันมีค่าถึงชีวิต   แต่เมื่อเรากลับมาหาพระองค์..เหมือนชายคนนี้ แล้วก็ขอพระองค์อดทนต่อเรา  อย่าถือสาความผิดที่เราทำ  พระองค์ก็ยกโทษให้..ละเว้นโทษประหาร เราจึงไม่ต้องตายฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าทรงเมตตาปล่อยเราให้เป็นอิสระเหมือนชายคนนี้   ดูต่อ..
ดู มัทธิว 18:28-30  เด็กๆนึกภาพชายคนนี้  เพิ่งได้รับอิสระจากการเป็นหนี้ถึงหมื่นตะลันต์..อย่างไม่นึกฝัน  แต่ขณะที่ถูกปล่อยตัวไปด้วยหัวใจที่เบ่งบานสุดขีด..เขาก็ไปเจอเพื่อนทาสด้วยกัน   และพื่อนคนนี้เป็นหนี้เขาอยู่ 100 เดนาริอัน  พอเจอปั๊บ ! จับบีบคอเลย  แล้วบอกว่า “จงใช้หนี้มาเดี๋ยวนี้   (100 เดนาริอัน มีค่าเท่ากับ ค่าแรง 1 วัน)  ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะสัก 300 บาท..ประมาณนั้น ..ฟังแล้วรู้สึกยังไง     จะรู้สึกยังไงก็ตาม แต่ ! นั่นเป็นสิ่งเดียวกันที่พวกเรากับคริสเตียนหลายๆคน  ยังคงปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่...
จิตวิญญาณที่สมควรตายของเราพระเจ้าทรงยกโทษให้  หนี้ที่เราติดค้างพระเจ้าอยู่มันมหาศาลมาก  เงินเท่าไหร่ก็ใช้แทนไม่ได้  มีแค่โทษตายสถานเดียวที่สมควรกับเรา  และ ! พระเจ้าบอกโอเค ! พ่อไม่เอาเรื่อง..ที่กบฎ ไม่เชื่อฟัง หนีออกจากบ้าน ไปทำชั่วสารพัด  หรือแม้แต่ไปรักคนอื่นมากกว่าพ่อ..ก็ยกโทษให้ (ข้อนี้ สะเทือนใจมาก)..  เจ้าไม่ต้องตายแต่จะมีชีวิตนิรันดร์  เราก็ดีใจจนแทบจะสำลักความสุขตาย     แต่ ! เหมือนชายคนนี้ พอเป็นอิสระแล้ว  เราทำยังไง..กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เขาติดเงิน..ทวงมั๊ย  เขาโกงเรา..ด่ามั๊ย  ไม่แค่ด่า..แช่งชักหักกระดูกเลย  เขาหักอกเรา..โกรธมั๊ย  โกรธจนสิ้นสติ อย่างที่เห็นกันในข่าว.. เอาน้ำมันราด..จุดไฟเผา   หลายคนไม่เคยให้อภัย..อย่าว่าแต่ให้อภัยเลย..บางคนไม่คิดจะทนซึ่งกันและกัน..แม้แต่นิดเดียว  เรื่องเล็กๆอย่างโดนเขาขับรถปาดหน้า..ก็ด่าแล้ว  นี่คือภาพเดียวกันกับชายคนนี้..ที่เจ้ายกหนี้หมื่นตะลันต์ให้..แต่ตัวเองกลับบีบคอทวงเงินแค่ร้อยเดนาริอันจากเพื่อน  (เห็นภาพมั๊ยคะ)
ดู มัทธิว 18:31-34  เมื่อผู้รับใช้ของเจ้าได้เห็นเหตุการณ์  ก็เอาไปฟ้องเจ้านายของตน  “เจ้านายของเขาจึงเรียกผู้รับใช้นั้นมาสั่งว่า `โอ เจ้าผู้รับใช้ชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เจ้าหมด เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา เจ้าก็ควรจะเมตตาเพื่อนของเจ้า  เหมือนเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ”....เมื่อพระเจ้าทรงโปรดยกบาปผิดให้เรา  เราก็ควรจะอดทน..ยกโทษให้กับผู้ที่ทำผิดต่อเราด้วย  ไม่ว่าเขา..ทำร้ายเรา..แบบดูแล้วสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน..ก็จงยอมที่จะให้อภัย 
ข้อที่ 34 บอกว่า “ แล้วเจ้านายของเขาก็กริ้วและมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด”...ดีมั๊ยล่ะ  รอดตัวไปก็ดีอยู่แล้ว  ดันมาใจแคบกับเพื่อนบ้านที่ติดเงินแค่ร้อยเดนาริอัน  เพราะฉะนั้น ดูไว้เป็นตัวอย่าง  อย่าทำแบบชายคนนี้  พระเจ้ายกโทษให้เราแล้ว  เราหลุดพ้นจากพันธนาการบาปและวงจรอุบาทว์ทั้งปวงแล้ว  พระองค์ก็อยากให้เราใจกว้างกับพี่น้องด้วย   เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า..ว่าเออ เป็นคริสเตียนแล้ว..เขาเปลี่ยนไปนะ  เป็นคริสเตียนแล้วเขาใจเย็นนะ  เขาใจกว้าง  ถ่อมสุภาพ  พูดจาดี  มีความรัก อะไรต่างๆ  ล้วนเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ..เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า    อย่านึกว่าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว..ชั้นจะทำไงก็ได้..ยังไงชั้นก็รอดอยู่ดี  ไม่ใช่..ระวังให้ดี  พระคำข้อนี้เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักคิด..ถึงการดำเนินชีวิตของเราให้มากขึ้นกว่าเดิมนะคะ   เพราะ ข้อที่ 35  บอกว่า “พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้พี่น้องของตนด้วยใจกว้างขวาง"....ถ้ารับมา..แล้วไม่รู้จักที่จะให้ออกไป  วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะเรียกคืน แล้วเราก็จะเหมือนชายคนนี้..แทนที่จะได้อยู่สวรรค์  กลายเป็นต้องมานั่งใช้หนี้ในบึงไฟนรก
ดู มัมธิว 19:3-6  มาอีกแล้วนะคะ..พวกฟาริสี  มาวางกับดักจับผิดพระเยซู  ข้อนี้ เขาถามพระเยซูว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็ตาม เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่”  พูดง่ายๆว่าแต่งงานแล้วจะหย่ากันได้มั๊ย  พระเยซูตอบว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง`เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกันไม่เป็นสองต่อไป  เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”...ถ้าสรุปสั้นๆ ก็คือ หย่าไม่ได้..นะคะ  เพราะพระเจ้าประสงค์ให้การแต่งงานนั้นยั่งยืนถาวร   เพราะงั้น  ตอนจะเลือก..ก็เลือกให้ดี  ให้ถี่ถ้วน  ปรึกษาพ่อแม่เยอะๆ  อย่าใจเร็วด่วนได้หรือชิงสุกก่อนห่ามเพราะเราจะต้องกินผลที่เราเลือกนั้นไปจนตลอดชีวิต    
ดู มัทธิว 19:7-9  พวกฟาริสีย้อนถามพระเยซูอีก..ว่าแล้วทำไมโมเสสถึงได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้"  พระเยซูบอกว่า “"โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง...” ...ใจแข็งกระด้าง หมายความว่า ถึงไม่ออกกฎหมายให้หย่า..ก็จะมีคนที่แอบเลิกกันอยู่ดี   เพราะใจมนุษย์มันกบฎไม่เชื่อฟัง..ชอบเล่นชู้   ถ้าไม่ออกหนังสือหย่าให้ผู้หญิงก็จะลำบากมาก  เพราะต้องรอการเลี้ยงดูจากผู้ชาย 
เรื่องเหตุผลในการหย่ามันเป็นข้อขัดแย้งมานานแล้วระหว่างธรรมาจารย์ 2 สถาบัน คือ สถาบัน “ฮิลเลล” กับ สถาบัน “ชัมมัย”    เพราะฮิลเลลสอนว่า  ผู้ชายสามารถหย่าภรรยาด้วยสาเหตุอะไรก็ได้..ที่เขาไม่พอใจ เช่น ทำกับข้าวไม่อร่อย  ซักผ้าไม่สะอาด  ไม่ฉลาด  อะไรต่างๆเหล่านี้..หย่าได้หมด    ส่วน”ชัมมัย” ยืนยันว่า ผู้ชายหย่าภรรยาได้ด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นชู้กับชายอื่น    เด็กลองคิดดู ถ้าคิดแบบชิลเลลนี่ ! ผู้หญิงแย่เลยนะ  พอเขาเบื่อ..ก็หาเหตุขอหย่าเราได้ตลอดเวลา  พระเยซูคริสต์บอก “แต่เดิมมิได้เป็นอย่างนั้น”.. เพราะพระเจ้าประสงค์ให้การสมรสยั่งยืนถาวร   เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญสุดในทุกสังคม        
ข้อที่ 9 พระเยซูตรัสว่า “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่างๆ เว้นแต่เป็นชู้กับชายอื่นแล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยาก็ผิดประเวณีด้วย” ....ในเมื่อจิตใจมนุษย์มันแข็งกระด้างอย่างมากต่อเรื่องนี้   พระเยซูจึงทรงสถาปนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า..”ให้ผู้ชายหย่าภรรยาของตัวเองได้  กรณีเดียวเท่านั้น คือ ถูกฝ่ายหญิงนอกใจไปมีชู้”  ถ้านอกเหนือจากเหตุผลนี้แล้ว..”ห้ามหย่า” เด็ดขาด
ดู มัทธิว 19:16-20 / 21-24 มีเศรษฐีหนุ่มคนนึงถามพระเยซูว่า“ต้องทำยังไงถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์”  พระเยซูก็บอก “จงถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า”   เศรษฐีหนุ่มก็ถาม..ว่า ข้อไหนบ้าง  พระเยซูบอก “อย่าฆ่าคน   อย่าล่วงประเวณี อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"  พอพระเยซูพูดจบ  เขาบอก..ถ้าแค่นี้ เขาถือรักษาไว้ครบแล้ว..ยังขาดอะไรอีกมั๊ย..ที่เขายังไม่ได้ทำ  พระเยซูบอก “ถ้างั้น จงไปขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”...เจอเข้าไปข้อนี้ “เครียดเลย” !!!    ข้อที่ 22 บอก “เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นเขาก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก”...ยิ่งมีมาก ยิ่งทุกข์มาก  ต่อให้เป็นคนของพระเจ้านะ เพราะลองคิดดู.. เราจะได้อยู่กับพระเจ้าที่ไหน..”สวรรค์สถาน”..ไม่ใช่โลกนี้   เพราะงั้น ถ้ารวยมากๆ อยากตายมั๊ย ส่วนใหญ่ไม่อยากตายหรอก..อยากจะอยู่เสพสสุขสนองเนื้อหนังไปให้นานสักหน่อย.. ถามว่ารักพระเจ้ามั๊ย..ก็รักนะ  แต่เดี๋ยวก่อนพระองค์เจ้าข้า  ยังไม่ค่อยพร้อม..ไม่อยากตาย    แต่ถ้ามีเงินน้อยลงมาหน่อย..แบบพอกินพอใช้  ถามว่ารักพระเจ้ามั๊ย..รัก  พระเจ้ามารับไปตอนนี้เลย..ไปมั๊ย  คำตอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นประมาณ ไปก็ได้..ไม่ไปก็ได้  อ่ะ!..เริ่มลงมาเป็นแบบกลางๆละ  แต่ถ้าเราจนเลย ..หาเช้ากินค่ำ ต้องทำงานแลกข้าวทุกวัน  ลองไปถามสิ..อยากไปอยู่กับพระเจ้ามั๊ย..อยากมากกก รออยู่ทุกวัน..เมื่อไหร่จะมารับซะที ทุกวันนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้วววว (ใช่มั๊ย..เห็นภาพมั๊ยคะ)  เพราะงั้น ถ้าชายคนนี้มีสมบัติไม่มากนัก  เขาจะไม่เครียดกับสิ่งที่พระเยซูพูดขนาดนี้หรอก    พระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ยาก”...เพราะ”เงิน” เป็นจุดอ่อนของมนุษย์    ข้อที่ 26 พระเยซูตรัสว่า "ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”.....หลายๆอย่างที่พระเยซูสอน..มนุษย์ทำไม่ได้หรอกค่ะ..เราไม่มีกำลังพอ   แต่ พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง.. เราจึงต้องพึ่ง”พระคุณ”ของพระองค์..ขอพระองค์เสริมกำลังเรา..ให้เราสามารถที่จะเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้
คำอุปมา เรื่อง “คนงานในสวนองุ่น”
ดู มัทธิว 20:1-7   ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนสวนองุ่น  พระคำข้อนี้เล่าว่า “เจ้าของสวนออกไปจ้างคนทำงานตอนเช้าตรู่  รอบแรกเลยนะ..บอกทำทั้งวันให้ 1 เดนาริอัน”  คนงานก็ตกลง..เสร็จก็..ไปทำงาน  พอตอนสายเจ้าของสวนก็ออกไปอีก  ไปเจอคนงานยืนอยู่ไม่มีใครจ้าง..สงสารก็เลยให้ไปทำงานในสวนองุ่นด้วย  แล้วก็บอกแค่ว่า..จะให้ค่าจ้างตามสมควร..ไม่ได้บอกนะ..ว่าจะให้เท่าไหร่  และเจ้าของสวนก็ยังทำอย่างนี้อีก 3 รอบในตอน”เที่ยง”..”บ่ายสามโมง”..และ”ห้าโมงเย็น”  คือ ออกไปแล้วพอเจอคนยืนว่างๆอยู่ก็เรียกให้มาทำงานในสวนของเขา ..โดยบอกว่าจะให้ค่าจ้างตามสมควรเหมือนกัน  เพราะงั้น สรุป คือ เจ้าของสวนมีการตกลงค่าจ้างชัดเจนกับคนงานชุดแรกเท่านั้น คือ 1 เดนาริอัน  แล้วคนงานชุดนั้นก็ต้องพอใจค่าจ้าง..ถึงตกลงไปทำงานให้  แต่คนงานอีก 4 ชุดที่มาทีหลัง..ไม่ได้บอกว่าจะให้เท่าไหร่  แต่คนงานพวกนั้นก็คงพอใจ..เพราะมันสายมากแล้วแต่ยังไม่มีงานทำเลย  ยิ่งชุดที่ไปเจอตอน 5 โมงเย็นยิ่งแล้วใหญ่..ได้เท่าไหร่ก็เอาเพราะจะหมดวันอยู่แล้ว  เรื่องเป็นไงต่อ....
ดู มัทธิว 20:8-13  พอจบวัน..ตอนพลบค่ำเจ้าของสวนก็สั่งพนักงาน..ให้จ่ายค่าแรงให้กับคนงานทุกคนตั้งแต่คนแรกภึงคนสุดท้าย   ข้อที่ 9 บอกว่า..”คนที่มาทำงานเวลาประมาณบ่ายห้าโมงนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน”..เป็นอัตราเดียวกับที่เจ้าของสวนตกลงไว้กับคนที่มาตอนเช้าตรู่ พอคนที่มาทำงานตั้งแต่เช้าเห็น..เขาก็นึกในใจว่าเขาคงได้มากกว่านั้น  เพราะเขาทำมากกว่า  แต่ปรากฎว่าเจ้าของสวนก็จ่ายให้ 1 เดนาริอันเท่ากัน  แค่นั้นแหละ ! ..โวยเลย..ทำไมให้เท่ากัน  ในเมื่อคนที่มาตอน 5 โมงเย็นทำงานแค่..ชั่วโมงเดียว   แต่กลับจ่ายค่าแรงให้เท่ากับคนที่ทำงานตากแดดมาทั้งวัน..มันไม่แฟร์  ประมาณนั้น  ฟังดูแล้ว  เราก็แอบคิดใช่มั๊ย..ว่าเออ ! ที่เขาพูดมันก็มีเหตุผลนะ  แล้วในโลกนี้ก็คงไม่มีใครตีค่าแรงคนงานแบบเจ้าของสวนองุ่นนี้  แต่ ! เจ้าของสวนองุ่นในที่นี้ คือ “พระเจ้า”  เพราะงั้น สิ่งแรกเลยที่เราต้องคิดออก คือ พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด..และพระองค์ยุติธรรมเสมอ   ข้อที่ 13  บอกว่า “สหายเอ๋ย เรามิได้โกงท่านเลย   ตกลงกันเแล้วว่าเราจะให้ท่านวันละหนึ่งเดนาริอันมิใช่หรือ   เพราะงั้น รับค่าจ้างของท่านไป..มาเกี่ยวอะไรด้วย  เราพอใจจะให้ใครเท่าไหร่..มันก็เรื่องของเรา   แล้วเงินที่จ่ายให้คนงานที่มาทีหลัง..ก็เงินของเรา  ไม่ใช่เงินเจ้า  ไม่ได้เอาเงินเจ้า..ไปจ่ายให้คนอื่นซักหน่อย  โกงก็ไม่ได้โกง..จ่ายให้ตามที่ตกลงกันไว้   แล้วเดือดร้อนทำไม...
ดู มัทธิว 20:14-16   คนงานที่ทำมากสุดเดือดร้อนทำไม  คำตอบอยู่ข้อนี้แหละ “เราจะใช้เงินของเราตามความพอใจของเราเอง..มิได้หรือ  ทำไมท่าน”อิจฉา” เมื่อเห็นเราใจดี”....ทำไมต้องอิจฉาถ้าพระเจ้าจะใจดีกับใครต่อใคร  ทำไมต้องอิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นได้ในสิ่งที่ดี   แค่นี้แหละ ! ปัญหาของมนุษย์  คนงานที่มาทำแต่เช้า “อิจฉา” ที่เห็นคนอื่นได้ดี  แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างงี้  คือ ชอบมองอะไรด้านเดียว..มองแต่ในมุมของตัวเอง..เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง  เพราะความจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาควรคิด ก็คือ ..ที่เจ้าของสวนองุ่นจ้างพวกเขาเนี่ย..ไม่ใช่เพราะเจ้าของสวนจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานแค่ไม่กี่ชม.ของพวกเขา   ยิ่งคนที่ไปทำตอนห้าโมงเย็น..ยิ่งแล้วใหญ่เลย..  ทำแค่ชั่วโมงเดียวมันจะได้งานซักเท่าไหร่..จ้างให้เสียเงินทำไมก็ไม่รู้  แต่เจ้าของสวนก็อุตส่าห์จ้าง..เพราะสงสารที่พวกเขาไม่มีงานทำ   เราดูได้จากคำพูดของเจ้าของสวน “ พวกท่านยืนอยู่ที่นี่เปล่าๆวันยันค่ำทำไม” คนงานบอก “ไม่มีใครจ้าง”  เจ้าของสวนก็สงสารไง..เลยบอกให้ไปทำงานในสวนไป เด๋วหมดวันจะได้มีเงินซื้อข้าวกิน..
ในทางเดียวกัน เรานี่ล่ะ ก็คือ คนงานที่ไม่มีหวังอะไรแล้ว  และพระเจ้าคือเจ้าของสวนองุ่น..ที่ทรงเมตตาให้เราได้รับบำเน็จตามที่ทรงสัญญาไว้ 1 เดนาริอัน  สำหรับเราคือความรอด..ใช่มั๊ย  แล้วเราก็พอใจ  เพราะฉะนั้น อย่าอิจฉาคนอื่น..ไม่ว่าใครจะได้รับสิ่งดีอะไรก็ตาม  มันหมายถึงพระเจ้าทรงพอใจที่จะประทานให้   แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เอาของเราไปให้เขา  เรามีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีหรอก  ร่างกายนี้ยังของพระเจ้าเลย  เพราะฉะนั้น จงพอใจและขอบพระคุณในสิ่งที่เรามีและเราเป็น..แค่นั้น  เอเมนมั๊ย   และอีกนิดนึง คือ อย่าให้คำอธิฐานของเราออกมาในรูปแบบประมาณว่า “พระองค์เจ้าข้า  ลูกสัตย์ซื่อต่อพระองค์  ลูกรับใช้พระองค์มาชั่วชีวิต มาโบสถ์ทุกอาทิตย์  ถวายสิบลดไม่เคยขาด  แต่ทำไมลูกยังลำบากกว่าคนอื่น  ขอพระองค์โปรดตอบคำอธิฐานของลูก..ช่วยลูก..ให้ลูกมีฐานะที่ดีขึ้น (เพราะลูกสมควรได้รับ)”  การอธิฐานแบบนี้  มันเหมือนเรากำลังทวงอะไรบางอย่าง..ที่เราคิดว่า“เราสมควรได้รับ”  ซึ่งต้องบอกว่า “มันโง่มาก”  เด็กๆคิดดูให้ดีว่าการอธิฐานแบบนี้เราอธิฐานในนามใคร  เรากำลังขอในนามของ”ตัวเอง” นะ ไม่ใช่ในนามของ”พระเยซู”  เพราะถ้าเราขอในนามของพระเยซูคริสต์เราจะไม่พร่ำพรรณาถึงความดีหรือเครดิตร์ของตัวเอง...แต่เราจะพึ่งในพระคุณของพระเยซู ( Not me but you

  หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 13

ดู มัทธิว 18:1-3  สาวกถามพระเยซูว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”  พระเยซูฟังแล้ว..พระองค์ก็เรียกเด็กเล็กคนหนึ่งมาให้มายืนอยู่ท่ามกล่างสาวก  แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “ ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้เลย” ..ทำไมพระเยซูถึงยกความเชื่อของเด็กเล็กๆขึ้นมาเป็นตัวอย่าง..ในการกลับใจใหม่ของคริสเตียน  เราเปิดไป               
ดู 1 โครินธ์ 1: 21-23  “โลกไม่สามารถรู้จักพระเจ้าหรือทางของพระองค์ได้ด้วยสติปัญญาของตน พระองค์จึงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนา..”เรื่องโง่ๆ”..ไม่ต้องคิดเยอะ..ไม่ต้องสมเหตุผลตามสติปัญญามนุษย์    เพราะ ความเชื่อเป็นพระคุณที่มาจากพระเจ้า..พระเจ้าจะเลือกใครพระองค์ก็ใส่ความเชื่อให้กับผู้นั้น  ดังนั้น สำหรับคนที่ใช่..ไม่ว่าจะพูดยังไง..พูดเรื่องอะไร..ฟังดูโง่แค่ไหน..เขาก็เชื่ออยู่ดี  ในทางตรงกันข้าม ข้อที่ 22 บอกว่า “..ด้วยว่าพวกยิว  ขอเห็นหมายสำคัญ..” ....อย่างที่เราเรียนไปคราวที่แล้ว  พวกฟาริสีชอบมาหาพระเยซู..บอกถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าหรือเป็นผู้ช่วยให้รอดจริง  ก็ขอให้สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้ดูหน่อย  ถ้าดูแล้วมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่อลังการพอ  หรือดูแล้วขลังพอ..ก็จะเชื่อ ประมาณนั้น  เหมือนอะไร..เหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีความเชื่อ..ส่วนใหญ่ก็จะมีจุดยืนหรือเงื่อนไขประมาณ..นี้กับพระของเขา คือ  ถ้าจะให้ฉันเชื่อ..ต้องทำให้ฉันรวย..ให้ฉันถูกหวย..ให้ฉันเจริญรุ่งเรือง 1 2 3 4  คือ  ต้องแสดงปาฎิหารย์ตามที่ฉันต้องการ  ถ้าทำไม่ได้..ฉันก็ไปหาเจ้าอื่น..  พระเยซูบอก..”คนชาติชั่ว คิดคดทรยศต่อพระเจ้า..อย่าหวังเลยว่าเราจะทำอย่างที่เจ้าบอก  นอกจากหมายสำคัญบนไม้กางเขนแล้ว..พระองค์จะไม่สำแดงสิ่งใดแก่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี..
ข้อที่ 22 ยังบอกต่อไปว่า “..และพวกกรีกเสาะหาปัญญา..”   อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอก  ในสมัยนั้น “กรีก” จะเป็นพวกตรรกนิยม คือ ชอบเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล  ชอบที่จะถกกันในเรื่องราวของปรัชญา..ค้นหาความจริงของชีวิตอะไรต่างๆ  จนทำให้กรีกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน  (อริสโตเติล  พิธากอรัส  ที่เด็กๆรู้จักกันดี)   เพราะงั้น คนประเภทนี้  เขาจะรับไม่ได้..ที่จะเชื่อว่า เลือดของคนๆหนึ่งเมื่อหลั่งออกแล้วจะสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้มันเป็นไปไม่ได้  เพราะมันไม่สมเหตุผล..มันผิดหลักแห่งตรรกวิทยา..ที่พวกเขา discuss กันมาเป็นร้อยๆปี   อันนี้ คือ ความหมายที่พระเจ้าบอกว่า “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจ..ที่คิดว่าตัวเองเก่งสูญสิ้นไป”....ฉลาดแค่ไหนสำหรับมนุษย์  ก็ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับพระเจ้า
ดู 1โครินธ์ 1:23-24  “..แต่สำหรับพวกเราผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น  ไม่ว่าจะเป็นคนไทย..ยิว..กรีก..หรือชนชาติใดก็ตาม   ต่างถือว่า “พระคริสต์” หรือหมายสำคัญบนไม้กางเขนทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า”   เราจะเชื่อเหมือนเด็กๆ  แบบที่พระเยซูบอกในข้อนี้ของหนังสือมัทธิว..ว่า “ใครก็ตามจะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้  ต้องกลับใจเชื่อเหมือนเด็กเล็กๆ”   เพราะเด็กเล็กๆเป็นยังไง..ฉลาดมั๊ย  อย่างมากก็ฉลาดแบบเด็กๆ หรือฉลาดแบบโง่ๆในความคิดของผู้ใหญ่  ทำอะไรก็ไม่เคยคิดให้รอบคอบ..แล้วก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผล   แต่เด็กเล็กๆเป็นภาพที่สะท้อนความเชื่อระหว่างเรากับพระเจ้าได้เป็นอย่างดี   เพราะ เด็กเล็กๆ..เขาจะเชื่อใจพ่อแม่   “เคยเห็นพ่อแม่ที่ชอบเอาลูกไปไว้ในที่สูงๆ..แล้วบอกให้ลูกโดดลงมา  โดยที่พ่อจะอ้าแขนรอรับอยู่ข้างล่างมั๊ยคะ  แล้วลูกยอมโดดมั๊ย..เด็กเล็กๆโดดทุกคนแหละ  กลัวซะที่ไหน..เพราะเด็กเล็กๆจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแต่เขาจะ”เชื่อใจพ่อแม่”..เชื่อว่าพ่อต้องรับเขาได้แน่  เขาไม่คิดเลยว่า..ถ้าพ่อรับพลาดนะ..อะไรจะเกิดขึ้น  เขาไม่คิด..แต่เขาเชื่อใจพ่อแม่สุดๆ   
แล้วถ้าเป็นพวกเราล่ะ  ตอนนี้..พ่อให้ไปยืนตรงหัวบันได  แล้วบอกให้โดดลงมา..เดี๋ยวพ่อรอรับอยู่ข้างล่าง..โดดมั๊ย  ไม่โดดหรอก  เพราะเราโตแล้ว..เราจะคิดเยอะ..จะไหวเหรอพ่อ..ไม่ไหวมั้ง..ถ้าพลาดไปก็แย่เลย   และนี่คือ ความหมายที่พระเยซูต้องการจะบอกเราในข้อนี้..ให้เราเชื่อใจพระเจ้าเหมือนที่เด็กเล็กๆเขาเชื่อใจพ่อแม่   แม้บางครั้งมันเหมือนจะยากลำบากหรือดูแล้วเสี่ยงเกินไป  ก็ขอให้เชื่อใจ..ว่าพระเจ้าไม่เคยพลาด  และพระองค์จะไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอน  กลับมาที่หนังสือมัทธิว...
ดู มัทธิว 18:4-5   “ ถ้าผู้ใดจะ”ถ่อม” จิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์”   แต่ ! การจะเชื่อพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆได้..ไม่ง่ายนะคะ  เพราะอะไร..จำได้มั๊ย พระเยซูบอกว่าเราอยู่ใน”ยุคที่ขาดความเชื่อ” เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป..แทนที่เราจะรักพระเจ้า..เราก็รักตัวเอง  แทนที่เราจะเชื่อฟังพระเจ้า..เราก็เชื่อตัวเอง  เพราะงั้น การที่จะเชื่อพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ เราต้องถอดหัวใจ ความคิด และจิตวิญญาณของเรามอบให้แก่พระเจ้า  เราต้อง”ถ่อมใจ” แบบสุดๆ  เพราะทางของพระเจ้ามันขัดแย้งกับเนื้อหนัง  เราจะรู้สึกว่าเราโตแล้ว..เรามีความคิดของตัวเอง  เราถูกหล่อหลอมและครอบงำด้วยค่านิยม  สังคม  และประเพณีที่สืบทอดกันมาของเรา   หลายครั้ง การเชื่อพระเจ้าแบบเด็กๆก็จะสวนทางหรืออยู่คนละขั้วกับสิ่งที่เราคุ้นชิน....
นอกจากจะเชื่อใจพ่อแม่แล้ว..เด็กเล็กๆยังเชื่อฟังพ่อแม่อีกด้วย  ตอนเล็กๆแม่สอนให้เล่นอะไรบ้าง  บอกให้ “ตบมือแปะๆ”..ทำมั๊ย..ทำ   “จับปูดำขยำปูนา..”  “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ..”...โอโห ทำท่าตามกันอย่างสนุกสนาน  หรือ..เล่นจ๊ะเอ๋  อย่างนี้..เป็นต้น  ถ้าตอนนี้ ให้เราเล่นแบบนั้น  เราจะเล่นมั๊ย  ไม่เล่นหรอก.. ไม่เห็นสนุก..ปัญญาอ่อนจะตาย    
แล้วตอนโยชูวาบุกยึดเมืองเยรีโค..พระเจ้าให้ทำไร  เรากลับไปทบทวนดูกันหน่อย  จะได้เห็นชัดเจนว่า ทุกคำสอนของพระเยซูคริสต์..สอดคล้องกับพระคำภีร์เดิมทั้งสิ้น  พระองค์ไม่ได้มาเพื่อเลิกล้างธรรมบัญญัติ  แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์...
ดู โยชูวา 6:2-5  เมืองเยรีโคเป็นเมืองที่เจริญแล้วก็เข้มแข็งที่สุดเมืองนึงในแผ่นดินคานาอัน  ในสมัยนั้น เมืองที่เข้มแข็งและตียาก..ก็คือ เมืองที่อยู่ในที่สูงๆแล้วรอบๆก็เป็นแม่น้ำ อย่างเยรูซาเล็ม..นี่ก็จัดว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิดีมาก  หรือ เมืองที่มีกำแพงแข็งแรงใหญ่โตอย่างเยรีโค..นี่ก็ตียากเหมือนกัน  เพราะสมัยนั้น มันยังไม่มีอาวุธแรงๆเหมือนสมัยนี้นะ  ไม่มีระเบิด  ไม่มีปรมาณู  นิวเคลีย์  หรือ อาพีจี  ปืนก็ยังไม่มี..อย่างมากก็มีแค่ดาบ..ธนู หรือหนังสติ๊กกับก้อนหินแบบดาวิด   เพราะงั้น  ถ้าเราอยู่ที่สูงแล้วศัตรูจะวิ่งเข้ามา  เราก็กลิ้งหิน..ยิงธนูสกัดไว้  อะไรต่างๆประมาณนี้..ก็อยู่แล้ว  หรือถ้ามีกำแพงใหญ่โตอย่างเยรีโคเนี่ย..ยิ่งไปกันใหญ่เลย..ไม่รู้จะยึดยังไง   ต้องวิ่งเข้าไป..ต้องปีนอีกต่างหาก  แล้วกำแพงเยรีโคสูงเท่าไหร่..บางช่วงสูง “ 8“ เมตร  หนา “ 6 “ เมตร  เพราะงั้น ชาวเยรีโคก็แค่ขึ้นไปยืนบนกำแพง..แล้วก็รอ   ใครแหลมเข้ามาก็ซัดเลย..ยังไงก็เจาะไม่เข้า    (ตอนแรกที่ผู้สอดแนมของอิสราเอลไปเห็นกำแพงเมือง..คงจะถอนใจเฮือกใหญ่  อันนี้หรอที่พระเจ้าจะให้เรามาตี 555)   เพราะอิสราเอลเป็นใคร  เป็นชนชาติที่เล็กน้อยมาก   แรกเลยเขาไม่มีชาติด้วย ..ไม่มีประเทศของตัวเอง..เหมือนโรฮิงญา..ที่เราเห็นในข่าวตอนนี้   “ยิว” หรือ “ฮีบรู”  เป็นแค่ทาส..เหมือนกาฝาก..อยู่ในอียิปต์  ถ้าไปอยู่ประเทศอื่นก็..เหมือนอาศัยแผ่นดินเขาอยู่   ได้มาเป็นชนชาติ..มีประเทศของตัวเองก็ตอนที่พระเจ้าปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาส  แล้วก็แต่งตั้งให้เป็นประเทศอิสราเอล..จัดระเบียบให้ทุกอย่าง  ตั้งแต่การสำมะโนประชากร   คัดเลือกเกณฑ์ทหาร  ตั้งศาลตัดสินคดี  อะไรต่างๆที่ทุกประเทศยังทำกันอยู่จนทุกวันนี้  จริงๆแล้ว เลียนแบบมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
แล้วสำหรับกำแพงเยรีโคที่ใหญ่ขนาดนั้น  พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลยึดครองด้วยวิธีไหน..เดินวนรอบๆ 7 วัน วันที่ 7 เดิน 7 รอบ..แล้วโห่พร้อมกัน  กำแพงเมืองเยรีโคก็ถล่ม  ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์..พระเจ้าให้ทำไรก็ไม่รู้..ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย  ทำอย่างงั้นมันจะพังได้ไง  แต่มีนก็พัง  !คนอิสราเอลสามารถยึดครองแผ่นดินนั้นได้สำเร็จ..เพราะความเชื่อ  ถ้าอิสราเอลไม่เชื่อแบบเด็กๆ แต่เห็นสิ่งที่พระบอกให้ทำ..ว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผล ..แล้วก็เลือกที่จะทำตามวิธีของตัวเอง ด้วยการวางแผนการรบอะไรต่างๆ   เราคิดว่าเขาจะชนะมั๊ย..ไม่มีทาง  กระดูกคนละเบอร์เลย  กลับมาที่ หนังสือ มัทธิว..
คำอุปมาเกี่ยวกับแกะที่หลงหาย 
ดู มัทธิว 18:10-11  “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง..”   หมายถึง อย่าดูถูก..อย่ามองข้าม  คนของพระเจ้าหรือผู้เชื่อ..แม้แต่คนเดียว   ไม่ว่ามองด้วยตาฝ่ายโลกแล้ว..คนๆนั้นจะเป็นยังไง   เชื่อมานานแค่ไหนก็อาจจะยังเป็นคนพูดมากปากไม่ดี..ขี้อิจฉา  หรือแม้จะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน..ชอบยืมตังส์ตลอด   เราก็จะดูถูกเขา..ไม่ได้  พระเยซูบอก “จงระวังให้ดี  คนเหล่านี้มีทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอ   และพระองค์ก็เสด็จมาเพื่อช่วยคนเหล่านั้น..ที่โลกมองว่าเขาเป็นคนน่าเกลียดเหล่านั้น..ให้รอด”  บางคนแอบสงสัยในความรักของพระเจ้า..ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าช่วยคนเลวทำไม  อย่างยิวนี่..เลวมาก  เลวจนเขารับไม่ได้เลย  แล้วพระเจ้าช่วยยิวทำไม  เขาโกรธมาก..โกรธจนบอกจะไม่มาโบสถ์แล้ว  น้าตุ๊กก็พยายามหนุนใจเขา  บอกว่า”  เหตุผลที่พระองค์เลือกคนที่น่าเกลียดหรือเลือกยิว เพราะเมื่อเขากลับใจใหม่..กลับมางดงามขึ้น  ทุกสิ่งที่หายใจได้ก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแบบสุดๆ  เพราะมันเลวมากใช่มั๊ย..เลยไม่คิดว่ามันจะกลับตัวกลับใจได้ขนาดนี้  เหมือนเวลาที่เราเลี้ยงลูก หรือ เวลาที่ครูสอนเด็กๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าว่าใครคือ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็น หรือใครคือ ครูที่มีความสามารถสอนเด็กให้เป็นคนดีได้  ถ้าเรามีแต่ลูกดีๆ  หรือ มีแต่ลูกศิษย์ดีๆ ไม่เกเรเลย  ดีพร้อมไปหมด..พอโตขึ้นเขาก็เป็นคนดี  อันนั้น คงไม่ทำให้เห็นภาพหรือน่าประทับใจเท่าไหร่  ผิดกับพ่อแม่ที่มีลูกหรือครูที่มีศิษย์ เลว ชั่วร้าย หาดีไม่ได้เลยแต่ สามารถเลี้ยงดู ขัดเกลา เปลี่ยนนิสัย ให้เขากลับมางดงามขึ้น..แบบที่จำรูปเดิมแทบไม่ได้ น้าตุ๊กถามว่า  “อันไหน จะเห็นความยิ่งใหญ่ของผู้เลี้ยงมากกว่ากัน”  ก็ต้องคนที่สามารถขัดเกลาคนเลวให้เป็นคนดีได้..ถูกมั๊ยคะ  แล้วพระเจ้าของเราก็เป็นผู้นั้นแหละ..ที่รักคนบาปอย่างไม่มีเงื่อนไข  เพราะงั้น เราเองต้องรัก..ให้อภัยทุกคนเหมือนที่พระเจ้าทำ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..กับคนที่มีความเชื่อ  
ลองคิดดู..ว่า ถ้าพระเจ้าเลือกรักแค่บางคน..เช่น  ยิว น่าเกลียดมาก..พระเจ้าเลยไม่รัก (สมมติ)  ถ้าเป็นอย่างนี้ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นแน่นอน ยิวก็คงไม่ได้รับความรอด  แล้วเราล่ะ..แน่ใจแค่ไหน..ว่าเราดีกว่ายิว   แน่ใจมั๊ยว่าเราดีพอที่จะได้รับความรอด..เราแน่ใจไม่ได้เลย  วันนี้เราไม่โกหก..  พรุ่งนี้เราก็อาจจะโกหก  วันนี้เราไม่โกงเขา แต่ปีหน้า..ยังไม่รู้  เราบอกฉันไม่ล่วงประเวณี..อีกสิบปี..ก็ไม่แน่  ถูกมั๊ยคะ   แต่ ! พระเยซูบอก โอเค เรายอมถูกตรึง..แล้วไถ่บาปทั้งหมดให้เจ้า ทั้งในอดีต..ปัจจุบัน และที่เจ้าอาจจะทำในอนาคตด้วย..จบมั๊ย จบเลย..สบายเลย   เพราะงั้น ในเมื่อพระเจ้าทำเพื่อเราขนาดนี้  พระองค์ก็ขอแค่ให้เราอย่าตัดสินกันเองและอย่าทำให้พี่น้องของเราสะดุด..จนต้องหลุดจากทางของพระเจ้าไป  เพราะข้อที่ 14 บอกว่า “ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย 
ดู มัทธิว 18:15-17  “..หากว่าพี่น้องผู้หนึ่งทำผิดต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น”...ไม่พอใจอะไร..ไปเลย ไปเคลียร์กับเขาเลย  จับเข่าคุยกันสองคน..ไม่ต้องให้คนอื่นรู้..แล้วคุยกับเขาด้วยความถ่อมสุภาพ..ว่าที่เขาทำอย่างงั้นนะ  มันไม่ถูก..ไม่ควรยังไง    ไม่ใช่..ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย  เราก็เอาความขัดแย้งหรือความผิดพลาดของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟังซะงั้น อย่าทำอย่างนี้นะคะ..พระคำภีร์บอกชัดเจน..ให้เราไปปรับความเข้าใจกับคนๆนั้นสองต่อสองก่อน   เพราะเขาอาจไม่ได้ตั้งใจหรือทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้  หรือเราเองอาจจะมีส่วนผิดตรงไหน..แต่เราก็ไม่รู้ตัว..เขาก็จะได้พูดออกมา..แล้วก็เคลียร์กัน  และถึงเขาจะเป็นฝ่ายผิดจริง..แต่ถ้าเขายังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่     พระคำภีร์บอก “..เขาก็จะฟังท่าน” แปลว่า เขาจะยอมรับผิดแล้วก็ขอโทษ  “..เราก็จะได้พี่น้องคนนี้ของเราคืนมา..ได้เพื่อนของเราคืนมา” ความสัมพันธ์ทุกอย่างจะเหมือนเดิม  เพราะเขาจะเห็นชัดว่าเราบริสุทธิ์ใจ..เราไม่กล่าวโทษ..ไม่เอาเขาไปพูดลับหลัง อะไรต่างๆ   แต่เราเลือกที่จะสมานฉันท์ด้วยความถ่อมใจ
ข้อที่ 16 บอกว่า “แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย..”...ถ้าเราพยายามปรับความเข้าใจกับเขาแล้ว  แต่ ! เขาไม่ฟัง..ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด  พระคำภีร์บอกก็ให้ไปหาเพื่อนมาซักคน..สองคน  เพื่อให้เป็นพยานสองสามปาก..และทุกคำที่ทั้งสองฝ่ายพูดจะเป็นหลักฐานได้   สังเกตดูนะ..พระคำภีร์บอกว่าคนที่เราจะเอาไปเป็นพยาน..ก็แค่คน..สองคนก็พอ  ไม่ต้องขนไปทั้งหมู่บ้านหรือทั้งโบสถ์..ไม่ค้อง  แล้วที่สำคัญเด็กๆต้องเลือกคนที่มีวินิจฉัยหรือเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนะคะ  เพราะที่ปรึกษาก็สำคัญ..
แต่ ! ถ้ามีพยาน 2-3 คนแล้ว..เขาก็ยังไม่ยอมรับผิด  ไม่สำนึก..ไม่ฟังคำตักเตือน  ข้อที่ 17 บอกว่า “จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร..”  ถึงขั้นนี้แล้ว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน..จะต้องสำนึกแล้ว   พระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเขาจะฟ้องผิดในใจ  ถึงเขาไม่ยอมรับผิดกับใครแต่เขาจะหนีการฟ้องผิดของพระวิญญาณ..ไม่พ้นแน่นอน   เพราะฉะนั้น ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ยอมจำนน  หรือไม่ฟังคำชี้นำของคริสตจักรอีกก็ให้ถือเสียว่า เขาเป็นเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษี..คือ ไม่ใช่พี่น้องของเรา..เลิกคบไปเลย  ไม่ต้องทักทาย..ปราศัยด้วย
ดู มัทธิว 18:21-22  เปโตรถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์กระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ”..เปโตรคงจะคิดว่า 7 ครั้ง นี่มันก็เยอะแล้วนะ  สำหรับคนที่ทำผิดกับคนอื่นอยู่ตลอด   แล้วคำว่าพี่น้อง..อาจจะหมายถึงคนที่เป็นคริสเตียนด้วยกันก็ได้  หรือจะหมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อยู่ร่วมกับเราด้วย..ก็ได้   และพระเยซูบอกว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด”  ความหมาย คือ ต้องยกโทษให้ตลอดไป..ทุกครั้ง  เด็กๆไม่ต้องมานั่งคูณหรือนั่งนับหรอกนะ..ว่า 7 คูณ 7 เท่ากับ49  อะไรต่างๆ  เพราะถ้าจะมีใครซักคนทำผิดกับเรามากมายขนาดนั้น..เราก็นับไม่ถ้วนหรอก  นับไป..นับมาก็ลืม  งง..เองว่านี่มันครั้งที่ 456 หรือ 465 แล้วก็นับผิด..นับถูก  เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องไปนับ ให้อภัยไปทุกครั้งง่ายกว่ามั๊ย..ง่ายกว่าเยอะเลย  เอเมนมั๊ย