วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 7


 มาถึงบททที่ 8 จะเป็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำกับบุคคลประเภทต่างๆ ทั้งคนที่ติดตามพระองค์ คนต่างชาติ คนที่สังคมรังเกียจ  ดังนั้น จุดประสงค์ของพระธรรมตอนนี้บันทึกไว้เพื่อให้เห็นว่า..พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจเหนือธรรมชาติ..เหนือผีมารซาตาน  รวมทั้งความบาปและความตายด้วย
ดู มัทธิว 8:2-3  “โรคเรื้อน” ที่กล่าวถึงในข้อนี้ หมายถึง โรคเรื้อนตามผิวหนัง..ร่างกาย  ส่วนโรคเรื้อน..ที่กล่าวไว้ใน”ธรรมบัญญัติ” อันนั้นหมายถึง “ความบาป” นะคะ  ข้อที่ 2 บอกว่า..มีคนเป็นโรคเรื้อนคนนึงมาหาพระเยซู  แล้วทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้  พระเยซูก็ทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขา แล้วตรัสว่า "เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด" ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย
...โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อ  แล้วจริงๆคือรักษาไม่หาย  ถ้าจะพบคนโรคเรื้อนได้รับการรักษาให้หายในพระคำภีร์..ก็เป็นฝีพระหัตถ์พระเจ้าทั้งสิ้น  กฎบัญญัติทางโมเสสได้ระบุไว้ว่าใครที่เป็นโรคเรื้อนจะต้องถูกแยกออกไป..จะมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นหรือแม้แต่นมัสการร่วมกับคนอื่น..ไม่ได้    แล้วคนเป็นโรคเรื้อนก็ต้องอยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อยสิบเมตร  ห้ามเดินเพ่นพ่าน  ในตลาดยิ่งไม่ต้องพูดถึง..ถ้าเฉียดใกล้ไปของที่เขาวางขายต้องทิ้งหมด   แต่ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรง ”แตะต้อง” คนที่เป็นโรคเรื้อนนี้..โดยไม่รังเกียจ..แล้วก็ไม่กลัวติดด้วย  แล้วเขาก็หาย”   
ดู มัทธิว 8:5-8  เมื่อพระองค์เสด็จไปที่เมืองคาเปอรนาอุม  มีนายร้อยคนนึงมาขอให้พระเยซูช่วยรักษาบ่าวของเขา..ที่นอนเป็นง่อยอยู่ที่บ้าน  พระเยซูก็บอก “โอเค เดี๋ยวจะไปรักษาให้”  แต่ ! นายร้อยคนนี้บอกว่า  พระเยซูไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น  เพราะ“เขาเนี่ย..ไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาบ้านของเขา”..คือ สมัยนั้นโรมซึ่งเป็นมหาอำนาจจะมีกองทัพอยู่ทั่วดินแดนปาเลสไตน์   แล้วนายร้อยคนนี้..ก็เป็นชาวโรมัน  หมายความว่า เขาคนต่างชาติ  แล้วธรรมเนียมของพวกยิว..เขาจะไม่เข้าไปในบ้านของคนต่างชาติ  นายร้อยคนนี้เลยไม่อยากให้พระเยซูต้องถูกครหา      ข้อที่ 8 เขาบอกว่า “..ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายโรค”  โอ..พระเยซูฟังแล้ว รู้สึก”ทึ่ง”ชายคนนี้มาก   ข้อที่ 10  พระองค์บอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้..แม้แต่ในอิสราเอล”  กลายเป็นว่า “คนต่างชาติ” ยังมีความเชื่อมากกว่า “ยิว” ซะอีก  
ดู มัทธิว 8:11-13  เมื่อนายร้อยชาวโรมันได้สำแดงความเชื่อของเขาต่อพระเยซู  พระองค์จึงทรงเผยพระวจนะว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาร่วมสำรับ (บางฉบับใช้คำว่า เอนกายลง) กันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์”  คำว่า ”ร่วมสำรับหรือเอนกายลงในอาณาจักรแห่งสวรรค์”  ก็หมายถึงผู้ที่จะได้รับความรอดนั่นเอง..  เพราะฉะนั้น นี่คือ หมายสำคัญที่พระเยซูบอกเรา..ว่าผู้ที่จะมาเชื่อพระองค์และได้รับความรอดนั้น  ไม่ใช่จะมีแต่”ยิว”แต่จะเป็นคนทุกชาติ..ทุกภาษาที่มาจากทั่วโลกเลยนะคะ  ที่จะมีสิทธิ์ได้รับความรอดจากพระเยซู    ข้อที่ 12 บอก “แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”  ...ชาวแผ่นดินนั้น หมายถึง “ยิว” หรือ”อิสราเอล” ที่ถึงแม้จะเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร  แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อพระเยซูและได้รับความรอดหรือได้ไปสวรรค์   พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าชัดเจนว่าจะมี     ”ยิว”ที่ถูกขับไปในที่มืด..ที่ที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ข้อที่ 13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงกลับบ้านเถิด ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น”  แล้วบ่าวที่เป็นง่อยของเขาก็หายเป็นปกติ
นอกจากนี้ ในข้อที่ 14-16  พระเยซูยังทรงรักษาคนอีกมากมายทั้งแม่ยายของเปรโตที่ป่วย  แล้วก็คนถูกผีสิงอีกมากมายก็หายได้ด้วยพระดำรัสของพระองค์  ฟังดีๆนะคะ.. พระเยซูรักษาผู้คนให้หายได้  ด้วยพระดำรัสของพระองค์  ก็คือ แค่พระองค์พูดคำเดียว..ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้นทันที  พระเยซูไม่ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์อะไรมากมาย  พระองค์ไม่ต้องเสกหรือต้องบริกรรมคาถา..อะไรมากมายเหมือนที่พวกไหว้ผีไหว้เจ้าชอบทำ..นึกออกมั๊ยคะ  แต่..พระเยซูแค่พูดคำเดียวทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย (เป็นปลิดทิ้ง)
ดู มัทธิว 8:19-20    ในสมัยนั้น ธรรมาจารย์จะเป็นคนที่มีเกียรติ  เป็นที่ยอมรับนับถือของคนอิสราเอล เพราะธรรมาจารย์  จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่รู้เรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้า..เป็นอย่างดี   ข้อนี้ บอกว่า  “มีธรรมาจารย์คนนึงบอกพระเยซูว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”  พระเยซูฟังแล้วก็ตอบเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”...บุตรมนุษย์ เป็นคำที่พระเยซูมักจะใช้เรียกพระองค์เอง  หมายความว่า การที่จะติดตามพระองค์หรือมาเป็นสาวกของพระองค์..ไม่ใช่เรื่องง่าย  ต้องพร้อมที่จะละทิ้งความสะดวกสบายทุกอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจ  พระเยซูทรงยกตัวอย่าง..ว่าแม้แต่สัตว์ต่างๆก็ยังได้กินนอนเป็นที่..มีบ้าน..มีรังของตัวเองเป็นหลักแหล่ง  แต่พระองค์..ไม่ใช่  และใครก็ตามที่ตั้งใจจะติดตามพระองค์ก็ต้องพร้อมที่จะใช้ชีวิตเหมือนคนต่างถิ่น..พร้อมจะอยู่และพร้อมจะไปในทุกที่ที่พระองค์นำไป  เหมือนพวกเรา เราติดตามพระเยซูมั๊ย..แล้วเราพร้อมมั๊ย  ถ้าพระองค์จะพาไปในที่ที่เราอาจจะไม่คุ้นเคย  พร้อมมั๊ย..ถ้าวันนี้พระองค์บอกว่า “กลับบ้านได้”  เราพร้อมจะไปกับพระองค์มั๊ย หรือ ยังไม่อยากไป..ยังสนุกกับโลกนี้อยู่   ถ้าเราติดตามพระเยซูจริงๆเราต้องอยู่แบบโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  จะสุขบ้าง..ทุกข์บ้าง  บางครั้งลำบาก..บางครั้งสบายก็ต้องอยู่ด้วยความเข้าใจ..ว่าโลกนี้มันไม่ใช่ที่ของเรา 
ดู มัทธิว 8:21-22  เมื่อพระเยซูทรงชี้ให้ทุกคนเข้าใจแล้ว..ว่าการติดตามพระองค์ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเรื่องสนุกอย่างที่ทุกคนคิด   พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจจริง..แต่ ! ผู้ที่จะติดตามพระองค์ต้องพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างร่วมกับพระองค์”ด้วยความไว้วางใจ”     และ ข้อนี้ บอกว่า..อีกคนที่เป็นศิษย์ของพระองค์เมื่อฟังอย่างงั้นแล้วก็พูดกับพระองค์ว่า  “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน" คำว่า “ไปฝังศพบิดาก่อน” น้าตุ๊กว่า..เขาหมายถึงรอให้พ่อแม่เขาตายก่อน  เขาอาจจะยังมีป่วยหรือแก่ชราต้องดูแล  พูดง่ายๆ ก็คือ รอให้เขาหมดภาระก่อน..แล้วเขาจะติดตามพระเยซู   
ในทางเดียวกัน  เวลาที่เราบอกข่าวประเสริฐกับใครหรือใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐแล้วบอกว่า “เด๋วรอก่อนนะ..รอให้พ่อแม่ตายก่อน  แล้วเขาจะมาเชื่อพระเจ้า”  หรือ  “ขอบวชให้พ่อแม่ก่อน  แล้วค่อยรับเชื่อ..ไม่อยากมีปัญหากับพ่อแม่พี่น้อง”  ..อะไรประมาณนี้    แต่ ! พระเยซูบอกว่า  “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด” ...คำว่า”คนตาย” คำแรกนี้ พระเยซูหมายถึงคนตายฝ่ายวิญญาณ หรือ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  ส่วน”คนตาย” คำหลัง ก็หมายถึง..ศพ   ในบริบทนี้ความหมายของพระองค์คือ  การติดตามพระองค์เป็นสิ่งที่เราต้องทำ”ทันที” หรือเป็นสิ่งที่แรกที่มนุษย์ควรทำ   เพราะความเชื่อในพระองค์จะทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์และไม่ตายฝ่ายวิญญา   ส่วนกิจการอย่างอื่นฝ่ายโลก..ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนที่”ไม่มีความเชื่อ” เขาทำไป   ถ้าเราเชื่อพระซูแล้วสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา คือ ความเชื่อหรือการตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ทันที..จริงจัง..อย่างไม่มีเงื่อนไข..
ดู มัทธิว 8:24-25 ขณะที่พระเยซูประทับอยู่ในเรือกับเหล่าสาวก  ก็มีพายุใหญ่เกิดขึ้น คือ “ทะเลสาบกาลิลี” จะเป็นที่ที่มีภูเขาอยู่ล้อมรอบ  อากาศจะเปลี่ยนเร็ว..ค่อนข้างแปรปรวน  ข้อที่ 24 นี้ บอกว่า  ขณะที่มีพายุใหญ่พัดกระหน่ำ  พระเยซูทรง..หลับ  พวกสาวกก็เอะอะโวย  แล้วก็กลัวมาก..กลัวจนอดรนทนไม่ได้ต้องเข้ามาปลุกพระเยซู   เป็นเรา..เราจะปลุกมั๊ย..ไม่เหลือ !!!  ข้อที่ 25 บอกว่า สาวกปลุกพระองค์แล้วพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า  ช่วยด้วย  พวกเรากำลังจะจมอยู่แล้ว”...”จะจม” แปลว่า จมรึยัง...ยัง เนี่ย..พวกเราก็เป็นแบบนี้  อาจเป็นมากกว่านี้ด้วยซ้ำ....
เด็กๆดูดีๆนะคะ..ดูตามน้าตุ๊ก ตั้งแต่ข้อที่ 23 ..บอกว่า “เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ พวกสาวกก็ตามพระองค์ไป”   เมื่อเราตัดสินใจตามพระเยซู..ก็เหมือนเราลงเรือ “ลำเดียวกับพระองค์”  เวลามีพายุ..เกิดปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบาก  พระองค์อยู่กับเรามั๊ย..อยู่ตลอดเวลา  แต่เรามักจะรู้สึกเหมือนสาวกพวกเนี้ย  คือ รู้สึกว่า “ทำไมพระองค์เหมือนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่”  เรารู้สึกว่าเหมือนพระองค์จะนิ่งดูดายทั้งที่เรากำลังจะจมน้ำ   ซึ่งจริงๆ..จมรึยัง..ยังไม่จม  แต่เรากลัวเพราะหลายครั้งพายุมันพัดแรงจริงๆ ถ้ามองด้วยสติปัญญาฝ่ายโลก..ก็รู้สึกเหมือนจะไม่รอด  เห็นภาพฝ่ายวิญญาณของข้อนี้มั๊ยคะ  นี่เป็นความอัศจรรย์อย่างนึงของถ้อยคำพระเจ้า..ที่มีภาพซ้อนฝ่ายวิญญาณอยู่ตลอดเวลา  และ..ไม่เคยล้าหลังแต่อัพเดทและรู้ทันเราความคิดเรา..ตลอด
ดู มัทธิว 8:26-27  เมื่อพระเยซูเห็นสาวกเข้ามาปลุกพระองค์ด้วยความตกใจกลัว  ทั้งที่พระองค์ก็ประทับอยู่ด้วยเห็นๆ    พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เหตุไฉนเจ้าจึงขลาดกลัวนัก  ช่างมีศรัทธาน้อยจริงๆ” .......ทำไมถึงมีความเชื่อน้อยอย่างนี้   นี่ขนาดพระองค์ประทับอยู่ด้วยเห็นๆนะ  แล้วถ้าไม่เห็นล่ะ..(เหมือนพวกเรา)..จะยิ่งกลัวขนาดไหน  เสร็จ “แล้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป”   สาวกกลัวแทบตาย..แต่พระเยซูพูดคำเดียวพายุเงียบเป็นปลิดทิ้ง   ข้อที่ 27 บอก “คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า "ท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน”  พอเห็นพายุเงียบกริบ  เหล่าสาวกงง..มาก  คือ  แรกเลยคนเหล่านั้นที่เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ..ไม่ว่าจะเป็นการรักษาคนป่วย  การขับผี  อะไรต่างๆเนี่ย  พวกเขาคงคิดว่าพระเยซูก็คงมีสิทธิอำนาจหรือเป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะทั่วๆไป   แต่พอเห็นพระองค์ห้ามพายุได้อยู่หมัดขนาดนั้น..พวกเขาก็ชักไม่แน่ใจละ..ถึงต้องเปรยออกมาเหมือนต้องคิดใหม่แล้วว่าพระเยซูผู้นี้เป็นใคร  ขนาดทั้งลม..ทั้งทะเลก็ยังต้องเชื่อฟัง  
ดู มัทธิว 9:2-4 พระเยซูทรงรักษาคนง่อยที่เข้ามาหาพระองค์”ด้วยความเชื่อ”  อย่างพวกเราเป็นคนง่อยมั๊ย..ง่อยฝ่ายวิญญาณนะคะ  แต่พระองค์ทรงเห็นหัวใจที่มีความเชื่อของเขา..เหมือนที่พระองค์เห็นหัวใจที่มีความเชื่อของพวกเราเช่นกัน   และใครก็ตามที่มีความเชื่อและเข้ามาหาพระองค์..บาปของผู้นั้นก็จะได้รับการอภัย    เหมือนที่พระองค์พูดกับคนง่อยในข้อนี้ว่า “จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”   ข้อที่ 3 บอก..เมื่อพวกธรรมาจารย์ได้ยินพระเยซูพูดอย่างงั้น  ก็แอบคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า” 
คือ “คนยิว” ..เขาจะเชื่ออย่างเหนียวแน่นมาก..ว่า ผู้เดียวที่จะยกบาปผิดให้กับมนุษย์ได้ ก็คือ พระเจ้า  เขาไม่เชื่อพระเยซูนะคะ  เขารู้สึกคนนี้เป็นใคร..มาจากไหนก็ไม่รู้  ซ้ำยังเป็นมนุษย์เหมือนกัน ..แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมายกบาปผิดให้ใครต่อใคร  เขาถือว่าการที่พระเยซูพูดอย่างงั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า..เหมือนตีเสมอ..อะไรประมาณนั้น 
ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดชั่วของพวกธรรมาจารย์  พระองค์ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า”  นี่คือ บุคคลิกของพระเยซูคริสต์นะคะ  พระองค์พูดตรง..พูดต่อหน้า  เวลาว่าใคร..แรง และจะเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ !!!
ดู มัทธิว 9:5-7  เมื่อพระเยซูทราบความคิดชั่วในใจของพวกธรรมาจารย์แล้ว  พระองค์จึงทรงถามพวกเขาว่า “ ที่จะว่า บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว' และจะว่า `จงลุกขึ้นเดินไปเถิด' นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน”....ความหมายของพระเยซูคือ ระหว่างการอภัยบาปให้กับมนุษย์ กับ การรักษาคนง่อยให้ลุกขึ้นเดิน..เนี่ย   พวกเขาคิดว่า..อันไหนมันง่ายกว่ากัน  แน่นอน..สำหรับพวกธรรมาจารย์แล้ว  เขาต้องคิดว่า “การอภัยบาป”..ง่ายกว่า  เพราะไร..มันมองไม่เห็นไง พิสูจน์ก็ไม่ได้  ทำง่ายจะตายไป..ถูกมั๊ยคะ  แล้วพระเยซูก็รู้ว่าพวกธรรมาจารย์คิดอะไรอยู่     ข้อที่ 6 พระองค์จึงตรัสว่า  “แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้  พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า"จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” คนเป็นง่อยนั้นก็ลุกขึ้น เดินได้ทันที..  หมายความว่า ถ้าพวกธรรมาจารย์คิดว่า..การทำให้คนง่อยลุกขึ้นเดินยากกว่า การอภัยบาป  งั้นพระองค์ก็จะทำให้ดู..จะได้รู้ว่าพระองค์ทำได้ทุกอย่าง.. ข้อที่ 8 บอกว่า “คนเป็นอันมากเมื่อเห็นดังนั้น..ก็อัศจรรย์ใจ..”...จะไม่อัศจรรย์ได้ไง  พระเยซูทำทุกอย่างเหมือนง่ายไปหมด  แค่พระองค์พูดคำเดียวทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น  “จากนั้นทุกคนก็พากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ได้ทรงประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์”  น้าตุ๊ก  ว่า..ณ.จุดนั้น ประชาชนที่ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ  เขาเริ่มแน่ใจแล้วล่ะ..ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ 
  พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 6


คราวที่แล้วจบตรงบทที่ 6:28-29  “จงพิจารณาดอกไม้ทุ่งนาว่า มันงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย”  แล้วน้าตุ๊กก็ชี้ให้เห็นว่า ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ..ไม่ได้มีคนดูแล  มันก็งามกว่าต้นที่มนุษย์ปลูกไว้ซะอีก  บางทีเราทั้งรดน้ำ  ใส่ปุ๋ยตามเวลา..มันยังสวยไม่เท่าดอกไม้ในป่าเลย   ข้อที่ 29 บอกว่า “..กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง” คือ สุดกำลังมนุษย์แล้ว..แต่งให้ตาย ให้เริ่ดแค่ไหน  เราก็ยังสวยสู้ดอกไม้ที่พระเจ้าสร้างไว้..ไม่ได้   ดังนั้น เราไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลนสิ่งดีใดๆ  เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่พอที่จะดูแลเราได้อยู่แล้ว
ดู มัทธิว 7:1-3  อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ ...ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น”  ..ธรรมชาติบาปอีกอันที่ติดตัวมนุษย์อย่างเหนียวแน่นมาก คือ ชอบกล่าวโทษหรือชอบตัดสินคนอื่น  ท่าทีแบบนี้อาจเริ่มจากการเป็นคนชอบวิจารย์   ซึ่งถ้าไม่ระวังท่าทีก็จะพัฒนาเป็นคนที่ชอบกล่าวโทษคนอื่น ถ้าหนักหน่อยเข้าขั้นโคม่าก็คือจะเป็นคนที่ชอบนินทา..   พระเจ้าบอกว่า “..ถ้าเรากล่าวโทษเขา  พระองค์ก็จะทรงพิพากษาเรา  เราตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระองค์ก็จะตวงให้เราด้วยทะนานอันนั้น”  ทะนาน คือ หน่วยที่คนสมัยก่อนใช้ในการชั่งตวง   สำหรับคำว่า  ”ตวง”ในบริบทนี้  น้าตุ๊กว่า พระเจ้าทรงหมายถึง ทุกอย่าง..ที่เราทำกับคนอื่น ไม่ว่าจะป็น  ”สิ่งดีหรือสิ่งไม่ดี” ..ที่เราทำกับพี่น้อง  สิ่งไม่ดี ก็ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราชอบกล่าวโทษ  เห็นข้อเสียหรือความผิดพลาดของคนอื่น..ไม่ได้  มันอยากแต่จะชี้ชัน  ตำหนิ ซ้ำเติม  ตอกย้ำ  หรือวิพากวิจารณ์เขา..ด้วยใจแข็งกระด้าง  ไม่ได้ตำหนิเขาด้วยความรักหรือความหวังดีจริงๆ  พระเจ้าบอกว่า..พระองค์ก็จะให้เราได้รับผลอันเดียวกัน..เราก็จะเป็นที่ดูถูกของคนอื่น..จะไม่มีใครให้เกียรติเรา..ถ้าเราเป็นคนชอบกล่าวโทษ   หรือแม้แต่เวลาที่เราจะทำสิ่งดีๆ..จะช่วยเหลือใครหรือจะให้ออกไป  พระเจ้าก็ทรงมอง..ว่าเราตวงให้เขาด้วยทะนานแบบไหน..เช่นกัน  ถ้าช่วยแบบกั๊กๆ..เวลาที่เราเดือดร้อนพระองค์ก็จะส่งความช่วยเหลือ”แบบกั๊กๆ”มาให้เราเหมือนกัน  บางคนงง..ช่วยแบบกั๊กๆมันเป็นยังไง..
สมมติว่า..เราจะซื้อของไปบริจาค  เราเลือกยังไง..เอาที่ถูกสุด คุณภาพแย่สุดๆไปเลย  เพราะคิดว่า..ไม่เป็นไรหรอกอุตส่าห์ให้ก็ดีแค่ไหนละ “หรือ” เราจะเลือกของที่ดีหน่อยซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าเล็กน้อย..แต่ไม่ได้เกินกำลังเรา..อย่างงี้เป็นต้น ..ที่พระเจ้าก็มองอยู่..ว่าเราตวงให้คนอื่นด้วยทะนานแบบไหน 
หรือ ถ้าจำเป็นต้องเลี้ยงอาหารหรือให้ที่หลับนอนกับใครซักคน..ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องหรือคนที่เราไม่คุ้นเคย  เราเลือกเอาอะไรให้เขากิน เด็กๆจะเอาของเหลือกับที่นอนสกปรกๆให้เขา  หรือจะต้อนรับเขาด้วยอาหารที่ยังมีคุณภาพ..(ไม่ได้หมายความว่าต้องแพง)  กับที่นอนสะอาดๆเพื่อให้เขาหลับสบาย..พระเจ้าก็ทรงมองอยู่เช่นกัน..ว่าทะนานแบบไหนที่เราใช้ตวงให้พี่น้อง  นี่เป็นแค่ตัวอย่าง..จริงๆยังมีอีกหลายกรณีมากที่เกี่ยวกับทะนานที่เราตวงให้คนอื่น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเลือกกระทำกับเพื่อนบ้านและพี่น้อง..ล้วนมีผลต่อพระพรที่เราจะรับจากพระเจ้าทั้งสิ้น   เพราะเราตวงด้วยทะนานอันไหนไว้..พระเจ้าก็จะใช้อันเดียวกันเป็นครื่องวัดพระพรที่จะให้กับเรา
ดู มัทธิว 7:3-4 ไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก... “ผง” ในบริบทที่พระคำข้อนี้บอก หมายถึง ความผิดเล็กๆน้อยๆ  ส่วน”ไม้ทั้งท่อน” ก็คือ ความผิดใหญ่ๆ   ก็หมายถึงว่า ความผิดของคนอื่นแม้จะเล็กน้อยแค่ไหน..เรามักจะ.เห็นชัดเจน  แต่ทีนิสัยแย่มากๆของตัวเองกลับไม่เคยเห็น  คนเราเป็นอย่างนี้จริงๆนะ  แต่คริสเตียนขอบพระคุณพระเจ้า  ที่เมื่อเรามีพระวิญญาณสถิตในใจเราจะเห็นความชั่วของตัวเองชัดขึ้น (มากถึงมากที่สุด)  เพราะพระเจ้าทรงบอกไว้ตั้งแต่ยุคพันธสัญญาเดิม..ว่าพระองค์จะไม่จารึกพระบัญญัติไว้ในศิลาหรือที่ใดๆอีกต่อไป  แต่พระองค์จะทรงจารึกพระบัญญัติของพระองค์ไว้ที่หัวใจมนุษย์..โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซู  ดังนั้น เมื่อเราเชื่อพระเยซู  พระบัญญัติของพระเจ้าจึงจารึกอยู่ในใจเรา   แล้วน้าตุ๊กเคยบอกแล้ว..ว่าธรรมบัญญัติ..คือ กระจกเงาที่ส่องแล้วทำให้เห็นชัดว่าเราดีหรือไม่ดีตรงไหน  เพราะนั้น “คริสเตียนแท้” ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่   จะต้องเห็นตัวเองตามความจริงและเห็นตัวเองชัดกว่าเห็นคนอื่น  ตัวเองแย่แค่ไหน..มีข้อเสียยังไงเราจะเห็นชัดเจนบาปของตัวเอง  ไม่ใช่เห็นแต่บาปของคนอื่น..แต่ไม่เห็นของตัวเอง   พระเยซูจึงทรงกล่าวโทษคนเหล่านั้น..ที่ชอบแต่จะตัดสินคนอื่นโดยไม่ดูตัวเอง
ดู มัทธิว 7:6   “อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข และอย่าโยนไข่มุกของท่านให้แก่สุกร”...ของประเสริฐและไข่มุกในที่นี่ หมายถึง “ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” หลายครั้งพระคำภีร์จะเปรียบเทียบความรอดทางพระคริสต์หรืออาณาจักรสวรรค์..ว่าเป็นไข่มุกเม็ดงาม ส่วนสุนัขและสุกร เป็นสัตว์ที่ชาวยิวรังเกียจมากเพราะเป็นสัตว์มลทิน  พระเจ้าบอกเราว่าอย่าไปให้ของมีค่าขนาดนั้น  กับคนที่ไม่คู่ควร..แล้วคนแบบไหนที่ไม่คู่ควร  ก็คือ คนที่ดูหมิ่นสิ่งที่พระเยซูทำบนไม้กางเขน..ว่าเป็นเรื่องโง่ หรือ เป็นเรื่องโกหก
ขณะที่เรายังต้องอยู่บนโลกนี้  เราจำเป็นต้องมีสังคม  เราต้องพบปะหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า   และพระเจ้าก็สั่งเราว่า..จงเอาข่าวประเสริฐของพระเยซูไปบอกกับทุกคนที่เราได้เจอ  และเมื่อเราบอกข่าวดีของพระเยซูออกไป แต่ละคนมีท่าทีเหมือนกันมั๊ย..ไม่เหมือน  บางคนเชื่อ..แล้วก็รับเอาความรอดไว้  บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  บางคนไม่เชื่อแต่ก็ไม่เถียง..ไม่ลบหลู่  ส่วนบางคนเถียงคอเป็นเอ็น..ชักแม่น้ำทั้งเพียงเพื่อจะมาลบล้างความจริงของข่าวประเสริฐ  หนักหน่อยก็เอาความเชื่อของตัวเองมาเกทับ..ก็มี  เจอคริสเตียนไม่ได้..เจอเมื่อไหร่มันอยากจะเทียมแอกทันที  เด็กๆเข้าใจคำว่า”เทียมแอก”มั๊ยคะ  เทียมแอกก็คือ เอาความเชื่อมาประชันขันแข่งกันอ่ะ..ว่าของใครแน่กว่ากัน  แล้วคนประเภทหลังนี้แหละ..ที่พระคำภีร์เทียบว่าเป็น” สุนัขหรือสุกร”..ที่เราอย่าเสียเวลาไปหยิบยื่นข่าวประเสริฐให้เขา  ถ้าบอกกี่ครั้งก็ยังไม่เชื่อเหมือนเดิมแถมยังดูหมิ่นสิ่งที่พระคริสต์ทำ..เราก็ผ่านเขาไปเลย  ไม่ต้องไปเอาชนะเพื่อที่จะหยิบยื่นของมีค่าให้กับเขา  ถึงแม้พระเจ้าบอกว่าความรอดเป็นของ”ฟรี”  แต่พระเยซูคริสต์ไม่ใช่ของลดแลกแจกแถมที่ต้องเที่ยวยัดเยียดให้คนที่ไม่เห็นค่านะคะ   
ดู มัทธิว 7:7-10 “..จงขอแล้วจะได้”  หลายคนบอก..ขอแล้วไม่เห็นจะได้เลย จริงๆได้นะคะ..แต่พระเจ้าจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเรา..ไม่ใช่สิ่งที่ตามใจเรา  สิ่งที่ดีที่สุดกับสิ่งที่เราอยากได้  บางทีมันคนละเรื่องกัน  ข้อที่ 9 บอกว่า “ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา”   พระเจ้าจะเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์..ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูกเสมอ พระองค์ยืนยันว่าขนาดมนุษย์ที่อ่อนแอ..ยังไม่มีใครเลยที่ไม่รักลูก ลูกอยากได้อะไร..มีแต่จะหามาให้และก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกเสมอ  แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกในความคิดของพ่อแม่กับความคิดของลูกบางครั้งมันก็ไม่ตรงกัน..ถูกมั๊ยคะ  แล้วเวลาที่ลูกอยากได้อะไร..ที่มันตามใจตัวเองเรื่อยเปื่อย..พ่อแม่จะให้มั๊ย  คำตอบมันก็อยู่ที่ว่า..”พ่อแม่เป็นคนมีสติปัญญาหรือมีวินิจฉัย..เลี้ยงลูกเป็นแค่ไหน สมมติ ลูกอายุแค่ 14เอง  แต่อยากได้รถสปอร์ต..เอาไว้ไปซิ่ง..พ่อแม่จะให้มั๊ย ไม่ให้..แล้วลูกก็ไม่เข้าใจ..ทำไมไม่ให้ไหนบอกว่าให้ได้ทุกอย่าง..เงินก็มี  แต่ขอแค่นี้..ไม่ให้  (เหมือนเวลาที่เราขอพระเจ้า)   หรือถ้าลูกโตแล้วอายุ25 หรือ 30..40 ก็ตาม  แต่ลูกคนนี้นิสัยไม่ดี..ขี้โมโหใจร้อน เย่อหยิ่ง  แล้วลูกก็อยากได้รถสปอร์ตเหมือนกัน..  คิดว่าพ่อแม่ควรให้มั๊ย  ไม่ควรให้  เพราะถึงอายุจะได้ แต่!นิสัยยังไม่ผ่าน  ให้ไปแล้วเด๋วจะเอาไปกร่าง..ไปเย่อหยิ่ง..ไปอวดให้คนอื่นสะดุด  หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน  สิ่งที่ให้ไปมันก็กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ลูกนิสัยแย่ลง..ทำชั่วได้มากขึ้น  ดังนั้น พระเจ้าของเราก็เหมือนกัน..พระองค์เป็นพ่อที่ทรงพระปัญญาล้ำเลิศ  พระองค์รู้ว่าอะไรดีสำหรับเรา พระองค์ก็จะไม่ให้อะไรก็ตาม..ที่ทำให้เราเสียนิสัย  อะไรที่เรามี..แล้วเราจะงดงามขึ้น..เติบโตขึ้น..ไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์มากขึ้น..อันนั้นแหละที่พระเจ้าจะให้เราได้มีและได้เป็น
มนุษย์มีความจำกัดในทุกเรื่อง..แต่พระเจ้าไม่ และพระองค์ไม่เคยผิดพลาด  ดังนั้น ที่พระเยซูบอกว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิด”..จริงๆข้อนี้พระองค์ต้องการหนุนใจให้เรา”อธิฐานตลอดเวลา”  ถึงแม้ว่า พระเจ้าจะตอบไม่โดนใจ  และหลายครั้งเราก็ไม่เข้าใจ..ว่าทำไมขออย่างงี้แต่พระเจ้าให้อีกอย่างนึง  แต่จงเชื่อเถอะ..ว่าสิ่งที่พระเจ้าให้ คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราแน่นอน
ดู มัทธิว 7:13-14  “..จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ”..ในสมัยประวัติศาสตร์พระคำภีร์  ผูที่เชื่อพระเยคริสต์ถูกเรียกว่าเป็นพวกที่ถือ”ทางนั้น” เพราะพระเยซูตรัสว่าพระองค์เป็นทางนั้น คือ ทางเดียวที่จะนำมนุษย์ให้ได้รับความรอดและไปสู่สวรรค์..พระองค์เป็นประตูแห่งสวรรค์  แต่สมัยนั้นคนที่เชื่อพระเยซูยังมีน้อยมาก  แล้วคริสเตียนก็ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง  การถูกข่มเหงหรือแม้แต่การยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมสมัยนี้..มันทำให้คริสเตียนอยูค่อนข้างลำบาก..ไม่ลำบากกายก็ลำบากใจ   แล้วทางที่ยากลำบากของเรานี้แหละที่พระเยซูเรียกว่า ”ประตูแคบ”  ส่วนประตูใหญ่และทางกว้าง” ก็คือ ความเชื่อของพวกยิวและรวมถึงคนต่างชาติที่ไม่เชื่อพระเยซูด้วย  หรือแม้แต่พวกเราในปัจจุบันนี้..เราก็ยังเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ..จะพูด..จะทำอะไรหลายครั้งสังคมก็ยังไม่ค่อยยอมรับเท่าที่ควร..จริงมั๊ย ลองดู ที่โรงเรียนหรือมหาลัยของเรามีคริสเตียนกี่คน   ถึงเวลาเทศกาลปีใหม่..สงกรานต์..คนไทยส่วนใหญ่เขาทำอะไรกัน  สวดมนต์ข้ามปี..ทำบุญตักบาตร ไหว้พระ วัด อะไรต่างๆเหล่านี้ก็เป็นหมายสำคัญของคำว่า”ประตูใหญ่และทางกว้าง”ทั้งสิ้น  แต่พระเยซูบอกเราว่า..อย่างเดินไปทางนั้น  ให้เราดำเนินในประตูแคบของเรานั่นแหละ  “..เพราะประตูที่นำไปสู่ชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้หาพบก็มีน้อย”  เพราะงั้น ถ้ายังต้องเป็นคนส่วนน้อยก็อย่าได้เสียใจ และไม่ต้องอยากไปเป็นคนส่วนใหญ่ด้วย..เอเมนมั๊ยคะ
ดู มัทธิว 7:15-16 “..จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ  ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ  แต่ภายในร้ายกาจดุจหมาป่า”..ถ้าสังเกตดู จะเห็นว่าข้อนี้ พระเจ้าก็ทรงให้ความสำคัญกับท่าที”ภายใน”อีกเหมือนเดิม  แล้วในยุคสุดท้ายนี้พระเจ้าบอกว่าจะมีผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเยอะมาก..ที่จะมาหาเราแบบนุ่งห่มดุจแกะ คือ ดูภายนอกแล้วไม่มีพิษ..ไม่มีภัย  สุภาพเป็นมิตร จริงใจ  แต่ภายในร้ายกาจดุจหมาป่า  แล้วคนประเภทนี้ก็จะแฝงเข้ามาในทุกสังคม  ไม่ว่าจะเป็นชุมชนรอบบ้าน  ที่ทำงาน  ตามสื่อต่างๆ โดยเฉาะอย่างยิ่งสื่อ”ออนไลน์”ที่ทุกวันนี้ที่เราชอบกันมาก  หรือแม้แต่ในคริสตจักร ก็อาจจะมีผู้นำที่สอนเพี้ยนหรือสอนตกขอบได้ด้วยเหมือนกัน  แล้วเราจะรู้ได้ไง..ว่าใครเป็นผุ้สอนเท็จ  แรกเลย คือ ถ้าเราติดสนิทพระเจ้า..รู้จักพระองค์..รู้พระวจนะของพระองค์  เราจะแยกแยะได้ว่า..”ใครสอนผิด ใครสอนถูก”   นอกจากนี้..ข้อที่16 พระเยซูยังบอกเราว่า..”เราจะรู้จักเขาด้วยผลของเขา” ใครเป็นผู้เผยพระวจนะแท้..ใครเทียมเท็จ  พระเจ้าบอกให้เราดูที่ผลของเขา..ชีวิตเขา..ครอบครัวเขาเป็นยังไง..คนที่เดินตามเขา..จำเริญขึ้นมั๊ย  จิตวิญญาณเติบโตรึเปล่า  หรือมองตรงไหนก็มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย  ไปถึงไหนมีแต่คนส่ายหน้า..อันนั้น ก็ไม่ใช่แล้ว  พระเยซูบอกว่า.. ถ้าคนๆนั้นเป็นผู้เผยพระวจนะเท็จ  ยังไง..วันนึงธาตุแท้ของเขาต้องสำแดงออกมา    “มนุษย์เก็บผลองุ่นจากต้นไม้หนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อจากต้นผักหนาม”..อันนี้ พระเจ้าสอนให้เราดูง่ายๆ  ต้นไม้อะไรก็ต้องให้ผลของต้นนั้น  เราเคยเห็นต้นส้มออกลูกเป็นแอ๊ปเปิ้ลมั๊ยล่ะ  หรือชมพู่ออกลูกเป็นองุ่น..ไม่มี  ฉันใดก็ฉันนั้น   “ต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว .. ถ้าเดินทางผิด..นำคนไปในทางที่ผิด  ทั้งตัวเองและคนเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นทางพระเจ้า..มันเป็นไปไม่ได้   
ดู มัทธิว 7:21-23 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์”  ..ข้อนี้  ก็เป็นอีกครั้ง..ที่พระเยซูทรงสำแดงให้เราเห็น..ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับท่าทีภายใน  พระองค์บอกว่า”ไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักนามของพระองค์..จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์  แล้วไม่ใช่คนที่พูดแต่ปากว่า..เขาเชื่อพระเยซู..แถมรู้พระคำภีร์ทั้งเล่ม..แล้วก็ทำการอัศจรรย์เยอะแยะเลย  เคยขับผี..เคยวางมือรักษาคนป่วยสารพัด  เพราะงั้น ชั้นต้องได้เข้าแผ่นดินสวรรค์แน่นอน  แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่ ทำแค่นั้น..ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระองค์ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำพระเจ้าต่างหากที่จะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน   ถ้าคุณแค่รู้จักนามพระเยซูแต่ไม่ได้ยกให้พระองค์เป็น1   คุณรู้จักพระเยซูจริง..แต่คุณยังให้ความสำคัญกับพระอื่นด้วย..อย่างงี้เป็นต้น หรือต่อให้เราท่องพระคำภีร์ได้ทั้งเล่มแต่ไม่เคยทำตามถ้อยคำเหล่านั้น..ที่พระเจ้าสอนเลย..รู้ไปมีประโยชน์มั๊ยคะ..ไม่มี  ส่วนการทำอัศจรรย์มากมายไม่ได้เป็นเครื่องบ่งวัดความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเรากับพระเยซู..พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนั้น เพราะงั้น ใครก็ตามที่เป็นอย่างงั้น พระเยซูทรงบอกว่า..“เมื่อถึงวันที่ต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พระเจ้า  พระองค์จะกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า  เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย” (โอ้ น่ากลัวมาก!)
ดู มัทธิว 7:24-26  เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา”..อย่างพวกเรา..ที่เข้ามาเรียนพระคำภีร์  เราแสวงหาเข้ามาเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าเพื่อจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน  เรามาเรียนเพื่อจะยึดพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต  เราไม่ได้มาเรียนเพื่อประดับความรู้เฉยๆหรือเรียนไว้..เพื่อที่จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง..แค่นั้น..ไม่ใช่   แต่ เรามาเรียนเพื่อที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง   ทำอย่างงั้น..เราถึงจะเป็นเหมือนผู้ที่สร้างบ้านไว้บนศิลา  คือ แม้ต้องเจอปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิตบ้าง  อย่างที่พระเจ้าบอกว่าบางทีฝนจะตก..น้ำจะไหลเชี่ยว.. ไปซักหน่อยบ้านของเราก็ยังมั่นคงอยู่เพราะศิลาจะไม่ถูกซัดเซาะไปตามแรงลมหรือสายน้ำ  ข้อที่ 26 บอกว่า “..แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย”  คือ ถ้าเราแค่รู้หรือแค่เคยได้ยินถ้อยคำพระเจ้า..แต่เราไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจที่จะเคร่งครัดที่จะปฏิบัติตาม  พระเยซูบอก.. เราก็เหมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนทราย..นึกออกมั๊ยคะ  ลักษณะของทรายเป็นละอองไม่ได้มีความแข็งแกร่งมั่นคงเหมือนศิลา...เพราะงั้นทรายจะไม่สามารถรองรับสิ่งปลูกสร้างใดๆได้เลย   เปรียบเหมือนคนที่วางความเชื่อของตัวเองไว้กับอะไรก็ตามที่ไม่ใช่พระเจ้า  คนเหล่านี้เวลาที่เจอปัญหาหรือความทุกข์ยากแค่นิดหน่อยๆทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเขาก็จะเต็มไปด้วย”ความกลัว”  แล้วการแก้ปัญหาของคนที่มีความกลัวอยู่เต็มหัวใจ..ส่วนใหญ่มันก็จะนำมาซึ่งความพินาศ  สับสน  วุ่นวายมากกว่าเดิม  แล้วความจริง ก็คือ เกือบทุกปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกนี้  มาจาก”ความกลัว”ของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นกลัวตาย..กลัวป่วย..กลัวอด..กลัวลำบาก..กลัวกลัวเสียหน้า..กลัวน้อยหน้า..กลัวเขาจะดูถูก..กลัวเสียเปรียบ..กลัวเสียศักดิ์ศรี  เด็กๆลองคิดดูดีๆ..ว่าปัญญาไหนที่ไม่ได้มาจากความกลัวบ้าง  น้าตุ๊ก ว่าไม่มีนะ  เพราะฉะนั้น พระเจ้าถึงตรัสกับเราถึง 365 ครั้ง..ในพระคำภีร์ว่า  ”จงอย่ากลัว”  นั่นแปลว่า “ความกลัว” มันเป็นปัญหาของมนุษย์จริงๆ พระองค์ถึงต้องบอกเราทุกวัน..ว่าอย่ากลัว..อะไรทั้งนั้น  และถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้าจริง..คุณสมบัตินึงที่คริสเตียนพึงมีคือ “เราจะไม่กลัว” หรือ “กลัวน้อยลง”..ทุกวัน  นี่คือความหมายที่พระเยซูบอกเรา..ว่าขอแค่เราเชื่อฟังและทำตามที่พระเจ้าสอน  เราจะเหมือนคนที่ยืนอยู่หรือสร้างบ้านอยู่บนศิลา  ส่วนคนที่ไม่มีพระเจ้าก็เปรียบเหมือนคนที่ก็วางชีวิตไว้บนผืนทราย  แค่ฝนตกหรือลมพัดนิดหน่อย..ทั้งใจและวิญญาณก็จะเต็มไปด้วยความกลัว แล้วก็พร้อมที่จะถูกทำลายลงตลอดเวลา
   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 5


ดู มัทธิว 6:16-17  “เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด”  ทำไมพระเยซูถึงตำหนิคนที่ทำหน้าเศร้าซึมเวลาที่ถืออดอาหาร..ว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด  
คือ คนอิสราเอลในสมัยนั้นเขาจะถืออดอาหารเพื่อแสดงถึงความเศร้าโศก  ไม่ว่าจะเป็นความสียใจจากความทุกข์ยาก..ความสูญเสีย  หรือแม้แต่สำนึกบาปที่ตัวเองทำ   แต่ทีนี้ มันมีบางคนที่ทำด้วยความไม่จริงใจ  หมายความว่า ไม่ได้สำนึกหรือรู้สึกเสียใจจริงๆ แต่ก็ถืออดอาหารเพราะอยากให้ใครๆเขาสรรเสริญ..ว่าตัวเองเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา   เพราะงั้น เวลาที่อดอาหารคนพวกนี้ก็จะชอบทำเป็นโทรมๆ ซึมๆ ให้คนอื่นเขาดูออกว่า..อ่อ ถ้าโทรมขนาดนี้สงสัยกำลังอดอาหารอธิฐานอยู่แน่เลย  อะไรประมาณนี้  พระเยซูจึงทรงกล่าวโทษคนที่ทำอย่างนี้ว่าเป็นคน       ”หน้าซื่อใจคด”  เพราะเขาไม่ได้ทำศาสนกิจด้วยจิตวิญญาณและความจริง ..แต่ตั้งใจทำเพื่ออวดคนอื่น  ข้อที่ 17 พระเยซูสอนเราว่า  “ฝ่ายท่านเมื่ออดอาหารจงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ”  คือ เวลาอดอาหารไม่ต้องทำเป็นโทรม   อาบน้ำล้างหน้าให้สดชื่น..ผมเผ้าก็หวีให้เรียบร้อยสวยงาม   ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้..ว่าเราไปทำอะไรมา  แล้วพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงตอบคำอธิฐานของเรา
ดู มัทธิว 6:19 “ อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก..” โอโห..ทำยากมะ ยากอยู่นะคะ  แต่ถ้าจิตวิญญาณเราเติบโตจริงๆเราจะทำได้  ถ้าใครทำไม่ได้..พระเจ้าก็จับเข้าคอร์สแบบคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร คือ ส่งความขาดแคลนมาให้แบบพอหอมปากหอมคอ..ให้เราต้องรอมานาตกจากฟ้าบ้าง..ไรบ้าง   ไม่มีให้ตุน ไม่มีให้สะสม แต่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ..ว่าทุกวันพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูแบบวันต่อวัน  เพราะงั้น ถ้าไม่อยากเข้าคอร์สนี้ก็จงเชื่อฟัง..อย่าไปยึดติดกับทรัพย์สินหรือตัวเลขเยอะๆในธนาคาร  เวลาที่พระเจ้าอวยพรเยอะก็จงมั่นคงที่จะก้มศีรษะลงโมทนาพระคุณทุกลมหายใจเข้าออก  แล้วเราก็จะไม่หลงไป  หลงไปไหน..หลงไปฝากความมั่นคงไว้กับอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า   
“..เพราะทรัพย์สมบัติในโลก ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และขโมยก็สามารถขโมยไป”  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ที่ดิน เงินทอง  หรืออะไรก็ตามทุกอย่างมีวันเสื่อมสูญทั้งหมด  แต่ถึงมันไม่สูญ  เวลาตายเราเอาไปได้มั๊ยล่ะ..ไม่มีทาง  กายเนื้อเรายังเอาไปไม่ได้เลยเพราะมันเปื่อยเน่า  และมีวันเสื่อมสูญ  สุดท้ายก็เหลือแค่ธุลี..ไม่ว่าจะเผาหรือจะฝัง  ถูกมั๊ยคะ พระเจ้าถึงต้องประทานร่างกายใหม่แก่เรา..ในเวลาที่เราจะเข้าสู่สวรรค์ 
หลายคนสงสัยเกี่ยวกับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าจะประทานให้..ไม่เข้าใจว่ามันจะเป็นยังไง  มันมีจริงๆหรอ  แล้วทำไมจะเข้าสวรรค์ต้องมีร่างกายใหม่ด้วย  จริงๆเข้าใจได้ไม่ยาก  มันก็เหมือนกับเวลาที่มนุษย์จะไปสำรวจดวงจันทร์หรือไปสำรวจดาวอื่นในอวกาศ..ที่ไม่ใช่โลก  มนุษย์จำเป็นต้องประดิษฐ์ชุดเป็นพิเศษเพื่อปรับความดัน  เพิ่มอ๊อกซิเจนหรืออะไรต่างๆเพื่อปกป้องร่างกายให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะนั้นๆได้  หรือเวลาที่จะดำน้ำลงไปในความลึกที่ดวงอาทิตย์ส่องไม่ถึง  ซึ่งตรงนั้นมนุษย์ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้เหมือนกัน   มนุษย์ถึงต้องมีชุดหรือเกราะที่จะทำให้ร่างกายสามารถทนต่อความดันที่สูงหรือต่ำเกินกว่าปกติได้ เช่นกัน ไม่งั้น..ไปก็ตายเพราะร่างกายมนุษย์ไม่ได้สามารถทนต่อทุกสภาวะ..ทุกมิติ หรือทุกกาลเวลาได้ขนาดนั้น  และนั่นก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็น”ชัดเจน”ว่า “ร่างกายนี้ พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อให้เราใช้ในโลกนี้ “เท่านั้น” ไม่ได้รองรับได้ทุกสภาวะในกัลปจักรวาล  เพราะฉะนั้น ยิ่งกว่านั้นซักเท่าไร ถ้าเราจะไปสวรรค์ (ไม่ใช่แค่ในอวกาศหรือใต้บาดาล)  เด็กๆว่า ร่างนี้ มันจะใช้ได้มั๊ย..ไม่ได้  ในทางเดียวกัน  พระเจ้าถึงต้องเตรียมร่างกายใหม่สำหรับใช้ในสวรรค์ให้กับเรา  ไม่งั้นเราจะไม่สามารถทรงสภาพอยู่ในสวรรค์ได้เลย  พอเห็นภาพมั๊ยคะ
มัทธิว 6:20-21 “..แต่จงสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยจะลักเอาไป”    แล้วการจะสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์..ต้องทำยังไง   ทำได้โดยการเชื่อฟังพระเจ้าในทุกด้านของชีวิต  มอบถวายชีวิตของเรา  เวลาของเรา  ความไว้วางใจของเราไว้กับพระเจ้า..ยึดพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐาน   “..เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน  ใจของท่านก็อยู่ที่นั้นด้วย” ..ถ้าใจของเราอยู่กับพระเยซู  เราก็ได้ไปอยู่กับพระเยซูในสวรรค์  เพราะพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์    แต่ถ้าใจของเราติดยึดอยู่กับสิ่งที่เป็นของโลกไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือแม้แต่ยึดติดกับมนุษย์บางคน  เราก็คงจะต้องวนเวียนอยู่แถวๆโลกนี่แหละ..ไม่ได้ไปไหนซะที   หรือมีบางคนไม่อยากตายด้วยเหตุผลที่ว่า “ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า”  ยังไม่ได้เที่ยวเลย  ยังไม่ได้กินอะไรที่อยากกินอีกหลายอย่าง  หาเงินมาแล้วยังใช้ได้ไม่คุ้ม..เลยยังไม่อยากตาย  อยากอยู่เสพสุขบนโลกนี้นานๆ..แบบนี้ก็คงไม่ได้ไปไหนเหมือนกันเพราะใจมันยึดติดอยู่กับความสุขฝ่ายโลกกับทรัพย์สินที่หามาได้   เพราะฉะนั้น เลือกให้ถูกนะคะ..ว่าเราจะสะสมทรัพย์ไว้ที่ไหน  ถ้าจะสะสมไว้ในสวรรค์  ก็ต้องเดินตามเจ้าของสวรรค์ นะคะ
ดู มัทธิว 6:22-23  ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านดี ทั้งตัวก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง”  ตาในข้อนี้ หมายถึง “ตาฝ่ายวิญญาณ”  พระเจ้าบอกว่า ถ้าตาฝ่ายวิญญาณของเราสว่าง...ทั้งร่างกายของเรารวมถึงความคิด การกระทำ และคำพูดของเราก็จะพลอย”สว่าง ถูกต้องและสง่างาม”ไปด้วย  เพราะเราได้การทรงนำที่มาจากพระเจ้า  
น้าตุ๊กเคยดูการให้สัมภาษณ์ทางทีวีของคนที่มีชื่อเสียงคนนึง  ทีแรกดูแล้วก็ชื่นชมเขามากเพราะเขาเก่ง  หน้าตาดี  ฐานะดี..คือ ดูดีไปหมดเลย   แต่มาตอนหลังดันให้สัมภาษณ์ทิ้งท้ายไว้ประมาณว่า “เขาเป็นคนชอบเรื่องเครื่องลางของขลัง  พูดง่ายๆคือชอบเรื่องไสยศาสตร์ เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกับชีวิตเขามาก”....แค่นั้นแหละ..จบเลย  ความดูดีที่เห็นอยู่ในตอนแรกอันตธานหายไปในพริบตา !  การศึกษา  ความสามารถ  หรือแม้แต่หน้าตา..ก็ช่วยให้เขาดูสง่างามขึ้นมาอีกไม่ได้เลย    พระคำภีร์ถึงบอก “เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป  ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด”   คำว่า “ความสว่างในตัว” อันนี้ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณ...ว่าถ้ามันผิดมาจากข้างใน คือ เชื่อผิด   คนๆนั้นก็มักจะ  คิดผิด  พูดผิด  ทำอะไรต่างๆก็มักจะผิดไปจากทางของพระเจ้าเสมอ  เลยทำให้ดูเป็นคนมืดบอดไปซะทุกเรื่อง..หาความสง่างามไม่ได้
ดู มัทธิว 6:25-26  “..อย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน  และอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร  และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม”  เพราะอะไร  พระประสงค์ของพระเจ้าชัดเจนอยู่แล้ว  ในปฐก.1:26 บอกว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์  ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก..”  หมายความว่า พระองค์สร้างทุกอย่าง..ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า  หรือสิ่งสารพัดบนโลกทั้งหมด  พระองค์ตั้งใจสร้างขึ้นมาให้มันปรนนิบัติเราอยู่แล้ว    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวจะขาดปัจจัยหรือสิ่งดีใดๆเลย   แต่หลายครั้งเราก็กลัว..เพราะไร  ไม่วางใจพระเจ้า  แล้วก็มัวแต่อยากได้หลายอย่างมากจนเกินความจำเป็น   ข้อที่ 26 บอกว่า “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว แล้วก็ไม่เคยสะสมอะไรไว้ในรัง”  จริงมะ..หรือมีใครเคยเห็นนกสร้างยุ้งฉางไว้สำหรับเก็บหนอนมั๊ย  หรือเคยเห็นนกมันเอาหนอนมาทำหนอนตากแห้งเก็บไว้กินนานๆมั๊ย..ไม่มี  มีแต่คนนี่แหละ..ที่ชอบทำอย่างงั้น  เพราะกลัววันข้างหน้าจะขาดแคลนหรือไม่มีกิน   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพย์สิน เงินทอง  หามาได้..ก็คิดแต่วิธีที่จะสะสมไว้  ยิ่งไปกว่านั้นก็คืออยากจะให้มันเพิ่มพูนขึ้น..ให้มากที่สุด  เพราะรู้สึกว่ามีมากๆแล้วมันอุ่นใจดี   อันนี้ คือ ไปฝากความหวังไว้กับทรัพย์สินเงินทองแล้ว..ซึ่งไม่ถูกต้องเลย    เพราะการสะสมอย่างนี้ คือ สะสมด้วย ”ความกลัว”  ถ้ามีคำว่า”กลัว” แปลว่าเราไม่ไว้ใจพระเจ้า   ถ้าเราไว้ใจ..เราจะไม่กลัว   แต่ที่พูดอย่างงี้..ไม่ได้หมายความว่า การออมทรัพย์เป็นสิ่งไม่ดีนะคะ   การรู้ว่าอะไรควรใช้..อะไรไม่ควรใช้  กับการรู้จักเก็บออมไว้เพื่ออนาคต”บ้าง” เป็นสิ่งที่ดีมาก  เด็กๆควรทำนะคะ
ดู มัทธิว 6:28-29  “จงพิจารณาดอกไม้ทุ่งนาว่า มันงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย”   แล้วถ้าเด็กๆสังเกตดูดีๆนะ  ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ..ไม่ได้มีคนดูแล  มันเจริญงอกงามกว่าต้นที่มนุษย์ปลูกไว้ซะอีก  บางทีเราทั้งรดน้ำ  ใส่ปุ๋ยตามเวลา..มันยังสวยไม่เท่าดอกไม้ในป่าเลย   ข้อที่ 29 บอกว่า “..กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง”  ทำไม พระคำภีร์ถึงยกก.ซาโลมอนมาเป็นตัวอย่าง เพราะ    ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่รุ่งเรืองและร่ำรวยที่สุดของอิสราเอลและรวมถึงบรรดามหาอำนาจในสมัยนั้นด้วย..ไม่มีใครเทียบซาโลมอนได้   ที่เป็นอย่างงั้นเพราะ..ดาวิดสร้างฐานอำนาจไว้ให้อย่างมั่นคง..ดาวิดรบเก่ง   ส่วนซาโลมอน ไม่ใช่นักรบ  แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรบ..เพราะพ่อทำไว้ให้หมดแล้ว   เพราะฉะนั้น พอขึ้นครองอิสราเอลปุ๊บ   ซาโลมอนบริหารอย่างเดียว  แล้วเขาก็ฉลาด..เป็นคนมีหัวการค้า  คนละขั้วกับพ่อเลย..ดาวิดนี่”บู๊” ส่วนซาโลมอน “บุ๋น” อย่างเดียว..และเต็มไปด้วยสติปัญญา   ...ถ้าใครได้เรียนหนังสือ 2พงศ์กษัตริย์กับน้าตุ๊กก็น่าจะจำได้บ้าง..ว่าพระคำภีร์บันทึกรูปแบบความหรูหราโอ่อ่าของวังกับวิหาร..ตลอดจนเครื่องใช้ทุกอย่างของซาโลมอนไว้อย่างละเอียด   ขนาดที่นางเชบากษัตริย์ของเปอร์เชียยังต้องดั้นด้นขอมาชมบารมีของซาโลมอนถึงที่ยูดาห์   พอมาแล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะไม่ใช่แค่วังที่โออ่าตระการตา  แต่ของใช้ทุกชิ้นของซาโลมอนเป๊ะเว่อร์ คือหรูหราแบบหาตัวจับยาก  เพราะฉะนั้น ที่ข้อนี้บอกว่า “กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่อง (หมายถึงแต่งตัว) แต่งยังไงก็ยังไม่สวยงามสู้ดอกไม้ดอกเดียว..ไม่ได้”   ทั้งที่ซาโลมอนเป็นคนเนี๊ยบ   ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงเสื้อผ้าของเขา..ก็ต้องคัดมาอย่างดี  ไม้สนที่จะสร้างวัง..ต้องจากเลบานอน  ทองคำที่จะใช้ในการสร้างวิหาร..ก็ไปขนถึงที่โอฟราห์  อย่างผ้าที่จะใช้ตัดเครื่องทรง  ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็อาจจะต้องมาจากอินเดียหรือฝรั่งเศส  แต่ ! ฝีมือมนุษย์..แต่งให้ตาย ให้เริ่ดแค่ไหน  ก็ยังงามสู้ดอกไม้..ดอกเดียว..ไม่ได้เลย    ข้อที่ 30 บอกว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”  เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า เราจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม  พระเจ้ารู้หมดแล้วว่าเราต้องการอะไร..
     ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 4


ดู มัทธิว 5:43-45 พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยิน คำกล่าวว่า ให้รักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู”  แต่พระเยซูบอก “จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นที่ทำไม่ดีกับเรา”  ตามธรรมเนียมของยิวสมัยพระคำภีร์..คำว่า “คนสนิท” หรือ “เพื่อนบ้าน” หมายถึง เขาคนยิวด้วยกัน..เท่านั้น  ถ้าไม่ใช่ยิว ถือว่าเป็นต่างชาติทั้งหมด   แล้วยิวก็ตีความพระบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ในหนังสือ ลวต.19:18 ที่บอกว่า “เจ้าอย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานญาติพี่น้องของเจ้า แต่เจ้าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง...” ยิวแปลความหมายข้อนี้ว่า “พระเจ้าสั่งให้รักแต่คนชาติเดียวกัน  และรังเกียจ..ทุกคนที่ไม่ใช่ยิว  เขาเข้าใจอย่างนี้จริงๆ  เพราะเราต้องเข้าใจนะคะ..ว่า “ยิว”  เขาภาคภูมิในความเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร..เขารู้สึกว่าตัวเองโฮลี่กว่าใครในโลก  แล้วก็เลยค่อนข้างเหยียดคนต่างชาติ  แล้วปัจจุบันเขาก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่..
ไม่นานมานี้อาจารย์ท่านนึงเดินทางไปที่อิสราเอล  ช่วงที่ไปเยี่ยมชมกำแพงร้องไห้..จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของพระวิหาร เมื่อท่านไปเข้าห้องน้ำ..ปรากฎว่าไปเจอพวกยิวอยู่ 2-3 คน  พอเห็นท่าน (ซึ่งเป็นคนต่างชาติ) เดินเข้ามา  ก็ทำท่ารังเกียจอย่างแรงแล้วก็ฉีกเสื้อคลุมทิ้งไปเลย  เพราะเขาถือว่าคนต่างชาติเป็นมลทิน..ไม่บริสุทธิ์เหมือนเขา  แค่เดินเข้าไปใกล้..เขาถึงกับฉีกเสื้อทิ้งไปเลย..    ข้อที่ 45 บอกว่า “.. เพราะว่าพระเจ้ายังทรงให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว ให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรมด้วย”..คือ ขนาดพระเจ้า..ที่เป็นเจ้าของมหาจักรวาลแท้ๆ  พระองค์ยังไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง..แต่ทรงทำการเที่ยงธรรมแก่ทุกคน  แล้วเราเป็นใคร..เราเป็นลูกของพระองค์  เราก็ต้องทำตามพระองค์    พระเยซูถึงสอนเรา “ให้รักศัตรู  และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นที่ทำไม่ดีกับเรา”  อย่าว่าแต่เป็นคนต่างชาติเลย  คนที่ข่มเหงเรา..เรายังต้องรักเขาให้ได้  ยิวหรืออิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร”จริง” แต่พระองค์ทรงเลือกสรรให้เขาเป็น”ชนชาติผู้มีพันธกิจนำพระพรไปสู่ชาวโลก”  ไม่ได้เลือกไว้ให้รักกันเองในบ้าน..แล้วใครจะตายช่างมัน..ไม่ใช่
ดู มัทธิว 5:46-48  “..ถ้าเรารักแต่คนที่น่ารัก  เราจะได้บำเน็จอะไร”..ใครๆก็ทำได้  “..ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังทำอย่างงั้นเลย”   น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า “คนเก็บภาษี” ในสมัยนั้น คือ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลโรมให้เป็นผู้เก็บภาษีจากประชาชน  จะเนื่องจากไปสัมปทานมาหรืออะไรก็แล้วแต่   ที่แน่ๆพวกเขามักจะเก็บภาษีเกินพิกัด  คนยิวก็เลยรังกียจคนเก็บภาษี   แล้วก็ตราหน้าคนเก็บภาษีว่าเป็นคนบาปชั่วพอๆกับโจร    พระเยซูจึงทรงยกตัวอย่างคนเก็บภาษี..ว่าถึงเขาจะนิสัยไม่ดีหรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาป  แต่คนอย่างนี้ก็ยังรักพี่น้อง..ยังช่วยเหลือพวกเดียวกัน   เพราะงั้น ถ้าเราเองก็รักแต่ญาติพี่น้องหรือรักเฉพาะคนที่ดีกับเรา..เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่มีพระเจ้า    คำว่า “จงอธิษฐาน” เพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน”  จริงๆแล้วเด็กๆรู้มั๊ย..ว่าการจะอธิฐานให้ผู้ที่ช่มเหงเราจะต้องอธิฐานยังไง..  เราต้องอธิฐานขอพระเจ้าอวยพรเขา..เปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รับความรักและมีความเชื่อในพระเจ้า   เพราะใครก็ตามที่มีความเชื่อ..มีพระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย..เขาจะเห็นความบาปหรือความไม่ดีของตัวเอง..แน่นอน   (จำได้มั๊ย ที่น้าตุ๊กบอกว่าพระบัญญัติเปรียบเหมือน”กระจกเงา”) ให้เราเปิดไปดู หนังสือเยเรมีย์...
ดู เยเรมีย์ 31:33    "... พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะบรรจุ”บัญญัติ”ของเราไว้ภายในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้ที่”ดวงใจ”มนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือก..” ..พระเจ้าทำยังไง..พระองค์ทำโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์..เขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์           และบัญญัติของพระองค์(ที่เป็นเหมือนกระจกเงา) ก็จะจารึกอยู่ในหัวใจ..และไม่ใช่เพื่อให้ทำได้อย่างครบถ้วน   แต่เพื่อให้รู้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า  เราเองชั่วตรงไหน..มีอะไรที่ทำถูกแล้ว..เราจะรู้...”ถ้า”เรามีพระวิญญาณ   ดังนั้น การอธิฐานขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกคนมีความเชื่อ..จึงเป็นคำตอบของทุกปัญหา  เพราะคนที่ทำไม่ดี..ร้อยทั้งร้อย  เขาเห็นความชั่วของตัวเองมั๊ญ..ไม่เห็นหรอก   ถ้าอยากให้เขาเห็น..เขาต้องมีพระวิญญาณ  แล้วถ้าอยากให้เขามีพระวิญญาณ..เราก็ต้อง  ”อธิฐาน”ให้เขา..    มัทธิว 5:48 จึงบอกว่า “เหตุฉะนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์”...คนของพระเจ้าต้องไม่ใช่แค่ดี..แต่ต้องดีรอบคอบหรือดียอดเยี่ยม (ไม่ใช่แค่ good แต่ต้อง excellent)
ดู มัทธิว 6:1-2 “จงระวัง..อย่าทำศาสนกิจพื่ออวดคนอื่น” ที่พระเยซูบอกอย่างนี้ก็เพราะ..หลายคนชอบทำ..เพื่ออวดคนอื่น   พระเยซูบอก..”ทำแล้วอย่าเป่าแตรข้างหน้า”..คือ เที่ยวป่าวประกาศให้คนรู้ไปทั่วว่า..ฉันนี่ !ไปทำความดี..ความชอบอะไรมาบ้าง  “..เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำตามถนนและธรรมศาลา” ( คือ หลังจากที่ยิวสิ้นชาติไปแล้ว..วิหารในเยรูซาเล็มก็ถูกทำลาย  ยิวก็ใช้ธรรมศาลาในการรวมตัวกันเพื่อทำศาสนกิจและเรียนรู้พระบัญญัติ )  ...เพราะงั้น ข้อนี้ พระเยซูทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และฟาริสีโดยตรงเลย   เพราะคนพวกนี้เขาชอบแต่งตัวแบบให้ดูโฮลีมากๆแล้วไปยืนอธิฐาน..ทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตามข้างถนนหรือธรรมศาลา  เพื่อที่จะให้คนอื่นเห็นว่า ฉัน คือ ผู้ชอบธรรม...  จริงๆ คือ ต้องการคำสรรเสริญและเป็นที่ยอมรับของมนุษย์   ถ้าไปทำในบ้านเดี๋ยวไม่มีใครเห็น  พระเจ้าบอก ”เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว”..(คือ ได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์..ซึ่งไม่คุ้มเลย)  พระเจ้าบอก ใครก็ตามที่ทำอย่างนี้   ถวายเท่าไหร่ก็เอาไปคุยให้คนอื่นฟัง  หรือไม่..ก็ต้องมีชื่อติดอยู่ตามผนังโบสถ์   หรือทำทานเท่าไหร่..ก็ต้องเอาชื่อมาประกาศให้คนอื่นรู้   แม้แต่ ให้เพื่อนยืมเงิน..ก็เที่ยวคุยฟุ้งไปทั่ว  คนประเภทนี้จะไม่ได้บำเน็จอะไรจากพระเจ้าเลย  เพราะเขาได้คำยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์เป็นบำเน็จไปแล้ว..พระเจ้าไม่ต้องให้แล้ว..หายกัน
ข้อที่ 4 พระเยซูบอกว่า “ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน”   ศาสนกิจที่พระเยซูพูดถึงในบริบทนี้..เน้นถึงการทำทานให้คนยากจน  เพราะสมัยนั้น พระเจ้าบัญญัติชัดเจนให้คนรวยช่วยคนจน  รายละเอียดในเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในหนังสือฉธบ.
ดู ฉธบ.15:7-11  ในท่ามกลางท่านถ้ามีคนจนสักคนหนึ่ง    ท่านอย่ามีใจแข็งหดมือของท่านไว้เสียต่อหน้าพี่น้องของท่านที่ยากจนนั้น”  ในท่ามกลางท่าน หมายถึง ทุกคนรอบข้าง..ไม่เฉพาะที่เรารู้จักนะ  ถึงไม่รู้จัก..ถ้าเราเจอใครที่เขาลำบากมาก  ไม่มีกิน  ไม่มีใช้  หรือลำบากในเรื่องใดก็ตาม  ก็อย่า”หดมือ”..ทำเฉยไม่ช่วย..ไม่แบ่ง..ไม่ให้ยืม..พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ  แต่”จงยื่นมือของท่านอย่าง”ใจกว้าง” ให้เขา และให้ยืมอย่างเพียงพอแก่ความต้องการ”..อย่าสักแต่ว่าช่วยพอให้ผ่านๆไป  แต่ต้องใจกว้างกับเขา  เขาขาดอะไร..ต้องทำยังไงให้เขาไปรอด..ก็ต้องทำเต็มที่  (เท่าที่เรามีกำลัง)  พระประสงค์พระเจ้าในข้อนี้..ชัดเจน คือ ยากให้เราเอื้อเฟื้อ..ใส่ใจซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่ำต้อยในสังคม  (หญิงม่าย ลูกกำพร้า) ในสมัยนั้น..บางคนเขาเลี้ยงชีวิตด้วยทานที่คนอื่นบริจาคให้  คอยเข้าไปเก็บข้าวที่ตกจากฟ่อนในนาบ้าง..อะไรบ้าง  แค่นี้ชีวิตเขาก็ลำเค็ญจะแย่แล้ว  ถ้าคนที่ให้ยังเอาไปป่าวประกาศอีก..ในมุมนึง มันก็เป็นการทำให้คนเหล่านี้ต้อง”อับอายหรือรู้สึกต่ำต้อย”มากขึ้น..นึกออกมั๊ยคะ   พระเยซูจึงบอกว่า...”ทานของท่านต้องเป็นทานลับ”.. ไม่ต้องประกาศให้ใครรู้  ไม่ต้องหวังให้ใครๆมายกย่องสรรเสริญ   พระเจ้าเห็นก็พอแล้ว...พระองค์จะเป็นผู้ประทานบำเน็จให้กับเรา   ซึ่งมันคุ้มกว่า..มีค่ากว่าบำเน็จจากมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้เลย 
ดู มัทธิว 6:7-8 “..เวลาอธิฐานอย่าพูดซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติ”... หรือคนที่ไม่มีความเชื่อ  เลยชอบพูดซ้ำๆ  ซ้ำเรื่องอะไร..เรื่องที่ตัวเองอยากได้..  หลายครั้งเวลาที่เราอยากได้อะไรมากๆ  เราก็อดไม่ได้ที่จะ อธิฐานเน้นๆๆอยู่แต่เรื่องนั้นอ่ะ เมื่อก่อนน้าตุ๊กก็เคยเป็น  ที่พูดได้..สอนได้..นี่ก็เพราะตัวเองเคยเป็นมาก่อน  เวลาที่ขาดอะไร..อยากได้อะไร หรือเวลาที่สถานการณ์ภายนอกมันบอกว่าแย่แล้ว..เดี๋ยวไม่ทัน  เราก็กลัวพระเจ้าจะไม่รู้..ไม่เข้าใจ หรือกลัวว่าพระองค์จะมาสาย  เราก็เลยต้องย้ำๆๆๆกับพระองค์..ว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไร..ซึ่งต้องบอกตรงๆว่ามันเป็นความคิดที่โง่มาก  (อันนี้..น้าตุ๊กว่าตัวเอง)   เรามาดูซิว่าพระเยซูสอนให้เราอธิฐานยังไง 
ดู มัทธิว 6:9-10  สิ่งแรกที่พระเยซูกราบทูลพระบิดาในการอธิฐาน คือ “..ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”  เพราะไม่มีอะไรจะสำคัญหรือสูงส่งกว่า”พระนามของพระเจ้า” อีกแล้ว  เพราะงั้น เวลาอธิฐานเราต้องสรรเสริญโมทนาพระคุณพระเจ้าก่อน....    
ข้อต่อไปพระเยซูบอกว่า “ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่..ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”.....ไม่ใช่ตามใจเรา  และแม้ว่าเราอาจจะยังไม่เข้าใจ..ไม่เห็นชัดเจน..ว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นยังไง   จะเป็นแบบอาณาจักรสวรรค์แบบที่พระคำภีร์บอก     หรือจะเป็นแบบที่พระองค์ประทานให้อาดามกับเอวา..ก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป  หรือจะแบบไหนก็ไม่สำคัญ  คริสเตียนรู้แต่ว่า..ขอแค่ให้เป็นอาณาจักรของพระเจ้าก็โอเคละ  เพราะเรารู้ว่า..อาณาจักรของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์..เป็นนิรันดร์และมันก็ ”บรมสุขเกษม”  ในอาณาจักรของพระเจ้าความทุกข์และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะไม่มีอีกต่อไป..พระคำภีร์บอกไว้   และมนุษย์ทุกคนต้องการแบบนั้น   ถึงเขาจะไม่รู้จักพระเจ้า..แต่จิตวิญญาณของทุกคนโหยหาอาณาจักรของพระเจ้าทั้งสิ้น..โดยจะจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  แต่พระเยซูทรงรู้ดี..พระองค์ถึงสอนให้เราอธิฐานแบบที่วิญญาณมนุษย์ต้องการจริงๆ 
เพราะฉะนั้น  บางครั้ง..หลายคนอาจจะยังรู้สึกว่า คำอธิฐานที่พระเยซูสอน”ไม่ค่อยจะโดนใจ..ไม่ตอบโจทย์..ไม่มันส์  เพราะมันไม่สนองเนื้อหนัง..  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า..ยังไม่รู้จักพระเยซู  รวมถึงคนที่เพิ่งมาเชื่อใหม่ๆ..ที่จิตวิญญาณยังไม่โตด้วย  เขาก็จะแบบอยากจะพูด..จะขออะไรตามที่ใจอยากได้  ถามว่าขอได้มั๊ย..ได้  แต่เราต้องไม่ลืมที่จะตระหนักว่า “น้ำพระทัยพระเจ้า”นั้น ดีที่สุด  เพราะงั้น ยังไงก็ต้องลงท้ายว่า แต่ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระเจ้า  
ส่วนพวกเรา..โตแล้วนะ เรารู้ชัดเจนว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด  สติปัญญาของเราหรือแม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุด..ก็ยังไม่ได้ 1 ใน ล้านๆๆๆๆของพระเจ้าลย  แล้วถ้าเราจะอธิฐานตามพระเยซู..เราก็ไม่ได้สักแต่ว่าท่องไปแบบนกแก้ว..นกขุนทอง  แต่เราจะอธิฐานด้วยจิตวิญญาณที่รู้ซึ้งในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจริงๆ  เอเมน
ดู มัทธิว 6:11-13 “..โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย..ในกาลวันนี้”  เพราะถ้าพระองค์ไม่ประทานให้..อย่าหวังว่าจะได้มีอะไรตกถึงท้อง   ที่มีกิน..มีอยู่กันทุกวันนี้  ก็เป็นของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้น  เราแค่มักจะลืมไปเท่านั้นเอง..เพราะไร ไม่เคย”อด”แบบคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร  เขาถึงบอก..จะให้คนที่ร่ำรวยมีกินมีใช้เหลือเฟือ..ก้มหัวลงโมทนาพระคุณก่อนกิน..มันก็ยาก  เพราะอาหารประจำวัน..ดูแล้วมันเรื่องเล็กมากสำหรับคนรวย   เพราะฉะนั้น หลายครั้งพระเจ้าเลยจำเป็นต้องส่งความขาดแคลนมาให้บ้าง..เป็นระยะ ระยะ  จะได้รู้สำนึกว่า ถ้าพระองค์ไม่ประทานให้..ไม่มีใครได้กินหรอก..ไม่ว่าคุณจะรวยแค่ไหนก็ตาม  (นั่งเรือยอร์ช ไปน้ำมันหมดกลางทะเล  หรือไปติดเกาะร้าง  เงินของคุณช่วยให้อิ่มได้มั๊  หรือใกล้ตัวหน่อยเกิดเราขับรถไปยางแตกอยู่ในป่าในเขา  ใครจะเอาให้เรากินได้..นอกจากพระเจ้า) 
ท้ายข้อที่ 11 นี้..พระเยซูจบด้วยคำว่า..”ในกาลวันนี้”  หมายความว่า ให้เราขอ”วันต่อวัน” ไม่ต้องขอเผื่อตุนไว้  “..ขอทรงโปรดประทานอาหารให้ลูกตลอดทั้งปีนี้..ไม่ต้อง”  เอาแค่วันต่อวัน  อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้    เพราะถ้าเราทำอย่างงั้น แปลว่าเราไม่วางใจพระเจ้า..ไม่แน่ใจว่า..”พรุ่งนี้ พระเจ้าจะยังประทานให้เราหรือเปล่า”.. เราถึงต้องขอเผื่อไว้หรือต้องสะสมไว้   จำได้มั๊ย เมื่อพระเจ้าประทานมานาตกจากฟ้าให้คนอิสราเอล  พระองค์สั่งว่าไง..”ให้เก็บแค่พอกินใน 1 วัน”  ถ้าใครตุนไว้..เป็นไง..เช้ามามันก็เน่าหมด     นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงแก่เราตลอดเวลา  ให้เราไว้ใจพระองค์..ไม่ต้องตุน..ไม่ต้องสะสม  ไม่ต้องมีตัวเลขในธนาคารเยอะๆ..ไม่ต้อง..ไม่จำเป็น  ไม่ว่าสถานการณ์หรือสิ่งที่ตามองเห็นมันจะเป็นยังไง..พระเจ้าก็เลี้ยงเราได้แน่นอน  ในทางตรงกันข้าม ถ้าพระเจ้าไม่เลี้ยง..ไม่ดูแล..ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน..คุณก็จะขาดแคลนอยู่ดี  บางคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต  สุดท้ายไอเงินที่หามา..ยังไม่พอรักษาตัวเองเลย
ดู มัทธิว 6:14-15  “..ถ้าเราไม่ยกโทษให้เพื่อนมนุษย์  พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้เราเหมือนกัน”...แล้วจริงๆ โทษของเพื่อนมนุษย์ที่ทำกับเรานั้น..มันเล็กน้อยมาก  ถ้าเทียบกับที่เราทำบาปต่อพระเจ้า    ปละพอได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐ..เราก็ดีใจมาก  เพราะพระเจ้ายืนยันว่า..ไม่ว่าบาปของเราจะใหญ่โตขนาดไหน  โลหิตของพระคริสต์ชำระให้บริสุทธิ์ได้แน่นอน 100% ไม่ว่าเราจะเคยผิดพลาดอะไรมา..พระองค์สัญญายกโทษให้ทั้งหมด  (สุดยอดมั๊ย)  เราได้ยิน..ก็ดีใจ  โอ..พระเจ้าใจดีจริงๆ  ต่อไปนี้รอดแล้ว..ไม่มีเวรกรรมอีกต่อไปแล้ว   แต่พอถูกมนุษย์ด้วยกันกระทบกระทั่งนิดหน่อย..ก็โกรธเขา   พระเจ้าสั่งว่าให้ยกโทษ..ก็ทำได้บ้าง..ไม่ได้บ้าง  ทั้งที่ บางทีมันเรื่องเล็กนิดเดียว   พระเจ้าถึงต้องย้ำกับเรา..ให้เรายกโทษให้พี่น้อง..เพื่อนมนุษย์  แล้วพระองค์ก็จะยกโทษให้เรา   ถ้าเราทำไม่ได้...ไม่มีกำลังพอเราก็ขอกำลังจากพระเยซู  ถ้าเราตั้งใจดี..สักวันเราจะทำได้..ไม่ช้าก็เร็ว
  หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ
                      ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ