มาถึงบททที่
8 จะเป็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำกับบุคคลประเภทต่างๆ
ทั้งคนที่ติดตามพระองค์ คนต่างชาติ คนที่สังคมรังเกียจ ดังนั้น จุดประสงค์ของพระธรรมตอนนี้บันทึกไว้เพื่อให้เห็นว่า..พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจเหนือธรรมชาติ..เหนือผีมารซาตาน รวมทั้งความบาปและความตายด้วย
ดู
มัทธิว 8:2-3 “โรคเรื้อน” ที่กล่าวถึงในข้อนี้
หมายถึง โรคเรื้อนตามผิวหนัง..ร่างกาย
ส่วนโรคเรื้อน..ที่กล่าวไว้ใน”ธรรมบัญญัติ” อันนั้นหมายถึง “ความบาป” นะคะ ข้อที่ 2 บอกว่า..มีคนเป็นโรคเรื้อนคนนึงมาหาพระเยซู แล้วทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า
เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้ พระเยซูก็ทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขา
แล้วตรัสว่า "เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด" ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย”
...โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อ แล้วจริงๆคือรักษาไม่หาย ถ้าจะพบคนโรคเรื้อนได้รับการรักษาให้หายในพระคำภีร์..ก็เป็นฝีพระหัตถ์พระเจ้าทั้งสิ้น กฎบัญญัติทางโมเสสได้ระบุไว้ว่าใครที่เป็นโรคเรื้อนจะต้องถูกแยกออกไป..จะมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นหรือแม้แต่นมัสการร่วมกับคนอื่น..ไม่ได้ แล้วคนเป็นโรคเรื้อนก็ต้องอยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อยสิบเมตร ห้ามเดินเพ่นพ่าน ในตลาดยิ่งไม่ต้องพูดถึง..ถ้าเฉียดใกล้ไปของที่เขาวางขายต้องทิ้งหมด แต่ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรง ”แตะต้อง”
คนที่เป็นโรคเรื้อนนี้..โดยไม่รังเกียจ..แล้วก็ไม่กลัวติดด้วย แล้วเขาก็หาย”
ดู
มัทธิว 8:5-8 เมื่อพระองค์เสด็จไปที่เมืองคาเปอรนาอุม มีนายร้อยคนนึงมาขอให้พระเยซูช่วยรักษาบ่าวของเขา..ที่นอนเป็นง่อยอยู่ที่บ้าน พระเยซูก็บอก “โอเค เดี๋ยวจะไปรักษาให้” แต่ ! นายร้อยคนนี้บอกว่า
พระเยซูไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะ“เขาเนี่ย..ไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาบ้านของเขา”..คือ
สมัยนั้นโรมซึ่งเป็นมหาอำนาจจะมีกองทัพอยู่ทั่วดินแดนปาเลสไตน์ แล้วนายร้อยคนนี้..ก็เป็นชาวโรมัน หมายความว่า เขาคนต่างชาติ
แล้วธรรมเนียมของพวกยิว..เขาจะไม่เข้าไปในบ้านของคนต่างชาติ นายร้อยคนนี้เลยไม่อยากให้พระเยซูต้องถูกครหา ข้อที่ 8 เขาบอกว่า “..ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น
ผู้รับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายโรค” โอ..พระเยซูฟังแล้ว รู้สึก”ทึ่ง”ชายคนนี้มาก ข้อที่ 10 พระองค์บอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้..แม้แต่ในอิสราเอล”
กลายเป็นว่า “คนต่างชาติ” ยังมีความเชื่อมากกว่า “ยิว” ซะอีก
ดู
มัทธิว 8:11-13 เมื่อนายร้อยชาวโรมันได้สำแดงความเชื่อของเขาต่อพระเยซู พระองค์จึงทรงเผยพระวจนะว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า
คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาร่วมสำรับ (บางฉบับใช้คำว่า เอนกายลง)
กันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์”
คำว่า ”ร่วมสำรับหรือเอนกายลงในอาณาจักรแห่งสวรรค์”
ก็หมายถึงผู้ที่จะได้รับความรอดนั่นเอง..
เพราะฉะนั้น นี่คือ หมายสำคัญที่พระเยซูบอกเรา..ว่าผู้ที่จะมาเชื่อพระองค์และได้รับความรอดนั้น ไม่ใช่จะมีแต่”ยิว”แต่จะเป็นคนทุกชาติ..ทุกภาษาที่มาจากทั่วโลกเลยนะคะ ที่จะมีสิทธิ์ได้รับความรอดจากพระเยซู ข้อที่
12 บอก
“แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ออกไปในที่มืดภายนอก
ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
...ชาวแผ่นดินนั้น หมายถึง “ยิว” หรือ”อิสราเอล” ที่ถึงแม้จะเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อพระเยซูและได้รับความรอดหรือได้ไปสวรรค์ พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าชัดเจนว่าจะมี ”ยิว”ที่ถูกขับไปในที่มืด..ที่ที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ข้อที่ 13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า
“จงกลับบ้านเถิด ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น” แล้วบ่าวที่เป็นง่อยของเขาก็หายเป็นปกติ
นอกจากนี้ ในข้อที่ 14-16 พระเยซูยังทรงรักษาคนอีกมากมายทั้งแม่ยายของเปรโตที่ป่วย
แล้วก็คนถูกผีสิงอีกมากมายก็หายได้ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ฟังดีๆนะคะ.. พระเยซูรักษาผู้คนให้หายได้ ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ก็คือ
แค่พระองค์พูดคำเดียว..ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้นทันที พระเยซูไม่ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์อะไรมากมาย
พระองค์ไม่ต้องเสกหรือต้องบริกรรมคาถา..อะไรมากมายเหมือนที่พวกไหว้ผีไหว้เจ้าชอบทำ..นึกออกมั๊ยคะ
แต่..พระเยซูแค่พูดคำเดียวทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย (เป็นปลิดทิ้ง)
ดู
มัทธิว 8:19-20 ในสมัยนั้น
ธรรมาจารย์จะเป็นคนที่มีเกียรติ
เป็นที่ยอมรับนับถือของคนอิสราเอล เพราะธรรมาจารย์ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่รู้เรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้า..เป็นอย่างดี ข้อนี้ บอกว่า “มีธรรมาจารย์คนนึงบอกพระเยซูว่า “อาจารย์เจ้าข้า
ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”
พระเยซูฟังแล้วก็ตอบเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง
แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”...บุตรมนุษย์
เป็นคำที่พระเยซูมักจะใช้เรียกพระองค์เอง หมายความว่า
การที่จะติดตามพระองค์หรือมาเป็นสาวกของพระองค์..ไม่ใช่เรื่องง่าย
ต้องพร้อมที่จะละทิ้งความสะดวกสบายทุกอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจ พระเยซูทรงยกตัวอย่าง..ว่าแม้แต่สัตว์ต่างๆก็ยังได้กินนอนเป็นที่..มีบ้าน..มีรังของตัวเองเป็นหลักแหล่ง แต่พระองค์..ไม่ใช่
และใครก็ตามที่ตั้งใจจะติดตามพระองค์ก็ต้องพร้อมที่จะใช้ชีวิตเหมือนคนต่างถิ่น..พร้อมจะอยู่และพร้อมจะไปในทุกที่ที่พระองค์นำไป เหมือนพวกเรา เราติดตามพระเยซูมั๊ย..แล้วเราพร้อมมั๊ย ถ้าพระองค์จะพาไปในที่ที่เราอาจจะไม่คุ้นเคย พร้อมมั๊ย..ถ้าวันนี้พระองค์บอกว่า
“กลับบ้านได้” เราพร้อมจะไปกับพระองค์มั๊ย
หรือ ยังไม่อยากไป..ยังสนุกกับโลกนี้อยู่ ถ้าเราติดตามพระเยซูจริงๆเราต้องอยู่แบบโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา จะสุขบ้าง..ทุกข์บ้าง บางครั้งลำบาก..บางครั้งสบายก็ต้องอยู่ด้วยความเข้าใจ..ว่าโลกนี้มันไม่ใช่ที่ของเรา
ดู
มัทธิว 8:21-22 เมื่อพระเยซูทรงชี้ให้ทุกคนเข้าใจแล้ว..ว่าการติดตามพระองค์ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเรื่องสนุกอย่างที่ทุกคนคิด พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจจริง..แต่ ! ผู้ที่จะติดตามพระองค์ต้องพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างร่วมกับพระองค์”ด้วยความไว้วางใจ” และ ข้อนี้
บอกว่า..อีกคนที่เป็นศิษย์ของพระองค์เมื่อฟังอย่างงั้นแล้วก็พูดกับพระองค์ว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน" คำว่า “ไปฝังศพบิดาก่อน”
น้าตุ๊กว่า..เขาหมายถึงรอให้พ่อแม่เขาตายก่อน
เขาอาจจะยังมีป่วยหรือแก่ชราต้องดูแล
พูดง่ายๆ ก็คือ รอให้เขาหมดภาระก่อน..แล้วเขาจะติดตามพระเยซู
ในทางเดียวกัน เวลาที่เราบอกข่าวประเสริฐกับใครหรือใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐแล้วบอกว่า
“เด๋วรอก่อนนะ..รอให้พ่อแม่ตายก่อน
แล้วเขาจะมาเชื่อพระเจ้า”
หรือ “ขอบวชให้พ่อแม่ก่อน แล้วค่อยรับเชื่อ..ไม่อยากมีปัญหากับพ่อแม่พี่น้อง” ..อะไรประมาณนี้ แต่ ! พระเยซูบอกว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด” ...คำว่า”คนตาย” คำแรกนี้
พระเยซูหมายถึงคนตายฝ่ายวิญญาณ หรือ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ส่วน”คนตาย” คำหลัง ก็หมายถึง..ศพ ในบริบทนี้ความหมายของพระองค์คือ การติดตามพระองค์เป็นสิ่งที่เราต้องทำ”ทันที”
หรือเป็นสิ่งที่แรกที่มนุษย์ควรทำ
เพราะความเชื่อในพระองค์จะทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์และไม่ตายฝ่ายวิญญา
ส่วนกิจการอย่างอื่นฝ่ายโลก..ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนที่”ไม่มีความเชื่อ”
เขาทำไป ถ้าเราเชื่อพระซูแล้วสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา
คือ ความเชื่อหรือการตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ทันที..จริงจัง..อย่างไม่มีเงื่อนไข..
ดู มัทธิว
8:24-25 ขณะที่พระเยซูประทับอยู่ในเรือกับเหล่าสาวก ก็มีพายุใหญ่เกิดขึ้น คือ “ทะเลสาบกาลิลี”
จะเป็นที่ที่มีภูเขาอยู่ล้อมรอบ อากาศจะเปลี่ยนเร็ว..ค่อนข้างแปรปรวน ข้อที่ 24 นี้
บอกว่า ขณะที่มีพายุใหญ่พัดกระหน่ำ พระเยซูทรง..หลับ พวกสาวกก็เอะอะโวย แล้วก็กลัวมาก..กลัวจนอดรนทนไม่ได้ต้องเข้ามาปลุกพระเยซู เป็นเรา..เราจะปลุกมั๊ย..ไม่เหลือ !!! ข้อที่ 25 บอกว่า
สาวกปลุกพระองค์แล้วพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า
ช่วยด้วย
พวกเรากำลังจะจมอยู่แล้ว”...”จะจม” แปลว่า จมรึยัง...ยัง ! เนี่ย..พวกเราก็เป็นแบบนี้ อาจเป็นมากกว่านี้ด้วยซ้ำ....
เด็กๆดูดีๆนะคะ..ดูตามน้าตุ๊ก
ตั้งแต่ข้อที่ 23 ..บอกว่า “เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ พวกสาวกก็ตามพระองค์ไป” เมื่อเราตัดสินใจตามพระเยซู..ก็เหมือนเราลงเรือ
“ลำเดียวกับพระองค์”
เวลามีพายุ..เกิดปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบาก พระองค์อยู่กับเรามั๊ย..อยู่ตลอดเวลา แต่เรามักจะรู้สึกเหมือนสาวกพวกเนี้ย คือ รู้สึกว่า “ทำไมพระองค์เหมือนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่”
เรารู้สึกว่าเหมือนพระองค์จะนิ่งดูดายทั้งที่เรากำลังจะจมน้ำ ซึ่งจริงๆ..จมรึยัง..ยังไม่จม แต่เรากลัวเพราะหลายครั้งพายุมันพัดแรงจริงๆ ถ้ามองด้วยสติปัญญาฝ่ายโลก..ก็รู้สึกเหมือนจะไม่รอด
เห็นภาพฝ่ายวิญญาณของข้อนี้มั๊ยคะ
นี่เป็นความอัศจรรย์อย่างนึงของถ้อยคำพระเจ้า..ที่มีภาพซ้อนฝ่ายวิญญาณอยู่ตลอดเวลา และ..ไม่เคยล้าหลังแต่อัพเดทและรู้ทันเราความคิดเรา..ตลอด
ดู
มัทธิว 8:26-27 เมื่อพระเยซูเห็นสาวกเข้ามาปลุกพระองค์ด้วยความตกใจกลัว ทั้งที่พระองค์ก็ประทับอยู่ด้วยเห็นๆ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
"เหตุไฉนเจ้าจึงขลาดกลัวนัก
ช่างมีศรัทธาน้อยจริงๆ” .......ทำไมถึงมีความเชื่อน้อยอย่างนี้ นี่ขนาดพระองค์ประทับอยู่ด้วยเห็นๆนะ แล้วถ้าไม่เห็นล่ะ..(เหมือนพวกเรา)..จะยิ่งกลัวขนาดไหน เสร็จ “แล้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล
คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป” สาวกกลัวแทบตาย..แต่พระเยซูพูดคำเดียวพายุเงียบเป็นปลิดทิ้ง ข้อที่
27 บอก “คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า
"ท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน” พอเห็นพายุเงียบกริบ เหล่าสาวกงง..มาก คือ
แรกเลยคนเหล่านั้นที่เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ..ไม่ว่าจะเป็นการรักษาคนป่วย การขับผี
อะไรต่างๆเนี่ย
พวกเขาคงคิดว่าพระเยซูก็คงมีสิทธิอำนาจหรือเป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะทั่วๆไป แต่พอเห็นพระองค์ห้ามพายุได้อยู่หมัดขนาดนั้น..พวกเขาก็ชักไม่แน่ใจละ..ถึงต้องเปรยออกมาเหมือนต้องคิดใหม่แล้วว่าพระเยซูผู้นี้เป็นใคร ขนาดทั้งลม..ทั้งทะเลก็ยังต้องเชื่อฟัง
ดู
มัทธิว 9:2-4 พระเยซูทรงรักษาคนง่อยที่เข้ามาหาพระองค์”ด้วยความเชื่อ”
อย่างพวกเราเป็นคนง่อยมั๊ย..ง่อยฝ่ายวิญญาณนะคะ แต่พระองค์ทรงเห็นหัวใจที่มีความเชื่อของเขา..เหมือนที่พระองค์เห็นหัวใจที่มีความเชื่อของพวกเราเช่นกัน และใครก็ตามที่มีความเชื่อและเข้ามาหาพระองค์..บาปของผู้นั้นก็จะได้รับการอภัย เหมือนที่พระองค์พูดกับคนง่อยในข้อนี้ว่า “จงชื่นใจเถิด
บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” ข้อที่ 3 บอก..เมื่อพวกธรรมาจารย์ได้ยินพระเยซูพูดอย่างงั้น ก็แอบคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า”
คือ
“คนยิว” ..เขาจะเชื่ออย่างเหนียวแน่นมาก..ว่า
ผู้เดียวที่จะยกบาปผิดให้กับมนุษย์ได้ ก็คือ พระเจ้า เขาไม่เชื่อพระเยซูนะคะ เขารู้สึกคนนี้เป็นใคร..มาจากไหนก็ไม่รู้ ซ้ำยังเป็นมนุษย์เหมือนกัน ..แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมายกบาปผิดให้ใครต่อใคร เขาถือว่าการที่พระเยซูพูดอย่างงั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า..เหมือนตีเสมอ..อะไรประมาณนั้น
ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดชั่วของพวกธรรมาจารย์ พระองค์ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า” นี่คือ บุคคลิกของพระเยซูคริสต์นะคะ พระองค์พูดตรง..พูดต่อหน้า เวลาว่าใคร..แรง และจะเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ !!!
ดู
มัทธิว 9:5-7 เมื่อพระเยซูทราบความคิดชั่วในใจของพวกธรรมาจารย์แล้ว พระองค์จึงทรงถามพวกเขาว่า “ ที่จะว่า
บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว' และจะว่า `จงลุกขึ้นเดินไปเถิด' นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน”....ความหมายของพระเยซูคือ
ระหว่างการอภัยบาปให้กับมนุษย์ กับ การรักษาคนง่อยให้ลุกขึ้นเดิน..เนี่ย พวกเขาคิดว่า..อันไหนมันง่ายกว่ากัน แน่นอน..สำหรับพวกธรรมาจารย์แล้ว เขาต้องคิดว่า “การอภัยบาป”..ง่ายกว่า เพราะไร..มันมองไม่เห็นไง พิสูจน์ก็ไม่ได้ ทำง่ายจะตายไป..ถูกมั๊ยคะ แล้วพระเยซูก็รู้ว่าพวกธรรมาจารย์คิดอะไรอยู่ ข้อที่ 6 พระองค์จึงตรัสว่า “แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า
บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า"จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” คนเป็นง่อยนั้นก็ลุกขึ้น
เดินได้ทันที.. หมายความว่า ถ้าพวกธรรมาจารย์คิดว่า..การทำให้คนง่อยลุกขึ้นเดินยากกว่า
การอภัยบาป
งั้นพระองค์ก็จะทำให้ดู..จะได้รู้ว่าพระองค์ทำได้ทุกอย่าง.. ข้อที่ 8 บอกว่า
“คนเป็นอันมากเมื่อเห็นดังนั้น..ก็อัศจรรย์ใจ..”...จะไม่อัศจรรย์ได้ไง พระเยซูทำทุกอย่างเหมือนง่ายไปหมด
แค่พระองค์พูดคำเดียวทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น “จากนั้นทุกคนก็พากันสรรเสริญพระเจ้า
ผู้ได้ทรงประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์”
น้าตุ๊ก ว่า..ณ.จุดนั้น
ประชาชนที่ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ
เขาเริ่มแน่ใจแล้วล่ะ..ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ