วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเพื่อให้เกิดพลัง อาทิตย์ที่ 28:10:2012


“สามัคคีธรรม” คือ การเข้าไปมีส่วนร่วม..แบบเป็นหนึ่งเดียวกัน  ธรรม ในที่นี้ เราหมายถึง ทางของพระเจ้า  รวมกันก็คือ  การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อที่จะดำเนินอยู่ในทางพระเจ้า   ซึ่งมีอยู่ 3 ขั้นตอนที่สำคัญสำหรับคริสเตียน
ดู 1เธสะโลนิกา 5:17-18  วิธีแรกที่เราจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ก็คือ “การอธิฐาน”  การอธิฐานสำคัญมากสำหรับคริสเตียน  เราถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก  ให้อธิฐานทุกวัน  อย่างน้อยที่สุด 2 ครั้ง คือ ตื่นนอนขึ้นมาก็ต้องอธิฐานเลย..เป็นอย่างแรก  กับ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน  เด็กๆต้องทำให้เป็นนิสัยนะคะ  ข้อที่ 18 บอกว่า “..เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย  ฟังดีๆ “เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าในพระคริสต์” ข้อนี้มีความหมายตามนั้นจริงๆ  เพราะพระเยซูอุตส่าห์ยอมมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อเรา  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนม่านในวิหารก็ขาดออก..เป็นสัญลักษณ์ว่าโดยความเชื่อในพระเยซู..ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเรากับพระเจ้าได้อีกต่อไป    เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยการอธิฐานได้ตลอดเวลาที่เราต้องการ  ไม่เหมือนในพันธสัญญาเดิม..ที่มีแต่มหาปุโรหิตเท่านั้น..ที่สามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในห้องอภิสุทธิสถาน  และกว่าจะเข้าเฝ้าได้ก็ต้องเตรียมการกันอย่างยุ่งยากซับซ้อนมากมายหลายชั่วโมง  เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ค่อยอธิฐานหรือทำไม่สม่ำเสมอ..ก็ให้กลับใจใหม่นะคะ เพราะสิ่งนี้มีค่ามาก  แล้วการที่จะอธิฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้ก็ง่ายดายมาก  ทำได้ทุกที่..ทุกเวลาที่เราต้องการ..ผ่านทางพระเยซูคริสต์    แล้วถ้าเรายังไม่ทำอีก..เราจะไม่มีวันเข้าถึงพระเจ้าได้  เพราะง่ายขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าหา..แล้วจะไปเข้าทางไหน   สุดท้ายแล้ว เราจะไม่มีวันที่จะทำอะไรได้สำเร็จอย่างถูกต้องด้วย..ถ้าเราไม่อธิฐาน   (เดี๋ยวเด็กๆโตขึ้น  ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้นเอง  เพราะจะมีประสบการณ์ตรง)  ทีนี้ มาดูว่าพระเยซูสอนเกี่ยวกับเรื่องการอธิฐานไว้อย่างไรบ้าง   อย่างแรกเลยเปิดไปดู..
ดู มัทธิว 6:1-2  “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น  ถ้าทำอย่างนั้น  เราจะไม่ได้รับบำเน็จจากพระเจ้า”  คำว่า “ศาสนกิจ” น้าตุ๊กคิดว่าหมายถึงทุกอย่าง..ที่เกี่ยวกับงานของพระเจ้า  และรวมถึงการทำดีให้เป็นที่ถวายเกียรติ..เป็นที่ชอบพระทัยต่อพระพักตร์พระองค์   ทั้งการช่วยงานทุกอย่างในโบสถ์  การทำทาน..การช่วยเหลือคนอื่นทุกรูปแบบ  หรือแม้แต่การอธิฐาน  พระเยซูบอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น   อย่าทำแล้วไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้..ว่าฉันถวายเยอะ   ฉันบริจาคเงินช่วยเหลือคนน้ำท่วมไป..กี่หมื่นกี่แสน  หรือตอนสร้างโบสถ์ฉันก็ช่วยออกเงินเยอะมาก..น่าจะเอาชื่อฉันไปติดไว้ที่หน้าโบสถ์  อะไรต่างๆเหล่านี้..ก็เป็นการป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ทั้งสิ้น  พระเยซูทรงบอกว่า..อย่าทำ   (เพราะงั้น เราจะไม่ได้เห็นชื่อหรือรูปถ่ายของคนที่บริจาคหรือถวายเงินในการสร้างสิ่งต่างๆตามผนังโบสถ์เหมือนที่เห็นกันตามวัด)   หรือ แม้แต่เวลาที่เราอธิฐานพระเยซูก็บอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น..  ข้อที่ 6 บอกว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน  ปิดประตูให้เรียบร้อย  แล้วก็อธิฐาน..ถ้าเป็นได้   แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเราอธิฐานนอกบ้านไม่ได้..ไม่ใช่  เราควรอธิฐานตลอดเวลาด้วยซ้ำไปแต่เราแค่อธิฐานในใจ  สงบใจแล้วระลึกถึงพระเจ้า..คุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว  อย่าไปยืนทำท่าโฮลี่  โบกไม้..โบกมือ  โหวกเหวกโวยวายอยู่ตามที่สาธารณะ  เหมือนคนเคร่งศาสนาซะเต็มประดาอะไรอย่างนั้น..อย่าทำ  (หรือแม้แต่ในห้องประชุม  พระคำภีร์บอกว่าต้องมีระเบียบ  อันไหนที่ไม่มีระเบียบ..ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า)
ดู 1ซามูเอล 3:20-21  “..เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชีโลห์ โดยพระดำรัสของพระเยโฮวาห์”  ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์โดย..”พระดำรัส” เพราะฉะนั้น วิธีที่สอง..ที่จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้นก็คือ การใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์..ในพระคำภีร์..ไม่ใช่ทุกวันนะแต่ควรจะทำทั้งวัน   น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า มันเป็นไปได้ที่เราจะสนิทกับใครหรือไว้ใจใครได้โดยที่ไม่รู้จักเขาเลยหรือรู้จักไม่ดีพอ  ดังนั้น  เราควรจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้าตลอดเวลา
แต่..พอได้ยินคำว่าสามัคคีธรรมแล้ว  เด็กๆอย่าไปคิดถึงภาพพิธีกรรมที่ลึกลับซับซ้อน  หรือภาพนักบวชบำเพ็ญตะบะที่ต้องออกๆไปปลีกวิเวกตามป่าตามเขาห่างไกลแสงสีความเจริญ..ไม่ใช่   คริสเตียนสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปกตินี่แหละ    โดยการสงบใจอธิฐานหรือคิดจดจ่อซ้ำไปซ้ำมาอยู่กับถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ว่าจะตอนนั่งอยู่บนรถ   ทานอาหาร  ออกกำลังกาย   หรือแม้แต่กำลังเดินอยู่ตามทาง   เด็กๆสามารถเริ่มต้นฝึกได้ด้วยการหัดจำพระคำภีร์สักข้อนึง..เริ่มจากสั้นๆก่อนก็ได้  แล้วก็คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา..ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้   ตัวอย่างเช่น
.....เวลาที่มีรายได้ลดลง  แล้วเรากลัวว่าจะขัดสนมีรายรับไม่พอรายจ่าย  เราก็ท่องเลย สดุดี  23
           “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ  ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ”  ไม่อดตายแน่แต่เราจะอุดมสมบูรณ์เหมือนแกะที่ผู้เลี้ยงพาไปกินหญ้าในทุ่งที่หญ้าเขียวสดและริมธารน้ำแดนสงบ..คือ อุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำและอาหาร..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับใคร 
.....หรือในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ  แผ่นดินไหว  น้ำท่วมโคลนถล่ม  มีโรคระบาดแปลกๆเยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้  หลายครั้งเราก็อดที่จะนึกกลัวไม่ได้  ก็ท่องเลย สดุดี 91:1-8 
    “..พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์จะไว้วางใจ" 
        “..พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..”  เพราะฉะนั้น ยิ่งสิ่งที่ตามองเห็น..ทำให้เรากลัวมากขนาดไหน  เรายิ่งต้องจำถ้อยคำของพระเจ้าไว้ให้ขึ้นใจ  พกไว้เหมือนเป็นอาวุธที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาไล่ความกลัวได้ตลอดเวลา       
ดู โรม 12:1-2  “..อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม” ... เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้า..เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่   เพราะฉะนั้น  ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้ามาหลายปีแต่นิสัย  ความคิด..จิตใจไม่เปลี่ยนเลย  (หมายถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น..เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น)  ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองว่าเราติดสนิทกับพระเจ้าน้อยเกินไปรึเปล่า   คำว่า   ”จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่” ในข้อนี้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่มาจาก  ”การทรงสถิต”  รับเชื่อแล้ว..พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา  และการที่เราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ก็เป็นมาโดยพระวิญญาณที่อยู่กับเรา เราไม่สามารถเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการทำเลียนแบบ  ถ้าต้องทำให้เหมือน..ก็เท่ากับการที่ต้องทำตามกฎบัญญัติอย่างครบถ้วน  ซึ่งไม่มีวันเป็นไปได้  เพราะเราไม่มีกำลังมากพอ   แต่คริสเตียนทำได้..ด้วยการพึ่งในพระคุณของพระวิญญาณ  และเราสามารถให้ความร่วมมือกับพระเจ้าได้..ด้วยการติดสนิทกับพระองค์ผ่านการอธิฐาน..ทูลขอ..และใคร่ครวญข้อพระคำภีร์อยู่เป็นประจำ   ข้อที่ 2 บอกว่า “..เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าอะไรดี  อะไรเป็นที่ชอบพระทัย  และอะไรดียอดเยี่ยม”  เด็กๆดูดีๆ สิ่งที่ดีในข้อนี้มันมีหลาย level  ไม่ได้มีแค่ good แต่มี excellent ด้วย  และในทางพระเจ้า..น้าตุ๊กขอบอกว่า  เราควรจะทำแบบ excellent  คือ เป็นที่ชอบพระทัยอย่างยอดเยี่ยม  แต่ก่อนจะเป็นได้เราต้องรู้ก่อนว่าพระเจ้าชอบอะไร..ไม่ชอบอะไร  และคู่มือเล่มเดียวที่จะบอกเราได้ก็คือ พระคำภีร์ 
ดู ยอห์น 13:34-35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน แล้วคนทั้งปวงก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”  การจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนของพระเจ้า..เป็นสาวกของพระคริสต์ ก็คือ “เราต้องรักซึ่งกันและกัน”  ไม่ใช่การถือพระคำภีร์เล่มโตมาโบสถ์  ไม่ใช่การรู้พระคำภีร์ทั้งเล่ม  หรือแม้แต่การที่เราถวายอย่างมากมาย  ก็ไม่ได้เป็นข้อบ่งบอกถึงการเป็นสาวกของพระคริสต์  แต่พระเจ้าบอกชัดเจน ว่า”ให้เรารักซึ่งกันและกัน” อย่างงั้นเราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระองค์
พระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพากันในการสามัคีธรรม..เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน  เราไม่สามารถที่จะเติบโตไปคนเดียวเพียงลำพัง  ฉันรอดแล้ว..ฉันไม่สนใจคนอื่น..ไม่ได้  ดังนั้น นอกเหนือจากการอธิฐานและอ่านพระคำภีร์เพื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์แล้ว  พระเจ้าต้องการให้เรามีปฎิสัมพันธ์กับพี่น้อง  หลายๆศาสนามักจะมีค่านิยมว่า “คนที่จะเติบโตหรือพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าทางฝ่ายวิญญาณ..จะต้องหนีไปปลีกวิเวกอยู่คนเดียว  ไปขึ้นเขาลงห้วย  หรืออย่างน้อยที่สุดต้องรู้จักตัดทางโลกไปทำสมาธิ..หรือเดินจงกลมอยู่ตามวัดวาอาราม  แต่สำหรับคริสเตียน..ไม่ใช่  พระเจ้าสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง  เราไม่สามารถเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ได้..ด้วยการไปปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว  หรือเอาแต่นั่งอธิฐานอยู่ในบ้านโดยไม่ออกมาพบปะผู้คนเลย 
ดู ยอห์น 15:4-6  “..ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ...ไม่ได้จริงๆ  เพราะงั้น เราทุกคนจึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร  เราต้องมีส่วนร่วมและมีความสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์  ครอบครัวผู้เชื่อ  เพราะพระเจ้าทรงใช้  ”พฤติกรรม และสถานการณ์” เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างอุปนิสัยของเราทุกคน  เด็กๆลองคิดดู..ว่าเราจะแข็งแรงได้ยังไงถ้าเราไม่เคยเจอปัญหา..ไม่เคยเจอคนนิสัยแย่ๆ  ถ้าทั้งชีวิตของเราวางอยู่บนความสุขสบาย  เจอแต่คนดีๆ ช่างเอาอกเอาใจ  เราไม่มีทางเติบโตหรอก  เพราะเราจะไม่รู้จักอดทน  ไม่รู้จักแบ่งปัน  ไม่รู้จักอดกลั้น ไม่รู้จักการรอคอย  ที่สำคัญเราจะรักใครไม่เป็น   เราจะไม่มีทางได้ฝึกฝนหรือเรียนรู้ที่จะรักแบบพระเยซู   เพราะพระเยซูไม่ได้เลือกที่จะรักเฉพาะคนดีๆหรือคนที่น่ารักเท่านั้น  แต่พระองค์ทรงรักคนบาป..อย่างพวกเราและมนุษย์ทุกคน  เพราะฉะนั้น  ถ้าไม่ออกจากบ้าน..มาปฎิสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์  ไม่มีส่วนร่วมกับชุมชนหรือสังคมไหนๆเลย   เราก็จะไม่ได้เจอคนที่เห็นแก่ตัว  ไม่ได้เจอคนขี้โกง  ขี้อิจฉา  ขี้ใจน้อย  ขี้บ่น  คือเราจะไม่มีโอกาสเจอคนนิสัยแย่ๆ..แล้วเราจะไปฝึกความอดทนตอนไหน..
ดู 2โครินธ์ 4:16-17  “..เพราะการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆบนโลกนี้เรารับแค่ประเดี๋ยวเดียว  แต่จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์”  ซึ่งมันคุ้มจะตาย   เด็กๆจำไว้ว่า..ปัญหาเป็นแค่เครื่องมือที่พระเจ้าใช้ในการฝึกฝนให้เรารู้จักอดทน  ดึงให้เราเข้าใกล้และไว้วางใจพระองค์มากขึ้น   เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราออกห่างพระเจ้า  หรือเผลอไปให้ความสำคัญกับบางสิ่งมากกว่าพระองค์  พระเจ้าก็จะเอาสิ่งนั้น..ออกไปจากชีวิตเราแล้วใส่ปัญหาเข้ามาแทน  และในเวลาที่เราไม่เหลืออะไร  ไม่มีใครช่วยได้  หรือมองไม่เห็นทาง  เราก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจนที่สุด   
ดังนั้น อย่าท้อถอยหรืออ่อนระอาใจในเวลาที่เกิดปัญหา  เพราะข้อที่ 16 บอกว่า “..ถึงกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” ...ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มสุดๆ  เพราะกายภายนอกมันเป็นสิ่งที่จะอยู่แค่ชั่วคราว  แต่จิตวิญญาณที่จำเริญขึ้นใหม่ต่างหาก..ที่จะอยู่กับเราถาวรนิรันดร์  เพราะงั้น บนโลกนี้เราจะมีรูปร่างหน้าตาหรือมีอาชีพอะไร..ฐานะจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญ  เพราะสิ่งที่เราจะเอาติดไปสวรรค์คือ จิตวิญญาณที่ถูกสร้างใหม่ให้มีความไพบูลย์เหมือนพระคริสต์  ไม่ใช่อาชีพ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเงินทอง
หัวข้อสุดท้ายที่เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนอีกสักนิด ก็คือ “เรื่องของการรับบัพติศมาในน้ำ” 
ดู มัทธิว 28:18-20  “..เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์”  การรับบัพติศมาของคริสเตียนเป็นการแสดงออกทางภายนอก..ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในชีวิตและจิตวิญญาณของผู้เชื่อ  เล็งถึงการมีส่วนร่วมในการวายพระชนม์ของพระคริสต์  การฝัง  รวมถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์    
บัพติศมาในน้ำเป็นขั้นตอนการสำแดงออกถึงความเชื่อฟัง  หลังจากที่เรารับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว  พระคำภีร์บอกว่า “..ให้ทุกคนที่เชื่อรับบัพติศมาด้วยน้ำ  ไม่ใช่แค่นั้น  พระเยซูเองก็ยังทำเป็นตัวอย่าง  ด้วยการไปรับบัพติศมากับยอห์น “   เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องสำคัญมาก    ถามว่า รับเชื่อแล้ว  ไม่บัพติศมาแล้วจะไม่รอดหรือ  น้าตุ๊กว่า..ก็ไม่ใช่  แต่การบัพติศมาเป็นเหมือนกับการแสดงออกหรือการประกาศตัวว่าเราเป็น”คนของพระเยซู”  ได้รับการไถ่จากการตายที่ไม้กางเขนของพระองค์แล้ว   แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ต้องเปรียบการรับเชื่อในพระคริสต์เป็นการแต่งงาน  ส่วนบัพติศมาเป็นเหมือนการสวมแหวนแต่งงาน   ซึ่งถ้าเราแต่งงานแล้ว  แค่ไม่สวมแหวน..เราก็ยังเป็นคนที่แต่งงานแล้วอยู่ดี    แต่การสวมแหวนเป็นเหมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า”ฉันแต่งงานแล้ว”  “ฉันมีเจ้าของแล้ว” “ฉันเป็นของพระเจ้า” ประมาณนั้น 
แต่สรุปก็คือ ทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้  เราต้องทำตามอย่างเคร่งครัด   ไม่ใช่เพราะน้ำที่ใช้ในการบัพติศมาเป็นน้ำวิเศษหรือศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิปาฏิหารย์อะไร..ไม่ใช่   แต่หัวใจที่เราจะได้รับความรอดมันอยู่ที่”การเชื่อฟัง”   พระเจ้าสั่งอะไร..ทำตาม  จะเข้าใจ..ไม่เข้าใจก็ทำตาม  อย่างนั้นถึงจะได้ชื่อว่า “มีความเชื่อ” 
                              ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรอด


       ความรอด คือ อะไร
เด็กๆคิดว่า ”ความรอด” คืออะไร...???
หลายคนยังไม่เข้าใจชัดเจน ถึงความหมายของคำว่า “ความรอด”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่มีพระเจ้า..จะไม่มีวันเข้าใจความหมายของคำว่าความรอด..ได้อย่างถูกต้องแน่นอน   
ความรอดเป็น  Main Target คือ เป็นเป้าหมายหลักของคริสเตียน  เพราะงั้น ถ้ามี”ความรอด” นั่นหมายถึง ก็ต้องมีสภาวะที่ “ไม่รอด”ด้วย   สำหรับพระคำภีร์ ความไม่รอด คือ สภาวะที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  ในภาษากรีกแปลออกมาแล้วมีความหมายว่า missing target  ก็คือ พลาดเป้าหมาย..ผิดวัตถุประสงค์  พระคำภีร์อธิบายโทษของความบาปว่าเป็น“การตายฝ่ายวิญญาณ”  
พระคำภีร์ของเราเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุประมาณ 3000 ปี..เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ “พระผู้ทรงสร้าง” ทั้งฟ้าสวรรค์..แผ่นดินโลกรวมถึงทุกอย่างที่อยู่บนโลก พระคำภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกที่มาที่ไปทั้งของมนุษย์และจักรวาล”   และพระคำภีร์เป็นความจริง  ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าไหร่..ความจริงในพระคำภีร์ก็ถูกสำแดงให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นเช่น ในหนังสือ โยบ 26:7 พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า”   สมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าโลกเป็นยังไงคะ..”แบน”   บางกระแสก็ว่ามีปลาวาฬอยู่ใต้โลกอะไรซักอย่างเนี่ย   แล้วมนุษย์ก็เพิ่งมารู้ว่าโลกกลมอย่างเป็นทางการเมื่อโคลัมบัสค้นพบทวืปอเมริกา....
แต่หนังสือโยบที่เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคศ.  กลับบันทึกเรื่องนี้ไว้แล้ว..พระเจ้าบอกไว้ก่อนแล้วว่าโลกไม่ได้วางอยู่บนปลาวาฬหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันลอยอยู่ในอากาศ   โอเค..มันเป็นความรู้ทั่วๆไปของทุกวันนี้ว่าโลกกลมและลอยอยู่ในจักรวาล  แต่..มันไม่ใช่เรื่องที่รู้กันทั่วไปในสมัย 5-6 พันปีที่แล้ว   เพราะสมัยนั้นไม่มีดาวเทียม  แล้ววิทยาการอะไรต่างๆก็ยังไม่ก้าวหน้า   จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตัวอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้เกี่ยวกับความจริงในพระคำภีร์    แต่น้าตุ๊กไม่อยากให้เรายึดติดกับความเป็นเหตุ..เป็นผลตามสติปัญญามนุษย์.. มากจนเกินไป  เพราะหลายครั้ง ในทางพระเจ้า..ไม่ต้องมีเหตุผล  ความสมเหตุ..สมผลตามสคิปัญญามนุษย์เอามาเป็นบรรทัดฐานของพระเจ้าไม่ได้  เพราะพระเจ้าอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวงและมนุษย์ไม่สามารถเอาสติปัญญาอันน้อยนิดไปจำกัดพระเจ้าได้  เรามีหน้าที่แค่เชื่อฟัง..ทุกอย่างที่พระองค์บอกไว้ในพระคำภีร์
ทีนี้ เรากลับมาพูดถึงสภาวะที่ไม่ได้รับความรอดของมนุษย์  หรือที่พระคำภีร์เรียกว่า  “การตายฝ่ายวิญญาณ”...ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  ย้อนกลับไปในปฐมกาลเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงสร้างโลก  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะมีสายสัมพันธ์กับมนุษย์แบบ “พ่อกับลูก”  เปิดไปที่...
ปฐก.3:17-19  การล้มลงไปในความบาปของมนุษย์ในครั้งนั้น  อ.เปาโลได้บันทึกความจริงข้อนี้ไว้ในหนังสือ โรม 3:23 ว่า..”เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ความหมายในข้อนี้ พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือปฐมกาลว่า  ความไม่เชื่อฟังของอาดามและเอวาทำให้ “มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราที่รู้จักความดีและความชั่ว”   ความหมายในข้อนี้  ส่วนตัวของน้าตุ๊กเชื่อว่า  “ถ้าอาดามกับเอวาไม่ทำบาป  มนุษย์น่าจะไร้เดียงสาเหมือนสัตว์ต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น”  คือ มันจะทำอะไรเลวร้าย..น่าเกลียดขนาดไหน  ก็ไม่มีใครประนามมันจริงจัง  เพราะรู้สึกว่ามันทำตามสัญชาตญาณ  อย่างสัตว์ป่าในอเมซอน..ที่อยู่ตามในทุ่งหญ้าซาวานาหรือที่ไหนก็ตาม...ถ้าเด็กๆจะเคยดูดิสคัฟเวอรี หรือแอนนิมอลแพลนเน็ต..ก็น่าจะเห็นภาพชัดเจน เวลาที่พวกสัตว์นักล่าไม่ว่าจะเป็นชีตาร์..สิงโต  หรือสัตว์อะไรก็ตามมันล่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม    มีใครประนามมั๊ย..ว่ามันเป็นฆาตกร..ไม่มี   แต่ถ้าเป็นคนฆ่ากันตายล่ะ  มันคนละฟิลเลยอ่ะ..จริงมะ    หรืองูบางชนิดที่กินงูด้วยกันเอง..ก็ไม่เห็นมีใครจะว่ามันวิปริตผิดธรรมชาติ    มีแต่บอกว่า..เออ ! มันก็อย่างเงี้ยแหละ  งูบางชนิดมันก็กินกันเอง  มันแค่ทำตามสัญชาตญาณ   แต่ถ้าคนกินคนเป็นไง...รับไม่ได้ รู้สึกว่ามันวิปริต ผิดธรรมชาติอะไรประมาณนี้  เด็กๆพอเห็นภาพมั๊ย  พระเจ้าจึงทรงบอกว่า “มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเรา..อาจจะเหมือนพระองค์หรือจะรวมทูตสวรรค์อะไรด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ”  แต่ที่แน่ๆ..การที่พระเจ้าพูดแบบนี้แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ตั้งใจหรือมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์เป็นแบบนี้..แบบไหน “ที่จะรู้จักความดีและความชั่ว”
โรม 3:22-23 ..โดยความชอบธรรมที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์   เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว “ทุกคนไม่ต่างกัน” ทุกคนล้วนทำบาป  แล้วบาป ก็คือ บาป   ไม่มีบาปมาก..บาปน้อย  ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน..มันก็บาปเท่ากันตามมาตรฐานของพระเจ้า
เด็กๆลองนึกภาพ   เชื้อบาป..ก็เหมือนเชื้อโรคชนิดนึง   อย่างเชื้อหวัด 2009 เนี่ย  แต่ละคนที่ติดก็ออกอาการไม่เท่ากัน..ไม่เหมือนกัน  บางคนเป็นไช้แค่นิดหน่อย  บางคนปวดหัว  ตัวร้อน ร้อนมาก..ร้อนน้อย  บางคนอาการหนักต้องแอดมิทนานหรือถึงตายก็มี   ทั้งที่เชื้อตัวเดียวกัน..แต่ติดแล้วออกอาการไม่เหมือนกัน  เชื้อบาปก็เช่นกัน  ติดแล้ว..บางคนก็แอบมีความคิดชั่วเล็กๆน้อยๆ ขี้อิจฉา ขี้โกง ขี้ขโมย แต่บางคนเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปเลย..ก็มี  นี่ก็เชื้อบาปตัวเดียวกัน  แต่ออกอาการมากน้อยไม่เท่ากันเพราะภูมิคุ้มกันและรายละเอียดทุกอย่างของความเป็นหนึ่งชีวิต..มันต่างกัน
หรืออย่างเชื้อเอดส์เนี่ย  ก็สามารถทำให้เราเห็นภาพการติดเชื้อบาปจากบรรพบุรุษได้อย่างชัดเจน  เพราะอะไร..หลายครั้ง บางคนเกิดมายังไม่ได้ทำอะไรเลย...ก็ติดเชื้อแล้วเพราะพ่อแม่เป็นเอดส์    ข้อที่ 23 พระเจ้าจึงทรงบอกว่า..”เพราะว่า ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”   แปลว่า มนุษย์ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้าทุกคน  จะออกอาการมาก..น้อยไม่เกี่ยว  แต่ที่แน่ๆบาปทุกคน
ดู โรม 3:24-25 “..แต่พระเจ้าทรงประทานพระกรุณา  ให้เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า”  แปลว่า ให้ฟรีๆ  ทำไมพระเจ้าต้องทำอย่างนี้..เพราะมนุษย์มักล้มเหลวในการรักษาสัญญา  ล้มเหลวในการทำตามพระบัญญัติ  ไม่ว่าจะบัญญัติไหนก็ตาม..แม้แต่คำสอนที่ดีที่สุดของมหาศาสดา..ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้ชอบธรรมได้..
ตลอดประวัติศาสตร์ในพระคำภีร์พิสูจน์ได้ให้เห็นแล้วว่า..  ”พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสัตย์ซื่อ   ส่วนมนุษย์..ไม่”  เด็กๆที่เรียนประวัติศาสตร์กับน้าตุ๊กมาน่าจะเห็นภาพชัดเจน  ตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ กันดารวิถี ผู้วินิฉัย เรื่อยมาจนถึง 2พงศ์กษัตริย์  อิสราเอลล้มเหลวตลอด  ไม่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้าได้คงเส้น..คงวาเลย  ดีแป๊บเดียว..เดี๋ยวก็ทำบาปอีกแล้ว   เพราะฉะนั้น ถ้าเงื่อนไขของการได้ไปสวรรค์  มันต้องขึ้นอยู่กับความดีที่มนุษย์ทำ  คิดว่า จะมีซักคนมั๊ย..ที่จะได้ไป  ไม่มีทาง  เพราะมาตรฐานของพระเจ้าคือ แค่คิดก็ผิดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นบาปข้อไหนก็ตาม..ลักทรัพย์..ล่วงประเณี..หวานความแตกร้าว..เป็นพยานเท็จ  ทุกข้อ..แค่คิดก็ผิดแล้ว  (สมมติ เราเดินผ่านบ้านนึง  เห็นต้นมะม่วงมีลูกเต็มต้นเลย แล้วก็แอบคิดในใจ  โอโห..น่าไปเด็ดมากิน..ผิดแล้วนะ  ขโมยยัง..ยัง  แต่มาตรฐานของพระเจ้า “แค่คิดก็ผิดแล้ว” เพราะงั้น..ไม่มีซักคนเดียวที่จะสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง)
เพราะอย่างนี้ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องเตรียมทางรอดไว้ให้มนุษย์ด้วยพระคุณของพระองค์  แล้วต้องเป็น”พระคุณซ้อนพระคุณ”เท่านั้น  หมายความว่า “เป็นทางที่จัดเตรียมโดยพระองค์และต้องสำเร็จได้โดยพระองค์เอง เพราะถ้าต้องให้มนุษย์ตะเกียกตะกายทำเอง..ไม่มีทางสำเร็จ   และ”พระเยซูคริสต์เจ้า” คือ ทางนั้น..ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้
ข้อที่ 25 บอกว่า  “พระเจ้าทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์   นี่คือ ทางที่เหนือชั้น..ที่พระเจ้าเตรียมไว้เพื่อให้มนุษย์ได้ไปสวรรค์  คือ แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์  เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์  ยอมตายที่ไม้กางเขนหลั่งพระโลหิตชำระเราให้หลุดพ้นจากความผิดบาปทั้งปวง..ง่ายๆแค่นี้เอง  เรามาดูข้อพระคำภีร์ที่สนับสนุนความจริงในเรื่องนี้กัน
ดู ยอห์น 3:16  “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก..”  นี่คือ เหตุผลว่าทำไม..พระเจ้าต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยมนุษย์  แล้วพระคำภีร์ข้อนี้ก็คุ้นหูเราที่สุด  แต่ไม่แน่ใจว่า..ทุกคนจะซาบซึ้งกับคำนี้จริงๆมั๊ย  และอีกครั้ง..ที่เทคโนโลยีมีส่วนยืนยันความจริงในข้อนี้  เพราะเมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์กล้องที่ทำให้มองเห็นพื้นผิวของดาวต่างๆที่อยู่ไกลๆ  หรือแม้กระทั่งสามารถเดินทางไปยังดาวต่างๆได้มากขึ้นและไกลขึ้น  ทั้งดาวศุกร์ ดาวอังคาร หรือแม้แต่ดวงจันทร์  มันทำให้เรารู้ว่า  ในดวงดาวต่างๆเหล่านั้น..มันไม่มีต้นไม้  ไม่มีสัตว์  ไม่มีอากาศ  ไม่มีแม่น้ำหรือทะเล  แม้แต่น้ำซักหยด..ก็ไม่มี  มีแต่ก้อนกรวด ก้อนหิน สีดำ สีเทา สีน้ำตาล  ซึ่งแตกต่างกับโลกอย่างสิ้นเชิงเพราะโลกมีแต่สิ่งทรงสร้างที่สวยงามอยู่เต็มไปหมด  เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักโลกจริงมั๊ย..ถ้าไม่รัก..คงจะไม่บรรจงสร้างไว้สวยงามขนาดนี้
และในบรรดสิ่งที่ทรงสร้าง “มนุษย์” คือ สิ่งที่พระเจ้ารักที่สุด  แต่มนุษย์ก็เลือกที่จะเชื่อตัวเองแทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า   แล้วพอตกลงไปในความบาปมนุษย์ก็ทำร้ายกันเอง  รวมทั้งทำลายสิ่งสวยงามที่พระเจ้าสร้างไว้แทบทุกอย่าง   แต่ถามว่าพระเจ้ายังรักมนุษย์มั๊ย..คำตอบคือ รัก..อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง   จนได้ประทานพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวให้มาไถ่บาปให้แก่เรา    ทำไมการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ถึงช่วยให้เราหลุดพ้นจากความบาปและอำนาจของมารได้  พระเจ้าทรงบอกเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ไว้อย่างไร  เปิดๆไปดู
เอเฟซัส 1:17-19   อันนี้คือ คำอธิฐานของอ.เปาโล  “..คือพระบิดาผู้ทรงสง่าราศี จะทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และประจักษ์แจ้งในเรื่องราวของพระเจ้า”  คำว่า สติปัญญาในข้อนี้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “spirit of wisdom” หมายถึง สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับไอคิว  ความรู้หรือความสามารถของมนุษย์  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า..ที่เราสามารถเพิ่มพูนได้   โดยการให้ความร่วมมือกับพระองค์..อย่างไร  ก็ด้วยการอธิฐานอย่างสม่ำเสมอ..ฟังถ้อยคำเยอะ  แล้วก็ให้ไวต่อเสียงเตือนจากพระเจ้า  (ในส่วนนี้ ต่อไปเราคงได้เรียนกันอย่างละเอียดอีกครั้ง)   
ข้อที่ 18  บอกว่า “ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไรสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ”   พระเยซูคริสต์มีอำนาจเหนือมาร  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่บาป  พระองค์เกิดจากหญิงพรมจารีโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้เกิดจากการปฎิสนธิของมนุษย์  พระเยซูคริสต์จึงไม่ทรงเกี่ยวข้องใดๆกับเชื้อบาปที่อาดามกับเอวาทำไว้   แล้วตลอดเวลาที่ดำเนินอยู่บนโลกจนถูกเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน..พระเยซูก็ไม่เคยทำบาปเลยไม่ว่าจะถูกทดลองกี่ครั้งก็ตาม    
ดู เอเฟซัส 1:19-22  ข้อที่ 20 บอกว่า “..พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เองในสวรรคสถาน” เมื่อพระเยซูทรงยอมตายที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่เราแล้ว  สิ่งสำคัญสุดที่ยืนยันว่าพระองค์มีอำนาจเหนือมารก็คือ การเป็นขึ้นมาจากความตายและทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์   สิ่งนี้เป็นการกรันตีจากพระเจ้าว่าพระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์   บริสุทธิ์แต่ยอมถูกฆ่า..ก็เพื่อที่จะจ่ายราคาแทนเรา   ข้อที่ 21 บอกว่า “พระเยซูได้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า  สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอบครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น..”  ชัดเจนว่า  พระเยซูใหญ่กว่าเทพทั้งปวง  อยู่เหนือนามทุกนาม  ไม่ใช่แค่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าที่จะมาถึงด้วย   
ดังนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับทุกอย่างร่วมกับพระองค์   เพราะข้อที่ 22 บอกว่า พระคริสต์ ประมุขแห่งคริสตจักรพระเจ้า  ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร”   พูดง่ายๆว่า อะไรที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู  เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วยเพราะพระคริสต์เป็นบุตรหัวปี..แล้วเราเป็นน้อง   อ.เปาโลถึงอยากให้เรารูว่า  “มรดกสำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมเพียงไร”  ทั้งมีชัยชนะเหนือมาร  ทั้งอยู่สูงกว่าเทพทั้งปวงที่มีในโลกนี้และโลกหน้า   เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องกลัวผีนะคะ เพราะขนาดเทพทั้งปวง..เราก็ยังสูงกว่าเลย   ที่น้าตุ๊กพูดอย่างงี้ก็เพื่อที่จะให้เรามั่นใจในฐานะตัวเอง..แต่ต้องไม่เอาไปเย่อหยิ่งหรือเกทับใครนะคะ
ดู 1ยอห์น 3:9-10  “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้าผู้นั้นไม่ทำบาป..”  นี่คือ สภาวะที่จะติดตัวผู้เชื่อมา  เพราะเมื่อเรารับเชื่อพระเยซู..เราก็ได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้า    และเมล็ดของพระองค์ซึ่งก็คือ       ”พระวิญญาณบริสุทธิ์” ก็ดำรงอยู่ในเรา   ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะพลาดพลั้งทำผิดไป..ไม่บางครั้งล่ะ..หลายครั้ง  แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งของคริสเตียนก็คือ เราจะสำนึก..เราจะไม่ชิลด์กับความบาปหรือเหยียดยาวอยู่กับมันได้โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว      เพราะงั้น แม้จะผิดพลาดไปบ้างแต่ยังไงคริสเตียนก็จะกลับใจใหม่  แล้วก็หันเข้ามาในทางพระเจ้าได้ในที่สุด 
    วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า..เราจะมาต่อกันเรื่อง  “การสามัคคีธรรมกับพระเจ้า”      ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ