“สามัคคีธรรม”
คือ การเข้าไปมีส่วนร่วม..แบบเป็นหนึ่งเดียวกัน
ธรรม ในที่นี้ เราหมายถึง ทางของพระเจ้า
รวมกันก็คือ
การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพื่อที่จะดำเนินอยู่ในทางพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ 3 ขั้นตอนที่สำคัญสำหรับคริสเตียน
ดู 1เธสะโลนิกา 5:17-18
วิธีแรกที่เราจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้า
ก็คือ “การอธิฐาน” การอธิฐานสำคัญมากสำหรับคริสเตียน เราถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ให้อธิฐานทุกวัน อย่างน้อยที่สุด 2 ครั้ง
คือ ตื่นนอนขึ้นมาก็ต้องอธิฐานเลย..เป็นอย่างแรก
กับ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน
เด็กๆต้องทำให้เป็นนิสัยนะคะ ข้อที่ 18 บอกว่า “..เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” ฟังดีๆ “เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าในพระคริสต์”
ข้อนี้มีความหมายตามนั้นจริงๆ เพราะพระเยซูอุตส่าห์ยอมมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อเรา เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนม่านในวิหารก็ขาดออก..เป็นสัญลักษณ์ว่าโดยความเชื่อในพระเยซู..ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเรากับพระเจ้าได้อีกต่อไป เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยการอธิฐานได้ตลอดเวลาที่เราต้องการ ไม่เหมือนในพันธสัญญาเดิม..ที่มีแต่มหาปุโรหิตเท่านั้น..ที่สามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในห้องอภิสุทธิสถาน และกว่าจะเข้าเฝ้าได้ก็ต้องเตรียมการกันอย่างยุ่งยากซับซ้อนมากมายหลายชั่วโมง
เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ค่อยอธิฐานหรือทำไม่สม่ำเสมอ..ก็ให้กลับใจใหม่นะคะ
เพราะสิ่งนี้มีค่ามาก แล้วการที่จะอธิฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้ก็ง่ายดายมาก ทำได้ทุกที่..ทุกเวลาที่เราต้องการ..ผ่านทางพระเยซูคริสต์ แล้วถ้าเรายังไม่ทำอีก..เราจะไม่มีวันเข้าถึงพระเจ้าได้
เพราะง่ายขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าหา..แล้วจะไปเข้าทางไหน สุดท้ายแล้ว เราจะไม่มีวันที่จะทำอะไรได้สำเร็จอย่างถูกต้องด้วย..ถ้าเราไม่อธิฐาน (เดี๋ยวเด็กๆโตขึ้น ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้นเอง เพราะจะมีประสบการณ์ตรง) ทีนี้ มาดูว่าพระเยซูสอนเกี่ยวกับเรื่องการอธิฐานไว้อย่างไรบ้าง อย่างแรกเลยเปิดไปดู..
ดู
มัทธิว 6:1-2 “จงระวัง
อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้น เราจะไม่ได้รับบำเน็จจากพระเจ้า” คำว่า “ศาสนกิจ” น้าตุ๊กคิดว่าหมายถึงทุกอย่าง..ที่เกี่ยวกับงานของพระเจ้า และรวมถึงการทำดีให้เป็นที่ถวายเกียรติ..เป็นที่ชอบพระทัยต่อพระพักตร์พระองค์ ทั้งการช่วยงานทุกอย่างในโบสถ์ การทำทาน..การช่วยเหลือคนอื่นทุกรูปแบบ หรือแม้แต่การอธิฐาน พระเยซูบอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น อย่าทำแล้วไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้..ว่าฉันถวายเยอะ ฉันบริจาคเงินช่วยเหลือคนน้ำท่วมไป..กี่หมื่นกี่แสน หรือตอนสร้างโบสถ์ฉันก็ช่วยออกเงินเยอะมาก..น่าจะเอาชื่อฉันไปติดไว้ที่หน้าโบสถ์ อะไรต่างๆเหล่านี้..ก็เป็นการป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ทั้งสิ้น พระเยซูทรงบอกว่า..อย่าทำ (เพราะงั้น
เราจะไม่ได้เห็นชื่อหรือรูปถ่ายของคนที่บริจาคหรือถวายเงินในการสร้างสิ่งต่างๆตามผนังโบสถ์เหมือนที่เห็นกันตามวัด)
หรือ แม้แต่เวลาที่เราอธิฐานพระเยซูก็บอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น.. ข้อที่ 6 บอกว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน ปิดประตูให้เรียบร้อย แล้วก็อธิฐาน..ถ้าเป็นได้
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเราอธิฐานนอกบ้านไม่ได้..ไม่ใช่ เราควรอธิฐานตลอดเวลาด้วยซ้ำไปแต่เราแค่อธิฐานในใจ
สงบใจแล้วระลึกถึงพระเจ้า..คุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว อย่าไปยืนทำท่าโฮลี่ โบกไม้..โบกมือ โหวกเหวกโวยวายอยู่ตามที่สาธารณะ เหมือนคนเคร่งศาสนาซะเต็มประดาอะไรอย่างนั้น..อย่าทำ (หรือแม้แต่ในห้องประชุม พระคำภีร์บอกว่าต้องมีระเบียบ อันไหนที่ไม่มีระเบียบ..ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า)
ดู 1ซามูเอล 3:20-21
“..เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชีโลห์
โดยพระดำรัสของพระเยโฮวาห์” ข้อนี้ บอกว่า
พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์โดย..”พระดำรัส” เพราะฉะนั้น วิธีที่สอง..ที่จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้นก็คือ
การใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์..ในพระคำภีร์..ไม่ใช่ทุกวันนะแต่ควรจะทำทั้งวัน น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า
มันเป็นไปได้ที่เราจะสนิทกับใครหรือไว้ใจใครได้โดยที่ไม่รู้จักเขาเลยหรือรู้จักไม่ดีพอ ดังนั้น
เราควรจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้าตลอดเวลา
แต่..พอได้ยินคำว่าสามัคคีธรรมแล้ว
เด็กๆอย่าไปคิดถึงภาพพิธีกรรมที่ลึกลับซับซ้อน หรือภาพนักบวชบำเพ็ญตะบะที่ต้องออกๆไปปลีกวิเวกตามป่าตามเขาห่างไกลแสงสีความเจริญ..ไม่ใช่
คริสเตียนสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา
ขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปกตินี่แหละ
โดยการสงบใจอธิฐานหรือคิดจดจ่อซ้ำไปซ้ำมาอยู่กับถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ว่าจะตอนนั่งอยู่บนรถ ทานอาหาร
ออกกำลังกาย หรือแม้แต่กำลังเดินอยู่ตามทาง เด็กๆสามารถเริ่มต้นฝึกได้ด้วยการหัดจำพระคำภีร์สักข้อนึง..เริ่มจากสั้นๆก่อนก็ได้ แล้วก็คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา..ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น
.....เวลาที่มีรายได้ลดลง
แล้วเรากลัวว่าจะขัดสนมีรายรับไม่พอรายจ่าย เราก็ท่องเลย สดุดี 23
“พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ” ไม่อดตายแน่แต่เราจะอุดมสมบูรณ์เหมือนแกะที่ผู้เลี้ยงพาไปกินหญ้าในทุ่งที่หญ้าเขียวสดและริมธารน้ำแดนสงบ..คือ
อุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำและอาหาร..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับใคร
.....หรือในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ แผ่นดินไหว
น้ำท่วมโคลนถล่ม
มีโรคระบาดแปลกๆเยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้ หลายครั้งเราก็อดที่จะนึกกลัวไม่ได้ ก็ท่องเลย สดุดี 91:1-8
“..พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์
พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์จะไว้วางใจ"
“..พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน
หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..” เพราะฉะนั้น
ยิ่งสิ่งที่ตามองเห็น..ทำให้เรากลัวมากขนาดไหน
เรายิ่งต้องจำถ้อยคำของพระเจ้าไว้ให้ขึ้นใจ
พกไว้เหมือนเป็นอาวุธที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาไล่ความกลัวได้ตลอดเวลา
ดู
โรม 12:1-2 “..อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้
แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย
และอะไรดียอดเยี่ยม” ... เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้า..เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะฉะนั้น
ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้ามาหลายปีแต่นิสัย
ความคิด..จิตใจไม่เปลี่ยนเลย
(หมายถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น..เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น)
ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองว่าเราติดสนิทกับพระเจ้าน้อยเกินไปรึเปล่า คำว่า ”จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่” ในข้อนี้
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่มาจาก ”การทรงสถิต”
รับเชื่อแล้ว..พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา
และการที่เราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ก็เป็นมาโดยพระวิญญาณที่อยู่กับเรา เราไม่สามารถเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการทำเลียนแบบ ถ้าต้องทำให้เหมือน..ก็เท่ากับการที่ต้องทำตามกฎบัญญัติอย่างครบถ้วน ซึ่งไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะเราไม่มีกำลังมากพอ แต่คริสเตียนทำได้..ด้วยการพึ่งในพระคุณของพระวิญญาณ และเราสามารถให้ความร่วมมือกับพระเจ้าได้..ด้วยการติดสนิทกับพระองค์ผ่านการอธิฐาน..ทูลขอ..และใคร่ครวญข้อพระคำภีร์อยู่เป็นประจำ ข้อที่
2 บอกว่า
“..เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าอะไรดี
อะไรเป็นที่ชอบพระทัย
และอะไรดียอดเยี่ยม” เด็กๆดูดีๆ
สิ่งที่ดีในข้อนี้มันมีหลาย level ไม่ได้มีแค่ good แต่มี excellent
ด้วย และในทางพระเจ้า..น้าตุ๊กขอบอกว่า เราควรจะทำแบบ excellent คือ เป็นที่ชอบพระทัยอย่างยอดเยี่ยม แต่ก่อนจะเป็นได้เราต้องรู้ก่อนว่าพระเจ้าชอบอะไร..ไม่ชอบอะไร และคู่มือเล่มเดียวที่จะบอกเราได้ก็คือ
พระคำภีร์
ดู ยอห์น
13:34-35 “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน
แล้วคนทั้งปวงก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” การจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนของพระเจ้า..เป็นสาวกของพระคริสต์
ก็คือ “เราต้องรักซึ่งกันและกัน” ไม่ใช่การถือพระคำภีร์เล่มโตมาโบสถ์ ไม่ใช่การรู้พระคำภีร์ทั้งเล่ม หรือแม้แต่การที่เราถวายอย่างมากมาย ก็ไม่ได้เป็นข้อบ่งบอกถึงการเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่พระเจ้าบอกชัดเจน
ว่า”ให้เรารักซึ่งกันและกัน” อย่างงั้นเราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระองค์
พระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพากันในการสามัคีธรรม..เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน เราไม่สามารถที่จะเติบโตไปคนเดียวเพียงลำพัง ฉันรอดแล้ว..ฉันไม่สนใจคนอื่น..ไม่ได้ ดังนั้น
นอกเหนือจากการอธิฐานและอ่านพระคำภีร์เพื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์แล้ว พระเจ้าต้องการให้เรามีปฎิสัมพันธ์กับพี่น้อง หลายๆศาสนามักจะมีค่านิยมว่า
“คนที่จะเติบโตหรือพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าทางฝ่ายวิญญาณ..จะต้องหนีไปปลีกวิเวกอยู่คนเดียว ไปขึ้นเขาลงห้วย
หรืออย่างน้อยที่สุดต้องรู้จักตัดทางโลกไปทำสมาธิ..หรือเดินจงกลมอยู่ตามวัดวาอาราม แต่สำหรับคริสเตียน..ไม่ใช่ พระเจ้าสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง เราไม่สามารถเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ได้..ด้วยการไปปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว หรือเอาแต่นั่งอธิฐานอยู่ในบ้านโดยไม่ออกมาพบปะผู้คนเลย
ดู ยอห์น
15:4-6 “..ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา
ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ...ไม่ได้จริงๆ เพราะงั้น
เราทุกคนจึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร
เราต้องมีส่วนร่วมและมีความสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์ ครอบครัวผู้เชื่อ เพราะพระเจ้าทรงใช้ ”พฤติกรรม และสถานการณ์”
เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างอุปนิสัยของเราทุกคน เด็กๆลองคิดดู..ว่าเราจะแข็งแรงได้ยังไงถ้าเราไม่เคยเจอปัญหา..ไม่เคยเจอคนนิสัยแย่ๆ ถ้าทั้งชีวิตของเราวางอยู่บนความสุขสบาย เจอแต่คนดีๆ ช่างเอาอกเอาใจ เราไม่มีทางเติบโตหรอก เพราะเราจะไม่รู้จักอดทน ไม่รู้จักแบ่งปัน ไม่รู้จักอดกลั้น ไม่รู้จักการรอคอย ที่สำคัญเราจะรักใครไม่เป็น เราจะไม่มีทางได้ฝึกฝนหรือเรียนรู้ที่จะรักแบบพระเยซู เพราะพระเยซูไม่ได้เลือกที่จะรักเฉพาะคนดีๆหรือคนที่น่ารักเท่านั้น
แต่พระองค์ทรงรักคนบาป..อย่างพวกเราและมนุษย์ทุกคน
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ออกจากบ้าน..มาปฎิสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์ ไม่มีส่วนร่วมกับชุมชนหรือสังคมไหนๆเลย เราก็จะไม่ได้เจอคนที่เห็นแก่ตัว ไม่ได้เจอคนขี้โกง ขี้อิจฉา ขี้ใจน้อย
ขี้บ่น
คือเราจะไม่มีโอกาสเจอคนนิสัยแย่ๆ..แล้วเราจะไปฝึกความอดทนตอนไหน..
ดู 2โครินธ์ 4:16-17 “..เพราะการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆบนโลกนี้เรารับแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์” ซึ่งมันคุ้มจะตาย เด็กๆจำไว้ว่า..ปัญหาเป็นแค่เครื่องมือที่พระเจ้าใช้ในการฝึกฝนให้เรารู้จักอดทน ดึงให้เราเข้าใกล้และไว้วางใจพระองค์มากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราออกห่างพระเจ้า หรือเผลอไปให้ความสำคัญกับบางสิ่งมากกว่าพระองค์ พระเจ้าก็จะเอาสิ่งนั้น..ออกไปจากชีวิตเราแล้วใส่ปัญหาเข้ามาแทน และในเวลาที่เราไม่เหลืออะไร ไม่มีใครช่วยได้ หรือมองไม่เห็นทาง เราก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจนที่สุด
ดังนั้น
อย่าท้อถอยหรืออ่อนระอาใจในเวลาที่เกิดปัญหา
เพราะข้อที่ 16 บอกว่า “..ถึงกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป
แต่จิตใจภายในนั้นยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” ...ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มสุดๆ เพราะกายภายนอกมันเป็นสิ่งที่จะอยู่แค่ชั่วคราว แต่จิตวิญญาณที่จำเริญขึ้นใหม่ต่างหาก..ที่จะอยู่กับเราถาวรนิรันดร์ เพราะงั้น บนโลกนี้เราจะมีรูปร่างหน้าตาหรือมีอาชีพอะไร..ฐานะจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่เราจะเอาติดไปสวรรค์คือ จิตวิญญาณที่ถูกสร้างใหม่ให้มีความไพบูลย์เหมือนพระคริสต์ ไม่ใช่อาชีพ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเงินทอง
หัวข้อสุดท้ายที่เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนอีกสักนิด
ก็คือ “เรื่องของการรับบัพติศมาในน้ำ”
ดู
มัทธิว 28:18-20 “..เหตุฉะนั้น
ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร
และพระวิญญาณบริสุทธิ์”
การรับบัพติศมาของคริสเตียนเป็นการแสดงออกทางภายนอก..ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในชีวิตและจิตวิญญาณของผู้เชื่อ เล็งถึงการมีส่วนร่วมในการวายพระชนม์ของพระคริสต์ การฝัง
รวมถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
บัพติศมาในน้ำเป็นขั้นตอนการสำแดงออกถึงความเชื่อฟัง หลังจากที่เรารับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว พระคำภีร์บอกว่า “..ให้ทุกคนที่เชื่อรับบัพติศมาด้วยน้ำ ไม่ใช่แค่นั้น
พระเยซูเองก็ยังทำเป็นตัวอย่าง
ด้วยการไปรับบัพติศมากับยอห์น “
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องสำคัญมาก
ถามว่า รับเชื่อแล้ว
ไม่บัพติศมาแล้วจะไม่รอดหรือ
น้าตุ๊กว่า..ก็ไม่ใช่
แต่การบัพติศมาเป็นเหมือนกับการแสดงออกหรือการประกาศตัวว่าเราเป็น”คนของพระเยซู”
ได้รับการไถ่จากการตายที่ไม้กางเขนของพระองค์แล้ว แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ต้องเปรียบการรับเชื่อในพระคริสต์เป็นการแต่งงาน ส่วนบัพติศมาเป็นเหมือนการสวมแหวนแต่งงาน ซึ่งถ้าเราแต่งงานแล้ว แค่ไม่สวมแหวน..เราก็ยังเป็นคนที่แต่งงานแล้วอยู่ดี แต่การสวมแหวนเป็นเหมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า”ฉันแต่งงานแล้ว” “ฉันมีเจ้าของแล้ว” “ฉันเป็นของพระเจ้า”
ประมาณนั้น
แต่สรุปก็คือ
ทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้ เราต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่เพราะน้ำที่ใช้ในการบัพติศมาเป็นน้ำวิเศษหรือศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิปาฏิหารย์อะไร..ไม่ใช่
แต่หัวใจที่เราจะได้รับความรอดมันอยู่ที่”การเชื่อฟัง” พระเจ้าสั่งอะไร..ทำตาม จะเข้าใจ..ไม่เข้าใจก็ทำตาม อย่างนั้นถึงจะได้ชื่อว่า “มีความเชื่อ”
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ