วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เติบโตขึ้นในพระเยซูคริสต์


เรื่องที่น้าตุ๊กอยากจะสอนในวันนี้  เป็นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและชัดเจนขึ้น   เพราะคริสเตียนหลายคนมีจิตวิญญาณที่หยุดชะงักไปในจุดใดจุดหนึ่ง..ขณะที่ยังไม่โตเต็มที่..ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ดังนั้น หัวข้อที่น้าตุ๊กจะสอนในวันนี้ก็คือ “จงเติบโตขึ้นในพระเยซูคริสต์”  เด็กๆเปิดไปที่หนังสือเอเฟซัส..
ดู เอเฟซัส 4:10-11“..พระองค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่เบื้องสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้ทำให้สิ่งสารพัดสำเร็จ) พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นศาสดาพยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์   
ข้อนี้ พูดถึงพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานแก่โลก..เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาปและมีชีวิตนิรันดร์  และพระประสงค์ที่พระองค์สำแดงอย่างชัดเจน ก็คือ พระองค์ไม่ต้องการให้ใครพินาศเลยสักคนเดียว   พระเยซูคริสต์ถึงสั่ง..ให้เราออกไปบอกข่าวดีนี้แก่มนุษย์ทุกคน..ไม่ใช่บางคน  จากนั้น ใครก็ตามที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว..ก็จะถูกเรียกมา อยู่รวมกันในคริสตจักร  ข้อที่ 11 บอกว่า “บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ประกาศ  เป็นครู เป็นคนดูแลโบสถ์ เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการหรืออะไรก็ตาม  แต่ทุกคนคือ ส่วนหนึ่งของคริสตจักรและเป็นกายเดียวกันหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคริสต์        เด็กๆคงจะได้ยินคำว่า ”เป็นหนึ่งเดียวกัน”บ่อยมาก นั่นแสดงว่า พระเจ้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากจริงๆ..ทำไม
ข้อที่ 12 บอกว่า “เพื่อเตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบ เพื่อช่วยในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น” แล้ววิธีการที่พระเจ้าใช้ในการขัดเกลาคริสเตียน ก็คือ เรียกให้พวกเรามาอยู่ร่วมกัน หมายความว่า พระเจ้าไม่ได้แค่บอกให้เรามาเชื่อ..แล้วจบ  พอได้รับความรอดแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย..ไม่ใช่ แต่พระองค์อยากให้เรารับรางวัลอย่าง”สง่างาม”  หรือพูดง่ายๆว่า พระองค์อยากให้เราดีพอ..เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์   เพื่อเวลาที่เข้าไปในสวรรค์แล้วจะได้ไม่มีใครหรือนามไหนพูดได้..ว่า โอโห คนอย่างเงี้ยหรอที่พระเจ้าเลือก.. 
ดู เอเฟซัส 4:13-14  ข้อนี้ บอกว่า ไม่ว่าใครจะมีหน้าที่อะไรก็ตาม  แต่ก็ทำงานเพื่อจุดหมายเดียวกัน คือ มีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันและไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์     พระเจ้าไม่เคยบอกว่าเชื่อแล้วจบ..เอาแค่รอดนะลูก..ไม่เคย   ดังนั้น เมื่อถูกเลือกมาแล้วทุกคนยังต้องทำหน้าที่ของตัวเองผ่าน..สถานการณ์ที่ต่างกัน  และไม่ว่าเราจะมีสถานะ..คุณสมบัติหรือต้องเจอกับสถานการณ์ไหน..ก็ให้เรายอมรับและเลือกทำในสิ่งที่พระเจ้าพอใจ   อย่ามัวเปรียบเทียบกัน  เพราะ”การเปรียบเทียบ” เป็นตัวการสำคัญอันนึงที่จะทำให้เราสะดุดและจิตวิญญาณไม่เติบโต    เราต้องยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง คำว่ายกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง..บางทีมันก็เข้าใจยาก..ทำยาก  แต่ให้รู้ว่า ถ้าเรายกพระเจ้าเป็นศูนย์กลางจริงๆ  สิ่งนึงที่จะเป็นบุคลิกของ ก็คือ เราจะยอมรับในความแตกต่างที่พระเจ้ากำหนดไว้   เราจะเชื่ออยู่ทุกลมหายใจว่าพระเจ้าคือผู้สร้างและควบคุมทุกอย่างอยู่   ไม่ว่าคนอื่นจะดีกว่า..แย่กว่า  รวยกว่า..จนกว่า  เก่งกว่า..ไม่ค่อยฉลาด หรือดูแล้วขัดใจเราแค่ไหน..พระเจ้าก็ควบคุมอยู่  ถ้าพระองค์ยังไม่มีปัญหากับคนเหล่านั้นเลย..แล้วเราจะมีปัญหาอะไร 
ข้อที่ 14 บอกว่า “เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเห..มาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง    เพราะในยุคสุดท้ายที่เราดำเนินอยู่ขณะนี้ มารซาตานทำงานหนักมาก  คำสอนเทียมเท็จแล้วก็อุบายต่างๆของโลกเยอะมาก  แล้วถ้าจิตวิญญาณเราไม่โต..เราจะถูกล่อลวงง่ายมาก  ไปเจอคำสอนเทียมเท็จเราก็แยกไม่ออก  ไม่มีวินิจฉัยเลยว่าอันไหนจริง..อันไหนปลอม  อันไหนที่สอนตกขอบ..สุดขั้ว ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า..เราจะแยกไม่ออก   สุดท้ายเราก็จะถูกซัดไป ซัดมาอย่างที่พระคำภีร์บอก  ดีไม่ดี..ก็ถูกซัดจนหลุดจากทางพระเจ้าไปเลย  แล้วมารมันก็..บิงโก !!!   
นอกเหนือจากความไม่พอใจในตัวเองแล้ว อีกปัจจัยนึงที่เป็นตัวการคอยดึงเราไม่ให้โตในทางพระเจ้า ก็คือ..
ดู มัทธิว 13:19-21  ข้อนี้เป็นคำอุปมาที่เราได้ยินกันบ่อยมาก  พระเยซูทรงเปรียบเทียบพระคำของพระองค์เป็นเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน 4 ประเภท  ซึ่งก็คือ ลักษณะของการตอบสนองที่แตกต่างกันของคน..เวลาที่ได้ยินพระวจนะพระเจ้า  ประเภทที่ 1 ก็คือ ได้ยินแล้ว..ไม่เข้าหัวเลย..ไม่สนใจ..จบแค่นั้น  ประเภทที่ 2 พอได้ยินก็ตื่นเต้นมาก  รับไว้แป๊บนึง แต่พอเชื่อพระเจ้าแล้ว..ยังลำบาก ไม่รวย ไม่ถูกหวย หรือโดนญาติพี่น้องดูถูก หาว่านอกคอก..ก็ทนไม่ได้ ไม่เอาแล้ว  กลับไปเชื่ออย่างเดิมหรือไปไหว้พระเดิม  ส่วนประเภทที่ 3 กับประเภทที่ 4 น่าสนใจมาก  ทั้งสองประเภทนี้..เชื่อพระเจ้าทั้งคู่ แบบประเภทที่ 4 ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะถึงจะเกิดผลมากบ้าง..น้อยบ้าง  แต่ยังไงก็เกิดผล..โตไปเรื่อยๆตามเวลาของพระเจ้า  ที่น้าตุ๊กอยากพูดถึง คือ ดินชนิดที่ 3...
ดู มัทธิว 13:22-23   “ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล”   ถามว่าคนประเภทนี้เชื่อพระเจ้ามั๊ย..เชื่อ  แล้วยังดำเนินอยู่กับพระองค์ด้วย  แต่ปล่อยให้ต้นหนามที่พระคำภีร์กล่าวถึง คือ “ความกังวลตามธรรมดาโลก”  ให้เข้ามามีบทบาทในชีวิต..มากเกินไป   ถามว่าเรากังวลได้รึเปล่า..ได้   ส่วนใหญ่ก็ยังกังวลอยู่ไม่มาก..ก็น้อย  แต่ถ้ามากเกินไป..ก็แปลว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องฝ่ายโลกมากกว่าพระวจนะคำของพระเจ้า  สุดท้ายความกระวนกระวายเหล่านั้นก็จะเป็นต้นหนามที่เจริญงอกงาม..รกรุงรังพันอยู่รอบชีวิตของเรา    แล้วก็คอยฉุด คอยดึงไม่ให้เราโต.. 
ความกังวลตามธรรมดาโลก ก็เช่น ต่อไปชีวิตจะเป็นยังไง  จะสอบเข้ามหาลัยได้มั๊ย  จบไปจะมีงานทำรึเปล่า  เงินเดือนจะพอกิน  จะมีบ้าน มีรถ มีความสุขสบายแค่ไหน  อะไรต่างๆเหล่านี้เป็นต้น  ซึ่งจริงๆแล้วเรากังวลได้..ได้แบบพอประมาณ  เรายังต้องวางแผนเพื่ออนาคตบ้าง  เรายังต้องรอบคอบในการดำเนินชีวิตทุกเรื่อง  น้าตุ๊กยังยืนยันว่า เด็กๆยังจำเป็นต้องขยันหมั่นเพียรและกระตือรือล้นในการศึกษาหาความรู้..อย่างสุดกำลัง  ทำให้สุดกำลัง..ไม่ใช่กังวลจนสุดกำลัง  แค่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด  แล้วได้แค่ไหน..แค่นั้น..จบ ไม่ต้องกังวล  เพราะส่วนที่เกินกำลังของเรา พระเจ้าจะทรงกระทำให้สำเร็จ..ตามน้ำพระทัยของพระองค์    แต่หลายคนไม่ใช่อย่างงี้ หลายคน สิ่งที่ควรทำ..ไม่ทำ พ่อแม่ก็พูดไปเหอะ  แต่ยังเฉย..ขี้เกียจ..เหยียดยาว  เสร็จแล้วก็กังวลแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง..เมื่อไหร่จะได้มือถือใหม่  มอเตอร์ไซ ไอโฟน ไอนู่น ไอนี่ อยากได้ไปหมด   ความอยากได้ที่มากเกินไปนี่แหละ คือ ต้นหนามในชีวิตที่คอยฉุด คอยดึง ทำให้เราไม่มีสมาธิที่จะอยู่กับพระเจ้า  แล้วพระวจนะคำจะเกิดผลในชีวิตเราได้ยังไง  ในเมื่อเรามัวแต่สนใจแต่เรื่องฝ่ายโลก  มีเวลาดิ้นรนในทุกอย่าง..ยกเว้นทางของพระเจ้า..กับเรื่องเรียน  น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่า เราห้ามอยากได้อะไรทั้งนั้นหรือห้ามสนใจเทคโนโลยีเด็ดขาด..ไม่ใช่ เทคโนโลยีดีมั๊ย..ดี  ดีมากด้วย  ถ้าเรารู้จักใช้  เด็กๆสามารถใช้อะไร..ก็ได้ทั้งนั้น  แต่เราต้องชันสูตรใจตัวเองด้วย..ว่า “อยากได้จนทำให้พ่อแม่เดือดร้อน..รึเปล่า”... “อยากได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น..หรือไม่ อะไรใหม่ออกมา..ก็อยากได้”  แล้ว“อัตถะประโยชน์ของของสิ่งนั้น..แท้จริงแล้ว คืออะไร..เราต้องการเพราะมันมีประโยชน์กับเราจริงๆ หรือ แค่เห็นคนอื่นมี..ก็อยากได้บ้าง”   นี่คือ สิ่งที่เราต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลานะคะเด็กๆ  เพราะว่า ในยุคสมัยนี้ มันมีสิ่งที่ออกมาล่อลวงเราเยอะมาก..อะไรก็โดนใจไปหมด    มาดูว่าพระเยซูสอนวิธีแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าไง..
ดู มัทธิว 6:26-27 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สะสม แต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้..” ..จริงหรือไม่  เด็กๆเคยเห็นนกมันสะสมหนอนไว้ในรัง  เพราะกลัววันข้างหน้าจะไม่มีกิน..เคยเห็นมั๊ย  ไม่มีเลย มีแต่คน..ที่ชอบทำอย่างนี้  แล้วต้นตำรับหรือภูมิปัญญาอะไรต่างๆเกี่ยวกับการถนอมอาหารก็เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์กลัวจะไม่มีกิน กลัววันข้างหน้าจะขาดแคน”   แต่พระเยซูทรงชี้ให้เราเห็นถึงความจริงที่เรามักมองข้ามไป  คือ ตราบใดที่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงดูสัตว์ต่างๆโดยระบบนิเวศน์แล้ว  เราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ก็ประเสริฐกว่ามากมายนัก  พระเจ้าทรงสร้างสรรพสัตว์และระบบนิเวศน์ทั้งปวงไว้เพื่อปรนนิบัติเรา  หมายความว่า เราสำคัญกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกนี้ พระองค์รักเรามากกว่าสัตว์พวกนั้นอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ..แล้วทำไมเราต้องกลัว    ที่เรากลัวก็เพราะ เราจะไม่ได้พอใจแค่นั้น   มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้พอใจแค่อาหารหรือปัจจัยสี่   แต่เราต้องการมากกว่านั้น  มันถึงรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกันอยู่ตลอดเวลา
ข้อที่ 27 บอกว่า “มีใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย อาจต่อความสูงให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ กังวลแล้วมันช่วยอะไรมั๊ย..ไม่ช่วยเลย  สมมติว่า วันนี้บ้านเราไม่มีอาหารเลย  ทำไง..ก็ออกไปทำงาน ทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวก็ได้เงินมาซื้อข้าว  แต่ส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดเลย..มันไม่ใช่อย่างงี้  ส่วนใหญ่คือ ถามว่าวันนี้มีข้าวกินมั๊ย..มีครบสามมื้อ  มีเสื้อผ้าใส่รึเปล่า..มีเยอะ เต็มตู้แต่ไม่รู้จะใส่อะไร   แต่ก็ยังกังวล..เพราะสิ่งที่นอกเหนือความจำเป็น เช่น ไม่รู้เดือนนี้จะมีเงินผ่อนรถรึเปล่า อยากได้มือถือใหม่..จะไปหาเงินที่ไหนมาซื้อดี  อะไรประมาณนี้
ดู มัทธิว 6:31-33  “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน  แต่หลายคนเข้าใจความหมายของการแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า..ผิด   ผู้เชื่อใหม่หลายคนก็มักจะมีปัญหา..ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ    แล้วก็ชอบมาถามน้าตุ๊กว่าจะต้องทำยังไงพระเจ้าถึงจะตอบคำอธิฐานหรือช่วยให้เขาหลุดจากปัญหาต่างๆ   แรกเลย น้าตุ๊กก็จะให้พระคำภีร์ข้อเนี้ย..” จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน แล้วอย่างอื่นก็ตามมา”    ทุกคนก็จะบอกว่า..ทำแล้ว แสวงหาแล้ว.แต่พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย  น้าตุ๊กก็ถามว่า..ทำไง  ส่วนใหญ่ก็บอกว่า “เนี่ย ก็มาโบส์ แล้วก็อธิฐาน..ทุกวันเลย”  
จริงๆแล้ว ถ้าทำแค่นี้..ยังไม่ใช่ทั้งหมดของการแสวงหาแผ่นดินพระเจ้านะคะ  เพราะท่าทีการมาโบสถ์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน  บางคนสักแต่ว่ามา..เวลาฟังเทศน์ไม่หลับ..ก็คุย  บางคนไม่ได้มาหาพระเจ้า  แต่อยู่บ้านแล้วเหงา..ก็เลยมาหาเพื่อน หรือบางคนคุณพ่อคุณแม่บังคับให้มา..ก็มี  แล้วเวลานมัสการ..ใจคุณคิดอะไร คุณอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยท่าทีแบบไหน  เวลาที่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ผู้ทรงเมตตาและน่าหวาดเกรงที่สุดประทับอยู่ต่อหน้าในเวลาที่เรานมัสการ  คุณนั่งท่าไหน..ความสำนึกและยำเกรงในความยิ่งใหญ่ของพระองค์อยู่ในหัวของคุณบ้างรึเปล่า    นี่ก็เป็นท่าทีที่ต่างกัน..แต่มาโบสถ์เหมือนกัน  และพระเจ้าทรงดูที่เจตนา..ว่าคุณตั้งใจมาหาพระองค์หรือถูกบังคับให้มา   มาแล้ว..เราถ่อมลงพร้อมหัวใจที่ก้มกราบพระองค์..ถวายการนมัสการด้วยจิตวิญญาณรึเปล่า  หรือเรายังห่วงลุคตัวเอง..ยืนอยู่ต่อพระพักตร์โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง   
แล้วเวลาอธิฐาน..เราอธิฐานยังไง สมมติว่าตอนนี้ตกงาน ไม่มีรายได้แต่ค่าใช้จ่ายมากมายรออยู่ คนส่วนใหญ่ก็จะอธิฐานอย่างเข้มข้นเลยนะ..ว่า “พระเจ้าช่วยลูกด้วย  พระองค์ทำไงก็ได้ให้ลูกมีกิน มีใช้ มีจ่ายค่า 1 2 3 4  อะไรก็ว่าไป..เสร็จแล้วก็บอกว่า ชั้นแสวงหาพระเจ้าแล้ว เพราะไปโบสถ์ก็แล้ว อธิฐานก็แล้ว..แต่ไม่เห็นตอบเลย    น้าตุ๊กจะตอบแทน..ว่าแบบนี้เขาไม่เรียกว่าแสวงหาแผ่นดินพระเจ้านะคะ เค้าเรียกว่าแสวงหา”ขนมปัง”  คือ หาแต่วิธีที่จะให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ   แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า..ทำแล้ว  ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆแล้ว..เราจะมีท่าทียังไง
2 ทิโมธี 1:12-13  “เปาโลเชื่อมั่นในพระคริสต์อย่างไม่สั่นคลอน  เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ และไม่ละอาย คือ ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆแล้ว..เราจะเชื่อมั่นในพระองค์  เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และตระหนักคิดได้ว่าสารพัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่..ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับน้ำพระทัยอันสูงส่งของพระเจ้า     เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อพระเจ้า..ไม่ใช่ตัวเองหรือเพื่อขนมปัง  เพราะไรอ.เปาโลถึงเชื่อได้ขนาดนี้  ข้อนี้บอกต่อไปว่า “..เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้น”  หมายความว่า  ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆ เราต้องรู้จักพระลัษณะของพระองค์  เราต้องรู้ว่าพระเจ้าชอบอะไร..ไม่ชอบอะไร  เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย  ที่เราจะบอกว่า..”ไว้ใจใครซักคนในขณะที่เราไม่รู้จักเขาเลยหรือรู้จักเพียงแค่ผิวเผิน”..จริงมั๊ย    มันเป็นไปไม่ได้เลย..ที่เราจะเพิ่งรู้จักใครซักคนแล้วก็บอกว่า..ชั้นไว้ใจเขามาก   ไว้ใจทั้งที่แทบจะไม่รู้จักเขาเลย..มันเป็นไปไม่ได้    
เพราะฉะนั้น ถ้าเราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์แล้ว  เราต้องรู้..ว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  มุมมองและการดำเนินชีวิตของเราจะเปลี่ยนไป  เราจะยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง คือ เลิกเอาความต้องการของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน  แต่เราจะไว้ใจพระเจ้ามากขึ้น  แล้ว ณ.จุดนั้น นั่นแหละที่พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้กับเรา  ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เงินซื้อ..ไม่ได้  เด็กๆอย่าเข้าใจว่า “สิ่งทั้งปวง” เนี่ย..จะต้องหมายถึง ทรัพย์สินบนโลกเท่านั้น..ไม่ใช่ 
สุดท้าย มาดูว่าพระเยซูสอนให้เราอธิฐานยังไง  (มันเรื่องเก่าแต่ต้องเรียนใหม่ทั้งนั้น)
ดู มัทธิว 6:9-13 (อ่านพร้อมกัน)  ย้อนไปดูข้อที่ 7 นิดนึง พระคำภีร์ บอกว่า  “เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าใช้คำซ้ำซากไร้ประโยชน์เหมือนคนต่างชาติ  เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระถึงจะฟังพระคำภีร์บอกว่าเราอย่าไปทำอย่างเขา  คือ พูดย้ำแต่ความต้องการของตัวเองอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวว่าถ้าพูดไม่ละเอียด แล้วเดี๋ยวพระจะเข้าใจไม่ถูกต้อง  แล้วส่งความช่วยเหลือมาผิดวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ  พระเจ้าบอกว่าอย่าทำอย่างงั้น เพราะอะไรที่จำเป็นสำหรับเรา..พระองค์รู้หมดแล้ว  ไม่ต้องอ้าปากพูด..ก็รู้แล้ว    แต่ให้เราอธิฐานอย่างนี้ว่า...
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ  ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์  เพราะ ถ้าขอให้เป็นไปตามใจเรา แสดงว่า..ใครใหญ่  เหมือนคนที่ไม่เชื่อเขาไปบนพระของเขาแล้วบอกว่า ”ถ้าทำให้เขาได้ 1..2..3..4 ตามที่เขาขอนะ..จะเอาอันนั้น อันนี้ มาถวาย  แปลว่า..ถ้าไม่ทำให้สมใจเขา..อด  ความเชื่อแบบนี้น้าตุ๊กเรียกว่า “เชื่อแบบหมูไปไก่มา”  แล้วถ้าพระเหล่านั้นต้องคอยทำตามใจมนุษย์ ไม่ว่าพวกเขาจะขออะไร..แล้วตกลงใครใหญ่   ถ้าพระหรือนามไหนก็ตามเป็นอย่างนี้..ดิชั้นขอแนะนำว่า..เอาตัวเองให้รอดก่อนดีมั๊ย     ดังนั้น ถ้าเราอธิฐานเหมือนคนต่างชาติ  แสดงว่า  เราคิดว่าเราเก่งกว่าพระเจ้า  เราคิดว่าพระเจ้า..ไม่รู้หรอกว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดีกับชีวิตเรา  เวลาอธิฐานเราถึงต้องคอยกำกับพระองค์อยู่ตลอด   เพราะฉะนั้น จงขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย..เชื่อในความยิ่งใหญ่ว่าพระองค์ทรงดูแลชีวิตเรา..ได้ดีกว่าเราดูแลตัวเอง แน่นอน 
ข้อที่ 11  “ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้”  หลายคนไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ แล้ว  เพราะไร ก็มีกินทุกวัน..ไม่เคยอด  การมีข้าวสามมื้อกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว  น้าตุ๊กจะไม่พูดถึงคนไม่มีความเชื่อ..เพราะมันไม่เกี่ยวกับเรา  แต่น้าตุ๊กรู้สึกว่า คริสเตียนส่วนใหญ่สมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะตื่นเต้นชื่นชมยินดีกับข้าวสามมื้อที่พระเจ้าประทานให้..เท่าที่ควร  เพราะทุกคนไม่เคยอด..ไม่เหมือนคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร..ที่ไม่เคยลืมอธิฐานเลยในเวลาที่รอมานาตกจากฟ้า  ดังนั้น หลายครั้งพระเจ้าจำเป็นต้องเอาความขาดแคลนใส่เข้ามาในชีวิตเราบ้าง  เพื่อที่เราจะได้ไม่ลืม..ว่าการเลี้ยงดูนั้น มาจากพระเจ้า  
ข้อที่ 12  และขอทรงโปรดยกความบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น”  ข้อนี้ ก็ทำให้เราไม่ลืม..ว่าสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ความรอด..ที่พระเจ้าประทานให้เราแล้ว  พระองค์ไม่ถือสาความผิดบาปทุกอย่างที่เราได้ทำ  ดังนั้น เราเองก็ต้องยกโทษให้คนอื่นด้วย  และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความชั่วร้าย  เหตุว่าอาณาจักรและฤทธิ์เดชและสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์” 
นี่คือ แบบอย่างการอธิฐานที่พระเยซูสอนไว้  ซึ่งเรายังสามารถที่จะกราบทูลทุกเรื่องที่เราอยากบอกแก่พระเจ้าได้   แต่ให้อยู่ในบรรทัดฐานนี้ที่พระองค์สอน  อยากได้..อยากมี..อยากเป็นอะไร ก็ว่าไป แล้วอย่าลืมลงท้ายว่า.. แต่ขอให้เป็นไปตาม”น้ำพระทัยของพระองค์ “ และก็ต้องหมายความตามนั้นจากใจจริงด้วย 
                ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ