วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 10 อาทิตย์ที่ 18:3:2012

เราอยู่ที่อาณาจักรยูดาห์ ในรัชกาลของก.มนัสเสห์ ที่พระคำภีร์บันทึกว่าเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้ายที่สุด เขาทำความบาปตามอย่างคนต่างชาติครบทุกเวอร์ชั่นเลย ทั้งไหว้รูปเคารพ สร้างปูชนียสถานสูง ไหว้พระเทียมเท็จ รวมถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว นอกจากนี้ มนัสเสห์ยังจับลูกตัวเองบูชายัญ..ใช้เวทมนตร์ ทรงเจ้าเข้าผี มนัสเสห์เอาหมด..” และยังฆ่าคนบริสุทธิ์อีกมากมายในเยรูซาเล็ม” ใน 2 พกษ.บทที่ 21 การพิพากษาของพระเจ้าก็มาถึงมนัสเสห์ พระเจ้าตรัสว่า”พระองค์จะนำเหตุร้ายมาถึงเยรูซาเล็มและยูดาห์ อย่างที่ผู้ใดซึ่งได้ยินแล้วหูทั้งสองของเขาจะอื้อไป และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม ( แปลว่า ยูดาห์จะต้องโดนแบบเดียวกันกับสะมาเรีย ก็คือ ต้องตกไปเป็นเชลย) และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ” เรามาดูกันต่อไป..ว่ายูดาห์จะถูกล้างและคว่ำแบบไหน ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ไม่ได้บันทึกไว้ แต่ในพงศาวดารค่อนข้างชัดเจน
ดู 2พศด.33:10-11 ..เพราะความชั่วร้ายแบบสุดๆของมนัสเสห์ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้กองทัพของอัสซีเรียยกมาโจมตีอาณาจักรยูดาห์ ข้อที่11 บอกว่า “..พระเจ้าทรงให้ผู้บังคับกองทหารของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาต่อสู้เขาทั้งหลาย “เอาเบ็ดเกี่ยวมนัสเสห์”และจองจำด้วยตรวนและนำพระองค์มายังบาบิโลน” อันนี้เป็นสำนวนที่ทำให้เราเห็นภาพ..ว่ามนัสเสห์คงถูกจะจับอย่างทุลักทุเล..หมดสภาพเลยอะไรประมาณนั้น แต่ ! ข้อที่ 12บอกว่า “..เมื่อมนัสเสห์ทุกข์ยาก พระองค์ก็ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเจ้า และถ่อมพระทัยลงอย่างมากต่อพระพักตร์พระเจ้าของบรรพบุรุษ”..แสดงว่าจริงๆแล้ว รู้นะ..ว่าพระเจ้ามีจริง แน่จริง แล้วก็ควบคุมทุกอย่างอยู่จริงๆ แต่ที่ชอบจะบิดเบือนไปเชื่อ..ไปแสวงหาอย่างอื่น เพราะบางครั้งรูปแบบและทางของพระเจ้ามันเรียบเกินไป มันไม่สนองเนื้อหนัง มันไม่มันส์ มันไม่มีคาถามหานิยม..เครื่องลางของขลัง แล้วเวลาขออะไร..หลายครั้งก็ไม่ได้อย่างใจ..ไม่ได้คำตอบที่ชอบ เพราะพระเจ้าไม่ตามใจ..ไม่ตอบโจทย์ เราเลยอยากจะวิ่งไปหาอย่างอื่น..ที่มันสนองเนื้อหนังของเรามากกว่าพระเจ้า..ใช่หรือไม่ และเมื่อมนัสเสห์กลับใจ พระเจ้าจะว่ายังไง ดูต่อ..
2 พศด.33:13 เมื่อมนัสเสห์ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ชั่วช้าที่สุดกลับใจ ข้อที่ 13 บอกว่า “พระเจ้าทรงรับคำวิงวอนของพระองค์ และนำมนัสเสห์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม แล้วมนัสเสห์ทรงทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า” ..เคยโกรธใครแบบที่อภัยให้ไม่ได้มั๊ย ดูข้อนี้ไว้เป็นตัวอย่าง เพราะจริงๆแล้ว มนัสเสห์ทำกับพระเจ้าไว้หนักหนาสาหัสมาก แต่เมื่อเขาถ่อมใจลงสำนึกผิดและอธิฐาน..ขอพระเจ้ายกโทษ พระเจ้าก็ทรงฟังคำวิงวอนและยกโทษให้มนัสเสห์ แล้วเราเป็นใคร..ถึงจะไม่ยกโทษให้คนที่เขาทำผิดต่อเรา แล้วน้าตุ๊กว่า..ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ความผิดเล็กน้อยเท่านั้นเอง น้าตุ๊กเคยได้ยินเรื่องราวของผู้รับใช้ท่านนึงที่ลูกชายของเขาถูกลูกหลงจากกระสุนปืนของโจร แต่หลังจากที่โจรคนนี้ถูกจับได้และติดคุก..ผู้รับใช้ท่านนี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่รู้สึกเกลียดชังหรือโกรธโจรคนนี้เลย แล้วไม่ใช่แค่นั้น ผู้รับใช้คนนี้ยังเข้าไปประกาศข่าวประเสริฐและสอนพระคำภีร์ให้กับคนที่ฆ่าลูกเขา..ถึงในคุก ในที่สุด ฆาตรกรที่ฆ่าลูกเขาก็กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า และพอพ้นโทษออกมาเขาก็แต่งงานโดยมีผู้รับใช้ท่านนี้เป็นคนทำพิธีให้ ลองนึกดูว่าภาพนั้นจะน่าประทับใจขนาดไหน เพราะมันเป็นภาพที่ไม่มีใครนึกฝันแล้วก็หาดูยาก..หรือหาดูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คือ ภาพที่ผู้รับใช้คนนึงกำลังทำพิธีแต่งงานให้กับคนที่ฆ่าลูกตัวเอง นี่คือ แบบอย่างของอภัยทานที่น่ายกย่อง แล้วที่เขาทำได้อย่างงี้ก็เพราะเขามีความเชื่อและแน่วแน่ที่จะเดินตามแบบอย่างที่พระเจ้าสำแดงไว้อย่างมากมายในพระคำภีร์ อย่างเช่นข้อที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ เป็นต้น ดังนั้น น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กฝึกนะคะ..ฝึกตั้งแต่วันนี้ ให้อภัยเถอะค่ะ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครและทำผิดต่อเรามากน้อยขนาดไหน มันทำกันไม่ได้ในวันเดียว แต่ถ้าเราฝึก..เราจะทำได้มากขึ้น จากนั้น ข้อที่ 20 มนัสเสห์ก็ล่วงหลับไป แล้วเขาก็ฝังศพไว้ในวัง คือ ไม่ได้ถูกฝังไว้ในที่ของกษัตริย์แห่งยูดาห์
ดู พศด.33:19-20 หลังจากมนัสเสห์ตาย ลูกชายของเขาชื่อ”อาโมน” ก็ขึ้นครองยูดาห์ และพระคำภีร์บอก..อาโมนทำชั่วเหมือนพ่อเลย เพราะถึงมนัสเสห์จะกลับใจใหม่..แต่นั่นมันตอนท้ายๆบั้นปลายชีวิต ถ้าชั่งดูตลอดชีวิต..ต้องบอกว่ามนัสเสห์ทำชั่วเป็นส่วนใหญ่ แล้วเขาก็ครองราชย์นานมาก..ครองอยู่ 55 ปี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาโมนจะเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น คือ ทำบาปเหมือนพ่อ ทีนี้ น้าตุ๊กก็ย้ำหลายครั้งว่าทั้งความบาปและความชอบธรรมไม่สามารถสืบทอดกันทางสายเลือด แล้วจริงๆมันขึ้นอยู่กับอะไร วันนี้รู้สึกอัศจรรย์ใจเพราะเรื่องนี้ที่เตรียมมาสอนตรงกับเรื่องที่อาจารย์นครเทศน์ให้ฟังในช่วงเช้า น้าตุ๊กอยากอธิบายให้เด็กๆเข้าใจว่า “จริงๆก็คือ มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป (บาป = missing target ดังนั้น อย่าตกใจมากมายกับคำว่าบาป) เราติดเชื้อบาป..ตกลงไปในความบาปตั้งแต่ที่อาดามไม่เชื่อฟังแล้ว เพราะฉะนั้น ความบาปของเรามาจากใคร..มาจากบรรพบุรุษไม่ใช่มาจากพระเจ้านะคะ เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกัน..บ่อยมาก เด็กๆต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าจริงๆแล้วมนุษย์ทำตัวเองเพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้า มนุษย์จึงตกลงไปในความบาป และในยุคพระคุณแห่งพระเยซูคริสต์ ผู้ที่กลับใจใหม่ กลับมารักพระเจ้า ดำเนินตามความชอบธรรม..ก็ทำด้วยพระคุณที่พระเจ้ามอบให้ ซึ่งแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะประทานความสำนึกและกลับใจใหม่ให้ใคร..นึกออกมั๊ยคะ คือถ้าพระเจ้าไม่ช่วย ไม่เลือก..เราก็ตายลูกเดียว ”เพราะเราเป็นเหมือนบรรพบุรุษ คือ อาดาม” เอเฟซัส 2:8-9 อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเองแต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” แปลว่า คริสเตียนเองก็ไม่สามารถอวดได้เลย..ว่าชั้นดีกว่าคนอื่น ชอบธรรมกว่า เพราะชั้นเชื่อพระเจ้าหรือชั้นรักพระเจ้า เพราะ”ความเชื่อ”..พระเจ้าก็เป็นผู้ประทานให้ เรายังอยู่กันที่หนังสือพงศาดาร..
ดู 2พศด.33:24-25 ข้อนี้ บอกว่า อาโมนสิ้นพระชนม์ เพราะไร..ถูกข้าราชการกบฎแล้วก็ฆ่าทิ้ง จากนั้น พวกเขาก็ตั้งลูกชายของอาโมน ชื่อ”โยสิยาห์” ขึ้นเป็นกษัตริย์ น้าตุ๊กฟังตรงนี้แล้วทึ่งมาก เพราะยูดาห์เองก็มีการกบฎแล้วก็ลอบสังหารกษัตริย์เหมือนอิสราเอลเลย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ “ไม่ว่าจะกบฎกี่ครั้ง..ยูดาห์จะเอาแต่ราชวงศ์ดาวิดเท่านั้น” อย่างข้อนี้ ฆ่าพ่อทิ้ง..เสร็จแล้วก็ตั้งลูกเขาขึ้นมาแทน..ไม่ยึดอำนาจและไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ความสัตย์ซื่อที่คนยูดาห์มีต่อราชวงศ์ดาวิด..มันน่าอัศจรรย์มาก แต่ที่ต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะพระเจ้าตรัสไว้แล้ว..ว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดในพงศ์พันธ์ของดาวิด เพราะฉะนั้น ยังไงราชวงศ์ดาวิดก็ต้องอยู่ ไม่เหมือนอิสราเอลฝ่ายเหนือ..ที่ใครกบฎ คนนั้นก็ขึ้นครองเลย แล้วตอนที่โยสิหาห์ขึ้นครองก็อายุแค่ 8 ขวบ ถ้าไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ดาวิดจริงๆ คงถูกยึดอำนาจไปแล้ว
ดู 2พศด.34:1-2 ตอนที่โยสิยาห์ขึ้นครอง เขาอายุ 8 ปี ฟังแล้วเราก็คงคิดว่าเด็กแปดขวบจะทำไรได้ แต่..เขาทำได้เยอะมาก ข้อที่ 2 บอกว่า “โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ที่ดี..รักพระเจ้า ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และดำเนินในมรรคาทั้งสิ้นของดาวิด เพราะในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อโยสิยาห์ยังทรงพระเยาว์อยู่ พระองค์ทรงเริ่มแสวงหาพระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และในปีที่สิบสอง โยสิยาห์ก็เริ่มกวาดล้างยูดาห์และเยรูซาเล็มด้วยการกำจัดปูชนียสถานสูง ทั้งบรรดาเสารูปเคารพและรูปเคารพแกะสลักและรูปเคารพหล่อ” ...พระคำภีร์บอกชัดเจน โยสิยาห์เริ่มแสวงหาพระเจ้าเมื่อเขาครองราชย์ได้ 8 ปี ก็คือตอนอายุ 16 ปี จากนั้น โยสิยาห์ก็เริ่มกวาดล้างการไหว้พระเทียมเท็จ พังแท่นบูชาพระบาอัล โค่นบรรดารูปเคารพ ทุบรูปแกะสลักอะไรต่างๆ จนเป็นผุยผง แล้วก็เอาไปโรยบนหลุมศพของบรรดาคนที่ไหว้พระพวกนั้น เรียกว่า กวาดล้างทั้งรูปเคารพกับบรรดาปุโรหิตของพระเหล่านั้นจนสิ้นซากไปจากยูดาห์ แต่โยสิยาห์ไม่หยุดแค่นั้น..ข้อที่ 6 บอก..”พระองค์ยังกระทำเช่นกันในหัวเมืองของมนัสเสห์ เอฟราอิม สิเมโอน แล้วก็เลยไปถึงนัฟทาลีด้วย” ก็คือ พอกวาดล้างที่ยูดาห์เสร็จแล้ว โยสิยาห์เลยไปพังแท่นบูชาที่อิสราเอลด้วย แล้วข้อนี้ ก็ทำให้พระวจนะพระเจ้าที่ตรัสไว้แล้วเมื่อประมาณสองร้อยกว่าปีก่อน..เป็นจริง ให้เราย้อนกลับไปดู..
ดู 1พกษ.13:1-2 อันนี้ เราเรียนกันไปแล้วแต่เด็กๆคงจำไม่ได้ พยายามนึกตามหน่อยนะคะ ข้อนี้ เป็นช่วงแรกๆที่อิสราเอลเพิ่งจะถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักร ตอนนั้น เยโรโบอัมก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลฝ่ายเหนือ แล้วเขาก็ทำบาปด้วยการสร้างรูปวัวทองคำให้คนอิสราเอลกราบไหว้ เพราะไม่อยากให้อิสราเอลสิบเผ่าเดินต้องทางกลับไปนมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม..กลัวว่าใจของคนสิบเผ่าจะเขวอยากกลับไปรวมกับยูดาห์..ไปเข้าข้างราชวงศ์ดาวิด และข้อนี้ ก็เป็นตอนที่เยโรโบอัมกำลังถวายเครื่องบูชารูปวัวทองคำอยู่ที่เบธเอล โดยที่เขากำหนดทุกอย่างขี้นมาเอง ปุโรหิตก็ตั้งเองจากคนที่ไม่ใช่เผ่าเลวี เพราะฉะนั้น พระเจ้าเลยส่งผู้เผยพระวจนะจากยูดาห์..มาพิพากษาเยโรโบอัมขณะที่เขากำลังทำพิธีอยู่บนแท่นบูชา ข้อที่ 2 บอกว่า “ผู้เผยพระวจนะได้ร้องกล่าวโทษแท่นนั้นโดยพระวจนะของพระเจ้าว่า "โอ แท่นบูชา แท่นบูชา พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า `ดูเถิด โอรสองค์หนึ่งจะประสูติมาในราชวงศ์ของดาวิด “ชื่อโยสิยาห์” และบนเจ้าแท่นนี้จะฆ่าปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงผู้ซึ่งเผาเครื่องหอมบนเจ้า และเขาจะเผากระดูกคนบนเจ้า”..และเหตุการณ์ในข้อนี้นี้เกิดขึ้นก่อนโยสิยาห์จะเกิดสองร้อยกว่าปี เรียกว่าคนละสมัยเลย แต่ที่น่าทึ่งมาก ก็คือ พระเจ้าบอกชื่อไว้ด้วย..ว่าคนที่จะมาพังแท่นของเยโรโบอัมนี้ ชื่อ “โยสิยาห์” ไม่ได้บอกแค่ว่าจะมีใครคนนึงมาพังแท่น..ไม่ใช่ แต่บอกอย่างชัดเลยว่าโอรสองค์หนึ่งจะประสูติมาในราชวงศ์ของดาวิดชื่อ”โยสิยาห์” แล้วน้าตุ๊กก็เปิดพระคำภีร์ภาษาอังกฤษทุกเวอร์ชั่นเลยนะ..ว่าเขาเขียนชื่อโยสิยาห์ไว้จริงๆรึเปล่า ปรากฎว่าเขียนไว้ทุกฉบับเลย โอโห..พระเจ้า ใครไม่ตื่นเต้น..น้าตุ๊กตื่นเต้นอีกแล้ว เพราะไม่เคยพบหรือได้ยินคำภีร์หรือตำราเล่มไหนบนโลกที่พยากรณ์แบบชัดเจนขนาดนี้ จริงอยู่ที่เราทุกคนต่างรู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ทุกอย่าง มากกว่านี้ก็ทำมาแล้ว แต่เมื่อพระเจ้าทรงนำให้น้าตุ๊กเข้าใจหรือเห็นอะไรบางอย่าง น้าตุ๊กก็อดตื่นเต้นไม่ได้ซักที กลับมาที่หนังสือพศด.
ดู 2พศด.34:15-16/18-19 หลังจากที่โยสิยาห์ไปพังแท่นบูชาพระเทียมเท็จทั่วทั้งยูดาห์และอิสราเอลแล้ว เขาก็กลับมาฟื้นฟูบูรณะพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ข้อที่ 15 บอกว่า ฮิลคียาห์..ซึ่งเป็นปุโรหิตก็ไปเจอม้วนหนังสือพระบัญญัติพระเจ้าของโมเสส ไปซุกอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้..ในพระวิหาร ประมาณว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสนใจ..อยู่นอกสายตามากๆ แล้วพอเจอ..เขาก็เอาพระบัญญัติพระเจ้าไปอ่านให้โยสิยาห์ฟัง ข้อที่18 บอกว่า “การอ่านพระราชบัญญัติได้นำการกลับใจยิ่งใหญ่มา” เพราะโยสิยาห์ฟังปุ๊บ! ตกใจอย่างแรง เพราะในบัญญัตินั้นมีคำสาปแช่งด้วยสำหรับคนที่ทิ้งพระเจ้า แล้วโยสิยาห์ก็นึกออกว่าที่ผ่านมา บรรพบุรุษของเขาก็ทำผิดต่อพระเจ้ามาตลอด โยสิยาห์เลยฉีกเสื้อผ้าตัวเอง (แสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกและกลับใจ) จากนั้น พระเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะในข้อที่ 24 บอกว่า “ดูเถิด เราจะนำเหตุชั่วร้ายมาเหนือสถานที่นี้และเหนือชาวเมืองนี้ คือคำสาปทั้งสิ้นที่บันทึกไว้ในหนังสือซึ่งได้อ่านถวายต่อกษัตริย์แห่งยูดาห์นั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งเราและได้เผาเครื่องหอมถวายพระอื่น กระทำให้เราโกรธด้วยการงานทั้งสิ้นแห่งมือของเขา เพราะฉะนั้นความพิโรธของเราจะเทลงเหนือสถานที่นี้และจะดับไม่ได้” ..แปลว่า ยกโทษให้ไม่ได้ แต่เพื่อเห็นแก่ความชอบธรรมของโยสิยาห์ ข้อที่ 27 พระเจ้าบอกว่า “เพราะจิตใจของเจ้าอ่อนโยน และเจ้าได้ถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของเจ้าและร้องไห้ต่อหน้าเรา พระเจ้าจะให้ความร่มเย็นเกิดขึ้นตลอดชั่วอายุไขของโยสิยาห์ แล้วเขาจะถูกรวบไปสู่ที่ฝังศพอย่างสันติ โยสิยาห์จะไม่เห็นบรรดาเหตุชั่วร้ายซึ่งพระเจ้าจะนำมาเหนืออาณาจักรยูดาห์
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 9 อาทิตย์ที่ 11:3:2012

เราอยู่ในสมัยของก.เฮเซคียาห์แห่งอาณาจักรยูดาห์ หลังจากที่อาหัสตายแล้ว ลูกชายของเขาก็ขึ้นครองแทนและขอบคุณพระเจ้าที่เฮเซคียาห์ไม่เหมือนพ่อ พระคำภีร์บอกว่า”เฮเซคียาห์รักพระเจ้า พอขึ้นมาปุ๊บ ! ”พระคำภีร์บอก เฮเซคียาห์ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า ตามที่ดาวิดเคยทำ..ทุกอย่าง” ..เฮเซคียาห์เปิดประตูพระนิเวศน์พระเจ้าที่อาหัสปิดตาย แล้วก็รื้อปูชนียสถานสูงทิ้ง..พังเสาศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพ ทุกอย่างที่อาหัสเอาเข้ามาในนิเวศน์พระเจ้า..เฮเซคียาห์เอาออกไปทิ้งหมดเลย เสร็จแล้วเขาก็ไปเอาแท่นบูชาพระเจ้าของซาโลมอน ยกกลับมาในพระวิหาร และหลังจากที่เฮเซคียาห์เอาพระบัญญัติพระเจ้ากลับมารื้อฟื้นแล้ว เขาก็ประกาศให้คนอิสราเอลร่วมกันถือเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าเคยสั่งไว้..ให้คนอิสราเอลต้องถือทุกปี แต่หลังจากที่อาณาจักรถูกแบ่งแยกแล้ว ทั้งอิสราเอลและยูดาห์..ไม่เคยถือปัสกาเลย จากนั้น พระคำภีร์ก็ยังบันทึกเรื่องราวในสมัยของเฮเซคียาห์ไว้อีก ดูต่อใน..

ดู 2 พกษ.18:13-14 ในเวลานั้นเป็นช่วงที่อาณาจักรอัสซีเรียกำลังเรืองอำนาจ..อิสราเอลฝ่ายเหนือ กับ ซีเรีย..ถูกอัสซีเรียยึดครองไปแล้ว ทีนี้ ก็ถึงคิวของอาณาจักรยูดาห์ เพราะยูดาห์ก็เป็นแค่อาณาจักรเล็กๆที่คั่นอยู่ระหว่างอัสซีเรียกับอียิปต์ อัสซีเรียเลยยกทัพมาตั้งฐานอยู่ที่เมืองลาคีช (..ลาคีชเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างพรมแดนฟิลิสเตียกับยูดาห์) ข้อที่ 14 เฮเซคียาห์พยายามจะเจรจาขอออมชอมกับอัสซีเรีย เขาบอกเซนนาเคอริบว่า “เขาผิดไปแล้วที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่ออัสซีเรีย แต่จะอยู่กันย่างสงบได้มั๊ย..แล้วจะยอมเป็นเมืองขึ้น พร้อมทั้งจ่ายเงินและทองคำให้เป็นค่าปรับ” ...การที่เฮเซคียาห์ทำอย่างงี้ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความเชื่อนะ แต่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ แล้วดูยังไง..ยูดาห์ก็สู้อัสซีเรียไม่ได้อยู่แล้ว ข้อที่ 15 บอกว่า “เฮเซคียาห์ได้มอบเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และในคลังสำนักพระราชวัง แล้วยังทองคำจากประตูทั้งหลายของพระวิหารพระเจ้า และจากเสาเอาไปให้กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย..แต่เซนนาเคอริบก็ไม่ยอม แถมยังใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามเฮเซคียาห์และรวมถึงพระเจ้าด้วย..อย่างยาวเหยียด เด็กๆดูได้นะคะ ตั้งแต่ข้อที่ 19-35 เลย.. จากนั้น เฮเซคียาห์ทำไง เรื่องนี้บันทึกไว้อย่างน่าสนใจในหนังสืออิสยาห์ ให้เราเปิดไปดู..

อิสยาห์ 37:14 /33-34 ไม่ว่าเฮเซคียาห์จะพูดยังไง เซนนาเคอริบก็ไม่ยอมสงบศึก..ยืนยันจะตียูดาห์ให้ได้ ทั้งส่งคนมาขู่..ดูหมิ่นเหยียดหยามสารพัด แล้วสุดท้ายยังส่งจดหมายประกาศศักดาตัวเองมาอีก เมื่อเฮเซคียาห์เห็นว่าก.อัสซีเรียไม่ยอมเลิกลาแน่ ทั้งที่พูดดีๆก็แล้ว จะยอมจ่ายเงินให้ก็แล้วแต่เซนนาเคอริบก็ไม่ยอม..จะรบอย่างเดียว เฮเซคียาห์เลยทำไง ข้อที่ 14 บอกว่า “เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือผู้สื่อสาร..แล้วพออ่านปั๊บ ก็เข้าไปในวิหารพระเจ้า ไปถึงก็กางจดหมายให้พระเจ้าดู เสร็จแล้วก็ฟ้องเลย..” ประมาณว่า ..พระองค์ดูนี่สิ เนี่ย..เขาขู่ลูก เขาเยาะเย้ยพระองค์ด้วย พระองค์ต้องช่วยลูกนะ..จัดการให้ลูกที เฮเซคียาห์พึ่งพระเจ้าเต็มที่ เพราะตอนนี้ ดูแล้วไม่มีทางรอด แล้วการกระทำในข้อนี้ของเฮเซคียาห์ก็เป็นที่ฮือฮาและน่าเอาอย่างมาก เพราะมันสื่อถึงความสัมพันธ์ที่ติดสนิทกันระหว่างเรากับพระเจ้า มันให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนพระเจ้าเป็นอะไรที่เราเข้าถึงได้ง่ายแบบพ่อๆลูกๆ ที่สำคัญ เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจว่า..ทำไม บางครั้งพระเจ้าถึงยอมให้เราถูกข่มเหง ยอมให้เหตุการณ์ร้ายๆบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา เพราะสถานการณ์อย่างงั้นมันผลักดันให้เรา..เข้าชิดติดสนิทกับพระเจ้า ทางยิ่งตันและยิ่งมืดเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นพระเจ้าชัดเจนขึ้นเท่านั้น.. ข้อที่ 34 พระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานของเฮเซคียาห์ “ท่านมาทางใด ท่านจะต้องกลับไปทางนั้น ท่านจะไม่เข้ามาในนครนี้” (ท่านในที่นี้ ก็คือ เซนนาเคอริบ) ..ประมาณว่า ไม่ต้องกลัวลูก..มันมาทางไหน ก็ต้องไปทางนั้น เซนนาเคอริบไม่มีทางแตะต้องยูดาห์ได้..พระเจ้าการันตี พระองค์ทำไง..

ดู อิสยาห์ 37:36-37 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์จึงได้ออกไปและได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสีย 185,000 คน คือ ตายโดยไม่มีสาเหตุ..ตอนเข้านอนก็ยังดีๆอยู่ ตื่นเช้ามาทหารอัสซีเรียกลายเป็นศพไปแล้ว 185,000 คน ภายในคืนเดียว เยอะมั๊ย..แสนแปดหมื่นคน เยอะมากๆ เซนนาเคอริบตกใจอย่างแรง เพราะไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆทหารเข้านอนแล้วตายไปเลยเกือบสองแสนคน..ภายในคืนเดียว เซนนาเคอริบเลยคิดว่า..อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะไร..ดีไม่ดีเดี๋ยวพรุ่งนี้เกิดเป็นเขา..ที่เข้านอนแล้วไม่ฟื้น..จะทำไง อย่ากระนั้นเลย..ไปดีกว่า เซนนาเคอริบจึงมาทางไหน..ไปทางนั้นอย่างที่พระเจ้าบอกไว้เลย จากนั้น ข้อที่ 38 บอกว่า “ต่อมา ขณะที่เซนนาเคอริบกำลังนมัสการพระนิสโรกอยู่ในวิหาร เขาก็ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือลูกตัวเอง แล้วนี่คือ โทษของคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า เพราะคนที่เอ่ยพระนามพระเจ้าอย่างไม่เหมาะสม จะไม่มีโทษก็หามิได้ แล้วที่เห็น..ก็จบไม่สวยซักคน อย่าง”เยเซเบล” ก็ตายแบบสยองสุดๆ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ถ้าเห็นใครที่ไม่เชื่อแล้วพูดถึงพระเจ้าแบบเสียหายนะ น้าตุ๊กจะสยองมาก..

ดู 2พกษ.20:1-2/3 ข้อนี้ ก็เป็นอีกเหตุการณ์นึงที่เกี่ยวข้องกับก.เฮเซคียาห์ คือ เฮเซคียาห์ป่วยหนักจนถึงขั้นจะเสียชีวิต พระเจ้าก็ใช้อิสยาห์มาเผยพระวจนะกับเขา บอกว่า..”ให้จัดการบ้านการเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น”..ก็ประมาณ สั่งเสียแล้วก็มอบหมายหน้าที่ให้เรียบร้อยซะ พอเขาตายแล้วบ้านเมืองจะได้ไม่วุ่นวาย พูดเสร็จอิสยาห์ก็กลับไป ข้อที่ 3 บอกว่า พอได้ยินอิสยาห์พูดอย่างงั้นเฮเซคียาห์ก็ตกใจ แล้วก็เสียใจมาก เขาอธิฐานกับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วยความจริงและด้วยใจที่เพียบพร้อม และได้กระทำสิ่งที่ประเสริฐในสายพระเนตรของพระองค์มาอย่างไร..แล้วเฮเซคียาห์ก็ร้องไห้อย่างหนัก” ..คือ ไม่อยากตาย เขาก็เลยบอกพระเจ้าว่า..อย่าเพิ่งให้เขาตายได้มั๊ย พระองค์ก็เห็นว่าเขาดำเนินกับพระองค์อย่างสัตย์ซื่อมาตลอด และเมื่อพระเจ้าได้เห็นการวิงวอนของเฮเซคียาห์ ข้อที่ 4 บอกว่า “และอยู่มาก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลาน พระวจนะของพระเยโฮวาห์ก็มาถึงท่าน” ..คือ พออิสยาห์เผยพระวจนะเสร็จ..ก็กลับเลย แต่ยังเดินไปไม่ถึงไหน พระเจ้าก็บอกให้กลับเข้าไป แล้วบอกเฮเซคียาห์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว และเราได้เห็นน้ำตาของเจ้า ดูเถิด เราจะรักษาเจ้า และเราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปี” ...ต่ออายุให้เลย พระเจ้าบอกโอเคๆ เพื่อเห็นแก่ความชอบธรรมของเฮเซคียาห์ พระองค์จะต่ออายุให้เขาอีก 15 ปี แต่การต่ออายุนี้..มันจะดีจริงๆรึเปล่า เราต้องดูกันต่อไป...

ดู 2พกษ.20:8-9/10-11 พออิสยาห์บอก..พระเจ้าจะต่ออายุให้ เฮเซคียาห์ก็ถามว่าอะไรจะเป็นหมายสำคัญจากพระเจ้า..ว่าเขาจะหายป่วย ขอหมายสำคัญเพื่อความแน่ใจได้มั๊ย อิสยาห์เลยถามเฮเซคียาห์ว่า “เขาจะให้เงา (ซึ่งหมายถึงเงาของนาฬิกาแดด) คืบหน้าไปสิบขั้น หรือ ย้อนกลับมาสิบขั้น..ให้เฮเซคียาห์เลือกเอา เฮเซคียาห์ก็คิดว่า..ที่จะให้ยาวออกไปหรือคืบหน้าไปมันก็ง่ายเพราะเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเงามันก็ต้องยาวขึ้นอยู่แล้วเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เฮเซคียาห์เลยขอให้มันย้อนกลับมาละกัน..เพราะมันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ แล้วปรากฎว่า พระเจ้าก็ตอบคำอธิฐานของเขาด้วยการนำเงาย้อนกลับมาสิบขั้น ซึ่งเงานั้นได้เลยไปแล้วในนาฬิกาแดดของอาหัส ( คือ อาหัสเป็นคนที่คิดสร้างนาฬิกาแดด) ข้อนี้ ก็ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง..อยู่ที่ว่าพระองค์จะทำมั๊ย..เท่านั้นเอง ข้อนี้พระองค์ทำอะไร “หมุนโลกกลับ” หรือแม้แต่สั่งให้โลกหยุดหมุน..พระเจ้าก็ทำมาแล้ว

ดู2พกษ.20:12-13 คือ ตอนนั้นบาบิโลนยังไม่เรื่องอำนาจเท่าไหร่ อยู่ในช่วงที่อัสซีเรียกำลังจะลงและบาบิโลนกำลังจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทน ข้อนี้ บอกว่า ”บาบิโลนส่งจดหมายและเครื่องบรรณาการมาให้เฮเซคียาห์” จริงๆแล้ว..ก็ไม่รู้ว่าบาบิโลนมาเพราะอยากสวามิภักดิ์หรือมาสอดแนมยูดาห์กันแน่แต่เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง เพราะข่าวการตายของทหารอัสซีเรีย 185000 ก็สร้างบารมีและความน่าเกรงขามให้แก่อาณาจักรยูดาห์อย่างมาก แต่การมาของบาบิโลนก็อาจจะมีจุดประสงค์แอบแฝงด้วยเหมือนกัน ข้อที่ 13 บอกว่า “เฮเซคียาห์ได้ทรงต้อนรับเขา และพาเขาชมคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทองคำ เครื่องเทศ หรือน้ำมันประเสริฐ และคลังพระแสง (คือ อาวุธ) ไม่มีสิ่งใดที่ในพระราชวังหรือในอาณาจักรยูดาห์ที่เฮเซคียาห์มิได้สำแดงแก่เขา ..เรียกว่า พาเขาทัวร์ แล้วก็เปิดคลังให้เขาดูหมดว่ายูดาห์มีอะไรบ้าง พวกบาบิโลนเห็นก็คงตาลุก วาวเพราะสมัยของเฮเซคียาห์..ยูดาห์รุ่งเรืองและร่ำรวยมาก เพราะเขารักพระเจ้า..พระเจ้าก็อวยพรเยอะ..

ดู 2พกษ.20:14-15 หลังจากที่เฮเซคียาห์พาคนของบาบิโลนชมคลังทรัพย์ของยูดาห์แล้ว ข้อนี้ บอกว่า..อิสยาห์ก็มาเฝ้าพระองค์แล้วถามว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง และเขามาเฝ้าพระองค์แต่ไหน" และเฮเซคียาห์ตอบว่า "เขาได้มาจากเมืองไกล จากบาบิโลน" แล้วอิสยาห์ก็ถามอีก..ว่า”เขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง" และเฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า "เห็นทุกอย่างเลย..ในวังของเรา ไม่มีสิ่งใดในพระคลังของเราที่เขาไม่ได้เห็น" แค่นั้นแหละ..ข้อที่ 16 อิสยาห์ก็เผยพระวจนะทันที "ขอทรงฟังพระวจนะของพระเจ้า ดูเถิด วันเวลากำลังย่างเข้ามาเมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้า และสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้ “จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย” และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้า จะถูกนำเอาไป และเขาจะเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน" ...แล้วอีกประมาณ 100 ปีหลังจากนั้น คำเผยวจนะของอิสยาห์ก็เป็นจริง บาบิโลนยกมาโจมตียูดาห์แล้วขนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เยรูซาเล็มไป..จนเกลี้ยง ! แต่ เฮเซคียาห์ฟังแล้วว่าไง..

ดู 2พกษ.20:19-20 พอฟังคำเผยพระวจนะของอิสยาห์แล้ว เฮเซคียาห์ตอบว่า “..ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในวันเวลาของเรา"..ก็ประมาณว่า ไม่เป็นไรนี่ สมัยเรายังอยู่เย็นเป็นสุข..ก็ดีแล้ว ต่อไปก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของลูกหลาน จริงๆ พูดอย่างงี้..ไม่น่าฟังเท่าไหร่นะ..น้าตุ๊กว่า จากนั้น ข้อที่ 20 บอกว่า “เฮเซคียาห์สิ้นพระชนม์ ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเฮเซคียาห์ และยุทธพลังทั้งสิ้นของพระองค์ และที่พระองค์ทรงสร้างสระและรางระบายน้ำนำน้ำเข้ามาในกรุงอย่างไร มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งกษัตริย์ประเทศยูดาห์หรือ”..สรุปก็คือ สมัยของเฮเซคียาห์ ยูดาห์เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขมาก เพราะหลังจากที่อัสซีเรียยกทัพมาแล้วทหารตายไปแสนกว่าโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้น ก็ไม่มีใครกล้ายกมาโจมตียูดาห์อีกเลย และเมื่อครบเวลา 15 ปีที่พระเจ้าต่ออายุให้ เฮเซคียาห์ก็สิ้นพระชนม์ แล้ว”มนัสเสห์”ลูกชาย แสนชั่วของเขาก็ขึ้นครองแทน

ดู 2พกษ.21:1-2 หลังจากที่เฮเซคียาห์สิ้นพระชนม์แล้ว มนัสเสห์ โอรสของเขาก็ขึ้นครองยูดาห์ พระคำภีร์บอกมนัสเสห์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของต่างชาติ..” ..เขาทำอะไรบ้าง พระคำภีร์บอก มนัสเสห์สร้างปูชนียสถานสูงที่เฮเซคียาห์ทำลายทิ้งไปแล้ว..ขึ้นมาใหม่ สร้างแท่นบูชาสำหรับพระบาอัล สร้างเสารูปเคารพ เหมือนที่อาหับเคยทำ นอกจากนี้ มนัสเสห์ก็ยังไหว้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว แถมเอาไปไหว้ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าด้วย ข้อที่ 6 บอกว่า “และพระองค์ได้ทรงถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟ..” คือ จับลูกตัวเองบูชายัญ..ถือฤกษ์ยาม ใช้เวทมนตร์ ทรงเจ้าเข้าผี ผูกดวงแก้กรรมทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง.. มนัสเสห์เอาหมด” และ เขาก็ยังกระทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกเป็นอันมาก จนเต็มเยรูซาเล็ม” เรียกได้ว่า มนัสเสห์คือกษัตริย์ที่ทำชั่วต่อพระเจ้ามากที่สุด แล้วคิดดู ก่อนหน้านี้เฮเซคียาห์..พ่อเขาเป็นไง รักพระเจ้าดื่มด่ำล้ำลึกสุดๆ แต่พอมาถึงมนัสเสห์ ต้องบอกว่า ”หนังคนละม้วนเลย” แล้วที่น่าคิด คือ สองคนนี้เป็นพ่อลูก ดังนั้น ย้ำอีกที..ว่า”ความชอบธรรมมันไม่ได้สืบทอดกันทางสายเลือดหรือสายสัมพันธ์” น้าตุ๊ก อยากให้ย้อนดู ข้อที่ 1 บอกว่า “มนัสเสห์มีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ขึ้นครอบครอง”.....จำได้มั๊ย..ว่าพระเจ้าต่ออายุให้เฮเซคียาห์กี่ปี..15 ปี แสดงว่าอะไร...ถ้าพระเจ้าไม่ต่ออายุให้เฮเซคียาห์ จะมีมนัสเสห์มั๊ย..ไม่มี หลายคนเลยอดคิดไม่ได้ว่า..มันจะดีแค่ไหนถ้าเฮเซคียาห์ยอมจากไปในเวลาของพระเจ้า มนัสเสห์ก็จะไม่ได้เกิดมากระทำความชั่วช้าให้กับแผ่นดินยูดาห์ เฮเซคียาห์เองก็จะไม่มีโอกาสเที่ยวไปเปิดคลังทรัพย์อันมั่งคั่งให้บาบิโลนเห็น ประวัติศาสตร์อาจจะพลิกผันไปก็ได้

ดู 2พกษ.21:12-13 ..เพราะฉะนั้น พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากำลังนำเหตุร้ายมาถึงเยรูซาเล็มและยูดาห์ อย่างที่ผู้ใดซึ่งได้ยินแล้วหูทั้งสองของเขาจะอื้อไป (คือ ฟังแล้วต้องตะลึง ประมาณนั้น) และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ”..เชือกวัดและลูกดิ่ง เป็นเครื่องมืออย่างนึงที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งถ้าวัดแล้ว..สิ่งที่สร้างมันไม่ได้มาตรฐาน ก็ต้องรื้อทิ้ง..เก็บไว้ไม่ได้ เพราะมันจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงในอนาคตได้ ข้อนี้ จึงเป็นสัญญลักษณ์ที่พระเจ้ากำลังพิพากษาอาณาจักรยูดาห์ เหมือนเวลาที่วิศวกรคำนวนดูแล้ว..แบบไม่ผ่าน..ใช้การไม่ได้ก็ต้องทุบทิ้ง ทิ้งแบบไหน..”..อย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ” คือ เคลียร์เลย ไม่ให้มีสิ่งสกปรกเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว เพราะลองนึกเวลาที่เราล้างจาน..เราก็จะล้างน้ำแรก เสร็จแล้วเราก็จะล้างน้ำยา จากนั้นก็ล้างน้ำเปล่าอีกกี่รอบก็แล้วแต่..จนสะอาด และสุดท้าย เราก็จะคว่ำชาม เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แล้วนี่คือ แบบเดียวกับที่พระเจ้ากำลังจะทำความสะอาดยูดาห์ ฟังแล้ว..น่ากลัวมาก คราวหน้าเรามาดูกันต่อไป..ว่ายูดาห์จะถูกล้างและคว่ำแบบไหน

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 8 อาทิตย์ที่ 26:2:2012

เราอยู่ที่ 2พกษ.15 ซึ่งเป็นช่วงปลายของอาณาจักรอิสราเอลฝ่ายเหนือ เมื่อหมดสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 แล้ว อิสราเอลตกต่ำเร็วมาก “เศคาริยาห์”ลูกชายของเยโรโบอัมครองราชย์ได้แค่ 6 เดือนก็ถูก”ชัลลูม”กบฎ..ฆ่าชิงบัลลังก์ ส่วน”ชัลลูม”เองก็ครองอิสราเอลได้แค่เดือนเดียว ก็ถูก”เมนาเฮม”ฆ่า แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ประเด็นสำคัญที่พระคำภีร์สำแดงให้เราเห็นในช่วงนี้ก็คือ “อิสราเอล” กำลังถูกพระเจ้าพิพากษา เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า และทั้งที่พระเจ้าเตือน..ให้โอกาสหลายต่อหลายครั้ง แต่อิสราเอลก็ไม่สำนึกและไม่กลับใจใหม่

ดู 2พกษ.15:29-30 ในสมัยของเปคาห์กษัตริย์องค์ที่18 ของอิสราเอล “ทิกลัทปิเลเสอร์”กษัตริย์อัสซีเรียก็ยกทัพมาโจมตีแล้วก็เข้ายึดครองอิสราเอล ข้อที่ 30 บอกว่า ณ.เวลานั้น “โฮเชยาก็ได้กบฏและฆ่าเปคาห์แล้วก็ขึ้นครองอิสราเอล” และโฮเชยานี้ คือ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิสราเอล เพราะจากนั้นอีกไม่นานอิสราเอลฝ่ายเหนือก็ถึงคราวล่มสลาย เพราะไม่กลับใจใหม่มาเชื่อฟังพระเจ้า (และปีที่อิสราเอลล่มสลายไป ก็คือ ปีก่อนคศ.722 เดี๋ยวเราจะได้เรียนรายละเอียดกันในบทที่ 17) แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลนี้..คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในสมัยเยโรโบอัมที่2 เพราะสมัยนั้นพวกเขาเจริญและยิ่งใหญ่จนถึงขีดสุด ถ้าคิดตามสติปัญญามนุษย์..ยังไงๆ อิสราเอลก็ไม่น่าจะล่มสลายได้เพราะดูแล้วมั่นคงมาก เหมือนหลายๆอาณาจักรในประวัติศาสตร์ทั้งบาบิโลน กรีก โรม ที่ล้วนแต่รุ่งเรืองและแข็งแกร่งทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครเลยที่ขึ้นแล้ว..ไม่ลง เจริญแล้วไม่ตกต่ำ..ไม่มี และทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลก็เป็นแค่ตัวอย่าง..เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่ต้องการสำแดงแก่เราเพื่อ”ไม่ให้เราหลงผิดในแบบเดียวกัน” เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าเตือน..ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน จงหยุด..ฟัง..สำนึกผิดและกลับใจใหม่ซะ เราจะได้ไม่ต้องถูกตัดทิ้งเหมือนอิสราเอล..

ในข้อที่ 32 พระคำภีร์กลับมาที่อาณาจักรยูดาห์ ข้อนี้กล่าวถึงก.โยธามซึ่งเป็นลูกของอุสซียาห์ (อุสซียาห์ที่เป็นโรคเรื้อน) ตอนที่โยธามครองราชย์เขาอายุ 25ปี และครอบครองอยู่ 16 ปี พระคำภีร์บันทึกว่าโยธามนั้นเป็นกษัตริย์ที่ดี..ดำเนินตามทางของพระเจ้า โยธามจึงได้รับความสำเร็จมากมาย..สามารถรบชนะพวกอัมโมน และผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาในสมัยของโยธามนี้ คือ อิสยาห์และมีคาห์

ดู 2พกษ.16:1-2 หลังจากที่โยธามสิ้นชีวิต..อาหัสลูกชายของเขาก็ขึ้นครองยูดาห์ แต่อาหัสไม่เหมือนพ่อ พระคำภีร์บอกว่าก.อาหัสได้ทำชั่วต่อพระเจ้า..ยังไง ข้อที่ 3 บอกว่า “พระองค์ถวายโอรสของตัวเองให้ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ..” อาหัสเอาลูกตัวเองบูชายัญ..ซึ่งพิธีกรรมนี้!มันเป็นของคนคานาอันที่พระเจ้าเคยขับไล่ไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอล” ตั้งนานแล้ว..ตั้งแต่สมัยของโยชูวาแล้ว แต่ไม่รู้อาหัสไปขุดเอาแบบอย่างความชั่วพวกนี้กลับมาได้ไง ข้อที่ 5 อาหัสยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูง และในเนินสูง และใต้ต้นไม้สีเขียวทุกต้น” และการทำอย่างงี้ ก็เหมือนที่อ.เปาโลบอกไว้ในหนังสือโรมว่า (1:25) “เขาได้เปลี่ยนความจริงของพระเจ้าให้เป็นความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง” คือ การที่มนุษย์ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้ว..ทั้งต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล แทนที่มนุษย์จะทึ่งและกราบไหว้พระเจ้า..เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง พวกเขากลับหลงไปกราบไหว้สิ่งที่ทรงสร้าง ทั้งภูเขาบ้าง (..ก็ตั้งชื่อกันให้เป็น...อะไรก็ว่าไป แม่น้ำ.(เรียกกันว่าไร..).สารพัดสัตว์หรือแม้แต่ต้นไม้ (ก็ตั้งชื่อกันไปต่างๆนาๆ..) แล้วเด็กๆคิดว่าพระเจ้าจะรู้สึกอย่างไร..หรือถ้าเป็นเราจะรู้สึกยัง (ไอ้นั่นก็ดี..ไอ้นี่ก็สวย มองธรรมชาติหลายๆอย่างแล้ว มันแสนจะน่าพิศวง แต่! เห็นแล้วแทนที่จะสรรเสริญผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ดั๊น!ไปยกย่องไอสิ่งที่ถูกสร้าง มันน่าเซ็งจริงๆ !) ถ้าเพียงแต่จะคิดให้ดี..มนุษย์จะรู้ว่าสิ่งที่ถูกสร้างจะมาใหญ่กว่าผู้สร้าง..มันไม่มีทางเป็นไปได้

ดู 2พกษ.16:5 “ซีเรียกับอิสราเอลบุกรุกยูดาห์..” ความจริงก็คือ ขณะนั้นทั้งซีเรียและอิสราเอลก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซีเรียทั้งคู่ แล้วเรื่องของเรื่องที่ 2 ประเทศนี้ร่วมกันยกทัพมากกดดันยูดาห์..ก็เพราะอยากจะให้ยูดาห์มาเป็นพวก รวมกันเยอะๆเผื่อจะได้มีกำลังมากพอที่จะแข็งข้อต่ออัสซีเรีย แต่เหตุการณ์มันไม่ได้เข้าล็อคอย่างที่ซีเรียกับอิสราเอลคิด เพราะพอยูดาห์ถูกรุกราน ก.อาหัสกลับรี่ไปขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย ข้อที่8 บอกว่า “อาหัสขนเอาเงินและทองคำซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม และในคลังสำนักพระราชวัง..ส่งไปกำนัลแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียแล้ว ปรากฎว่าอัสซีเรียก็เอาด้วย..ยอมช่วยยูดาห์ ข้อที่ 9 บอกว่า “กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเลยยกทัพไปดามัสกัส..จับประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลย และก็ประหาร เรซีน กษัตริย์แห่งซีเรีย”.. เพราะอัสซีเรียก็คงอ่านเกมส์ออกว่า..อะไรจะเกิดขึ้นถ้าขืนปล่อยให้ 3 ประเทศได้รวมกัน 2ประเทศอาจจะยังสู้อัสซีเรียไม่ได้ แต่ถ้า 3..ก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้น อัสซีเรียก็คงตัดสินใจช่วยยูดาห์เพราะเหตุนี้ เมื่อถูกอัสซีเรียโจมตี..ซีเรียจำต้องถอนกำลังออกจากยูดาห์ มารับมือกับศึกในบ้านตัวเองก่อน พอเสร็จสรรพเรียบร้อยอาหัสก็เดินทางไปพบก.ทิกลัทกิเลเสอร์แห่งอัสซีเรียที่ดามัสกัส (ก็คงจะเดินทางไปจับมือ ขอบคุณ อะไรประมาณนี้) แต่พอไปถึงอาหัสเมื่อเห็นแท่นบูชาพระของคนซีเรีย..เขาก็หลงเจิ่นไป สั่งให้คนทำเลียนแบบแท่นบูชาของคนซีเรียทันที แล้วก็เอาไปตั้งไว้ในนิเวศน์พระเจ้าที่เยรูซาเล็ม สำหรับเรื่องนี้เราเปิดไปที่..

หนังสือ 2พศด.28:22-23 เพราะว่าพระแห่งกษัตริย์ของซีเรียได้ช่วยเขาทั้งหลาย เราจึงจะถวายสัตวบูชาแก่พระเหล่านั้นเพื่อจะช่วยเรา" พอเห็นแท่นบูชาพระของคนซีเรีย..อาหัสคิดออกแค่นี้ คิดว่าที่ซีเรียเข้มแข็งมานานก็เพราะมีพระดีที่ช่วยได้ (คุ้นๆมะ) อาหัสก็เลยเอามั่ง..ไปเอาพระของคนซีเรียมาไหว้มั่ง..เพราะคิดว่าพระพวกนั้นจะได้ช่วยเขาบ้าง ใน 2พกษ. บอกว่า “เมื่ออาหัสเสด็จจากดามัสกัสถึงเยรูซาเล็ม..แท่นบูชาที่สั่งให้สร้างเลียนแบบคนซีเรียก็เสร็จเรียบร้อย ตั้งอยู่ในนิเวศน์พระเจ้าแล้วอย่างรวดเร็วทันใจ อาหัสไปถึงก็ถวายเครื่องบูชาพระต่างชาติบนแท่นนั้น แล้วย้ายแท่นบูชาของพระเจ้าที่ซาโลมอนสร้าง..ออกไป!!! ..อาหัสคงคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยเขา..เขาก็ไม่จำเป็นต้องเก็บพระเจ้าไว้อีก แทนที่จะสำนึก..ว่าที่ยูดาห์ตกต่ำ ก็เพราะว่ายูนี่แหละที่ทิ้งพระเจ้า..ไม่เอาพระเจ้า แต่เปล่าเลย..อาหัสยังคิดเข้าข้างตัวเอง..แล้วก็หลงผิดหนักเข้าไปอีก

ดู 2พศด.28:24-25 อาหัสทรงรวบรวมเครื่องใช้ของพระนิเวศแห่งพระเจ้า และตัดเครื่องใช้แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นชิ้นๆ..” พูดง่ายๆ คือ “อาหัสโละพระเจ้าทิ้งเลย” ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาหรือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการถวายบูชาพระเจ้าทุกอย่าง..อาหัสเก็บทิ้งเกลี้ยง แล้วสุดท้ายก็ปิดตายประตูพระวิหารไปเลย เป็นการปิดทาง..ไม่ให้ใครเข้าไปไหว้หรือถวายเครื่องบูชาพระเจ้าได้อีก ข้อที่ 25 บอกว่า “พระองค์ทรงสร้างปูชนียสถานสูงในหัวเมืองของยูดาห์ทุกหัวเมืองเพื่อเผาเครื่องหอมถวายพระอื่น” ..ก็คือ เอาพระอื่นเต็มที่เลย ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างชัดเจน..เขาคงคิดว่า ถ้าอยู่กับพระเจ้าแล้วไม่รุ่ง..ไม่ได้อย่างใจเขาก็จะไม่เอาพระเจ้าแล้ว ประมาณว่าพระนี้ช่วยไม่ได้..ก็ไปเอาโน้น อันโน้นช่วยไม่ได้..ก็ไปหาอันใหม่ มั่วจริงๆและก็ไม่ฉลาดด้วย ! เพราะสุดท้ายพระเหล่านั้นก็ช่วยเขาไม่ได้เลย ข้อที่ 23 บันทึกว่า “..แต่พระเหล่านั้นเป็นเครื่องทำลายพระองค์ และทั้งอิสราเอลทั้งปวงด้วย” อันนี้เด็กๆต้องจำไว้..ถ้าพระเจ้าไม่ช่วย ก็อย่าหวังว่าใครจะยื่นมือมาช่วยได้..ไม่มีทาง ข้อที่ 27 และอาหัสก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ เขาก็ฝังพระศพไว้ในเยรูซาเล็ม แต่ว่าไม่ได้เอาศพของอาหัสไปไว้ในอุโมงค์ของกษัตริย์” เพราะคนยูดาห์เขารับไม่ได้กับสิ่งที่อาหัสทำกับพระเจ้า ก็เลยไม่ให้เกียรติ..เอาศพไปฝังที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ให้รวมกับกษัตริย์ของยูดาห์

ดู 2พกษ.17:1-2 มาถึงสมัยของโฮเชยากษัตริย์องค์ที่ 19 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของอิสราเอล แต่เดิมโฮเชยาเป็นแม่ทัพของก.เปคาห์ แต่ว่าเขากบฎฆ่าเปคาห์ทิ้งแล้วตั้งตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และในสมัยของโฮเชยานี้อิสราเอลก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียในสมัยของ”ก.แชลมาเนเสอร์”..โฮเชยาต้องส่งเครื่องบรรณาการให้อัสซีเรียทุกปี แต่พอช่วงเปลี่ยนรัชกาลของอัสซีเรียในสมัยของ ”ก.ซาร์กอน” โฮเชยาก็คิดจะแข็งข้อกับอัสซีเรีย เขาทำไง..ไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์..ซึ่งขณะนั้นก็เป็นมหาอำนาจเหมือนกัน คือ ตอนนั้นมหาอำนาจทางตอนเหนือคืออัสซีเรีย ส่วนทางใต้คืออียิปต์ (ถ้าเทียบกับตอนนี้ ก็คงประมาณ สหรัฐอเมริกากับจีน) เพราะฉะนั้น โฮเชยาเลยคิดว่าทางเดียวที่เขาจะสู้อัสซีเรียได้ก็คือต้องไปพึ่งอียิปต์..คิดได้แค่นั้น แล้วก็ปรากฎว่าอียิปต์ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย บอกว่าไม่ช่วยเลย..จะถูกกว่า เพราะเมื่ออัสซีเรียยกมาอีกที..ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของอียิปต์..ทหารซักคนก็ไม่มี ข้อที่ 6 บอกว่า “ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ยึดได้เมืองสะมาเรีย และครั้งนี้ อัสซีเรียก็ไม่ให้โอกาสอิสราเอลได้อยู่อย่างอิสระอีกต่อไป พวกเขาก็กวาดต้อนคนอิสราเอลไปเป็นเชลยยังอัสซีเรีย ส่วนกษัตริย์โฮเชยาก็ถูกจับขังคุกไป..”

ดู 2พกษ.17:7-8 ข้อนี้บอกว่า “ที่เป็นอย่างนั้น ก็คือที่ต้องตกเป็นเชลยและล่มสลายไป ก็เพราะประชาชนอิสราเอลได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน ผู้ทรงนำเขาขึ้นออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ จากพระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และได้เกรงกลัวพระอื่นๆ” ..ทั้งที่พระเจ้าก็สำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ให้เห็นชัดๆหลายต่อหลายครั้ง..ช่วยกู้อิสราเอลมาก็นับครั้งไม่ถ้วน แต่..อิสราเอลก็ยังทิ้งพระองค์ไปไหว้สารพัดพระ..รวมทั้งสิ่งที่พระเจ้าสร้าง แทนที่จะกราบไหว้ผู้สร้าง แล้วสุดท้ายโฮเชยายังจะวิ่งไปหาฟาโรห์..ที่เคยแพ้พระเจ้าจนจนหมอบราบคาบแก้วมาแล้ว..ในสมัยโมเสส ฟังดูแล้วน่าเศร้าจริงๆ เพราะอิสราเอลไม่แค่ผิดในเรื่องเดิมๆ แต่ยังผิดซ้ำกับคนเดิมๆ ที่เดิมๆ แล้วก็สถานการณ์เดิมๆอยู่เป็นประจำ ข้อที่ 13 บอกว่า “พระเจ้ายังทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์โดยผู้เผยพระวจนะหลายคนว่า "จงหันกลับจากทางชั่วร้ายทั้งหลายของเจ้า และรักษาบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามราชบัญญัติทุกข้อซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าโดยผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเรา แต่เขาไม่ฟังแต่ทำให้คอของตนแข็ง ดังคอของบรรพบุรุษของเขาได้เป็นมาแล้ว..” ส่งผู้เผยพระวจนะมาเตือนก็ไม่ฟัง..ไม่กลับใจใหม่ เป็นเหมือนพวกยิวในสมัยโมเสส คือ ทั้งดื้อ ทั้งกบฎ ขี้บ่น เอาแต่ได้สารพัด พูดง่ายๆไม่มีดีไรเลย...แต่! ทำไมพระเจ้าถึงยังเลือกยิวหรืออิสราเอลให้เป็นชนชาติของพระองค์ เพราะยิ่งร้ายมากเท่าไหร..ในเวลาที่พวกนี้กลับใจ กลับมาหมดจดงดงาม ก็จะยิ่งทำเห็นฝีพระหัตถ์พระเจ้าชัดเจนขึ้นเท่านั้น เพราะงั้น อย่าแปลกใจถ้าเห็นคนแรงๆมาเชื่อพระเจ้า เพราะแรงแค่ไหนพระเจ้าก็เอาอยู่ ที่สำคัญพระองค์ไม่ได้เลือกแต่คนที่สมบูรณ์พร้อม (อันนี้ เด็กๆต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะรัก..แต่คนน่ารักเท่านั้น )

ดู 2พกษ.17:23-24 ในที่สุดอิสราเอลสิบเผ่าทางเหนือก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย แล้วสิบเผ่านี้ก็หลงหายละลายไปเลย..คือ หมายความว่า ไม่คงความเป็นยิวแท้อีกต่อไป เพราะนอกจากจะถูกทำให้กระจัดกระจายไปแล้ว กษัตริย์อัสซีเรียยังเอาคนต่างถิ่นสาระพัดเข้ามาอยู่ในสะมาเรียด้วย เพื่ออะไร..เพื่อไม่ให้เลือดรักชาติศาสนาของยิวมันเข้มข้นเกินไป เพราะยิวขึ้นชื่อมากเรื่องชาตินิยม เขาก็เลยเอาคนต่างชาติมากมายหลายถิ่นมาผสมปนเปเข้าไป เพื่อละลายให้เลือดรักชาติศาสนาของยิวเจือจางลง แต่ปรากฎว่า พอเอาคนต่างชาติเข้ามาปุ๊บ ! เหตุวิบัติความวุ่นวายบางอย่างก็เกิดขึ้น ข้อที่ 25 บอกว่า “และตั้งแต่ต้นที่เขามาอาศัยอยู่ที่นั่น พระเจ้าก็ใช้สิงโตมาท่ามกลางพวกเขา มาอาละวาดกัดกินผู้คนในสะมาเรีย” จนคนที่มาอยู่ในเมืองนั้นทนไม่ไหว..ไปบอกกษัตริย์อัสซีเรียให้ส่งคนมาสอนหน่อย..ว่าจะปรนนิบัติพระเจ้าของอิสราเอลเนี่ย..ต้องทำไง กษัตริย์เลยส่งคนมาสอน..ว่าจะปรนนิบัติพระเจ้าต้องทำ 1..2..3..4.. (อารมณ์ประมาณ คิดว่า เจ้าที่แรง..มาอยู่แล้วมีแต่เรื่อง..ก็เลยต้องมีการเซ่นไหว้บวงสรวงกันหน่อย แต่แท้จริงแล้ว..สิ่งที่พวกเขาต้องตระหนักมากกว่านั้นก็คือ พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกที่ทั้งโลกใบนี้และทั้งหมดในมหากัลปจักรวาล..ไม่ใช่เฉพาะที่อิสราเอลหรือยูดาห์เท่านั้น !!!) แล้วปรากฎว่าพวกเขาก็ทำตามทุกอย่างที่ปุโรหิตสอน..ต้องปรนนิบัติพระเจ้ายังไงเขาก็ทำ แต่ว่าพวกเขาก็ยังไหว้พระอื่นด้วยในสะมาเรีย..

ดู 2พกษ.17:29-31 ทุกคนก็ยังไหว้พระของตัวเองและตั้งไว้ในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูงซึ่งชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ ชาวบาบิโลนสร้างพระสุคคทเบโนท ชาวคูทสร้างพระเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างพระอาชิมา และชาวอิฟวาห์สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก และหนักสุด..ชาวเสฟารวาอิมเผาลูกของตนในไฟ..สะมาเรียตอนนี้เละยิ่งกว่าจับฉ่าย และนี่คือเหตุผลว่าทำไม..ยิวในสมัยพระเยซูคริสต์ถึงรังเกียจชาวสะมาเรียนักหนา เพราะเขาถือว่าพวกนี้เป็น"ลูกครึ่ง"..(เบาไปมั้ง เรียกอะไรดี..ลูกผสม เลือดผสม ประมาณนั้น) ดังนั้น ดูภายนอกอิสราเอลฝ่ายเหนือไม่เหมือนพวกยูดาห์ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย..พวกนั้นไปเป็นเชลยแล้วยังอยู่กันเป็นกลุ่มไม่ไปผสมกับใคร..ไม่ได้ถูกแทรกแซงเหมือนชาวสะมาเรีย แต่ว่า !หลายครั้งพระเยซูคริสต์กลับกล่าวถึงชาวสะมาเรียในทางที่ชอบธรรมกว่าพวกยิวแท้ซะอีก ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นข้อคิดสำหรับเรา เดี๋ยวเด็กๆจะได้เรียนเรื่องนี้กันอย่างละเอียดในพระคำภีร์ใหม่

แล้วณ,จุดนี้อิสราเอลฝ่ายเหนือก็ถึงกาลล่มสลายไปรวมเวลาอาณาจักรตั้งอยู่ทั้งสิ้น 209 ปี ลองคิดดูว่าพระเจ้าอดทนกับพวกเขาแค่ไหน เพราะอิสราเอลทำบาปตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร..ตั้งแต่สมัยของเยโรโบอัมเลย..แล้วก็ทำบาปมาตลอด พระเจ้าก็เตือนมาเรื่อย..ส่งผู้เผยพระวจนะมากี่คนต่อกี่คน..แต่พวกเขาก็ไม่กลับใจ จนในที่สุดพระเจ้าต้องตัดทิ้ง แต่ลองคิดดูนะ..ว่าจะมีใครอดทนกับเราได้นานขนาดนี้มั๊ย 209 ปี ต่อให้เป็นคนรัก สามีภรรยา หรือแม้แต่พ่อแม่ น้าตุ๊กว่าไม่มี อันนี้กล้าพูดในฐานะที่ตัวเองก็เป็นแม่ คือ ลูกเนี่ย..ถ้าชั่ว ก็ทนๆกันไป เพราะยังไงมันก็ลูกเรา แต่ถ้าอยู่กันจนจะตายไปข้างนึงแล้วมันก็ยังชั่วอยู่อย่างงั้น ถามว่าจะทนมั๊ย..ทน แต่ !คงถอดใจและรู้สึกหมดหวัง ดังนั้น จึงไม่มีใครหรอกที่จะทนใครได้เป็นร้อยปีโดยที่ไม่เคยหมดหวังเลย.."เหมือนพระเจ้า" และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักว่าพระเจ้ารักและอดทนขนาดไหน พระองค์อดทนกับเรานานมาก แต่อีกทางที่เราต้องสังวรณ์ ก็คือพระองค์ก็มีขีดจำกัด ถ้าเตือนแล้ว..ให้โอกาสซ้ำแล้วซ้ำอีก นานแล้ว 200 กว่าปีแล้วแต่ไม่กลับใจ..สุดท้ายก็คงต้องลงบีงไฟนรกไป

ดู 2พกษ.18:1-2 ข้อนี้ มาถึงสมัยของก.เฮเซคียาห์แห่งอาณาจักรยูดาห์ เมื่ออาหัสตายแล้ว..เฮเซคียาห์ก็ขึ้นครองยูดาห์แทนพ่อ และขอบคุณพระเจ้าที่เฮเซคียาห์ไม่ชั่วร้ายเหมือนพ่อ แต่เขาดำเนินในทางชอบธรรมของพระเจ้า ตอนที่ขึ้นครองเฮเซคียาห์อายุ 25 ปีและครองอยู่ 29 ปี เขาทำไรบ้าง ข้อที่ 4 บอกว่า “เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามทุกสิ่งที่ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ”..เขาเปิดประตูพระนิเวศน์พระเจ้าที่ถูกอาหัสปิดตาย และยังรื้อปูชนียสถานสูงทิ้ง..พังเสาศักดิ์สิทธิ์และตัดเสารูปเคารพลงเสีย รูปเคารพที่อาหัสเอาเข้ามาในนิเวศน์พระเจ้า..เฮเซคียาห์เอาออกไปทิ้งหมดเลย แล้วเฮเซคียาห์ก็เอาแท่นบูชาพระเจ้าของซาโลมอนยกกลับเข้ามาในพระวิหาร ปุโรหิตคนเลวีที่กระจัดกระจายไป..เฮเซคียาห์ก็เรียกกลับมาหมด แล้วพวกเขาก็ถวายบูชา..ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า (น่าชื่นใจจริงๆ) นอกจากนี้พระองค์ทรงทุบงูทองเหลืองซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเป็นชิ้นๆ” ...จำงูทองเหลืองสมัยกันดารวิถีได้มะ..ที่โมเสสสร้างขึ้นมาเพราะประชาชนถูกงูแมวเซากัดตายไปหลายคน พระเจ้าก็บอกให้สร้างงูนี้ขึ้นมาโดยมีความหมายฝ่ายวิญญาณที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ มาตอนนี้ เฮเซคียาห์ต้องรื้อทิ้งเพราะอยู่ไปอยู่มาคนยูดาห์ก็ยกมันเป็นรูปเคารพ..ทำให้ผิดพระวัตถุประสงค์ไป นอกจากนี้ เฮเซคียาห์ยังฟื้นฟูจิตวิญญาณของคนยูดาห์กันขนานใหญ่..(เปิดไปดู 2พงศาวดาร)

ดู 2 พศด.30:1-2 หลังจากที่เฮเซคียาห์ฟื้ฟูการนมัสการพระเจ้าในเยรูซาเล็มแล้ว เขาก็เตรียมจะถือเทศกาลปัสกา ซึ่งจริงๆแล้วปัสกาเป็นเทศกาลที่พระเจ้าบัญญัติไว้ให้คนอิสราเอลต้องยึดถือทุกปี แต่เมื่ออาณาจักรถูกแบ่งแยก..ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ไม่เคยถือเทศกาลปัสกาเลย และตอนนี้ เฮเซคียาห์กำลังเอาพระบัญชาของพระเจ้ากลับมารื้อฟื้นและถือปฏิบัติอีกครั้ง ข้อที่ 5 บอกว่า “เขาจึงลงมติให้ทำประกาศออกไปทั่วอิสราเอล ตั้งแต่เบเออร์เชบาถึงเมืองดานว่า ประชาชนควรมาถือปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่เยรูซาเล็ม”..คือเฮเซคียาห์ไม่ได้ประกาศการปัสกาแค่ในแผ่นดินยูดาห์ แต่เขาให้คนส่งหนังสือไปที่อิสราเอลฝ่ายเหนือด้วย..ซึ่งตอนนั้น อาณาจักรแตกแล้วแต่ยังมีคนอิสราเอลกระจัดกระจายอยู่ เฮเซคียาห์มีบัญชาว่าชนอิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาหาพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล เพื่อพระองค์จะหันกลับมายังคนส่วนที่เหลืออยู่ของท่าน ผู้ซึ่งหนีรอดจากพระหัตถ์ของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” แต่ข้อที่ 10 บอกว่า “แต่อิสราเอลฝ่ายเหนือไม่สนใจ..กลับเยาะเย้ยการกระทำของเฮเซคียาห์”

ดู 2พศด.30:22-23 เฮเซคียาห์หนุนใจคนเลวีทั้งปวงผู้สอนถึงความรู้อันประเสริฐแห่งพระเจ้า พวกเขาจึงรับประทานอาหารในเทศกาลนั้นเจ็ดวัน ข้อที่ 26 บอกว่า “แล้วความชื่นชมยินดีอย่างมากก็บังเกิดแก่พวกเขา ทำให้ทุกคนติดใจมาก..อยากจะทำอย่างงี้ไปนานๆ เลยขอต่อเวลาการถือปัสกาออกไปอีก 7 วัน เฮเซคียาห์ก็โอเค..”เพราะตั้งแต่สมัยของซาโลมอนโอรสของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่เคยมีอย่างนี้เลยในเยรูซาเล็ม” บทที่ 31:4 “เฮเซคียาห์บัญชาให้มีการถวายผลแรกและสิบลดส่วนที่เป็นของปุโรหิตและของคนเลวี เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้เข้มแข็งขึ้นในพระราชบัญญัติของพระเจ้า” นอกจากนี้ ก็มีการเรียกบรรดาปุโรหิตและคนเลวีมาขึ้นทะเบียน เพื่อที่จะมาผลัดเวรกันเข้าไปปรนนิบัติพระเจ้าในพระนิเวศน์ รวมถึงทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งจากทศางค์หรือสิบลดอย่างถูกต้องด้วย...เรียกว่าเฮเซคียาห์พลิกฟื้นการทำตามพระบัญญัติอย่างเต็มรูปแบบ ข้อที่ 20 บอกว่า “เฮเซคียาห์ทรงกระทำดังนี้ทั่วทั้งยูดาห์ และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ดีและชอบ และที่เป็นความจริงต่อพระพักตร์พระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและอวยพรเฮเซคียาห์อย่างมาก

หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ