วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 6 อาทิตย์ที่ 22:1:2012

หลังจากพระเจ้าทรงเจิมตั้ง”เยฮู”ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแล้ว เยฮูก็ร้อนรนด้วยพระวิญญาณ เขาสังหารเยโฮรัม..ที่ตอนนั้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กับ อาหัสยาห์ กษัตริย์ของยูดาห์ จากนั้นก็ไปฆ่าเยเซเบล..ด้วยวิธีที่น่าสยดสยองมาก เยเซเบลถูกจับโยนจากหน้าต่างชั้นสอง..แล้วเยฮูก็ควบม้าเหยียบซ้ำไปบนร่างของเยเซเบล จากนั้นสุนัขก็มากินร่างของเยเซเบลจนเหลือแต่กระโหลก เสร็จแล้วเยฮูก็สั่งตัดหัวโอรสทั้ง 70 คนของอาหับรวมทั้งคนใกล้ชิด..ทั้งราชวงศ์ แล้วก็เดินหน้าฆ่าล้างบางบรรดาปุโรหิตพระบาอัลจนสิ้นซาก เยฮูทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการกราบไหว้พระบาอัลในสะมาเรียจนไม่มีเหลือ และสิ่งที่เยฮูทำนี้..เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แต่สิ่งนึงที่เป็นผลจากการกระทำของเยฮูก็คือ หลังจากนั้นอาณาจักรอิสราเอลกับอาณาจักรยูดาห์ก็กลับมาเป็นศัตรูกัน อีกครั้ง.. เพราะนอกจากเยฮูจะกวาดล้างราชวงศ์ของอาหับแล้วเยฮูยังไปฆ่าอาหัสยาห์ก.ของยูดาห์ด้วย ทำให้จากนั้นเป็นต้นมาอิสราเอลกับยูดาห์ก็รบกันมาเรื่อยจนอิสราเอลฝ่ายเหนือล่มสลายไป

ดู 2พกษ.11:1-2 การที่เยฮูฆ่าอาหัสยาห์ตายนั้นทำให้ยูดาห์ไม่มีกษัตริย์ เพราะอะไร..อาหัสยาห์ตอนที่ถูกฆ่าตาย..อายุแค่ 22 ..ลูกๆก็ยังเล็ก โศกนาฏกรรมบางอย่างเลยเกิดขึ้น ก็คือ“อาธาลิยาห์” (ที่เป็นแม่ของก.อาหัสยาห์..เป็นลูกของอาหับกับเยเซเบล) ก็คิดจะยึดอำนาจ เลยทำไง..ตั้งใจจะฆ่าลูกของอาหัสยาห์ทิ้งทั้งหมด พูดง่ายๆอาธาลิยาห์ฆ่าหลานแท้ๆของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่มีเชื้อสายของอาหัสยาห์ขึ้นมาเป็นกษัตริย์..อำนาจทั้งหมดจะได้อยู่ในมือของตัวเอง อีกอย่างนึง ก็คงเพราะตอนนั้นเยฮูตั้งหน้ากวาดล้างพงศ์พันธ์ของอาหับแล้วอาธาลิยาห์เองก็เป็นลูก แถมนับถือพระบาอัลอย่างสุดขั้ว..เธอก็เลยคิดว่าถ้าไม่ทำให้เห็นว่าแน่จริง..เข้มแข็งจริง คงไม่รอด..ต้องถูกเยฮูจัดการแน่นอน ก็เลยเหยียบหัวคนอื่น..เอาตัวเองขึ้นไปอยู่ที่สูงเพราะคิดว่าจะปลอดภัย อันนี้ คือเรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นใน”เยรูซาเล็ม” ในราชวงศ์ของดาวิดด้วย เห็นมะ..ความผิดพลาดจากการไปแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเนี่ย!มันส่งผลรุนแรงลากยาวจริงๆ

ดู 2พกษ.11: 2 ข้อนี้ บอกว่า “..แต่เยโฮเชบาพระน้องนางของอาหัสยาห์ ได้นำโยอาชโอรสของอาหัสยาห์และลอบลักเธอไปจากท่ามกลางโอรสของกษัตริย์ ผู้ซึ่งจะถูกประหารชีวิต..”... น้องสาวคนนึงของอาหัสยาห์ทนเห็นแม่ตัวเองฆ่าหลานจนหมดไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเอาไปซ่อนไว้คนนึง คือ ”โยอาช” ซึ่งเป็นลูกคนเล็กสุดของอาหัสยาห์ ทีนี้ ย่าก็ไม่รู้..นึกว่าฆ่าหลานตายหมดแล้ว..โยอาชเลยรอด เยโฮเชบาเลยเอาโยอาชไปแอบเลี้ยงไว้ในวิหารของพระเจ้า เพราะวิหารของพระเจ้าปลอดภัยที่สุด ใครไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะเข้ามาวุ่นวายไม่ได้ แล้วสามีของน้าที่ชิ่อ”เยโฮยาดา”ก็เป็นปุโรหิตด้วย ผ่านไป 6 ปี พอโยอาชอายุครบเจ็ดขวบเยโฮยาดาก็สถาปนาโยอาชขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ เพราะเขาเป็นมหาปุโรหิต..มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการที่จะเจิมตั้งคนให้เป็นพระราชา ข้อที่ 14 บอกว่า อาธาลิยาห์มารู้อีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงแตร..เสียงโห่ร้องสรรเสริญพระราชา ก็วิ่งออกมา..ร้องหาว่าพวกนี้เป็นกบฎแต่ทำไรไม่ได้ แล้วในที่สุดเยโฮยาดาห็สั่งประหารอาธาลิยาห์

ดู 2พกษ.12:1-2 หลังจากที่อาธาลิยาห์ผู้เป็นย่าตายแล้วโยอาชก็ขึ้นครองอาณาจักรยูดาห์ แต่ตอนนั้นโยอาชอายุแค่ 7 ปี..เลยต้องมีผู้สำเร็จราชการแทน ซึ่งก็คือ ”เยโฮยาดา”มหาปุโรหิต พระคำภีร์บันทึกว่าโยอาชครองราชย์นานถึง 40 ปีและตลอดเวลาที่ครอบครอง..บ้านเมืองก็ค่อนข้างสงบสุขเพราะเขามีเยโฮยาดาเป็นที่ปรึกษา..เยโฮยาดาเป็นคนที่รักและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า โยอาชจึงได้รับการชี้นำอย่างถูกต้องชอบธรรม ข้อที่ 4 ชี้ว่าโยอาชมีการออกกฎหมายให้เก็บเงินจากประชาชนเพื่อเอามาบำรุงพระวิหาร พระคำภีร์ใช้คำว่า”..เงินที่เรียกจากรายบุคคล “ น่าจะเป็นการเก็บภาษี แต่วิธีนี้ไม่ประสบความสำเร็จก็เลยยกเลิกไป แล้วใช้วิธีใหม่ ยังไง..ข้อที่ 9 บอกว่า “..เยโฮยาดาปุโรหิตนำหีบมาใบหนึ่ง เจาะรูๆหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และตั้งไว้ที่ข้างๆแท่นบูชาด้านขวาเมื่อเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์..” คือ ใช้วิธีตั้งตู้บริจาคแทน..ได้เงินเท่าไหรก็เอามาบำรุงพระวิหาร ก็คงเหมือนกับที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้.. แต่สุดท้าย..โยอาชก็จบไม่สวยอีกแล้ว เรื่องราวปลายสมัยของโยอาชในหนังสือพงศาวดารจะบันทึกไว้ชัดเจนกว่า..ให้เราเปิดไปที่หนังสือ 2 พงศาวดาร

2 พศด.24:17-18 เรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของโยอาชเริ่มต้นขึ้นเมื่อเยโฮยาดาเสียชีวิต ตอนที่เยโฮยาดาเสียชีวิตอายุได้ 130 ปี (อายุยืนมาก) เด็กๆดูข้อที่ 16 บอกว่า “เขาก็ฝังศพท่านไว้ในนครของดาวิดท่ามกลางบรรดากษัตริย์ ...” ..ฝังไว้ท่ามกลางบรรดากษัตรย์..ทั้งที่ไม่ได้เป็นกษัตริย์ แสดงว่าคนยูดาห์นับถือเยโฮยาดาเป็นเหมือนกษัตริย์คนนึงเลย เพราะเขาทำประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับอาณาจักรยูดาห์ เขาเป็นคนกำจัดอาธาลิยาห์แล้วเจิมตั้งโยอาชขึ้นเป็นกษัตริย์..นำประชาชนให้อยู่ในทางของพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ เพราะถ้าอาณาจักรยูดาห์ตกอยู่ในมือของย่า คือ อาธาลิยาห์นะ..ป่านนี้ทั้งเมืองคงไหว้กันแต่พระบาอัล แต่ !ข้อที่ 17 บอกว่า แต่เมื่อเยโฮยาดาตาย เรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่อีกพวกนึงก็เข้ามาเป่าหูโยอาชชักนำให้กษัตริย์ไปกราบไหว้พระอื่น..คือบรรดาพระอาเชราห์แล้วโยอาชก็เชื่อด้วย พระพิโรธของพระเจ้าจึงลงมาเหนือยูดาห์..

ดู 2พศด.24:19-20 พอโยอาชเริ่มหลงผิดพระเจ้า..เตือน พระองค์ส่งผู้เผยพระวจนะ คือ เศคาริยาห์มาเตือนโยอาช ข้อที่ 21 บอกว่า “แต่เขาทั้งหลายคิดร้ายต่อท่าน และโดยบัญชาของกษัตริย์เขาทั้งหลายจึงขว้างท่านด้วยหินในลานพระนิเวศของพระเจ้า”...โยอาชไม่เพียงแต่ไม่ฟังคำเตือนของเศคาริยาห์ที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณพระเจ้า แต่เขายังสั่งฆ่าเศคาริยาห์ให้ตาย..ที่ไหน ในพระนิเวศน์พระเจ้า ลองคิดดูว่ามันเลวร้ายขนาดไหนเพราะเศคาริยาห์เป็นปุโรหิตแต่ถูกฆ่าตายในพระวิหารพระเจ้า ข้อที่22 บอกต่อไปว่า “ดังนี้แหละกษัตริย์โยอาชจึงมิได้ทรงระลึกถึงความกรุณาซึ่งเยโฮยาดาบิดาของเศคาริยาห์ได้สำแดงต่อพระองค์ แต่ได้ทรงประหารบุตรชายของท่านเสีย ..แล้วทั้งที่ เศคาริยาห์คนนี้ก็เป็นลูกของเยโฮยาดา..มหาปุโรหิตที่ชุบเลี้ยงเขามา..มีบุญคุณกับเขามาก เพราะถ้าไม่มีเยโฮยาดาโยอาชจะได้เป็นกษัตริย์มั๊ย..ไม่มีทาง แต่โยอาชก็ไม่ได้สำนึกในบุญคุณของเยโฮยาดาแม้แต่นิดเดียว..ซ้ำยังฆ่าลูกชายของเขาได้ลงคอ สุดท้าย ก่อนตายเศคาริยาห์ก็พูดไว้คำนึง “ขอพระเยโฮวาห์ทรงทอดพระเนตรและแก้แค้น" ..โลหิตของผู้ชอบธรรมที่ตกลงในนิเวศน์ของพระเจ้าจะมาเรียกร้องเอาคืนต่อคนในแผ่นดินนี้ที่ปฏิเสธพระองค์..

ดู 2พศด.24:24-25 การพิพากษาของพระเจ้าต่อคนยูดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว ข้อนี้บอก พอปลายปีซีเรีย (เจ้าเก่า) ก็ยกทัพมาโจมตีอาณาจักรยูดาห์ ..และได้ทำลายบรรดาเจ้านายของประชาชน และส่งของที่ริบได้ทั้งสิ้นไปยังกษัตริย์แห่งดามัสกัส” คือ พระเจ้าใช้ใครก็ได้..ในการที่จะตีสอนคนของพระองค์ เพราะฉะนั้น เวลาที่ต่างชาติ หรือ คนไม่เชื่อพระเจ้า..เขาข่มเหงเรา มันไม่ใช่เพราะเขาเก่งหรือเข้มแข็งกว่าแต่เป็นเพราะพระเจ้าอนุญาตให้เขาทำ แล้วพระคำภีร์ก็ยืนยันความจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างดี..ข้อที่ 24 บอกว่า “ แม้ว่ากองทัพคนซีเรียมาแต่น้อยคน แต่พระเจ้าก็ทรงมอบกองทัพใหญ่ของยูดาห์ไว้ในมือพวกเขาเพื่อเป็นการตีสอนโยอาชกับประชาชน..” ข้อนี้ทำให้เห็นถาพชัดเจน เพราะมันต่างจากหลายๆครั้งที่ถึงแม้อิสราเอลจะมีคนน้อยกว่า..กองทัพก็เล็กกว่า แต่พวกเขาก็ยังชนะเพราะ..”เขามีพระเจ้า” แต่ตอนนี้ ทั้งที่ซีเรียนำกำลังมาไม่มากเท่าไหร่ ยูดาห์กองทัพใหญ่กว่า แต่ยูดาห์ก็ยังแพ้เพราะ”เขาไม่มีพระเจ้า” ข้อที่ 25 บอกว่า “สุดท้าย โยอาชบาดเจ็บสาหัส แล้วพวกข้าราชการก็คิดไม่ซื่อ..ปล่อยให้โยอาชเจ็บอยู่อย่างงั้น แล้วสุดท้ายก็ฆ่าเขาทิ้ง..บนที่นอน เสร็จแล้วก็เอาไปฝัง..ที่ไหน ดูนะคะท้ายข้อที่ 25 บอก “เขาทั้งหลายฝังพระศพของโยอาชไว้ในนครดาวิด แต่มิได้ฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ของกษัตริย์เป็นกษัตริย์แต่ไม่ได้ฝัง..ในที่ของกษัตริย์ ส่วนเยโฮยาดาไม่ใช่กษัตริย์ แต่กลับได้รับเกียรติเสมือนเป็นกษัตริย์คนนึง

เรากลับมาที่หนังสือ 2 พกษ. 13:1 จากอาณาจักรยูดาห์ มาบทนี้พระคำภีร์ก็สลับกลับมาที่อาณาจักรอิสราเอลอีกครั้ง หลังจากที่เยฮูตายแล้วลูกชายของเขาชื่อ”เยโฮอาหาส” ก็ขึ้นครองอาณาจักรอิสราเอลแทน พระคำภีร์บอกว่า เยโฮอาหาสกระทำชั่วต่อพระเจ้าเพราะเขาดำเนินตามรอยเยโรโบอัม คือ กราบไหว้วัวทองคำ..ที่เยโรโบอัมสร้างไว้ “และ พระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรีย และในมือของเบนฮาดัดโอรสของฮาซาเอลเนืองๆ” ..เพราะเยโฮอาหาสไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า พระองค์เลยลงโทษอิสราเอล โดยให้ซีเรียยกทัพมาโจมตีอิสราเอลอยู่เนืองๆ คือ บ่อยๆ..เป็นประจำ จนในที่สุดเยโฮอาหาสก็กลับใจใหม่..ร้องทูลให้พระเจ้าช่วย..แล้วพระเจ้าก็ช่วย นี่คือ พระคุณที่ไม่เคยสิ้นสุดของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะผิดพลาดหรือชั่วร้ายขนาดไหน..ขอแค่กลับใจใหม่ พระเจ้าช่วยมั๊ย..ช่วยตลอด ยกโทษให้เสมอ แต่พระลักษณะพระเจ้าที่ทรงสำแดงต่อโมเสส ในอพย. 34:6-7 คือ “..พระเจ้าผู้ทรงโปรดยกโทษความชั่วช้า การละเมิดและบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้” คือ พระเจ้ายกโทษให้ แต่ยังไงเรายังต้องถูกลงวินัย เพราะฉะนั้น อิสราเอลจึงอ่อนกำลังลงอย่างมาก ข้อที่ 7 บอกว่า “ เพราะมิได้เหลือกองทัพไว้ให้เยโฮอาหาสเกินกว่าทหารม้าห้าสิบคน และรถรบสิบคัน และทหารราบหนึ่งหมื่นคน..” เรียกว่า อิสราเอลเหลือกำลังน้อยมาก

ดู 2พกษ.13:14-15 เรามาถึงบันทึกคำพยาการณ์สุดท้ายก่อนที่”เอลีชา”จะสิ้นชีวิต ข้อนี้บอกว่า พอเอลีชารู้ตัวว่าใกล้ตาย เขาก็ไปเชิญโยอาช ก.อิสราเอลมาพบ (โยอาชนี้เป็นคนละคนกับลูกของอาหัสยาห์กษัตริย์ยูดาห์นะคะ ชื่อเขาจะซ้ำๆกัน) พอโยอาชมา ข้อที่ 17 เอลีชาก็บอกให้กษัตริย์เปิดหน้าต่างด้านทิศตะวันออก..ซึ่งเป็นด้านที่หันไปสู่ประเทศ”ซีเรีย” แล้วเอลีชาก็บอกให้กษัตริย์อิสราเอลหยิบลูกธนูกับคันธนูมา..แล้วก็ยิงออกไป โยอาชก็ไม่รู้หรอกว่าเอลีชาให้ทำอย่างงี้ทำไม แต่ก็เชื่อฟังและทำตาม จากนั้น เอลีชาก็เผยพระวจนะว่า “ลูกธนูชัยชนะของพระเจ้า ลูกธนูชัยชนะเหนือซีเรีย พระองค์จะต่อสู้กับเขาจนกว่าจะกระทำให้เขาสิ้นไป” จากนั้น เอลีชาก็สั่งอีก บอกให้โยอาชหยิบลูกธนูแล้วตีที่พื้นดิน โยอาชก็หยิบมาแล้วทำตาม..ตีไปแค่ 3 ครั้งก็หยุด ปรากฎว่าเอลีชาโมโหมาก..ทำไม

ดู 2พกษ.13:19 เอลีชาบอกว่า "พระองค์ควรจะได้ตีสักห้าหรือหกครั้ง แล้วพระองค์จะได้ตีซีเรียจนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้เขาสิ้นไป แต่บัดนี้พระองค์จะตีซีเรียได้เพียงสามครั้งเท่านั้น"...จะรู้มั๊ยเนี่ย..อยู่ๆก็บอกให้ตี ใครจะไปรู้..ว่าให้ตีทำไม โยอาชคงนึกในใจอย่างงี้ เพราะเอลีชาบอกให้ตีแต่ไม่ได้บอกว่ามันแปลว่าไร ถ้ารู้แต่แรกว่ามันหมายถึงจำนวนครั้งที่เขาจะชนะซีเรีย..โยอาชคงซัดไปซัก 100 ที ข้อนี้ เป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับเรา ถ้าพระเจ้าสั่งให้ทำอะไร ถึงจะไม่เข้าใจ..จงทำจนสุดกำลังไม่ใช่ทำพอเป็นพิธีแบบโยอาช จำไว้เสมอว่า..เราไม่มีวันเข้าใจทุกอย่างเพราะเราไม่ใช่พระเจ้า แต่ถ้าเราเชื่อวางใจจริงๆเราจะข้ามผ่านความสงสัยและเชื่อฟัง”อย่างสุดกำลัง” พระเจ้าบอกให้ร้องเพลง..จงร้องอย่างเต็มล้น พระเจ้าให้ปรบมือ..จงปรบมืออย่างเต็มกำลัง พระเจ้าให้โห่ร้องเต้นรำ..ก็จงทำด้วยความชมยินดี อย่างงี้เป็นต้น

ข้อนี้ ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เอลีชาพยากรณ์ไว้ จากนั้นเขาก็ไปอยู่กับพระเจ้า ส่วนศพเอลีชาก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แต่ขนาดตายไปแล้วก็ยังมีอิทธิฤทธิ์..ข้อที่ 21 บอกว่า “มีคนโยนศพชายคนนึงลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพนั้นไปโดนกระดูกของเอลีชาปุ๊บ! ลุกขึ้นยืนเลย..ฟื้นทันที (อะไรจะขาดนั้น) นี่แสดงว่าการเจิมของพระเจ้าคงอยู่ในตัวเอลีชาอย่างเต็มขนาด เพราะขนาดเหลือแต่กระดูกแล้วยังมีฤทธิ์ นี่ถ้าเป็นสมัยนี้ คิดว่าเป็นไง.. คนคงแห่ไป ??? กันเป็นการใหญ่

ท้ายบทที่ 13 บันทึกว่า “ฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรียได้บีบบังคับคนอิสราเอลอยู่ตลอดรัชกาลของเยโฮอาหาส แต่ด้วยพระคุณพระเจ้าอิสราเอลเลยยังไม่ถูกทำลายไป ข้อที่ 24 บอกว่า “เมื่อฮาซาเอลตายไป ลูกชายของเขาเบนฮาดัด..ชื่อเบนฮาดัดอีกแล้ว คนนี้เป็นเบนฮาดัดที่ 3 ค่ะ คือ ในราชวงศ์ของซีเรียจะมีเบนฮาดัด 3 องค์และที่กล่าวถึงในบทนี้เป็นองค์ที่ 3.. เมื่อเบนฮาดัดขึ้นมาครองซีเรีย เขาไม่ได้เก่งเหมือนพ่อ เพราะฮาซาเอลเป็นคนที่เก่งมาก..เข้มแข็ง..แล้วก็เด็ดขาด ดูก็รู้เพราะตอนที่เขาจะขึ้นมาเป็นกษัตริย์เขาทำไง..ฆ่าคนเก่าทิ้ง แต่พอมาถึงลูกชาย..ไม่ยักเก่งเหมือนพ่อ..เลยทำให้ซีเรียอ่อนกำลังลง จนอิสราเอลสามารถยึดหลายเมืองคืนมาได้ และท้ายข้อที่ 25 ก็น่าสนใจมาก บอกว่า “โยอาชได้รบชนะเบนฮาดัดกี่ครั้ง..3 ครั้ง (ก็ฟาดลูกธนูไป 3 ครั้งไง) ..ตรงตามที่เอลีชาพูดไว้ก่อนตาย

หมดเวลาแล้วค่ะ สัปดาห์หน้าไม่พบกันนะคะ เราจะกลับมาพบกันอีกทีวันอาทิตย์ที่ 5:2:2012 ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 5 อาทิตย์ที่ 15:1:2012

คราวก่อนเราจบลงที่เรื่องราวของก.เบนฮาดัดแห่งซีเรีย..ที่กำลังป่วย พอรู้ข่าวว่า”เอลีชา”มาที่ดามัสกัส..เบนฮาดัดก็ใช้คนสนิทที่ชื่อ”ฮาซาเอล” ให้มาถามเอลีชาว่าเขาจะหายป่วยมั๊ย แล้วน้าตุ๊กก็ย้อนไปพูดถึงบทบาทของฮาซาเอลที่พระคำภีร์กล่าวถึง..ไว้ก่อนหน้านี้ใน1พกษ.19ตอนที่เอลียาห์กลับมารับใช้พระเจ้าอีกครั้งหลังจากที่หนีเยเซเบลไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ตอนนั้นพระเจ้าใช้ให้เอลียาห์ไปเจิมตั้งคน 3 คน แล้วคนแรกก็คือ “ฮาซาเอล” นี่และ..ที่เบนฮาดัดกำลังใช้ไปหาเอลีชา พระเจ้าให้เอลียาห์เจิม”ฮาซาเอล”เป็นกษัตริย์ของซีเรียเรียบร้อยแล้ว ท้ายสุดของคราวที่แล้วใน 2พกษ.8:9 บอกว่า “ฮาซาเอลจึงไปพบเอลีชา พร้อมทั้งนำของกำนัลไปด้วย คือสินค้าอย่างดีทุกอย่างของเมืองดามัสกัส แล้วพอเจอเอลีชา ฮาซาเอลก็บอกว่า เบนฮาดัดให้มาถามเอลีชาว่า เขาจะหายป่วยมั๊ย” มาดูต่อกันว่าเอลีชาจะตอบว่ายังไง...

ดู 2 พกษ.8:10-11 เอลีชาบอกฮาซาเอลว่า “พระเจ้าให้ไปบอกกษัตริย์ว่า..เขาจะหาย แต่สิ่งที่เอลีชาเห็น คือ เบนฮาดัดจะตาย..” จากนั้น เอลีชาก็จ้องหน้าฮาซาเอลแบบกดดันมากๆ จนฮาซาเอลรู้สึกอึดอัด..ซักพักเอลีชาก็ร้องไห้ ฮาซาเอลก็ตกใจถามเอลีชาว่า..ร้องไห้ทำไม ข้อที่ 12 เอลีชาบอกว่า "เพราะข้าพเจ้าทราบถึงเหตุร้ายซึ่งท่านจะกระทำต่อประชาชนอิสราเอล ท่านจะเอาไฟเผาป้อมปราการของเขาเสีย และท่านจะสังหารคนหนุ่มๆเสียด้วยดาบ และจับเด็กๆโยนลง และผ่าท้องหญิงที่มีครรภ์เสีย" คือ เอลีชาเห็นนิมิตรที่คนอิสราเอลจะถูกข่มเหง..โดย “ฮาซาเอล” คนนี้..ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้..เอลีชาถึงร้องไห้ ในข้อนี้จึงเป็นการพยาการณ์ของเอลีชาถึงสิ่งที่ฮาซาเอลจะกระทำต่อชนชาติอิสราเอลในอนาคต แต่ถามว่า..เมื่อเอลีชาเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เอลีชาเลยเปลี่ยนใจจะไม่ทำหรือเผยพระวจนะตามพระเจ้าสั่งได้มั๊ย..เอลีชาจะหาทางฆ่าฮาซาเอลทิ้งหรือไปบอกให้เบนฮาดัดรู้ตัว เพื่อแก้ไขหรือเปลี่ยนสถานการณ์อะไรต่างๆได้หรือเปล่า..ไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..จะเลวร้ายหรือรุนแรงขนาดไหน เอลีชาก็ต้องยอมจำนน เพราะนั่นคือ “พระประสงค์ของพระเจ้า” อาจจะเหมือนบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งไม่ว่าจะดูเลวร้ายหรือทุกข์ยากขนาดไหน ขอให้เราระลึกไว้เสมอว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มันเกิดขึ้นเพื่อที่น้ำพระทัยของพระองค์จะสำเร็จในชีวิตเรา และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเมอ เอลีชาถึงได้แต่ร้องไห้..รู้ว่ามันต้องดี แต่ตอนนี้มันดูน่ากลัวและผ่านยากเหลือเกิน จะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องไหนที่เรารู้สึกไม่ไหว สิ่งที่ทำได้ก็คือ ร้องไห้กับพระเจ้า ขอพระเจ้าเสริมกำลัง..เหมือนเอลีชา ไม่ใช่ตัดพ้อต่อว่าหรืองอนพระเจ้า..ร้องไห้ได้แต่อย่าบ่นนะคะ..

ดู 2พกษ.8:13 "ผู้รับใช้ของท่านผู้เป็นแต่เพียงสุนัขเป็นใครเล่า ซึ่งจะกระทำสิ่งใหญ่โตนี้" พอฮาซาเอลฟังคำพยากรณ์ของเอลีชา..เขาก็พูดประมาณว่า เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นใคร..เป็นแค่สุนัขรับใช้จะไปทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นได้ไง สิ่งนึงที่เราต้องไม่ลืม ก็คือ ฮาซาเอลเขารู้ตัวแล้ว..ว่าต่อไปเขาจะได้เป็นกษัตริย์ของซีเรียเพราะเอลียาห์มาเจิมเขาแล้ว แต่ฮาซาเอลก็ยังไม่เชื่อ..ว่าตัวเองจะทำเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นได้ เพราะอะไร..เพราะเขายังไม่ได้ยืนอยู่ในจุดนั้นจริงๆ..จุดที่มีอำนาจล้นมือ เพราะงั้น หลายครั้งคนเราเลยชอบวิจารณ์ผู้นำ เราชอบคิดว่า..ถ้าเป็นเรา..เราจะไม่ทำอย่างงั้น เราจะไม่ทำอย่างงี้ เราจะทำได้ดีกว่าถ้าเรามีโอกาสหรือได้ยืนอยู่ตรงนั้น..ซึ่งไม่จริงเลย แล้ววิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าในเวลาที่มนุษย์ประสบความสำเร็จ.. มนุษย์หลั่งฮอร์โมนตัวนึงออกมา..เรียกง่ายๆว่าเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มนุษย์เกิดความเย่อหยิ่ง ซึ่งจะทำให้มนุษย์..คิดต่างไปจากตอนที่เขายังไม่ประสบความสำเร็จ มีภาษิตฝรั่งอันนึงที่บอกว่า ”บางคนเป็นคนดีอยู่ได้ เพราะขาดอำนาจในมือที่จะทำชั่ว” แปลง่ายๆว่า “ถูกสถานการณ์บังคับให้เป็นคนดี” แล้วใครเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์..”พระเจ้า” น้าตุ๊กถึงอยากจะหนุนใจเด็กๆหลายครั้ง..ว่าเราบางคนยากจนก็ดีแล้ว เป็นคนธรรมดาสามัญก็ดีที่สุด พระเจ้าให้เราอยู่จุดไหน..จุดนั้นต้องดีที่สุดสำหรับเรา เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า “อะไรจะเกิดขึ้น..ถ้าเราร่ำรวยหรือมีอำนาจล้นมือ” ตัวเราเอง..ไม่รู้หรอก (..เหมือนฮาซาเอล) พระธรรมข้อนี้จึงสอนให้เราระวังความคิดและจิตใจของเราในทุกย่างก้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ในเวลาที่ประสบความสำเร็จ ในเวลาที่ทุกอย่างดูเหมือนจะได้ดั่งใจไปหมด..ก็ให้เรารู้ทันว่า นั่นคือจุดที่อันตรายกว่าปกติ ณ.จุดนั้นไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการพระเจ้า แต่เรากลับต้องการพระเจ้ามากขึ้น..ต้องติดสนิทมากกว่าเดิม

ดู 2พกษ.8:14-15 ข้อนี้ บอกว่า ฮาซาเอลก็กลับไปบอกเบนฮาดัด อย่างที่เอลีชาพูด แต่สุดท้ายในข้อที่ 15 ฮาซาเอลก็ลอบสังหารเบนฮาดัด เพราะรอไม่ไหว..รู้ตัวแล้วว่าจะได้เป็นกษัตริย์ของซีเรีย แล้วจิตใจก็ฮึกเหิมจนเอาไม่อยู่..รอไม่ไหว เลยลอบฆ่าเบนฮาดัด ฮาซาเอลไม่เหมือนดาวิด..ที่เมื่อพระเจ้าเจิมเขาให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ดาวิดรอนานมาก แล้วหลายครั้งที่มีโอกาสฆ่าซาอูลแต่ดาวิดไม่ทำ..ไม่ทำจนลูกน้องขัดใจ เพราะไร..ซาอูลตามล่าดาวิดอย่างเอาเป็น..เอาตาย แต่เมื่อดาวิดมีโอกาสบ้างเขากลับไม่ฆ่าซาอูล ปล่อยให้ซาอูลลอยนวลไปแล้วกลับมาตามล่าตัวเองอยู่ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า “แต่สิ่งที่ดาวิดทำเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” แล้วถ้าเป็นเรา..เราจะเลือกทำแบบใคร (..แบบฮาซาเอล รึเปล่า สมมติตอนนี้ตำแหน่งเราก็จ่อรอจะขึ้นเป็นผู้บริหารละ เพราะฉะนั้น..ทำไง ทำแบบฮาซาเอล..หาทางกำจัดคนเก่าให้พ้นทางไปเร็วๆ หรือ ทำแบบดาวิด.. คือ รอเวลาของพระเจ้า เมื่อไหร่..ก็เมื่อนั้น เพราะเวลาของพระเจ้าลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด) สุดท้ายในข้อที่ 15 บอกว่าในที่สุด ฮาซาเอลก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของซีเรีย

ดู 2พกษ.8:16-17 ข้อนี้ พระคำภีร์กลับไปพูดถึงอาณาจักรยูดาห์ ที่เรารียนผ่านมาก่อนหน้านี้ คือ เรื่องราวของอิสราเอลฝ่ายเหนือ ตอนนื้พระคำภีร์กลับมาที่อาณาจักรยูดาห์ บอกว่า..เยโฮรัม กับ เยโฮชาฟัท ได้ครองบัลลังก์พร้อมกัน และเมื่อเยโฮชาฟัทยังเป็นกษัตริย์ของยูดาห์อยู่ เยโฮรัมโอรสเยโฮชาฟัทกษัตริย์ของยูดาห์ก็ได้เริ่มครอบครอง อย่างง..คือ เยโฮชาฟัทมีลูกชื่อ เยโฮรัม เหมือนกษัตริย์ของอิสราเอล คือ สององค์นี้ชื่อเหมือนกันแล้วก็ได้ครองราชย์ในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย แต่ประเด็นสำคัญที่พระคำข้อนี้จะกล่าวถึงมันอยู่ในข้อที่ 18 คือ “และพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล ตามอย่างที่ราชวงศ์อาหับกระทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า” ..คือ เยโฮชาฟัทเองเป็นกษัตริย์ที่รักพระเจ้า เดินตามพระเจ้า แต่ความผิดพลาดของเขาคือ “ให้ลูกชาย ที่ชื่อเยโฮรัม นี้..ไปแต่งงานกับลูกสาวของอาหับและเยเซเบล” แล้วเยเซเบลก็เชื้อแรงมาก เพราะเมื่อเยโฮรัมขึ้นครองอาณาจักรยูดาห์แทนพ่อแล้ว “อาธาลิยาห์”ลูกสาวของเยเซเบลที่ตอนนี้ได้เป็นพระราชินีของยูดาห์ก็ทำเหมือนแม่เลย คือเอาพระบาอัลเข้ามาเผยแพร่ในยูดาห์ ทำให้อาณาจักรเริ่มตกต่ำลง

ดู 2พกษ.8:25-26 เมื่อเยโฮรัมแห่งยูดาห์สิ้นพระชนม์ ลูกชายชื่อ”อาหัสยาห์”ก็ขึ้นครองยูดาห์แทนพ่อ อาหัสยาห์คนนี้ก็คือลูกของอาธาลิยาห์ หรือให้เข้าใจง่าย คือ เขาเป็นหลานตาหลานยายของอาหับกับเยเซเบล..พอคิดออกใช่มั๊ยคะ พระคำภีร์บอกว่าพออาหัสยาห์ขึ้นครองยูดาห์เขาก็เอาญาติพี่น้องที่อยู่อิสราเอลฝ่ายเหนือเข้ามาอยู่ในเยรูซาเล็ม แล้วก็เผยแพร่ความชั่วตามแบบของอาหับกับเยเซเบลไปทั่วยูดาห์ ข้อที่ 28 บอกว่า อาหัสยาห์เข้าร่วมกับเยโฮรัมไปทำสงครามกับฮาซาเอล ที่ตอนนี้เป็นกษัตริย์ของซีเรีย แต่ปรากฎว่า เยโฮรัมบาดเจ็บเลยต้องถอยกลับมารักษาตัวที่ยิสเรเอล

ดู 2พกษ.9:1-2 พอเยโฮรัมบาดเจ็บหลังจากที่ไปรบกับพวกซีเรีย เอลีชาก็เริ่มเห็นเค้าโครงว่า “เหตุการณ์กำลังจะเป็นไปตามที่พระเจ้าพูดไว้” เขาก็เลยรีบไปทำภาระกิจอีกอันให้สำเร็จ ก็คือ ไปเจิมตั้ง”เยฮู” ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ข้อนี้ เอลีชาสั่งให้ผู้เผยพระวจนะหนุ่มซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาให้เอาน้ำมันไป..แล้วก็ไปเจิม”เยฮู” เยฮู คือ 1ใน3 คนที่พระเจ้าสั่งให้เอลียาห์ไปเจิมตั้ง แต่เอลียาห์คงถูกรับไปก่อน มาตอนนี้เอลีชาเลยรับหน้าที่นี้แทน ขณะนั้น..เยฮูเป็นแม่ทัพใหญ่ของอิสราเอล..กำลังรบอยู่กับทหารของซีเรียในดินแดนกิเลอาด พอผู้เผยพระวจนะไปถึง เขาก็บอกเยฮูว่า “เขามีธุระด่วนกับเยฮู เสร็จแล้วก็พากันเข้าไปในห้องชั้นใน แล้วผู้เผยพระวจนะก็เทน้ำมันบนศีรษะของเยฮู แล้วก็พูดว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนของพระเยโฮวาห์คือเหนืออิสราเอล” เสร็จแล้วก็..กลับเลย..(เจิมเสร็จปุ๊บ..กลับเลย) เพราะข้อที่ 3 เอลีชาสั่งไว้..ว่าพอเจิมเสร็จแล้วให้รีบกลับ (เดี๋ยวจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น) และเมื่อเยฮูบอกเรื่องนี้กับบรรดาทหารที่อยู่กับเขา ก็ปรากฎว่า ทุกคนยอมรับเยฮูทันที แล้วก็พร้อมใจกันร้องสรรเสริญพระราชา..

ดู 2พกษ.9:16-17 หลังที่ได้รับการเจิม.. เยฮูพร้อมด้วยกองทหารที่ร่วมกันกบฎ ก็มุ่งหน้าไปที่ยิสเรเอล จะไปฆ่าเยโฮรัมกษัตริย์ของอิสราเอลที่ตอนนั้นยังป่วยอยู่เพราะถูกทหารซีเรียยิง พอไปถึงเยโฮรัมก็ใช้ให้ทหารไปถามเยฮูว่า”ท่านมาอย่างสันติหรือ” (..มาดีใช่มั๊ย) แต่เยฮูตอบว่าไร..เยฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ จงเลี้ยวกลับตามเรามา.." คือ เยฮูตอบกลับไปแบบอยากมีเรื่องอ่ะ..ประมาณว่าคนอย่างท่านเคยสนใจหรือเคยเรื่องดีๆด้วยหรือ ข้อที่ 21 บอกว่า เยโฮรัมกับอาหัสยาห์เลยออกไปปะทะกับเยฮู ที่ไหน..ตรงที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล (นาโบทที่ถูกอาหับกับเยเซเบลวางแผนฆ่า แล้วก็ริบเอาที่ดินไป..จำได้มั๊ย) แล้วเมื่อเผชิญหน้ากันปรากฎว่า “เยโฮรัม หรือ โยรัม..ก็ถูกเยฮูฆ่าตาย ข้อที่ 24 บอกว่าเยฮูโก่งธนูด้วยสุดกำลัง ยิงถูกเยโฮรัมระหว่างพระอังสาทั้งสอง ก็คือ ระหว่างบ่าทั้งสองข้าง แล้วลูกธนูก็แทงทะลุหัวใจ..”

ส่วนอาหัสยาห์ก็ถูกฆ่าเหมือนกัน เพราะบังเอิญมาอยู่ในเหตุการณ์ เยฮูยิงอาหัสยาห์ในรถรบ อาหัสยาห์ไม่ได้ตายทันทีแต่หนี..แล้วไปตายที่เมกิดโดซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของยูดาห์ จากนั้น เขาก็เอาศพอาหัสยาห์กลับมาฝังที่เยรูซาเล็ม..

ดู 2พกษ.9:30-31/32-33 ตอนนี้ถึงคิวของเยเซเบลบ้าง เพราะเยฮูกำลังมีจิตใจที่ร้อนรนมากๆ ในการที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วผู้เผยพระวจนะก็บอกเขาไว้ ในข้อที่ 7 ว่า”พระเจ้าจะใช้ให้เขาเป็นคนกำจัดเยเซเบลกับราชวงศ์ของอาหับ เยฮูเลยควบม้ามาที่เมืองยิสเรเอล..ที่พระราชวังของเยเซเบล..ตอนนั้น เยเซเบลอยู่ที่ชั้นสอง พอเยฮูไปถึง..เขาก็ร้องหาพวกเลย ประมาณว่าถ้าใครจะอยู่ฝ่ายเขา..ก็ให้จับเยเซเบลโยนลงมา ปรากฎว่า..มีขันที 2-3 คนจับเยเซเบลโยนมาจากหน้าต่างชั้นบน..ตกลงมาเลือดสาด แล้วเยฮูก็ขี่ม้าทับไปบนร่างของเยเซเบลอีกที เพื่อให้แน่ใจว่า..”ตายแน่” จากนั้นเยฮูก็เข้าไปดื่มกินอย่างสบายใจในพระราชวัง ผ่านไปไม่นานเขาก็สั่งให้ทหารเอาร่างของเยเซเบลไปฝัง ปรากฎว่า พอกลับมาดูอีกที..แทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว เหลือแต่กะโหลก..กับมือแล้วก็เท้า ส่วนอื่นๆของร่างกายสุนัขเอาไปรับประทานหมดแล้ว อันนี้ก็ทำให้ตรงตามพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสพิพากษาเยเซเบลไว้ ใน 1พกษ.21:23 ว่า”ส่วนเยเซเบล `สุนัขจะกินเยเซเบลข้างกำแพงยิสเรเอล' ตอนนี้ เยเซเบลกินผลที่ตัวเองทำกับพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว นี่คือ ชะตากรรมที่น่าสยดสยอง..สำหรับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ดู 2พกษ.10:3-4 คือ ตอนนี้เยฮูกำลังไฟแรงแบบสุดๆ หลังจากที่เขาฆ่าอาหับกับเยเซเบลแล้ว มาตอนนี้เขาก็ส่งจดหมายไปที่สะมาเรีย..บอกพวกข้าราชการผู้ใหญ่ว่า”ให้ตั้งโอรสของอาหับขึ้นมาคนนึง..ใครก็ได้ที่อยู่ในราชวงศ์ของอาหับ..แล้วให้มาสู้กับเขา” คือ เยฮูท้าดวลเลย แต่ไม่มีใครกล้า..พวกเขาบอกว่า“ดูเถิดกษัตริย์สององค์ยังต้านทานพระองค์ไม่ได้แล้ว เราจะต่อสู้พระองค์ได้อย่างไร”..ทั้งเยโฮรัม และ อาหัสยาห์ยังถูกเยฮูฆ่าตายทั้งคู่..แล้วใครจะกล้าไปสู้กับเขา ในเมื่อไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย ผู้ใหญ่ที่ดูแลบ้านเมืองอยู่ในตอนนั้นเลยส่งจดหมายกลับมาตอบเยฮูว่า "ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และจะกระทำทุกอย่างที่พระองค์ตรัสสั่ง แล้วก็จะไม่ตั้งผู้หนึ่งผู้ใดขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ขอให้ทรงกระทำตามที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์เถิด”...แปลว่ายอมแพ้ เยฮูอยากทำอะไร..ทำตามใจชอบได้เลย เมื่อไม่มีใครแข็งข้อกับเยฮู ข้อที่ 6 เยฮูเลยส่งจดหมายไปถงสำนักพระราชวังอีกฉบับนึงใจความว่า “ถ้าจะอยู่ฝ่ายเขา ก็ให้ตัดคอโอรสทั้ง 70 คนของอาหับ..รวมทั้งญาติมิตรทุกคนมาบรรณาการเขา คือ เยฮูต้องการจะกำจัดราชวงศ์ของอาหับอย่างถอนรากถอนโคน แล้วก็ปรากฎว่าทางสำนักพระราชวังก็ยอมทำตามที่เยฮูต้องการ คือ ตัดหัวลูกทุกคนของอาหับแล้วก็เอาใส่ตระกร้าส่งไปให้เยฮูที่ยิสเรเอล

ดู 2พกษ.10:18-19 หลังจากที่ทำลายราชวงศ์ของอาหับกับเยเซเบลแล้ว เยฮูก็เดินหน้ากวาดล้างลัทธิพระบาอัลในสะมารีย ด้วยวิธีไหน..ข้อที่ 18 เยฮูประกาศออกไปว่า “อาหับปรนนิบัติพระบาอัลแต่เล็กน้อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มาก” คือ เยฮูทำทีว่าเขาจะสนับสนุนการกราบไหว้พระบาอัลในสะมาเรียให้กว้างขวางกว่าเดิม แล้วก็เรียกให้บรรดาปุโรหิตของพระบาอัลมาประชุมกัน ข้อที่ 19 เยฮูบอกว่า “..อย่าให้ผู้ใดขาดไปเลย เพราะเราจะมีสัตวบูชาอย่างใหญ่โตที่จะถวายแก่พระบาอัล ผู้ใดขาดจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้” เยฮูออกข่าวไปว่าเขาจะทำการนมัสการพระบาอัลครั้งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้น ปุโรหิตทุกคนต้องมา..การถวายบูชาครั้งนี้สำคัญมากห้ามใครขาดแม้แต่คนเดียว ปรากฎว่า..มากันพร้อมหน้า ทุกคนเข้าใจว่าเยฮู..คงจะสนับสนุนการไหว้พระบาอัลจริงๆก็เลยทำสิ่งเหล่านี้ แต่จริงๆแล้ว..ไม่ใช่ นี่คือ แผนของเยฮูที่จะล่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพระบาอัลให้มาอยู่รวมกันในวิหาร แล้วหลังจากที่ปุโรหิตพระบาอัลมารวมกันครบทุกคนแล้ว ข้อที่ 23 เยฮูยังบอกว่า “จงค้นดู ดูให้ดีว่าไม่มีผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์อยู่ในหมู่พวกท่าน ให้มีแต่ผู้นับถือพระบาอัลเท่านั้น”... เยฮูต้องการจะกวาดล้างคนของพระบาอัลให้สิ้นซากโดยที่อยากแน่ใจว่า..ไม่มีคนของพระเจ้าเข้ามาโดนลูกหลงด้วย ..รอบคอบมาก

ดู 2พกษ.10:25 ข้อที่ 24 บอกว่า “.. เยฮูทรงวางคนแปดสิบคนไว้ภายนอก” คือ ทหารที่เขาเตรียมไว้กำจัดคนของพระบาอัลที่จะมาประชุมพร้อมกันในวันนี้ และเมื่อการถวายเครื่องบูชาเสร็จสิ้นลง เยฮูก็เริ่มทำตามแผนทันที..เขาสั่งให้ทหารเข้าไปฆ่าปุโรหิตของพระบาอัลที่กำลังชุมนุมกันอยู่ในวิหาร..ห้ามไม่ให้ใครรอดไปได้ซักคนเดียว แล้วสุดท้ายปุโรหิตของพระบาอัลก็ถูกฆ่าตายทั้งหมดในวันนั้น เสร็จแล้ว เยฮูก็ทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการพระบาอัลจนหมดสิ้น และกระทำให้เป็นส้วมจนทุกวันนี้..ตามที่บันทึกไว้ในข้อที่ 27 (..เปลี่ยนจากวิหาร กลายเป็นส้วมสาธารณะ เจ็บแสบมาก 555) แล้วทั้งหมดนี้ คือ ผลงานของ”เยฮู” ที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมาก เพราะในข้อที่ 30 พระเจ้าบอกกับเขาว่า “เพราะเจ้าได้ทำดีในการที่กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา และได้กระทำต่อราชวงศ์อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา ลูกหลานของเจ้าชั่วอายุที่สี่จะได้นั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล" เพราะสิ่งที่เยฮูทำนี้ มันถูกใจพระเจ้ามาก เพราะงั้น..พงศ์พันธ์ของเยฮูจะได้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลไปอัก 4 ชั่วอายุคน

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ..เดี๋ยวเราค่อนมาต่อกันคราวหน้านะคะ

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 4 อาทิตย์ 8 มกราคม 2012

คราวที่แล้วเราจบลงในตอนที่ซีเรียยกมาล้อมอิสราเอลอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่ทำให้อิสราเอลเดือดร้อนมากจากการกันดารอาหาร มากขนาดไหน..ขนาดที่แม่ต้องกินลูกตัวเอง เรื่องนี้บันทึกไว้ใน 2พกษ.6:28-29 ที่เราเรียนกันไปในคราวที่แล้ว..ว่ามี “ผู้หญิงคนนึงมาร้องเรียนกับก.อิสราเอลว่า “ผู้หญิงอีกคนตกลงกับเธอว่า..วันนี้ให้กินลูกชายของหม่อมฉันก่อน แล้วพรุ่งนี้เธอจะฆ่าลูกชายเธอมาแบ่งหม่อมฉัน ต่อเมื่อเธอยอมตกลงและฆ่าลูกตัวเองแล้ว วันรุ่งขึ้นผู้หญิงอีกคน..ก็เบี้ยว เอาลูกชายตัวเองไปซ่อน..ไม่ยอมเอามาฆ่าแบ่งให้เธอกิน” กษัตริย์อิสราเอลฟังแล้ว พูดได้คำเดียวว่า”อยากฆ่าเอลีชา” ทำไมกษัตริย์ถึงโทษเอลีชา..นักวิชาการหลายท่านก็ให้ความเห็นแตกต่างกันออกไป บางคนก็เชื่อว่า..”เพราะกษัตริย์คิดว่าตัวเองอุตส่าห์วางใจในพระเจ้าตามคำแนะนำของเอลีชา แต่ตอนนี้..สถานการณ์กลับดูเหมือนจะเลวร้ายสุดๆ” บางท่าน ก็คิดว่า..”เพราะปกติกษัตริย์อิสราเอลฝ่ายเหนือ..ชอบมีปัญหากับผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องอย่างงี้ขึ้น..ก็เลยโทษคนของพระเจ้า ซึ่งตอนนั้น ก็คือเอลีชา เหมือนตอนที่เกิดภัยแล้งขึ้นในสมัยของอาหับ (อาหับกับเยเซเบล)..ตอนนั้นอาหับโทษใคร..เขาก็โทษเอลียาห์ คือ เอะอะก็โทษ”คนของพระเจ้า” อีกเหตุผลที่นักวิชาการให้ไว้ ก็คือ..กษัตริย์อิสราเอลเจ็บใจมากที่ปล่อยทหารซีเรียตาบอดกลับบ้านไปตามที่เอลีชาแนะนำ เพราะกษัตริย์อิสราเอลคิดว่า..”ถ้าตอนนั้น เขาไม่เชื่อเอลีชา..แล้วตัดสินใจฆ่าทหารซีเรียทิ้งซะให้หมด วันนี้ซีเรียต้องไม่มีปัญญายกทัพมาทำให้สะมาเรียเดือดร้อนได้..อย่างที่เห็น”

แต่ส่วนตัว น้าตุ๊กว่า..กษัตริย์อิสราเอลจะโกรธเอลีชาด้วยเหตุผลอะไรก็..ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่เราควรตระหนัก ก็คือ ”อาการที่กษัตริย์อิสราเอลเป็นอยู่ตอนเนี้ย !..จริงๆ มันเป็นปกติวิสัยของมนุษย์” ยังไง..เปิดไปดู

ปฐก.3:11-13 เมื่ออาดามกินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปแล้วพระเจ้าถาม..ถามว่าไร “อาดาม เจ้าได้กินผลจากต้นไม้นั้น ซึ่งเราสั่งเจ้าไว้ว่าเจ้าอย่ากินแล้วหรือ" อาดามตอบว่าไง..(ขอรับ ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว..รึเปล่า”...เปล่าเลย) อาดาม ตอบว่า.."หญิงซึ่งพระองค์ทรงประทานให้อยู่กับข้าพระองค์นั้น เป็นคนส่งผลจากต้นไม้ให้ ข้าพระองค์จึงรับประทาน" อาดามโยนความผิดให้เอวาทันที แล้วเอวาว่าไง..ข้อที่ 13 เอวาตอบพระเจ้าว่า.."งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน" พอถูกอาดามโยนความผิดให้ เอวาก็ทำแบบเดียวกัน คือ โยนความผิดไปให้งูทันที เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ทำให้เราเห็นธรรมชาติบาปอีกอันที่อยู่คู่มนุษย์มานานแล้ว และทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ คือ ชอบหาแพะ ไม่ค่อยมีหรอกที่ทำผิดแล้วจะโทษตัวเองหรือยอมรับผิดแต่ทันที แต่มนุษย์ชอบที่จะโยนความผิดให้คนอื่นหรืออย่างอื่น..ไม่ว่าจะเป็นดิน ฟ้า อากาศ หรือสถานการณ์ อะไรก็ได้..ที่ไม่ใช่ชั้น ชั้นต้องถูกเป็นคนแรกแต่ขอผิดเป็นคนสุดท้าย..นี่คือ ”มนุษย์”

(อย่างเด็กๆก็เหมือนกัน เวลาจะไปเที่ยวกับเพื่อน ถ้าคุณแม่ก็บอก..”ไปเที่ยวอีกละ..ไม่อยู่บ้านอ่านหนังสือบ้างล่ะลูก” เด็กๆจะบอกว่าไร..”ก็เพื่อนมันชวน จริงๆไม่อยากไปหรอก..ไม่อยากไป๊ แต่..เพื่อนมันชวน”น่าเห็นใจจริงๆ !!! ) เพราะฉะนั้น กษัตริย์อิสราเอลก็เหมือนกัน น้าตุ๊กว่า..ที่เขาโทษเอลีชาก็เพราะ”หาแพะ” หาคนรับผิดชอบ..เลยโยนความผิดไปให้..เอลีชา เหตุผลคืออะไร จริงๆแล้วคงไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นสำคัญกว่าที่เรามองเห็นก็คือ “การโทษสิ่งอื่นหรือคนอื่นเวลาที่ทำผิด..”มันเป็นธรรมชาติบาปที่อยู่คู่กับเนื้อหนังของมนุษย์ ” แต่ข่าวดีคือ..ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้า..เราจะรู้ทันมัน แล้วเราก็จะถูกขัดเกลาให้หายจากนิสัยบาปเหล่านี้ได้

มาดูต่อใน 2 พกษ. 7:1-2 ในขณะที่สะมาเรียกำลังเดือดร้อนเพราะการกันดารอาหารอย่างหนัก..หนักจนแม่ต้องกินลูกตัวเองเนี่ย..มาข้อนี้ เอลีชาได้เผยพระวจนะว่า "ขอฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ยอดแป้งถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ที่ประตูเมืองสะมาเรีย" เอลีชาบอกว่า “พรุ่งนี้นะ..ที่ประตูเมืองสะมาเรีย แป้งประมาณ 7.3 ลิตร กับ ข้าวบาเลย์ประมาณ 15 ลิตร เขาจะขายกันแค่เชเขลเดียว”..คือถูกมาก แล้วคำพยาการณ์ครั้งนี้ มันก็ขัดแย้งกับสถานการณ์ของสะมาเรียในเวลานั้น..อย่างสิ้นเชิง ข้อที่ 2 คนสนิทของกษัตริย์เลยบอกเอลีชาว่า "ดูเถิด ถ้าแม้พระเยโฮวาห์ทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเป็นขึ้นได้หรือ" เอลีชาบอกว่า "ดูเถิด ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน" คือ คนสนิทของกษัตริย์อิสราเอล..ไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่เขามองเห็นกับที่เอลีชาบอก..มันคนละขั้วเลย..มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เอลีชาเลยบอก..”ท่านจะได้เห็นกับตาแน่..แต่จะไม่ได้กิน” (แล้วเดี๋ยวเราจะเห็นว่า..เขาก็ไม่ได้กินจริงๆเพราะตายซะก่อน) เพราะงั้นในชีวิตของพวกเราก็เหมือนกัน หลายครั้งมาก..ที่สถานการณ์ที่ตามองเห็น มันขัดกับสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่เราต้องเชื่อ เพราะถ้าเราไม่เชื่อเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนของกษัตริย์อิสราเอลคนนี้..ที่ดูหมิ่นคำเผยวจนะของเอลีชา เพราะฉะนั้น ขอให้เราเชื่อถ้อยคำที่พระเจ้าบอกไว้ทุกคำ เพราะมันต้องเกิดขึ้นจริงแน่ เพียงแต่จะเกิดเมื่อไหร่..เท่านั้นเอง

ดู 2พกษ.7:3-4/5-6 ข้อนี้ จะเป็นเหตุการณ์ตอนที่วงล้อมของทหารซีเรียแตก ข้อที่ 3 บอกว่า มีคนที่เป็นโรคเรื้อนนั่งอยู่ที่ประตูเมือง 4 คน คือ คนที่เป็นโรคเรื้อนเนี่ย..ตามพระบัญญัติจะเข้าไปอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ในเมืองไม่ได้ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง ถ้าเป็นสมัยโมเสส..ก็ต้องไปอยู่นอกค่าย ทีนี้ พอซีเรียมาล้อมเมืองคนพวกนี้ก็ยิ่งตกที่นั่งลำบาก เพราะจะเข้าเมืองก็ไม่ได้ ถึงเข้าไปในเมืองก็กำลังกันดารอาหาร..ไม่มีอะไรให้กิน ออกไปไหนก็ไม่ได้..เพราะกองทัพซีเรียอยู่เต็มไปหมด แต่ขืนอยู่อย่างงี้ก็อดตายเหมือนกัน คนโรคเรื้อนกลุ่มนี้เลยปรึกษากันว่า..”จะลองเสี่ยงไปขอสวามิภักดิ์ต่อกองทัพของซีเรีย ถ้าเขาไม่ยอมดีด้วยอย่างมากก็ตายเท่าเดิม แต่ถ้าโชคดี ซีเรียยอมไว้ชีวิต..พวกเขาก็รอด พอตกลงกันเสร็จตอนโพล้เพล้ก็เลยพากันไปที่ค่ายของพวกซีเรีย แต่พอไปถึง ปรากฎว่าไม่มีใครอยู่เลยซักคน..เกิดอะไรขึ้น “พระเจ้าได้ทำให้พวกซีเรียหูแว่ว..(อีกแล้ว) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเจ้าทำอย่างงี้ แต่หลายครั้งมากที่พระองค์ทรงช่วยกู้อิสราเอลโดยที่พวกเขาไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เพราะข้อที่ 6 บอกว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันและกันว่า "ดูเถิด กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์แห่งคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์แห่งอียิปต์มารบเราแล้ว".. จู่ๆพวกซีเรียก็ได้ยินเสียงกองทัพอึกทึกครึกโครมมาก แต่มองไม่เห็นไงเพราะมันมืด..เลยเดาเอาเองว่าอิสราเอลคงไปจ้างทหารฮิตไทต์กับอียิปต์มาสู้กับเขา กองทัพซีเรียเลยกลัวมาก..ตัดสินใจหนีไปเลย ทิ้งทรัพย์สินกับเสบียงมากมายมหาศาลไว้ที่ค่าย “นี่คือ การช่วยกู้ของพระเจ้า” ถ้าพระองค์จะช่วย..อิสราเอลรวมทั้งพวกเราไม่ต้องมีต้นทุนอะไรเลยก็ได้ อย่างที่ซีเรียหนีไปครั้งนี้อิสราเอลต้องใช้ทหารมารบกับเขามั๊ย ไม่ต้องเลย..ไม่ได้ทำไรเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เวลาที่มีปัญหา..ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน อย่าประเมินทางรอดด้วยต้นทุนของเรา (เข้าใจคำว่าต้นทุนมะ ต้นทุนของเราก็อย่างเช่น สติปัญญา ฐานะ เรี่ยวแรงกำลังอะไรต่างๆ อย่าประเมินทางรอดของเราจากสิ่งเหล่านี้) แต่จงยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลางแล้ววางไว้กับพระองค์..ให้ฝากไว้กับพระเจ้าเลย เพราะหลายครั้งปัญหาใหญ่ๆถ้ามองด้วยตาแล้ว..ดูยังไงเราก็ไม่มีทางรอด แต่ผู้ที่วางใจในพระเจ้า..จะรอด โดยที่เราแทบไม่ต้องกระดิกไปทำอะไรเลยด้วยซ้ำ..เหมือนที่พระเจ้าได้ทำเพื่อคนอิสราเอลในข้อนี้

ดู 2พกษ.7:8-9 เด็กๆลองนึกภาพคนโรคเรื้อนตอนจะเข้าไปที่ค่ายของพวกซีเรีย ใจก็คงตุ๊มๆต่อมๆ จะรอด..ไม่รอด เพราะมันเสี่ยงมากที่เข้ามาหาศัตรูถึงที่ แต่พอมาถึงจริงๆกลับ”ไม่มีใครซักคน” โอโห ! พลิกล็อคอย่างแรง..เหมือนสวรรค์โปรด พวกนี้ก็เลยเขาไปนั่งกินดื่มนู้นนี้นี้นั้นกันอย่างเต็มที่เพราะหิวโหยมาอย่างแรง เสร็จแล้วก็เข้าเต๊นท์นู้นที..เต๊นท์นี้ทีก็ไม่เห็นใครเลย ท้องก็อิ่มแล้ว..ทีนี้ก็ขนสิ ขนกันใหญ่เลย เพราะพวกซีเรียเหมือนจะรีบมาก..หนีไปด้วยความกลัว..ไม่ได้เอาไรไปเลย..ทิ้งไว้ทุกสิ่งอย่างทั้งเงินทอง..เสื้อผ้า..ของมีค่ามากมาย คนโรคเรื้อนเลยขนกันสบาย..กลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา ข้อที่ 9 น่าสนใจมาก พระคำภีร์บอกว่า เมื่อคนโรคเรื้อนอิ่มหนำสำราญ กับ ขนกันจนพอแล้ว เขาก็นึกได้..แล้วก็คุยกันว่า "เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าเรานิ่งอยู่และคอยจนแสงอรุณขึ้นโทษจะตกอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นบัดนี้มาเถิดให้เราไปบอกยังสำนักพระราชวัง” คือ พวกเขาเริ่มรู้สึกผิด..จิตสำนึกเริ่มกลับมา เลยคุยกันว่า เอ๊! นี่เราทำไม่ถูกนะที่เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกพี่น้อง ทั้งที่ ตอนนี้พวกเขากำลังอดตายกันอยู่ในเมือง แต่เรากลับตักตวงความสุขสบายกันโดยที่ไม่แบ่งปันพวกเขาเลย พอคิดได้อย่างงั้น..ก็รีบไปที่ประตูเมืองแล้วก็บอกกับทหารว่า “เนี่ย เขาเข้าไปในค่ายของทหารซีเรียนะ ไม่มีใครอยู่เลย..ไม่มีทหารซักคนเลยแล้วอาหารก็เต็มไปหมด พวกซีเรียทิ้งของมีค่าไว้เยอะแยะเลยทั้งอาหาร ทั้งม้า ลา แล้วก็เต้นท์ก็กางทิ้งอยู่อย่างงั้น พอนายประตูฟังปั๊บ! ก็รีบตะโกนให้คนไปบอกพระราชา..ดู 2พกษ.7:12 พอข่าวนี้รู้ถึงหูกษัตริย์อิสราเอล พระองค์ก็บอกว่า “เดี๋ยว..อย่าเพิ่งดีใจ นี่อาจจะเป็นกับดักของพวกซีเรียก็ได้ แกล้งไปหลบอยู่..ให้เราตื่นเต้นดีใจ..พอเราเข้าไปก็จะลอบโจมตี เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งหลงกล”...จะว่าไปก็รอบคอบดีเหมือนกันนะ เพราะเรื่องนี้มันไม่น่าเป็นไปได้ อยู่ดีๆซีเรียจะถอนกำลังทำไมเพราะพวกเขาเป็นต่ออยู่แล้ว..ล้อมอีกซักพักอิสราเอลก็แพ้ราบคาบ กษัตริย์เลยคิดว่า..มันต้องมีเงื่อนงำอะไรซักอย่าง แต่ความจริงมีมะ..ไม่มี ทุกอย่าง”ง่ายและฟรี”อย่างที่เขาคิดไม่ถึง คุ้นๆมะ..เหมือนอะไรที่ได้มาง่ายๆและฟรีๆ “ความรอด” ไง เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเชื่อว่า นี่เป็นหมายสำคัญอีกอันนึงที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่คนอิสราเอล..ถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์จะประทานให้ คือ“ง่ายและฟรี” เพราะถ้ามนุษย์ต้องทำเอง..ไม่มีทางรอด เพราะตลอดประวัติศาสตร์ในพระคำภีร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า”มนุษย์มักกบฎและล้มเหลวในการรักษาสัญญา”..จริงมะ ถ้าใครว่าไม่จริงกลับไปทบทวนใหม่เลยตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ กันดารวิถี ผู้วินิจฉัย มาจนถึงที่เราเรียนอยู่นี่แหละ..แล้วจะเข้าใจ

ดู 2พกษ.7:13 เพื่อยุติข้อสงสัย ข้าราชการคนนึงก็ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “งั้น ให้เราเอาม้าที่ยังพอมีเหลืออยู่ซัก 5 ตัวกับรถรบ..แล้วก็ส่งทหารไปดูเลย ถ้าจะเสียหาย..ก็เสียหายแค่เนี้ย..ไม่เยอะ แล้วถึงอยู่อย่างงี้ก็ใช่ว่าจะรอด กษัตริย์เลย..โอเค สั่งให้ส่งกำลังไปสอดแนมก่อน ปรากฎว่า พอพวกเขาตามรอยไปถึงน.จอร์แดน ก็เจอทั้งเสื้อผ้า รองเท้าที่ทหารซีเรียทำตกหล่นไว้ แสดงให้เห็นว่าหนีกันอย่างลนลานสุดชีวิตเพราะอะไรตกก็ไม่เก็บ..หนีเอาตัวรอดอย่างเดียว พวกทหารที่ไปสอดแนมก็เลยกลับมาเล่าให้กษัตริย์ฟัง แล้วพอข่าวนี้รู้ไปถึงหูประชาชน (เด็กๆว่าอะไรจะเกิดขึ้น) ทุกคนก็รีบกรูกันไปที่เต๊นท์ของพวกซีเรีย..ฉกฉวยช่วงชุลมุนกันสุดฤทธิ์ บางคนก็ตุนเอามาขายที่ประตูเมือง ในราคายอดแป้ง ถังละ 1 เชเขล ส่วนข้าวบาเล่ย์ 2 ถัง 1 เชเขล (ตามที่เอลีชา พูดไว้เลย) ข้อที่ 17 กษัตริย์เลยแต่งนายทหารคนสนิท (คนที่เถียงเอลีชา)ให้ไปเป็นนายประตู..เพื่อดูแลความเรียบร้อย แล้วก็ปรากฎว่านายทหารคนนี้”ก็โดนประชาชนเหยียบตาย” เพราะประชาชนกำลังหน้ามืดตาลาย หิวกันขนาดฆ่าลูกตัวเองได้..ความชุลมุนวุ่นวายอย่างหนักเลยเกิดขึ้น และสิ่งนี้ ก็ทำให้ทุกอย่างสำเร็จตามที่เอลีชาพูดไว้เมื่อวาน..ที่บันทึกไว้ในข้อที่ 1-2 คือ ”ข้าวบาร์เลย์สองถังขายหนึ่งเชเขล และยอดแป้งหนึ่งถังหนึ่งเชเขล แต่ทหารคนสนิทที่ไปเป็นนายประตูนี้จะไม่ทันได้กิน”

ส่วนเรื่องราวใน 8:1-6 นี้ คงจะเป็นตอนเดียวกับที่บันทึกไว้ในบทที่4 (ซึ่งเราเรียนไปแล้ว) เพราะใน 8:4 ยังกล่าวถึง”เกหะซี”อยู่เลย เกหะซีที่ต้องเป็นโรคเรื้อน..เพราะโลภในของกำนัลที่นาอามานเตรียมมาให้เอลีชา แล้วหญิงหม้ายที่กล่าวถึงในข้อนี้ ก็น่าจะเป็นคนเดียวกับที่กล่าวถึงในบทที่ 4 ด้วย

ดู 2พกษ.8:7-8 ตอนนี้ มาถึงเรื่องราวในประเทศซีเรียที่สัมพันธ์กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ใน 1 พกษ.บทที่ 19 ข้อนี้ บอกว่า ก.เบนฮาดัดแห่งซีเรียป่วยอยู่ พอเขารู้ข่าวว่าเอลีชาเดินทางมาที่ดามัสกัส เขาก็ใช้ให้คนสนิทไปถามเอลีชาว่าเขาจะหายป่วยมั๊ย.. (แสดงว่า เอลีชาต้องเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างมาก..ไม่ใช่เฉพาะในอิสราเอลเท่านั้นเพราะกษัตริย์ต่างชาติก็ให้ความไว้วางใจเอลีชาด้วย) แล้วปรากฎว่าคนที่เบนฮาดัดใช้ไปเนี่ย..ก็คือ “ฮาซาเอล”..ใครคุ้นชื่อนี้บ้าง “ฮาซาเอล” คือ 1 ใน 3 คนที่พระเจ้าใช้ให้เอลียาห์มาเจิมตั้ง หลังจากที่เอลียาห์ถอดใจเพราะถูกเยเซเบลหมายหัว..จนหนีงานรับใช้ไปกินนอน..กินนอน อยู่ในถิ่นทุรกันดาร..จำได้มั๊ย แล้วพระเจ้าก็ให้ทูตสวรรค์มาปรนนิบัติเขา..เตรียมให้พร้อมทั้งน้ำ ทั้งขนมปัง ตื่นมาก็กิน..กินแล้วก็นอน กินนอน กินนอนอยู่อย่างงั้นซักพักนึง พระเจ้าก็บอกกลับไปทำงานได้แล้ว แล้วงานที่พระเจ้าสั่งตอนนั้นก็คือ ให้เขามาเจิมตั้งคน 3 คน (เปิดไปดู 1 พกษ.19:15) คนแรกที่พระเจ้าให้ไปเจิมตั้งก็คือ “ฮาซาเอล” นี่แหละ คนเดียวกับที่ก.เบนฮาดัดกำลังใช้ให้ไปหาเอลีชา ใน 2พกษ.8 นี้ ข้อที่ 8 บอกว่า ฮาซาเอลก็จัดของกำนัลมากมายตามที่กษัตริย์สั่งแล้วก็ไปหาเอลีชา ถามว่า “เบนฮาดัด” กษัตริย์แห่งซีเรียจะหายป่วยมั๊ย..

หมดเวลาแล้วค่ะ เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเรามาต่อกันนะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ