วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่3 อาทิตย์ที่29:5:2011

คราวที่แล้วเราจบลงในหนังสือสุภาษิตบทที่4 ที่ซาโลมอนบันทึกไว้เกี่ยวกับคำสอนของดาวิด ซึ่งอ่านแล้วทำให้เรารู้ว่าดาวิดสอนลูกดีมาก เขาสอนให้ซาโลมอนรู้ว่าในบรรดาสิ่งที่มีค่าทั้งปวงไม่มีอะไรเทียบได้กับ”สติปัญญา” และเมื่อถึงวันนึงที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้ซาโลมอนได้ขอสิ่งในสิ่งที่เขาต้องการ ซาโลมอนจึงไม่รีรอที่จะขอ”สติปัญญา”

ดู1พกษ.3:10-11/12-13 ข้อที่10 บอกว่า..”ที่ซาโลมอนขอก็เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” จะไม่ถูกใจพระเจ้าได้ยังไง..ก็ดาวิดสอนมา ดาวิดที่ได้ชื่อว่า “บุรุษที่รู้ใจพระเจ้ามากที่สุด” เจ้าของสโลแกน “ A man after God’s own heart “ แล้วในที่สุดความยิ่งใหญ่ในการเข้าถึงพระทัยพระเจ้าของดาวิดก็สืบทอดส่งผลมาถึงลูก..เมื่อซาโลมอนเชื่อฟังคำสอนของเขา..ขอสติปัญญาจากพระเจ้า พระคำภีร์บอกพระเจ้าทรงพอพระทัยมาก พระองค์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าไม่ได้ขอเงินทองหรือชีวิตยืนยาวเพื่อตัวเอง ดูเถิด เราจะให้ตามที่เจ้าขอ คือ จิตใจอันประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ แล้วก็จะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอด้วย คือ ความมั่งคั่งร่ำรวยและเกียรติยศชื่อเสียง” สิ่งที่ซาโลมอนทำถือได้ว่าเป็น”การแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน” คือรู้ก่อนว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร..พระเจ้ามีพระประสงค์อะไรในชีวิตเขา แล้วเขาควรจะขออะไร เมื่อขอในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว..ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลน พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้เสมอ ก็เหมือนกับที่ดาวิดบอกเลย..ว่าถ้าเจ้ากอดปัญญาไว้ ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า จะนำมาซึ่งมงคลงาม..มงกุฎงาม คือ สิ่งดีๆก็จะตามมาถ้าเจ้ามีปัญญา เพราะฉะนั้น อธิฐานครั้งต่อไปเด็กๆอย่าลืมขอ..”สติปัญญา” นะคะ

ดู1พกษ.3:14 นอกเหนือจากสติปัญญา..เกียรติยศชื่อเสียงและความมั่งคั่งแล้ว ข้อนี้ พระเจ้าทรงบอกว่า”ถ้าเจ้าดำเนินตามทางและรักษากฎเกณฑ์ของเรา ดังที่ดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินนั้น เราจะให้วันเวลาของเจ้ายืนยาว” ถ้าซาโลมอนเดินตามรอยดาวิดในการที่จะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า พระองค์จะทรงให้เขามีอายุยืนนานด้วย แต่..น่าเสียดายที่ซาโลมอนไม่สามารถรักษาเงื่อนไขตามสัญญาข้อนี้..เขาก็เลยอายุไม่ยืนเท่าไหร่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าซาโลมอนตายตอนอายุแค่ 60 ปีเท่านั้น ถือว่าเร็วกว่าที่ควรถ้าเทียบกับดาวิด เพราะไร..ซาโลมอนเกิดมาสุขสบายกว่าดาวิด..ไม่เคยต้องลำบากตรากตรำนอนกลางดินกินกลางทราย แล้วก็ไม่เคยต้องออกไปรบพุ่งเหมือนดาวิด แต่ซาโลมอนอายุสั้นกว่าดาวิดถึง 10 ปี ทั้งที่ชีวิตไม่ได้สมบุกสมบันอะไร แล้วทำไมถึงเป็นอย่างงี้..ก็เพราะพระเจ้าบอกแล้ว..ว่าจะให้ชีวิตยืนยาวแก่เขา ถ้าเขารักษากฎบัญญัติของพระเจ้า..แต่เขาทำไม่ได้ เดี๋ยวเรียนๆไปเราจะรู้ว่าซาโลมอนเอาใจออกห่างพระเจ้า เขาไม่กระทำตามน้ำพระทัยจนถึงที่สุด..เหมือนดาวิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบั้นปลายชีวิต

ดู1พกษ.3:16-18/19-21/22 อันนี้เป็นตัวอย่างการตัดสินความที่แสดงให้เห็นสติปัญญาอันชาญฉลาดของซาโลมอน จริงๆมีหลายกรณีแต่พระคำภีร์ยกมาให้ดูหนึ่งเรื่อง เรื่องราวโดยสรุปก็คือ มีผู้หญิงสองคนอยู่บ้านเดียวกัน..คลอดลูกออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วตอนกลางคืนต่างคนก็ต่างให้นมลูกของตัวเอง..แล้วก็คงจะหลับไปทั้งแม่ทั้งลูก แต่ว่ามีหนึ่งในสองคนนั้นนอนไปนอนมาทับลูกตัวเองตาย (ปัจจุบันก็ยังเคยได้ยินข่าวประมาณนี้อยู่เลยนะ คนนอนทับลูกตัวเองตาย) เสร็จแล้วแม่ที่ทับลูกตายก็ไม่อยากจะเสียลูกไป..เลยเอาลูกที่ตายไปเปลี่ยนกับลูกของอีกคน เพราะอายุแค่สามวันเลยคิดว่าจะมั่วได้ จริงอยู่เด็กเกิดใหม่อ่ะ..หน้าตาเหมือนกันหมดแต่น้าตุ๊กว่ายังไงแม่ก็ต้องจำลูกตัวเองได้ ..สองคนนี้มาหาซาโลมอนแล้วก็เถียงกันไปเถียงกันมา ไม่มีใครยอมรับว่าเด็กที่ตายเป็นลูกตัวเอง ทั้งเราและซาโลมอนไม่รู้หรอกว่าใครพูดจริง..ใครโกหกเพราะไม่มีพยานด้วยเพราะตอนเกิดเรื่องไม่มีใครอยู่เลย ตรวจดีเอ็นเอก็ไม่ได้..สมัยนั้นยังไม่มีถ้าเหมือนสมัยนี้ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ซาโลมอนต้องใช้สติปัญญาเท่านั้นถึงจะรู้ได้ว่า..ใครคือแม่ตัวจริงที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ มาดูว่าซาโลมอนทำไง

ดู1พกษ.3:24-26 ซาโลมอนบอกว่า..”เอาดาบมาให้เราเล่มนึง” โอโห..พูดแค่นี้แม่ตัวจริงก็คงใจแป้วแล้ว..ซาโลมอนจะทำอะไรเนี่ย ข้อที่25 พอทหารเอาดาบมาให้..ซาโลมอนบอก “ผ่าเลย!แบ่งเป็นสองท่อนแล้วเอาไปคนละครึ่ง เท่านั้นแหละ..แม่ตัวจริงเผยโฉมทันที ข้อที่ 26 บอกว่า “หญิงคนที่ลูกยังไม่ตายทูลซาโลมอนว่าเจ้านายของข้าพระบาทขอมอบเด็กที่มีชีวิตให้เขาไป..และถึงอย่างไรอย่าทรงฆ่าเสีย” ยกให้เขาไปเลยชั้นไม่เอาแล้ว..อย่าฆ่าลูกชั้นก็ละกัน ส่วนหญิงอีกคนที่นอนทับลูกตัวเองตาย..ก็แสดงธาตุแท้ออกมาเช่นกัน ร้องบอกซาโลมอนว่า..แบ่งเลย แบ่งเลย (ประมาณว่า.ไม่ต้องให้ใครได้ไปทั้งนั้น..) ข้อที่27 บอกว่า ก.ซาโลมอนตัดสินได้ทันที..ว่าใครคือแม่ตัวจริง พระราชาสั่งทหารให้คืนเด็กที่มีชีวิตให้กับหญิงคนแรกที่ยอมสละลูกตัวเองให้คนอื่น..เพื่อรักษาชีวิตลูกตัวเองไว้ ซาโลมอนใช้หลักการง่ายๆเลย คือ พิสูจน์ด้วยรักแท้ของแม่ ซาโลมอนรู้ว่าในเวลาที่ลูกตกอยู่ในอันตราย คนที่เป็นแม่จะต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องลูกของตัวเองจนสุดกำลัง..ถึงจะต้องตายแทนก็ยอม ข้อที่28 บอกว่า เมื่อการพิพากษานี้รู้กันไปทั่วอิสราเอล ประชาชนก็เกรงกลัวพระราชามาก..เพราะ ทึ่ง..ทึ่งในสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า เพราะอย่างงี้ใครจะกล้าทำผิด..ใครจะกล้าโกหก ขนาดไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีใครรู้..ไม่มีใครเห็น ซาโลมอนยังจับได้เลยว่าใครพูดจริง..ใครโกหก เห็นมะ..พอมีปัญญาอย่างอื่นก็เริ่มตามมาละ อย่างตอนนี้ ซาโลมอนก็เป็นที่ยกย่อง แล้วประชาชนก็เกรงขามอย่างมาก

มาถึงบทที่4 จะเป็นการบันทึกชื่อของข้าราชการแล้วก็เจ้าหน้าที่ต่างๆในรัชกาลของซาโลมอน

ดู1พกษ.4:7 บทที่4 ทั้งบท..พระคำภีร์จะชี้ให้เห็นถึงสติปัญญาของซาโลมอนในการบริหารจัดการบ้านเมือง เพราะณ.เวลานั้น ประเทศอิสราเอลมีอาณาเขตครอบคลุมครบถ้วนที่สุดแล้วตามที่พระเจ้าบัญชาไว้..ด้วยฝีมือของดาวิด ดาวิดขยายอาณาจักรออกไป ทางเหนือ ครอบคลุมประเทศเลบานอนในปัจจุบันนี้ทั้งหมดไปจนเกือบจะถึงชายแดนที่ติดกับตุรกีและทางเข้าเมืองฮามัท ทางใต้ก็ติดกับอียิป์ ส่วนทางตะวันออกก็กินประเทศจอร์แดนในปัจจุบันนี้ทั้งหมดตั้งแต่ดินแดนเอโดมไปจนถึงอ่าวอากาบาทางตอนใต้ ทั้งหมดนี้ดาวิดออกแรงไปรบเอามา..ซาโลมอนไม่ต้อง อยู่เฉยๆก็ได้ครอบครอง และหน้าที่ของซาโลมอน คือ ใช้สติปัญญาบริหารจัดการให้บ้านเมืองมีระเบียบแบบแผน

ข้อที่7 บอกว่า..ซาโลมอนแต่งตั้งข้าหลวงไว้12คน..12คนนี้มีหน้าที่อะไร..จัดหาเสบียงส่งให้ทางสำนักพระราชวัง แต่ละวันวังของซาโลมอนต้องบริโภคไรบ้าง เสบียงที่พวกข้าหลวงต้องส่งให้กับสำนักพระราชวังทุกวันก็คือ ”ยอดแป้งหรือแป้งละเอียด30โคเร (ซึ่งเท่ากับ6.6กิโลลิตร) แป้งทำขนม60โคเร (ประมาณ13.2กิโลลิตร) แล้วก็วัวอ้วน (หรือที่เราเรียกว่าโคขุน)10ตัว วัวจากทุ่งหญ้าอีก20ตัว แพ..แกะรวมกัน100ตัว นอกจากนี้ก็ยังมีเนื้อเก้งเนื้อกวางเนื้อสมันกับไก่อ้วนอีกจำนวนนึง ดูๆแล้วก็เยอะพอสมควรแต่ว่า..มันก็ไม่ได้เป็นงานที่หนักเกินไป เพราะซาโลมอนจัดให้ข้าหลวงหนึ่งคนหรือหนึ่งเขตมีหน้าที่ส่งเสบียงแค่คนละ1เดือนในแต่ละปี เพราะฉะนั้น 12 คนนี้ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันส่งเสบียงให้ทางสำนักพระราชวังคนละ1เดือน 12เขตก็จะได้ครบ1ปีพอดี นี่ก็เป็นสติปัญญาอีกอันอันของซาโลมอน เพราะจริงๆแล้วจำนวนเสบียงที่ต้องส่งให้สำนักพระราชวังแต่ละวันจำนวนก็มหาศาลมาก..แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะซาโลมอนรู้จักใช้คน แล้วก็จัดสรรภาระหน้าที่ได้อย่างลงตัว ข้อที่11 บอกว่า “เบนอาบีดานับ”ที่ดูแลเขตนาฟาทโดร์ทั้งหมด มี”ทาฟัท” ธิดาของซาโลมอนเป็นภรรยา แปลว่าข้าราชการสำคัญๆบางคนก็เป็นลูกเขยของซาโลมอน..ใช้คนกันเองก็น่าจะวางใจไปได้อีกเรื่อง

ดู1พกษ.4:20-21/25 ข้อที่20 บอกว่า “คนยูดาห์และอิสราเอล มีจำนวนมากเหมือนเม็ดทราย เขาทั้งหลายกินและดื่มและมีจิตใจเบิกบาน” ส่วนข้อที่25 ก็ย้ำว่า..”ยูดาห์และอิสราเอลอยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนก็นั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อของตน..”อันนี้เป็นสำนวนหมายถึงสงบสุข ปลอดภัยแล้วก็ได้อิ่มบริบูรณ์ เพราะต้นองุ่นและมะเดื่อเป็นสัญญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ปลอดภัยเพราะสามารถนั่งเล่นลั้นลาอยู่ใต้ต้นไม้ได้ ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน..เหมือนอย่างสมัยผู้วินิจฉัย..ที่ขนาดจะนวดข้าว "กิเดโอน" ยังต้องแอบไปนวดในบ่อย่ำองุ่น..จะมานั่งเล่นลมเย็นใต้ต้นไม้อย่างงี้ไม่ได้..เดี๋ยวพวกมีเดียนบุกมาแล้วหนีไม่ทัน ข้อที่21 บอกว่า..อาณาจักรทั้งสิ้นตั้งแต่น.ยูเฟรติส ไปจนถึงแผ่นดินฟิลิสเตียและพรมแดนอียิป์ ก็คือ อิสราเอลทั่วทั้งประเทศนี่แหละ..ได้ถวายส่วยอากรให้ซาโลมอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ คือ มีการเก็บภาษีจากประชาชนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จนในที่สุดเรื่องการเก็บภาษีก็กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทำให้อาณาจักรแตกแยก เดี๋ยวเราจะได้เรียนเรื่องนี้กันในบทที่12

ดู1พกษ.4:29-30/32-33 ข้อนี้ บอกว่า สติปัญญาของซาโลมอนล้ำเลิศกว่าของชาวตะวันออกและชาวอียิปต์ พระองค์ตรัสสุภาษิต3000ข้อ..สุภาษิต ก็คือ ข้อคิด ปรัชญาต่างๆในการดำรงชีวิต นอกจากนี้ซาโลมอนก็ยังเขียนเพลงด้วยทั้งหมด1005บท..เยอะกว่าดาวิดอีก ดาวิดว่าเขียนเพลงเยอะแล้วก็ยังสู้ซาโลมอนไม่ได้ อย่างนึงก็คงเพราะซาโลมอนไม่ต้องออกไปรบเหมือนดาวิด..ก็เลยมีเวลามากหน่อย น้าตุ๊กนึกภาพออกเลย..ว่าประเทศอิสราเอลตอนนั้นคงมีความสุขกันน่าดู พระราชามีเวลาก็นั่งเขียนเพลง ประชาชนว่างจากงานก็นั่งเล่นกันใต้ต้นมะเดื่อ..(แล้วก็คงจะกินดื่มร้องรำทำเพลงกัน)..อะไรจะสุขขนาดนั้น ข้อที่33บอกว่า ”บทประพันธ์ของซาโลมอนบรรยายตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ที่อยู่ในเลบานอน..ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นใหญ่โต ไปจนถึงต้นหุสบ..เล็กๆที่งอกออกมาจากกำแพง”แปลว่า ซาโลมอนรู้เรื่องต้นไม้เยอะมากไม่ว่าจะต้นเล็ก..ต้นใหญ่ นอกจากนี้ “พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่า ทั้งบรรดานก..สัตว์เลื้อยคลานและปลาด้วย พูดง่ายรู้ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ..ข้อที่34 บอกว่า”คนชาติต่างๆ ทั้งสามัญชนและกษัตริย์..พอได้ยินถึงสติปัญญาของซาโลมอนก็แห่มาฟังกันเป็นจำนวนมาก” (ลักษณะคงจะเหมือนไปฟังการบรรยายอะไรซักอย่างที่ได้ความรู้..คนก็เลยอยากจะฟังกัน เพราะสมัยนั้นไม่มีสื่อ การศึกษาก็ไม่เหมือนในปัจจุบัน..อยากมีความรู้ก็ต้องไปเอาจากคนที่มีสติปัญญา

บทที่5 จะเป็นเรื่องราวการสร้างพระวิหารพระเจ้าของซาโลมอน..อันนี้คือผลงานชิ้นเอกของก.ซาโลมอน ซาโลมอนเริ่มต้นด้วยการขอความช่วยเหลือไปที่กษัตริย์ฮีราม แห่งเมืองไทระ..ซึ่งก็คือประเทศเลบานอนปัจจุบัน..

ดู1พกษ.5:6 ซาโลมอนใช้สายสัมพันธ์ที่ดาวิดมีต่อกษัตริย์ฮีราม ร้องขอไป..ให้เขาช่วยส่งไม้สนสีดาร์มาให้จากประเทศเลบานอนเพราะไม้สนสีดาร์ที่เลบานอนมีชื่อมาก..ขึ้นเองตามธรรมชาติเลย แล้วธงชาติของประเทศเลบานอนทุกวันนี้ก็ยังเป็นรูปต้นสนสีดาร์ ท้ายข้อที่6นี้ ซาโลมอนบอกว่า”เพราะท่ามกลางเรานี้ไม่มีผู้ใดรู้จักตัดไม้เหมือนชาวซีโดน” (ซีโดน ไซดอน หรือไทระเหมือนกันนะคะ..อย่างง แล้วปัจจุบันก็คือเลบานอน) เพราะคนอิสราเอลไม่เก่งเรื่องงานไม้ คนอิสราเอลถนัดเรื่องไร..งานหิน เพราะทางตอนใต้ของอิสราเอล..หินเยอะมาก มันก็เรื่องธรรมดา..ที่ใครอยู่กับอะไรก็จะเก่งเรื่องนั้น ซาโลมอนเลยขอความช่วยเหลือเรื่องงานไม้ไปที่ก.ฮีราม ก.ฮีรามก็ตอบรับอย่างดี เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับดาวิดมาก่อน ฮีรามส่งให้ทั้งไม้สน..ทั้งช่างฝีมือไปให้ซาโลมอน เตรียมการให้ตั้งแต่โค่นไม้..ริดกิ่ง..ทำเป็นซุง แล้วก็ร่องมาทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..มาขึ้นฝั่งที่เมืองยัฟฟา..ซึ่งเป็นเมืองท่า..(ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่) พอขึ้นฝั่งแล้วก็ลากมาที่เยรูซาเล็ม ฮีรามก็ส่งช่างไม้ตามมาช่วยในการแปรรูปเป็นเสา..เป็นอะไรต่างๆ ข้อที่11 บอกว่า ฝ่ายซาโลมอนก็ประทานข้าวสาลีกับน้ำมันบริสุทธิ์ให้แก่พระราชวังของฮีรามเป็นการตอบแทน

ดู1พกษ.6:1-2 ข้อนี้ บอกว่า..การสร้างพระวิหารเริ่มต้นขึ้นในปีที่ 480 หลังจากที่อิสราเอลอพยพมาจากอียิปต์ (ประมาณปีก่อนคศ.960) ในปีที่4แห่งรัชกาลของก.ซาโลมอน เดือนศิฟ คือเดือนสอง..(ประมาณเดือนพฤษภา-มิถุนา) และใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมดประมาณ7ปี พระวิหารจึงเสร็จสมบูรณ์ และพระวิหารนี้ก็ตั้งอยู่ได้ประมาณ 400 ปี ก่อนที่จะถูกทำลายในปีก่อนคศ.586 ด้วยฝีมือของก.เนบูคัสเนสซาร์ แห่งบาบิโลน หลังจากนั้น ก็มีการสร้างขึ้นใหม่อีกเมื่อเศรุบบาเบลได้กลับมาที่เยรูซาเล็ม เรื่องนี้เราจะได้เรียนกันต่อไป..

ข้อที่2 ในบทนี้พูดถึงขนาดกับแผนผังของพระวิหารที่พระเจ้าทรงให้แบบไว้กับดาวิด แล้วดาวิดก็ส่งต่อให้กับซาโลมอน น้าตุ๊กจะสรุปสั้นๆ ตามมาตราส่วน1ศอกประมาณ45ซม. ซึ่งจะเข้าใจง่ายกว่า คือเฉพาะตัวพระวิหารจริงๆไม่รวมห้อง..ลาน..หรือระเบียงอะไรต่างๆ กว้าง 9 เมตร ยาว27เมตร และสูง13.5เมตร คือเป็นขนาดที่ใหญ่เป็นสองเท่าของเต๊นท์พลับพลาในสมัยโมเสส แล้วโดยรอบก็จะมีระเบียง..มีห้องต่างๆที่เป็นที่อยู่ของปุโรหิต แล้วก็ห้องเก็บวัสดุอุปกรณ์ ฟังดูแล้วก็คล้ายๆโบสถ์ของเรา..

ดู1พกษ.6:12-13 สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นในพระคำข้อนี้ ก็คือ คนอิสราเอลส่วนใหญ่จำเอาแต่ข้อหลัง คือ “..เราจะอยู่กับเจ้าและไม่ทอดทิ้งอิสราเอลชนชาติของเราเลย” พวกเขาจำแค่นี้..คือจำแต่พระพรที่พระเจ้าสัญญาไว้ แต่เงื่อนไขที่เป็นข้อต้น..ไม่จำ ที่จริงพระเจ้าทรงบอกไว้ชัดเจนว่า..ถ้าเรารักษาพระบัญชาที่พระองค์ให้ไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ก็จะอยู่กับเราและไม่ทอดทิ้งเรา แต่ต่อไปเราจะเห็นว่าคนอิสราเอลไม่สนใจที่จะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า อิสราเอลฝ่ายเหนือก็ถูกอัสซีเรียทำลาย ยูดาห์ฝ่ายใต้เห็นทางเหนือย่อยยับก็ยังไม่กลับใจใหม่ เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ในเขตพระนิเวศน์ของพระเจ้า คือ อยู่ในเยรูซาเล็มแล้วจะปลอดภัย..นึกไปว่ายังไงพระเจ้าคงไม่ยอมให้ใครมาทำลายวิหารของพระองค์..ซึ่งพวกเขาคิดผิด ตีความพระวจนะของพระองค์ในข้อนี้คลาดเคลื่อน พระเจ้าไม่เคยให้ความสำคัญกับวัตถุสิ่งของหรือสถานที่อะไรก็ตามมากกว่า”หัวใจที่เชื่อฟังของเรา” ในเมื่อยูดาห์ยังคงทำบาปต่อพระองค์ในที่สุดพระเจ้าก็มอบพวกเขาไว้ในมือของศัตรู “เนบูซาระดาน”ทหารรักษาพระองค์ของก.เนบูคัสเนสซาร์แห่งบาบิโลน ได้มายังเยรูซาเล็มในวันนึง แล้วก็เผาวิหารที่ซาโลมอนสร้างขึ้น เผาพระราชวัง กับบ้านเรือนทุกหลังในเยรูซาเล็มจนหมดเกลี้ยง เรื่องอย่างงี้เกิดขึ้นก็เพราะคนอิสราเอลไม่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและไม่จำพระคำให้ครบถ้วน..จำเอาแต่ที่ตัวเองชอบ ด้วยความเคารพ..ก็คล้ายๆคริสเตียนหลายคนที่เลือกจำพระคำภีร์แค่บางตอน ตัวอย่างเช่น

ดูมธ.11:28-29 ข้อนี้พวกเราคุ้นเคยกันมาก “บรรดาผู้ที่ทำงานเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข” จบ..ฟังแล้วอยากมาหาพระเยซูกันทุกคนเลย แล้วก็มาอย่างคาดหวังด้วย..ว่าชั้นจะได้สบายซะทีต่อไปนี้ไม่ต้องเหนื่อย ถามว่าไม่ต้องเหนื่อยจริงมั๊ย..จริง แต่ไม่ต้องเหนื่อย”ใจ”นะ ไม่ได้หมายความ มาเชื่อพระเจ้าแล้วคุณจะได้นอนงอมืองอเท้า แล้วไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรอีกเลย..”ไม่ใช่” แต่ถึงเรายังต้องไปต่อบนโลกใบนี้ เราก็จะมีสันติสุข เราอาจจะเหนื่อยกายแต่เราจะไม่เหนื่อยใจ ไม่กังวล ไม่ทุรนทุรายเหมือนที่เคยเป็น แล้วทำไมคริสเตียนหลายคนยังเหนื่อยและกังวลอยู่ ก็เพราะจำแต่ข้อที่28ข้อเดียว ไม่สนใจข้อที่29 คือ “..จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจของท่านทั้งหลายจะได้พัก” พระเยซูบอกว่า..จงเรียนจากเรา พระองค์สอนอะไร..ก็ให้เชื่อฟัง พระองค์ทำอย่างไร..ก็ขอให้ถ่อมใจทำตาม ที่เน้นไว้ชัดเจนคือ “พระองค์สุภาพและใจอ่อนน้อม” อย่าเย่อหยิ่ง อย่ามีอีโก้หรือมีตัวตนของตัวเองให้มากนัก แต่จงถ่อมใจลงเรียนรู้และเชื่อฟังพระองค์ แล้ว ”จิตใจ”ของเราจะได้พัก..แบบพักจริงๆ เราจะไม่กระวนกระวาย ไม่กลัว ไม่ค่อยโกรธเพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับโลกใบนี้ แบบนั้นถึงจะเรียกว่ามีสันติสุขอย่างแท้จริง ในหนังสือปัญญาจารย์5:12บอกว่า ”การหลับของกรรมกรนั้นก็ผาสุข ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยให้เขาหลับ” ความสุขทางกายไม่สามารถทำให้มนุษย์พ้นทุกข์หรือเติมชีวิตเราให้เต็มได้ พระเยซูเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้พบสันติสุขที่แท้จริง..หายเหนื่อยและเป็นสุข แต่เราต้องเรียนรู้และเดินตามพระองค์.

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับบัพติศมาในวันนี้..จากใจจริงนะคะ ขอพระเจ้าประทานความเชื่ออันเต็มขนาดและหัวใจที่ร้อนรนในการแสวงหาพระองค์ให้กับทุกๆท่าน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ.

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ 22:5:2011

ดู 1พกษ.2:10-11 แล้วดาวิดก็บรรทมหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ..เป็นอันปิดฉากตำนานความยิ่งใหญ่ของก.ดาวิดแห่งอิสราเอล [A man after God’s own heart] บุรุษย์ผู้เข้าถึงพระทัยและกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้ามากที่สุด.. พูดแล้วก็ใจหาย เพราะการได้เรียนรู้เรื่องของเขา..ทำให้เรารู้สึกผูกพัน แล้วพระคำภีร์ก็ได้สำแดงให้เราเห็นว่าดาวิดยิ่งใหญ่จริงๆ ตราบจนทุกวันนี้ในอิสราเอลไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าดาวิดอีกแล้ว ลองดูที่ธงชาติของประเทศอิสราเอลก็ได้ ทุกวันนี้ยังเป็นรูป”ดาวดาวิดหรือดาวหกแฉก” อยู่ นี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า”ดาวิดคือภูมิใจของคนอิสราเอลจริงๆ ข้อที่10 บอกว่า..”เขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด” ปัจจุบันหลุมศพก็ยังอยู่..ที่นครดวิด คือ “เยรูซาเล็ม” ใครที่ไปเที่ยวอิสราเอล..ถ้าเป็นคริสเตียนจะไม่ค่อยพลาด..ส่วนใหญ่ก็ต้องไปเที่ยวชมสุสานของดาวิด..ถือเป็นไฮไลท์ของทริป

กลับมาที่หนังสือพงศ์กษัตริย์ หลังจากที่ดาวิดตายไปแล้วอาโดนียาห์ก็เหมือนจะไม่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะชิงบัลลังก์มาจากซาโลมอน ข้อที่13 บอกว่า..อาโดนียาห์ไปเข้าเฝ้านางบัทเชบา..ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง..คืออะไร

ดู1พกษ.2:15/16-18 ข้อที่13 บัทเชบาถามอาโดนียาห์ว่า..”เจ้ามาอย่างสันติหรือ”ประมาณว่า..”มีอะไรรึเปล่า..นี่มาดีใช่มั๊ย” อาโดนียาห์ก็บอกว่า”อ๋อ..มาดี..ไม่ได้มีปัญหาอะไร” ข้อที่15 อาโดนียาห์พูดกับบัทเชบาว่า..”พระองค์ก็รู้อยู่แก่ใจว่า..จริงๆแล้วอาณาจักรอิสราเอลเนี่ย!เป็นของเขา (แหม กล้าพูด) และชาวอิสราเอลก็อยากจะให้เขาได้ครองบัลลังก์ แต่ยังไงๆตอนนี้อิสราเอลก็เป็นของซาโลมอนแล้ว เขาก็แค่อยากจะขออะไรซักอย่าง.. อาโดนียาห์ขออะไร ข้อที่17 บอกว่า..”คือทูลขออาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายา" ฟังแล้วรู้สึกยังไง เพราะใครๆเขาก็รู้..ว่าสนมหรือนางในของพระราชา..เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสมบัติที่คู่กับบัลลังก์ของกษัตริย์..ไม่มีใครเขาขอกันหรอกนอกจากจะคิดไม่ดี..หรืออยากจะตีเสมอ ดังนั้น หลายคนในพระคำภีร์ก็จะใช้วิธีนี้เป็นสัญญาณของการตั้งตัวเป็นกบฎ จะชิงอำนาจจากพระราชา อาโดนียาห์ไม่ใช่คนแรกที่ทำอย่างงี้..

ดู 2ซมอ.3:7 กับ 2ซมอ.16:21 ใน 2ซมอ.บทที่3 ที่เราเรียนจบไป ก็มีคนนึงที่ทำอย่างงี้ คือ “อับเนอร์” อับเนอร์เป็นแม่ทัพของซาอูล พอซาอูลตายเขาก็สถาปนาอิชโบเชท.. ลูกของซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่อิชโบเชทก็เป็นแค่หุ่นเชิด..คนที่ควบคุมอยู่หลังบัลลังก์จริงๆก็คือ”อับเนอร์” แล้วพออับเนอร์เปลี่ยนใจจะแปรพักตร์มาอยู่ข้างดาวิด เขาก็บอกดาวิดว่า..เขาจะเอาบัลลังก์ของอิสราเอลมามอบให้..ทั้งที่ตอนนั้น อิชโบเชทยังอยู่บนบัลลังก์ แล้วอับเนอร์ทำไง..เบื้องต้นเขาใช้วิธีนี้แหละ..คือเข้าหาสนมของซาอูล เป็นเครื่องหมายที่จะบอกใครๆว่า..”ชั้นต่างหากที่กุมอำนาจอยู่เหนือบัลลังก์ของอิสราเอล..อิชโบเชทไม่ได้มีความหมายอะไร

อีกตัวอย่างนึง เด็กๆน่าจะยังจำได้ ใน2ซมอ.16 ตอนที่อาหิโธเฟลบอกให้อับซาโลมเข้าหาสนมที่ดาวิดทิ้งไว้เฝ้าวัง ครั้งนั้น ชัดเจนมากเพราะเขากางเต๊นท์นอนกับพวกสนมของพ่อบนหลังคาพระราชวังเลย เป็นการประกาศให้รู้ว่า”เขายึดบัลลังก์ของพ่อแล้ว”

ที่ต้องย้อนกลับไปดูตัวอย่างเก่าๆก็เพื่อให้เด็กๆเห็นภาพชัดเจน..ว่าตอนนี้ อาโดนียาห์คิดอะไรอยู่ แต่บัทเชบาก็พาซื่อไม่รู้ทันอะไรเลย..อาจจะมองคนในแง่ดี หรือคิดว่าเขารักกัน เพราะข้อที่ 18 บอกว่า บัทเชบารับปากดิบดีว่าจะขอนางอาบีชากจากซาโลมอนให้อาโดนียาห์..

ดู1พกษ.2:21-22 “..น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย” พอบัทเชบาออกปากขออาบีชากให้อาโดนียาห์ปุ๊บ..ซาโลมอนขึ้นเลย บัทเชบาอาจจะไม่รู้ทัน แต่ซาโลมอนเป็นคนฉลาด ฟังปุ๊บรู้ทันที..ไอนี่คิดไม่ดีละ ข้อที่ 22 ซาโลมอนเลยพูดว่า..”ไฉนเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้แก่อาโดนียาห์เล่า น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย” ขอทำไมแค่นางสนม..ขอบัลลังก์ให้เขาไปเลยสิ ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะพูดกันประมาณว่า “ถ้าพูดอย่างงี้ เอาปืนมายิงกันเลยดีกว่า555 ซาโลมอนโกรธจัด คราวที่แล้วก็ยกให้ไปทีละ..อาโดนียาห์ก็ยังไม่สังวรณ์ อย่างงี้เห็นทีจะเลี้ยงไม่ได้..ซาโลมอนเลยจำเป็นต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับอาโดนียาห์ เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะชิงบัลลังก์

ดู1พกษ.2:24-25 ข้อที่ 23 ซาโลมอนปฎิญาณในนามพระเจ้าว่า..”ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์เสียชีวิตของเขาแล้ว ขอพระเจ้าลงโทษผมและให้หนักยิ่งกว่า” แปลว่า ต้องฆ่าอาโดนียาห์ให้ได้ ถ้าวันนี้เขาไม่ฆ่าอาโดนียาห์ก็ขอพระเจ้าลงโทษเขา อันนี้ ก็แสดงให้เห็นสติปัญญาของซาโลมอนเหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้คิดเหมือนบัทเชบา โอเค..ถ้าดูเผินๆ การกระทำของบัทเชบาดูจะใสซื่อ..เหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จะเพราะเป็นคนจิตใจดีมองโลกในแง่ดี แต่ถ้าคิดอีกทีไม่รู้ว่าอย่างงี้เรียกว่า ”ซื่อ หรือ...อะไรกันแน่ พระเยซูคริสต์ทรงเคยสอนเรื่องนี้ไว้ดูมัทธิว10:16 ว่า..”เหตุฉะนั้น จงฉลาดเหมือนงู แต่ไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ” จริงๆในหนังสือปัญญาจารย์ก็เขียนไว้คล้ายๆกัน แต่จะยังไม่พูดถึง..เพราะสอนยากมาก..แล้วก็เข้าใจยากด้วย ถ้าไม่มีคำพูดที่คลอบคลุมความหมายได้ชัดเจน..น้าตุ๊กจะไม่สอน เพราะฉะนั้น ตอนนี้เอาแค่ข้อนี้ก่อน ”ฉลาดเหมือนงู แต่สุภาพเหมือนนกพิราบ” คือยังไง คือเราต้องรู้ให้ทันเล่ห์เหลี่ยมของโลก ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า..โลกก็คือที่ที่พระเจ้าสร้างให้มนุษย์อยู่ แต่พออาดามกับเอวาขัดคำสั่งพระเจ้า..โลกนี้ก็ตกลงไปในความบาป..มนุษย์ก็ตกเป็นทาสของเนื้อหนัง..การงานของเนื้อหนังก็จะคอยฉุดให้มนุษย์ทำบาป เพราะเราเป็นทาสมัน เรื่องใหญ่สุด ก็คือ เราถูกตัดขาดจากพระเจ้า นอกจากนี้ ก็ยังมีความบาปอื่นๆอีก เช่น.ไหว้รูปเคารพ..ล่วงประเวณี..อิจฉาริษยา..การทะเลาะวิวาท..และอีกหลายอย่าง ความชั่วร้ายทั้งหมดนี้เป็นของโลก เพราะฉะนั้น คำว่าโลกก็คือ ทุกอย่างที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกนี้ รวมถึงกิเลสตัณหาของมนุษย์ด้วย เพราะฉะนั้น ในทางพระเจ้า ส่วนใหญ่เราจะใช้ คำว่า”โลก” ในความหมายที่ค่อนข้างลบ อย่างในบริบทนี้ที่พระเยซูคริสต์บอกว่า “ดูเถิดเราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า..” นี่คือ คำที่พระองค์ใช้เปรียบเทียบในการที่คนของพระเจ้าต้องอยู่บนโลกใบนี้ เด็กๆคงนึกภาพออก “แกะ..ท่ามกลางฝูงหมาป่า” ก็ประมาณนักล่า..กับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆที่ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร พระเยซูคริสต์ทรงรู้ดีว่า โลกนี้เต็มไปด้วยการล่อลวงและเล่ห์เหลี่ยม คนของพระองค์เลยต้องอยู่ให้ฉลาดเหมือนงูแต่ไม่มีภัยหรือสุภาพเหมือนนกพิราบ” จะมองโลกแง่ดี..ไม่มีพิษภัยแต่..”ซื่อ”ไม่ทันคนเหมือนบัทเชบาคงไม่ได้ ถ้าซาโลมอนไม่ทันอีกคน..นึกภาพออกมั๊ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น .

ข้อที่25 บอกว่า..ซาโลมอนก็เลยต้องจัดการขั้นเด็ดขาด คือสั่งให้เบไนยาห์ไปฆ่าอาโดนียาห์..ในที่สุดอาโดนียาห์ก็ตาย เพราะเคยยกโทษให้ก็แล้ว เตือนก็แล้ว..ยังไม่เลิกคิดกบฎ เพราะฉะนั้น อาโดนียาห์ก็สมควรแล้วที่ต้องตาย.

ดู1พกษ.2:26-27 ข้อนี้บอกว่า..”ซาโลมอนปลดอาบียาธาร์ออกจากตำแหน่งปุโรหิต เสร็จแล้วก็เนรเทศให้กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด เพราะซาโลมอนรู้..ว่าอาบียาธาร์เป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดกับอาโดนียาห์ แต่เขาเป็นปุโรหิต..แล้วก็เคยปรนนิบัติก.ดาวิด ซาโลมอนก็เลยไว้ชีวิต แค่ปลดจากตำแหน่ง แต่ประเด็นสำคัญของข้อนี้ คือ การที่ซาโลมอนทำอย่างงี้เป็นการทำให้ “สำเร็จตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับวงศ์วานของเอลีที่เมืองชีโลห์ เรื่องอะไร..จำเอลีได้มั๊ย เอลีเป็นปุโรหิตตอนสมัยที่ซามูเอลยังเป็นเด็ก..

ดู1ซมอ.2:30 เอลีมีลูกสองคนที่เป็นปุโรหิตชั่ว คือ โฮฟนีกับฟีเนหัส สองคนนี้ชั่วร้ายมากใช้ตำแหน่งปุโรหิตแสวงหาผลประโยชน์ในพลับพลา เนื้อที่เขาเอามาถวาย จริงๆแล้วต้องถวายพระเจ้าก่อน..ต้องมีการเผาไขมันบนแท่นบูชาให้เรียบร้อย..เสร็จแล้วก็เอาไปต้ม ปุโรหิตถึงจะมาเอาส่วนของตัวเองได้..โดยเอาสามง่ามแทงลงไปในหม้อ..ได้ชิ้นไหนก็ชิ้นนั้น ไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ลูกของเอลีทั้งสองคนไม่ยอมให้ประชาชนทำตามกฎ กลับไปขู่เอาเนื้อส่วนที่ดีที่สุดก่อนที่เขาจะได้ถวายพระเจ้าด้วยซ้ำ แล้วยังล่วงประเวณีกับผู้หญิงที่อยู่หน้าพลับพลาอีกด้วย ทั้งที่เอลีก็รู้..แต่ก็ไม่ยอมเข้มงวดกับลูก ในที่สุดพระพิโรธของพระเจ้าและคำพิพากษาก็มาถึงวงศ์วานของเขา ข้อนี้ พระเจ้าทรงตรัสว่า “เราพูดจริงๆว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเข้าออกต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์ แต่บัดนี้ พระเจ้าทรงประกาศว่า “ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา” แปลว่า พระองค์ไม่เอาแล้ว..คนตระกูลนี้ ที่เคยสัญญาไว้พระองค์ยกเลิก เพราะเอลีกับลูกชายสองคนละเมิดข้อตกลงก่อนทำผิดกฎบัญญัติก่อน เพราะฉะนั้น การที่อาบียาธาร์ถูกปลดในบทที่2 ของหนังสือ 1 พกษ.นี้ จึงเป็นการทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นจริงเพราะ”เขาเป็นเชื้อสายของเอลี” อย่างปุโรหิตเมืองโนบ85คนที่ถูกซาอูลฆ่าก็เพราะ”พวกเขาเป็นเชื้อสายของเอลี”เช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราตั้งใจเรียนจริงๆเราจะรู้ว่า เราเองอาจจะลืมไปแล้วว่าพระเจ้าตรัสอะไรไว้บ้าง แต่..พระองค์ไม่เคยลืม พระวจนะของพระองค์จะต้องเป็นจริงเสมอ..อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

ดู1พกษ.2:28-29 คนต่อไปที่ซาโลมอนจะคิดบัญชีด้วย คือ โยอาบ ข้อนี้บอกว่า..โยอาบหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่แท่นบูชา แล้วก็ทำเหมือนอาโดนียาห์เลย..ครั้งแรกที่ซาโลมอนไว้ชีวิตอาโดนียาห์ เขาก็หนีไปที่แท่นบูชา..จับเชิงงอนของแท่นบูชาไว้ เป็นเครื่องหมาย..ขอความเมตตา ครั้งนี้โยอาบก็ทำเหมือนกันแต่ซาโลมอนสั่งให้เบไนยาห์ตามไปฆ่าเขา..ไม่ยกโทษให้ เบไนยาห์ก็ตามไป..แล้วก็บอกโยอาบว่าพระราชาสั่งให้ออกมา แต่โยอาบบอกว่า ไม่ออก..เขาจะตายที่นี่ เบไนยาห์เลยไปรายงานซาโลมอน ซาโลมอนเลยสั่งว่าถ้าไม่ออกมาก็ฆ่าเขาตรงนั้นเลย ข้อที่ 34 บอกว่า เบไนยาห์เลยต้องฆ่าโยอาบที่แท่นบูชา เสร็จแล้วก็ฝังศพไว้ที่บ้านของเขาในถิ่นทุรกันดาร จากนั้นข้อที่35 บอกว่า หลังจากที่จัดการกับอาบียาธาร์และโยอาบแล้ว ซาโลมอนก็ได้แต่งตั้งศาโดกขึ้นมาเป็นปุโรหิต แล้วก็ให้เบไนยาห์เป็นแม่ทัพแทนโยอาบ แต่ยังมีอีกคนที่ดาวิดสั่งให้คิดบัญชี

ดู1พกษ.2:36-37 ข้อนี้ บอกว่า..”ซาโลมอนให้คนไปตามชิเมอีมาแล้วสั่งว่า”ให้อยู่แต่ใน เยรูซาเล็ม..” ซาโลมอนคงจะเห็นว่า..ชิเมอีไม่ได้กบฎ ก็เลยให้โอกาสเขาแล้ววิธีของซาโลมอนก็เต็มไปด้วยสติปัญญา เขาสั่งให้ชิเมอีอยู่แต่ในเยรูซาเล็มห้ามออกไปไหนแล้วจะปลอดภัย แต่ถ้าวันไหนที่เขาก้าวออกจากเมือง..ตาย ชิเมอีก็โอเค..ยอมรับ เพราะรู้ตัวว่าความผิดของตัวเองก็ค่อนข้างอุกฉกรรจ์ เพราะโทษทัณฑ์ของคนที่ด่ากษัตริย์ จริงๆแล้วต้องถูกหินขว้างจนตาย เพราะฉะนั้น ซาโลมอนให้โอกาสขนาดนี้ก็ดีแล้ว แต่..เหมือนชิเมอีจะโชคไม่ดีหรือไม่ก็..ถึงคาด ข้อที่39 บอกว่า..อีกสามปีต่อมา ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น คือ ทาสคนนึงของชิเมอีเกิดหนีไปที่เมืองกัท (ของพวกฟิลิสเตีย) พอชิเมอีรู้เข้าก็จัดแจงขี่ลาออกไปตามหา”ด้วยตัวเอง” คงจะลืมตัวบวกกับความเสียดายทาสก็เลยทำให้เขา..ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับซาโลมอน ซาโลมอนเลยให้เบไนยาห์ประหารชีวิตชิเมอี (เกือบจะรอดอยู่แล้วเชียว)

ดู 1พกษ.3:1-3 ความผิดพลาดของซาโลมอนเริ่มจากบทที่3 นี้เอง ข้อที่1 บอกว่า “ซาโลมอนได้กระทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ทองแผ่นเดียวกัน..เข้าใจใช่มะ ก็คือ ไปแต่งงานกับลูกสาวฟาร์โรห์ พวกเราคิดว่าซาโลมอนคิดยังไง.. ก็ตอนนั้น อิสราเอลก็ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจเหมือนกันเพราะดาวิดสร้างผลงานไว้เยอะ ส่วนอียิปต์ก็ยิ่งใหญ่มาก่อนแล้วดินแดนก็ใหญ่กว่าอิสราเอลด้วย แถมมีพรมแดนติดกัน..ถ้าได้เชื่อมเป็นทองแผ่นเดียวกัน..อะไรจะเกิด ความยิ่งใหญ่ของทั้งสองอาณาจักรคงไม่มีใครเทียบได้ หลายคนก็จะใช้วิธีนี้..คือ ไปแต่งงานกับลูกของอีกบ้านนึง ยังไงก็จะสนิทเป็นเนื้อเดียวกันแน่นอน ซาโลมอนก็คงคิดอย่างงี้..แต่น่าเสียดาย เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ทรงประทานไว้ทางโมเสส คือ ไม่ให้ไปรับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยา..เพราะฉะนั้น ความผิดพลาดของซาโลมอนก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว..จากตรงนี้

ดู1พกษ.3:3-5 ข้อนี้ บอกว่า..”ซาโลมอนรักพระเจ้า และปฏิบัติตามกำเกณฑ์ของดาวิดราชบิดา คือ เดินตามรอยพ่อทุกอย่าง พ่อเคยทำยังไงเขาก็ทำอย่างงั้น..เว้นแต่ยังถวายเครื่องบูชาบนปูชนียสถานสูง” การถวายบูชาพระเจ้าบนที่ปูชนียสถานสูงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าทรงกำหนดให้คนอิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาเฉพาะในที่ๆกำหนดไว้เท่านั้น เพื่อไร จะได้ทำอย่างถูกต้องตามพระบัญญัติ..ไม่ใช่ไปทำกันเองมั่วๆ ต้องมีปุโรหิตเป็นผู้ดูแลพิธี แล้วอีกอย่างก็เป็นการป้องกันไม่ให้พิธีกรรมของต่างชาติแทรกซึมเข้ามาในหมู่คนอิสราเอล แต่ซาโลมอนกับคนอิสราเอลจำนวนมากก็ยังชอบไปถวายบูชาบนภูเขาสูงๆ ข้อที่4 บอกว่า..ซาโลมอนเสด็จไปถวายเครื่องบูชาที่เมืองกิเบโอน คงเป็นเพราะเต๊นท์พลับพลาและแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่สร้างในสมัยโมเสสอยู่ที่นั่น แต่หีบพันธสัญญาไม่ได้อยู่เพราะดาวิดเอากลับมาไว้ที่เยรูซาเล็ม ข้อที่5 บอกว่า พระเจ้าทรงปรากฎแก่ซาโลมอนเป็นครั้งแรกในความฝันที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าทรงถามซาโลมอนว่า “เจ้าอยากได้อะไร จงขอเถิด” (อยากให้พระเจ้าถามอย่างงี้มั่ง..กันเป็นแถวเลย 555) มาดูกันว่าซาโลมอนขออะไร..

ดู1พกษ.3:9 “ขอทรงประทานความคิดและความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์” ซาโลมอนขอ“สติปัญญา..ความเข้าใจ..การมีวินิจฉัยต่อเหตุการณ์ทั้งปวง” ถ้าเป็นเราจะขอไร..บ้าน..รถ..หรือบางทีอาจจะเป็นเงินซักหลายๆล้าน..ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราขาดสติปัญญาและความเข้าใจที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ซาโลมอนฉลาดมากที่ขอสติปัญญา..โดยส่วนตัวแล้วน้าตุ๊กคิดว่าสติปัญญา คือ กุญแจที่ไขไปสู่ความสามรถในการเอาตัวรอดทั้งปวง..โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติปัญญาจากพระเจ้า..ที่มนุษย์ไม่มีจะเทียบเคียงได้แล้ก็ไม่มีทางที่จะคิดออกด้วยว่าพระปัญญาของพระองค์ล้ำเลิศเพียงใด โอเค..เท่าที่ทรงสำแดงให้เราเห็น อย่างเช่น ระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกควบคุมไว้อย่างเป็นระบบ วงจรชีวิตที่น่าทึ่งของสรรพสัตว์บนโลก หรือพืชพรรณนับหลายล้านชนิดกับระบบนิเวศน์ที่สอดผสานกันอย่างลงตัว ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่งดงามโอ่อ่าตระการตาจนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็คงยังไม่ถึง10%ของพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า..น้าตุ๊กเชื่อ แล้วทำไมซาโลมอนถึงรู้จักขอสติปัญญาความรอบรู้ เขาได้แรงบันดาลใจมาจากไหน เปิดไปดู..

สภษ.4:3-9 “เมื่อเราเป็นลูกอยู่กับพ่อ (อันนี้ซาโลมอนพูด)..บิดาสอนเรา และพูดกับเราว่าให้หัวใจของเจ้ายึดคำสอนของเราไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของเราและมีชีวิตอยู่ อย่าลืมและอย่าหันกลับจากถ้อยคำแห่งปากของเรา จงเอาปัญญาและความรอบรู้ อย่าทอดทิ้งเธอ และเธอจะรักษาเจ้าไว้ จงรักปัญญา และปัญญาจะระแวดระวังเจ้า ที่เริ่มต้นของปัญญาเป็นอย่างนี้ คือ จงเอาปัญญา แม้เจ้าจะได้อะไรก็ตามจงเอาความรอบรู้ไว้ หนังสือสุภาษิตเนี่ยซาโลมอนเป็นคนเขียนไว้..แล้วหลายๆอย่างก็เป็นคำสอนของดาวิด จากข้อนี้มันทำให้เรารู้ว่า”ดาวิดสอนซาโลมอนไว้อย่างดีเยี่ยมเลย”..ว่าในบรรดาสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดไม่มีอะไรเทียบได้กับ”ปัญญา”เพราะฉะนั้น ที่ซาโลมอนขออย่างงี้..ต้องให้เครดิตร์ดาวิด เพราะสอนลูกดีมาก..ดาวิดปูพื้นฐานความเข้าใจ”ในทางพระเจ้า” (ย้ำ!ในทางพระเจ้า..ไม่ใช่ทางโลก) ให้กับซาโลมอนไว้อย่างดี นี่คือ ตัวอย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องเก็บไปคิดทบทวน..ว่าแต่ละวันเราสอนอะไรลูก..เราใส่อะไรให้กับชีวิตของเขา..ทั้งที่ตั้งใจแล้วก็ไม่ตั้งใจ.

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ.