วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่15 อาทิตย์ที่ 27:2:201

คราวที่แล้วเราจบลงที่”บทเพลงของดาวิด เกี่ยวกับการช่วยกู้” ดาวิดถ่ายทอดโดยพระวิญญาณพระเจ้า ให้เรารู้ว่า..พระเจ้าทรงกระทำให้เขาชนะศัตรู ผู้ที่ปฎิเสธและเหยียดมืออกต่อต้านดาวิด..กษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ จะต้องถูกทำลายจนหมดสิ้น..และเกี่ยวกับการช่วยกู้นี้ หนังสือโรมจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น

โรม 8:31-33 “ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขวางเรา..” ถ้าเราวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีอะไรที่เราจะต้องกลัวอีกต่อไป...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ในความคิดของเรา “..ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว” ..เราจึงไม่ต้องกลัวการพิพากษา จะไม่มีใครสามารถปรับโทษเราได้อีกแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว...พระเยซูชดใช้แทนเราไปแล้วทั้งหมด..ทั้งความบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคตก็ตาม แต่ฟังอย่างงี้แล้ว..อย่าย่ามใจ เออ..งั้นเราทำอะไรก็ได้สิ..ไม่ได้นะคะ เพราะ วิญญาณเราจะรอดก็จริง แต่ดูดาวิดเป็นตัวอย่าง..จำให้แม่น..ว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความบาปของตัวเองขนาดไหน

โรม 8:35-36 “..ใครจะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบาก การกันดารอาหาร หรือโพยภัยทั้งปวง..” เพราะเมื่อเรามีพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องกลัวสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ..อุบัติเหตุหรืออุบัติภัยอะไรก็ตาม เพราะพระเจ้าอยู่กับเรา ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น..พระองค์ก็ทรงควบคุมอยู่ แม้แต่ความตายฝ่ายร่างกายก็ไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้ ดังนั้น ความตายก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะถึงยังไงวิญญาณเราก็จะรอดแล้วก็รอดนิรันดร์กาล

...นอกจากนี้ เรายังไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกินหรือขาดแคลนสิ่งที่จำเป็น (จำเป็นในสายพระเนตรพระเจ้า..ไม่ใช่สายพระเนตรของเรา) พระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้ว..ว่าจะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้กับเรา (สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นนะ แล้วจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน)

โรม 8:37-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตายหรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายภาคหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดอื่นที่ทรงสร้างแล้วนั้น..จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” เอเมน

พระเจ้าตั้งใจที่จะบอกเราว่า ถ้าเราเป็นของพระองค์แล้ว จะไม่มีอะไรสามารถทำให้เราถูกตัดขาดจากพระองค์ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นรูปธรรม..นามธรรม เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด เคยเห็นหรือไม่เคย ฟังดูแล้วอุ่นใจได้จริงๆ ขอให้เรามั่นคงในความเชื่อ วางใจในความรอดที่พระเจ้ามอบให้เรา แสวงหา..และติดตามพระเจ้าให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะนี่คือ สิ่งที่มั่นใจได้และมีค่าที่สุดแล้วในชีวิตของเรา

บทที่ 23 วาระสุดท้ายของดาวิด

ดู 2ซมอ.23:1-3 เพลงสดุดีในบทนี้เป็นวาระสุดท้ายของดาวิด คงไม่ได้หมายความว่า..ดาวิดเขียนเสร็จปุ๊บ..ตายปั๊บ แต่น่าจะหมายถึง เป็นบทสุดท้ายของคำประพันธ์ประเภทเพลงสดุดีที่ดาวิดเขียนไว้ ดาวิดเริ่มต้นด้วยการออกตัวว่า..ถ้อยคำที่กำลังจะพูดนี้เขาไม่ได้พูดเอง แต่ถ่ายทอดมาจากพระเจ้า..ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับพระคำภีร์ข้ออื่นๆ เพราะพระคำภีร์ทุกบททุกตอนก็ได้รับการดลใจจากพระเจ้าเหมือนกัน ดาวิดเกริ่นไว้เพราะเขาต้องการถวายเกียรติแด่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อที่3 บอกว่า “..เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม คือ ปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า..” ความหมายที่พระเจ้าสื่อกับเราในข้อนี้คือ กษัตริย์ของพระเจ้าต้องปกครองผู้อื่นภายใต้กฎเกณฑ์ของพระองค์..ยำเกรงพระองค์ ไม่เหมือนกษัตริย์ของคนต่างชาติ..ที่มักจะเอาตัวเองเป็นใหญ่ทำอะไรตามอำเภอใจ แต่กษัตริย์ของพระเจ้าทำอย่างงั้นไม่ได้ ทั้งประชาชนและรวมถึงกษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าทุกคน..ไม่มีใครได้รับการยกเว้น

ดู หนังสือ ยอห์น5:30 นี่คือ คำพูดของพระเยซูคริสต์..กษัตริย์แท้จริงที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ ขนาดพระองค์ยังทรงพูดว่า”เราจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ เพราะเรามิได้มุ่งทำตามใจตนเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา..คือพระเจ้าหรือพระบิดา

เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กขอยืนยัน..ว่าสารพัดปัญหาแบบที่”อับซาโลม”กับ”เชบา”ทำ การทะเลาะเบาะแว้ง การประท้วงต่อต้าน การปฏิวัติหรือสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราเห็นกันมากขึ้นในข่าวทุกวันนี้ ทั้งในประเทศไทย หรือแม้แต่ที่อียิปต์มาจนถึงตะวันออกกลาง..มันก็มาจากรากปัญหาเดียวเดิมๆ คือ “ทุกคนต่างกระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ ไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่มีกฎบัญญัติของพระองค์เป็นบรรทัดฐาน” ความวุ่นวายมันก็เลยเกิดขึ้น ถ้าทุกคนเชื่อพระเจ้า..ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะผู้นำหรือแม้แต่กษัตริย์ก็จะปกครองประชาชนหรือสมาชิกด้วยความชอบธรรม..ถูกต้องตามพระบัญชาของพระเจ้า ส่วนประชนหรือสมาชิกก็จะเชื่อฟังผู้นำเพราะทุกคนจะเชื่อว่าผู้นำหรือกษัตริย์นั้นมาจากพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาติ..เขาเป็นกษัตริย์ของคุณไม่ได้หรอก ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต..เขาก็เป็นพ่อแม่คุณไม่ได้เช่นกัน และถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต..เขาจะเป็นผู้นำหรือเจ้านายของคุณก็ไม่ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเขาได้เป็น...นั่นคือพระเจ้าอนุญาต แล้วถ้าคุณเห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกใจ วิธีเดียวที่คนเชื่อพระเจ้าจะทำก็คือ อธิฐาน..แต่ปกติวิสัยของมนุษย์ที่ติดมาจากอาดาม..เอวา ก็คือ "ต้องการเป็นผู้ควบคุม" มนุษย์เลยชอบที่จะลุกขึ้นจัดการทุกอย่างให้ได้ดั่งใจตัวเอง หลายครั้งเลยคิดประมาทว่า..มัวแต่อธิฐานแล้วเมื่อไหร่จะเกิดผล น้าตุ๊ก จะบอกให้ว่า พระเจ้าทรงได้ยินทุกคำอธิฐานของทุกคน และทรงบันดาลให้เกิดผลเสมอ..แต่ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า..ไม่ใช่ตามใจเรา และสารพัดที่ทรงบันดาลให้เกิดขึ้น ก็เพื่อจะเป็นผลดีต่อพวกเราที่รักพระเจ้า..เสมอ ดังนั้น มุมมองและทัศนคติที่ถูกต้องต่อสารพัดเหตุการณ์ ต้องเริ่มต้นที่คริสเตียนก่อน อย่าคิดจะเปลี่ยนโลกด้วยการพยายามไปเปลี่ยนคนอื่น เพราะที่ถูกต้องคือเราต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน นี่คือหน้าที่ที่แท้จริงของคริสเตียน...

กลับมาที่ดู2ซมอ.23:4-5 พระเจ้าจึงทรงตรัสผ่านดาวิดว่า..”ถ้ากษัตริย์ปกครองประชาชนด้วยความยำเกรงพระเจ้า เขาจะทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าและกระทำให้อาณาจักรจำเริญขึ้นเหมือนฝนที่ทำให้หญ้างอกงาม ข้อที่5 ดาวิดบอกว่า “..พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้ามิใช่หรือ..” บางฉบับเขียนว่า “พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งมั่นอยู่กับพระองค์หรือ เพราะพระองค์ทรงทำสัญญาเนืองนิตย์ไว้กับข้าพเจ้า..” คือ ข้อนี้ ดาวิดพูดอย่างถ่อมใจ..ไม่ว่าตัวเขาหรือพงศ์พันธุ์ของเขาจะทำได้ดีแค่ไหน..สมควรได้รับพระพรหรือไม่ พระเจ้าก็ยังสัญญาว่าจะประทานให้อยู่ดี ท้ายข้อที่5 บอกต่อไปว่า “..อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง เพราะพระองค์จะไม่ทรงให้ความอุปถัมป์ของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ” ณ.จุดนั้น เราไม่รู้หรอกว่าดาวิดเห็นภาพพระเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์ชัดเจนแค่ไหน แต่เขาพูดเหมือนมั่นใจมาก.. “ว่าวงศ์วานของเขา (ซึ่งจริงๆแล้วหมายถึงพระคริสต์) จะปกครองด้วยความชอบธรรมตลอดไป ไม่ใช่เพราะความดีของดาวิด แต่ด้วยพระคุณพระเจ้าที่ทรงสัญญาไว้

ดู2ซมอ.23:6-7 “..แต่คนอธรรมเป็นเหมือนหนามที่ต้องถูกผลักไสไป..” ความรอดที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้พวกเราโดยทางพระเยซูคริสต์นั้น..เพื่อมนุษย์ทุกคนก็จริง แต่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ยินแล้ว..จะรับเอาไว้..บางคนก็ปฏิเสธพระเยซู และคนที่ปฏิเสธกษัตริย์ของพระเจ้านี่แหละ คือ พงหนามที่ต้องถูกผลักไสไป ข้อที่7 บอกว่า..”แล้วการจะผลักไสคนอธรรมที่เหมือนต้นหนามไปนั้น ต้องระวังให้ดีด้วย จะเอามือหยิบก็ไม่ได้..เดี๋ยวมันจะตำมือเอา ต้องใช้อาวุธที่ทำด้วยเหล็ก..สับมันแล้วโยนเข้ากองไฟเผาทิ้งไป” น้าตุ๊กฟังข้อนี้แล้ว เข้าใจว่า บรรดาคนอธรรมที่ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็คงมีพิษสงไม่น้อยเหมือนกัน..เพราะพระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้เป็นตามพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น ภาพที่น้าตุ๊กเห็นตอนอ่านพระธรรมข้อนี้ คือ ถ้าเราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนพวกนี้ เราคงต้องมียุทธภัณฑ์ทั้งชุด..ของพระเจ้าเป็นเกราะป้องกันจิตวิญญาณ เพื่อ..ไม่ให้เราคล้อยตามหรือตอบโต้เขาแบบผิดๆ (ส่วนเรื่องยุทธภัณฑ์ทั้งชุด น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ถ้าใครพลาด..หรือจำไม่ได้ ก็สามารถอ่านย้อนหลังได้ในเวปต์ทีนคลาสของเรานะคะ)ส่วนจุดจบหรือปลายทางของคนเหล่านี้ที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือ นรกสถานเดียว

บทต่อไปคือเรื่องเกี่ยวกับ ”วีรบุรุษของดาวิด”

ดู2ซมอ.23:8-10 ในสมัยของดาวิดมีผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ 3 คนๆแรกคือ “โยเชบบัสเชเบธ”แห่งตระกูลทัคโมนี พระคำภีร์บอกว่า เขาฆ่าศัตรู800คนในครั้งเดียว แต่ที่บันทึกไว้ในพงศาวดารคือ300คน..แต่จะเท่าไหร่ก็ไม่ต่างกัน เพราะคนที่สามารถฆ่าศัตรูได้ทีเดียวหลายร้อยคนเนี่ย..ยังไงก็เก่งอยู่ดี ข้อที่9 บอกว่า วีรบุรุษคนที่รองจากโยเชบบัสเชเบธ คือ “เอเลอาซาร์” บุตรโดโด ข้อนี้บอกว่าเอเลอาซาร์เคยร่วมรบกับดาวิด..เมื่อครั้งนึงที่พวกฟิลิสเตียยกทัพมา ตอนนั้นดูคล้ายๆว่าอิสราเอลจะเป็นรอง ทหารคนอื่นก็หนีเอาตัวรอด แต่เอเอลอาซาร์อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับดาวิด..สู้จนยิบตา พระคำภีร์บอกว่า เอเลอาซาร์ฆ่าพวกฟิลิสเตียจนเหน็บกิน..มือเลยแข็งติดดาบ (ส่วนพวกเราก็เหน็บกินเหมือนกัน..เพราะไร ก็จับเมาท์เล่นเกมส์ไง) ข้อที่10 บอกว่า สุดท้ายในวันนั้นพระเจ้าก็ทรงทำให้เอเลอาซาร์ชนะพวกฟิลิสเตีย บรรดาทหารที่หนีไปก็กลับมาเคลียร์พื้นที่..

ดู2ซมอ.23:11 วีรบุรุษคนสุดท้ายในสามคนที่กล่าวถึงในข้อนี้คือ “ชัมมาห์” บุตรอาเก วีรกรรมของเขาเกิดขึ้นตอนที่อิสราเอลรบกับฟิลิสเตีย..อีกเหมือนเดิม ครั้งนั้นฟิลิสเตียตั้งใจจะมายึดที่ดินที่อิสราเอลปลูกถั่วแดงไว้ คือจะมาปล้นเอาผลผลิตที่กำลังงอกงาม..ว่างั้น คนอื่นๆก็หนีพวกฟิลิสเตียไปหมดแล้ว แต่ชัมมาห์ยืนหยัดต่อสู้จนในที่สุดพระเจ้าก็เห็นหัวใจที่มีความเชื่อ และกล้าหาญของชัมมาห์ พระองค์ก็ทรงโปรดประทานชัยชนะให้

สำหรับเรื่องนี้ เราต้องพยายามเข้าใจและมองให้เห็นภาพฝ่ายวิญญาณ เพราะทุกวันนี้พวกเราไม่ได้ไปรบกับใคร แล้วเนื้อหาในพระคำภีร์จะยังมีความหมายสำหรับเรามั๊ย..มีแน่นอน เพลงนมัสการที่เราร้องกันก็ยังคงเนื้อหาแบบดั้งเดิมที่พระคำภีร์บันทึกไว้ ”...โปรดทรงสัมผัสและแตะต้องเรา เพื่อให้เข้มแข็งในฤทธา เพื่อเอาชนะความอ่อนแอของเรา จะได้ยืนหยัดในสงคราม..” เพราะแท้จริงแล้วถึงเราจะไม่ได้รบฝ่ายเนื้อหนัง แต่สงครามฝ่ายวิญญาณมันเกิดขึ้นกับเราทุกวัน ทุกครั้งที่เราต้องเลือกหรือตัดสินใจทำอะไรก็ตาม..การสู้รบระหว่างเนื้อหนังกับวิญญาณมันเกิดขึ้นตลอด เวลาที่เรามีปัญหา..เวลาที่ถูกล่อลวง หรืออยู่ในสถานการณ์คับขัน เราเลือกทำอะไร..เรายังเชื่อมั๊ยว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ถ้าเชื่อ..เราจะทำเหมือนดาวิดและวีรบุรุษพวกนี้ไง คือ ยืนหยัดสู้จนยิบตา แม้ว่า..ในสายตาที่มองเห็นมันเหมือนจะสู้ไม่ได้ อย่างถ้าต้องสอบแข่งขัน หรือสอบสัมภาษณ์เพื่อที่จะได้งาน แต่ดูแล้วเราเก่งสู้คนอื่นไม่ได้เลย..เส้นสายก็ไม่มี ทำไงดี..ก็จงทำเหมือนบุคคลในพระคำภีร์ คือ อธิฐาน..สู้จนยิบตา..ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วสุดท้ายพระเจ้าก็จะประทานชัยชนะให้ ทั้งที่ดูแล้วน่าจะแพ้ เพราะเราไม่เก่งแถมยังไม่มีเส้นอีกด้วย แต่เรามีพระเจ้า..อย่าลืม

ดู2ซมอ.23:13-15/16-17 เหตุการณ์ในพระธรรมข้อนี้ น่าจะเกิดขึ้นตอนที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอดุลลัม..ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ตอนนั้นดาวิดมีทหารเอกประมาณ30คน แล้วครั้งนึงพวกฟิลิสเตีย ก็ยกทัพมายึดเมืองเบธเลเฮม..บ้านเกิดของดาวิดไว้ ข้อที่15 ดาวิดบ่นขึ้นมาว่า..”ใครหนอจะเอาน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมมาให้เราดื่มได้”คือ ในถิ่นทุรกันดารที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่คงจะขาดแคลนน้ำ ดาวิดก็เลยรู้สึกคิดถึงบ่อน้ำในหมู่บ้านเบธเลเฮม..ที่เคยดื่มกินมาตั้งแต่เด็ก พระคำภีร์บอกว่า“ดาวิดตรัสด้วยความอาลัย..” ตรัสด้วยความอาลัยก็หมายถึง บ่นว่าอยากดื่ม (..เหมือนพูดเปรยๆว่าอยากกินนั่น..อยากกินนี่) เพราะน้ำในบ่อที่เบธเลเฮมคงจะใสสะอาด..รสชาติดี ข้อที่16 บอกว่า พอดาวิดบ่นอย่างงั้น ทหารกล้าสามคนก็ไปเลย..เดินทางไปเบธเลเฮม..ฝ่าด่านของพวกฟิลิสเตียเข้าไปเอาน้ำจากบ่อนั้นกลับมา แต่พอพวกเขาเอาน้ำถวายให้ดาวิด..ดาวิดทำไง ดาวิดกลับเทน้ำลงดิน เพราะอะไร..ไม่ใช่ดาวิดไม่เห็นคุณค่านะ แต่เขาตกใจ..เพราะไม่ได้คิดจะให้ใครไปเสี่ยงตายเพื่อเขาขนาดนี้ แค่บ่นว่าอยากกิน..แต่ไม่ได้แปลว่าต้องได้ตามนั้น พอลูกน้องเอามาถวายดาวิดเลยกินไม่ลง..เพราะรู้สึกว่าลูกน้องทำเพื่อเขามากเกินไป ก็เลยเทน้ำลงดินถวายพระเจ้าไป..ไม่ดื่มทั้งที่กระหายสุดๆ

ดู2ซมอ.23:18-19 ข้อนี้ บอกว่า”อาบีชัย” เป็น1ในทหารเอก30คนที่อยู่กับดาวิดมาตั้งแต่ตอนที่ต้องหนีซาอูล..ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ อาบีชัยนับว่าเป็นคนนึงที่อยู่เคียงข้างดาวิดมาตลอด ทั้งตอนที่ต้องฝ่าวงล้อมทหารเข้าไปในค่ายของซาอูล..อาบีชัยก็อยากจะฆ่าซาอูลตั้งแต่ตอนนั้น แต่ดาวิดไม่อนุญาต ดาวิดสั่งให้เอาแค่หอกกับเหยือกน้ำของซาอูลติดมืออกมา นอกจากนี้ อาบีชัยยังเป็นผู้นำทหารตอนที่อิสราเอลต้องรบกับพวกซีเรียและอัมโมน มาจนถึงตอนที่ต้องไปจัดการกับอับซาโลม..อาบีชัยก็เป็นผู้นำกองกำลัง1ใน3ของดาวิด และล่าสุดดาวิดก็ยังเรียกใช้อาบีชัยให้ออกไปจัดการกับเชบา..ที่ตั้งท่าจะเป็นกบฎ อาบีชัยอาจจะมีข้อเสียอยู่บ้างเพราะเป็นคนใจร้อน แต่ถึงยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษของอิสราเอลอยู่ดี และในจำนวนทหารเอก30คนนี้..อาบีชัยเป็นอันดับหนึ่ง ข้อที่19บอกว่า..แต่ยศของอาบีชัยไม่ใหญ่โตเท่าวีรบุรุษสามคนแรก

ดู2ซมอ.23:20-22 วีรบุรุษคนต่อไปที่ถูกกล่าวถึงในสมัยของดาวิด คือ “เบไนยาห์” ในตอนแรกพระคำภีร์บอกว่าเบไนยาห์ได้ฆ่าบุตรของชาวโมอับสองคน..ดูแล้วก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ท้ายข้อที่20 บอกว่า เขาลงไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันหิมะตก คือสิงห์มันคงพลัดตกลงไปในบ่อ..คนก็เลยตักน้ำขึ้นมากินไม่ได้ เบไนยาห์เลยอาสาลงไปฆ่าสิงห์แล้วเอาตัวมันขึ้นมา ฟังแล้วนึกถึง”แซมสัน” ติดใจตอนที่พ่อแม่เดินไปด้วยกันแต่ไม่รู้ว่าแซมสันฆ่าสิงโตตอนไหน คือ ต้องไวมากๆแล้วก็มีแรงมหาศาล..ถึงฆ่าสิงโตได้โดยที่คนเดินอยู่ข้างหน้าไม่ทันเห็น ข้อที่21 บอกว่า เบไนยาห์ยังฆ่าชาวอียิปต์คนนึงที่มีหอกเป็นอาวุธ..ในขณะที่เขามีไม้เท้าแค่อันเดียว และที่น่าทึ่งก็คือ (2ซมอ.8:18) เบไนยาห์เป็นลูกของปุโรหิตชาวเลวี เราคงนึกไม่ถึงว่าปุโรหิตเลวีจะบู๊ได้ขนาดนี้ เพราะถ้าพูดถึงเชื้อสายของปุโรหิตเราคงนึกถึงแต่คนที่ทำงานในวิหารหรือพลับพลา..แต่เบไนยาห์ไม่ใช่ เขามีฝีมือจนดาวิดแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์

ข้อที่24-39 ก็จะเป็นรายชื่อของบรรดาวีรบุรุษสงคราม อ่านดูแล้วก็จะคุ้นหูอยู่หลายคน แต่ที่สะดุดคือ..ข้อที่39 เพราะมีชื่อของอุรีอาห์ คนฮิตไทต์รวมอยู่ด้วย แสดงว่าอุรีอาห์ต้องเป็นนักรบที่มีชื่อเสียง คนอิสราเอลจะต้องรู้จักอุรีอาห์กันทั้งประเทศ..เหมือนเวลาเราพูดถึงนักการเมืองสมัยนี้ แต่ดาวิดก็ยังไปแย่งภรรยาเขามา แล้วยังกล้าฆ่าเขาตาย..(อดพูดไม่ได้จริงๆ)

อีกเรื่องที่น่าสังเกตุ ก็คือ วีรบุรุษหลายคนมากที่ถูกบันทึกไว้ในตอนนี้..เป็นคนต่างชาติ ความจริงในข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า ”พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนต่างชาติมีส่วนร่วมในแผนการของพระองค์เสมอ” พระเจ้าทรงทำการผ่านผู้คนมากมาย..ไม่ได้ผูกขาดไว้เฉพาะยิว..อิสราเอล..คนกลุ่มเดียว หรือคนๆเดียว นี่เป็นเรื่องเดียวกันกับคริสตจักรของเราในปัจจุบัน

ดู 1โครินธ์12:12-13/27-28 “กายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน..” เหมือนพวกเราที่มีหน้าที่ต่างกัน แต่เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นกายเดียวของพระคริสต์ บางคนเป็นมือ..บางคนเป็นเท้า..แต่จะเป็นอะไรทุกคนก็สำคัญเท่ากัน ไม่มีสำคัญมาก..สำคัญน้อย เหมือนอวัยวะของเรา..บางส่วนถึงจะดูไม่มีบทบาทอะไร แต่เราก็ไม่อยากเสียมันไปใช่มั๊ย มีใครมะ..อยู่ดีๆไปตัดไส้ติ่งทิ้ง..เกะกะ หรือตัดนิ้วก้อยออกไป..รำคาญ เพราะมันไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่..ไม่มีหรอก มีแต่จะรักษาไว้จนถึงที่สุด พระเจ้าก็ทรงมองพวกเรา..ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระองค์อย่างงี้เหมือนกัน ข้อที่28 ถึงบอกว่า..”พระเจ้าได้ทรงตั้งบางคนไว้เป็นผู้นำคริสตจักร บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นครู บางคนเป็นสมาชิกธรรมดา แต่จะเป็นอะไร..ทุกคนก็สำคัญเท่ากันหมด ไม่ต้องไปอยากทำเรื่องที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราทุกคนไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าฉาก..ถ้าพระเจ้าให้เราอยู่เบื้องหลังก็อยู่เบื้องหลังไป..ทำหน้าที่ของเราให้ดี ข้อที่31 บอกว่า..”แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันยิ่งใหญ่กว่านั้น..” ของประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความรอด แล้วเราทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ได้รับกันมาทั่วหน้าแล้ว ส่วนการเป็นผู้เผยพระวจนะ การเป็นผู้นำคริสตจักร การเป็นครู..เป็นผู้ประกาศ มันก็แค่ของประทานเล็กๆน้อยๆ เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหามัน..พระเจ้าให้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องไปอยากได้หรืออยากเป็นเหมือนคนอื่น..เป็นตัวเองดีที่สุด

วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่ได้รับบัพติศมาในวันนี้นะคะ สองท่านเป็นเพื่อนที่สนิทกับน้าตุ๊กมานานเกือบสิบปี แล้วในที่สุดวันนี้..เขาก็ได้รับความรักของพระเจ้า..กลับใจใหม่เลือกที่จะเดินตามพระองค์อย่างอัศจรรย์ น้าตุ๊กขอยืนยันว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เพราะน้าตุ๊กได้เห็นชีวิต..การเปลี่ยนแปลง และการจำเริญขึ้นในความเชื่อของทั้งสองท่านมาโดยตลอด ขอพระเจ้าประทานความเชื่ออันเต็มขนาดให้ทุกท่าน..น้าตุ๊กขอหนุนใจให้เราทุกคนมั่นคงในความเชื่อ ติดตามพระเจ้าไปจนตลอดลอดฝั่ง แล้วเราจะได้เห็นพระสง่าราศี ความงดงามโอ่อ่าตระการตาของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่14 อาทิตย์20:2:2011

ดู2ซมอ.20:3 พอกลับถึงวังสิ่งแรกที่ดาวิดทำ ก็คือ ไปจัดการเรื่องนางสนมทั้งสิบคนที่เขาทิ้งไว้ที่วัง ดาวิดพาสนมพวกนี้ไปอยู่รวมกันที่บ้านหลังนึงและเลี้ยงดูอย่างดี แต่เขาไม่หลับนอนกับสนมทั้งสิบคนนี้แล้วเพราะอับซาโลมได้เข้าหาสนมพวกนี้อย่างเปิดเผย เรื่องนี้คงทำให้ดาวิดคาใจมาก กลับมาถึงก็เลยรีบจัดการเป็นเรื่องแรก พระคำภีร์บอกว่า..สนมเหล่านั้นก็ถูกกักให้อยู่เป็นม่ายไปจนวันตาย เพราะถึงจะไม่ยุ่งด้วยแต่จะปล่อยให้ไปเป็นของคนอื่นก็คงไม่ได้..ยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นสนมของพระราชา

ดู2ซมอ.20:4-6 หลังจากจัดการเรื่องนางสนมเรียบร้อยแล้ว.. มาถึงข้อนี้ เรื่องต่อไปที่ดาวิดต้องทำก็คือ จัดการกับพวกกบฎที่กำลังก่อตัวขึ้น เขาสั่งอามาสาซึ่งเป็นผู้นำทัพคนใหม่ให้ไปรวมกำลังของคนยูดาห์ เพื่อไปตามล่าเชบา แต่ดูเหมือน”อามาสา”จะจัดการได้ไม่ดี..พระคำภีร์บอกว่าเขาทำงานช้ามาก..จนดาวิดร้อนใจ ต้องสั่งให้อาบีชัยนำกำลังเสริมออกไป ครั้งนี้ดาวิดใช้อาบีชัยไม่เรียกใช้โยอาบ อาจเป็นเพราะเขาสั่งปลดโยอาบเองแล้วตั้งอามาสาขึ้นมาแทน ถ้าต้องกลับไปเรียกใช้ก็จะเสียหน้า..นิดนึง แต่ยังไงเรื่องนี้ก็รอช้าไม่ได้..เลยต้องใช้อาบีชัยออกไป

ดู2ซมอ.20:8-10 ถึงดาวิดจะไม่เรียกใช้..แต่โยอาบก็ยังตามกองทหารของอาบีชัยไปด้วย แล้วไปเจอกับอามาสาที่กิเบโอน พอเผชิญหน้ากันโยอาบก็ทักทายอย่างอบอุ่น..”พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ” เสร็จแล้วก็ใช้มือขวารวบเคราของอามาสา ทำท่าจะจุบ..ซึ่งมันเป็นธรรมเนียมการทักทายตามปกติของคนอิสราเอล เมื่ออามาสาไม่ทันระวังตัว..เขาก็ถูกโยอาบเอาดาบแทงเข้าไปที่ท้องคงจะคว้านด้วย เพราะพระคำภีร์บอกว่าไส้ทะลักไปกองอยู่กับพื้น ตายสนิททันที..โดยไม่ต้องแทงซ้ำ เสร็จแล้วโยอาบก็ตามไปสมทบกับอาบีชัย..หน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (เราเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาตั้งใจไปตามใครกันแน่ แต่ตามรูปการน่าจะตั้งใจไปหาอามาสาก่อน ส่วนเรื่องของเชบาก็ว่ากันอีกที..ประมาณนี้)

ดู2ซมอ.20:11-13 หลังจากที่อามาสาถูกฆ่า ทหารคนนึงของโยอาบก็เข้ามาเคลียร์สถานการณ์ ด้วยการประกาศให้ทุกคนตัดสินใจว่า..”ผู้ใดเห็นชอบฝ่ายโยอาบและผู้ใดอยู่ฝ่ายดาวิด..ก็ให้ตามโยอาบไป” แต่ดูเหมือนประชาชนจะมัวแต่มุงดูศพของอามาสา เพราะร่างเขายังนอนจมกองเลือดอยู่บนทางหลวง คือ ยังกองอยู่กลางถนน ทหารคนนี้ก็เลยเอาศพของอามาสาไปทิ้งในทุ่งนาแล้วก็เอาผ้าปิดไว้ พวกทหารถึงได้ยอมกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง.. (ก็คงจะเหมือนเวลาที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่รถก็จะติด..บางทีชนฝั่งนี้..ฝั่งนู้นก็ติดด้วย เพราะคันอื่นมัวแต่ชะลอดู รถเลยติดยาว)

แล้วในที่สุดโยอาบก็พาพวกทหารตามเชบาไปถึงตำบลอาเบล เชบาซ่อนอยู่ที่เชิงเทินริมกำแพง โยอาบก็เลยทำท่าจะทลายกำแพงเข้าไป น้าตุ๊กว่า..นี่คือบุคลิกของพวกขุนศึกในสมัยนั้น ไม่ใช่แค่เก่งหรือมีฝีมืออย่างเดียว..แต่จะกล้าแล้วก็กัดไม่ปล่อยด้วย

ดู2ซมอ.20:16-19 ในขณะที่โยอาบล้อมเมืองไว้..ตั้งท่าจะทลายกำแพงเข้าไป..เพื่อหาตัวเชบา คนที่อยู่ในเมืองก็เริ่มกังวล..ว่าถ้าโยอาบทำลายกำแพงเมืองเข้ามา..ความเสียหายมากมายจะต้องเกิดขึ้น แล้วก็อาจจะมีการนองเลือดกัน ข้อนี้ บอกว่ามีหญิงคนนึงที่มีสติปัญญามาก เริ่มยื่นมือเข้ามาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ด้วยการตะโกนเรียกโยอาบ ผู้หญิงคนนี้พูดกับโยอาบว่าเมืองของเธอนั้นเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า”เป็นผู้ให้คำปรึกษาแห่งอาเบล” พูดง่ายๆว่าเป็นเมืองที่ไม่นิยมการใช้กำลัง..แต่จะแก้ปัญหาด้วยสติปัญญามากกว่า แล้วเธอเองก็เป็นคนที่รักความสงบ..รักชาติบ้านเมือง ที่สำคัญชาวเมืองอาเบลก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วทำไมโยอาบถึงอยากจะทำลายเมืองนี้ให้พินาศไป

ดู2ซมอ.20:20-21 พอได้ยินอย่างงั้น โยอาบก็ปฏิเสธว่า..เขาไม่เคยคิดอย่างงั้นเลย เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายเมืองหรือผู้คนในเมืองที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ที่ต้องล้อมเมืองไว้ก็เพราะเขากำลังตามหาคนๆนึงที่เป็นกบฎ..ต่อต้านก.ดาวิด ถ้ายอมส่งตัวเชบาออกมา..โยอาบก็จะถอยทัพกลับไปโดยที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับเมืองนี้เลย ผู้หญิงคนนี้เลยรับปากว่าจะจัดการให้..เดี๋ยวเขาจะโยนหัวของเชบาข้ามกำแพงมาให้โยอาบเลย เสร็จแล้วก็ทำได้จริงๆด้วย เพราะข้อที่22 บอกว่า พอหญิงคนนี้ไปปรึกษากับพวกชาวบ้าน พวกเขาก็จัดการฆ่าเชบา..แล้วก็ตัดหัวโยนข้ามกำแพงมาให้โยอาบ เขาเลยเป่าเขาสัตว์ให้พวกทหารถอยทัพ ทำให้เหตุการณ์ก็เข้าสู่ภาวะปกติประชาชนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนโยอาบก็กลับไปเฝ้าก.ดาวิด

ส่วนข้อต่อไปจะเป็นการแจกแจงรายชื่อข้าราชการในสมัยของดาวิด..ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ยกเว้น “โยอาบ”ที่จะเห็นว่า..ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาเป็นผบ.สูงสุดอยู่วันยังค่ำ

ดู2ซมอ.21:1-2 ข้อนี้บอกว่าเกิดการกันดารอาหารขึ้นสามปีในสมัยของดาวิด ในพันธสัญญาของโมเสสที่พระคำภีร์บันทึกไว้ในหนังสือฉธบ.(28:23-24) มีข้อที่บ่งไว้..ว่า”ฝนแล้งซึ่งเป็นเหตุของการกันดารอาหารเนี่ย..มาจากพระหัตถ์พระเจ้า เป็นผลสนองสำหรับความไม่เชื่อฟัง” ดาวิดรู้เหตุผลข้อนี้ดีจึงทูลถามพระเจ้าถึงสาเหตุที่อิสราเอลถูกลงโทษในครั้งนี้ และพระเจ้าทรงตอบว่า..”เป็นเพราะซาอูลและพงศ์พันธ์ของเขาละเมิดสัญญาที่ให้ไว้กับชาวกิเบโอน” น้าตุ๊กว่าเด็กๆจำไม่ได้แน่

ในสมัยที่โยชูวาเข้ามายึดครองคานาอัน เยรีโคเป็นเมืองแรกที่เขายึดได้..ต่อมาก็เมืองอัย และเมืองต่อไปที่ต้องยึดก็คือ”กิเบโอน” จริงๆกิเบโอนก็เป็นเมืองใหญ่แล้วก็มีนักรบเก่งๆหลายคน แต่ตอนนั้น..เมืองนี้กลับใช้วิธีมาหลอกให้อิสราเอลยอมทำพันธสัญญากับพวกเขา..คือ ทำเป็นใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ เดินทางมาพร้อมเสบียงบนหลังลา มีขนมปังขึ้นรากับถุงเหล้าองุ่นเก่าๆ สร้างภาพว่าเดินทางมาไกล คนอิสราเอลเลยตกหลุมพรางยอมทำพันธสัญญาด้วย เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นชาวกิเบโอน..เมืองที่ตัวเองต้องบุกยึดเป็นรายต่อไป พอรู้ว่าถูกหลอกก็อยากจะฆ่าคนกิเบโอนทิ้ง..แต่ทำไม่ได้เพราะติดสัญญา..ที่ถูกหลอกให้ทำ ทำได้แค่ให้พวกเขาตกเป็นทาสของอิสราเอล มาถึงตอนที่แบ่งเขตแดนกันก็ปรากฎว่าเมืองกิเบโอนตกเป็นของเผ่าเบนยามิน และอาจจะเป็นที่ของคนในครอบครัวซาอูล..ด้วยรึเปล่า เพราะกิเบอาบ้านเกิดของซาอูลก็อยู่แถวๆนั้น ครั้นเวลาผ่านไป 400 ปี ซาอูลและพงศ์พันธ์ของเขาคงรู้สึกว่าคนกิเบโอน..เกะกะเลยอยากกำจัดให้หมดสิ้นไป ก็เลยละเมิดสัญญาที่บรรพบุรุษให้ไว้กับคนกิเบโอน..ด้วยการฆ่าคนกิเบโอน..จะกี่มากน้อยเราไม่รู้ แต่เขาทำแน่..เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงความจริงเรื่องนี้ให้เรารู้ด้วยพระองค์เอง

ดู2ซมอ.21:3-4 ดาวิดคิดได้ทันทีว่าเขาจะต้องพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อลบล้างบาปที่ซาอูลทำไว้ การกันดารอาหารในอิสราเอลจะได้จบสิ้นลง ข้อที่3 บอกว่า ดาวิดเรียกชาวกิเบโอนมาถาม..ว่าเขาต้องทำยังไงถึงจะแก้ไขความผิดพลาดในเรื่องนี้ได้ คำตอบของคนกิเบโอนน่าสนใจมาก เขาบอกว่าเรื่องนี้..มันไม่เกี่ยวกับเงินทอง พวกเขาไม่อยากได้อะไร แล้วก็ไม่อยากจะเอาชีวิตของคนอิสราเอลด้วย เพราะมันคงไม่สาสมกับสิ่งที่ซาอูลทำไว้ ดาวิดเลยถามกลับไป..ว่าแล้วจะให้เขาทำยังไง

ดู2ซมอ.21:5-6 คนกิเบโอนบอกดาวิดว่า..ในเมื่อซาอูลเป็นคนวางแผนและฆ่าพวกเขาเพราะหวังจะล้างเผ่าพันธ์ ดังนั้น ขอให้ส่งตัวลูกหลานในราชวงศ์ของซาอูลมาให้เขาเจ็ดคน เพื่อพวกเขาจะได้แขวนคอคนเหล่านี้ต่อหน้าพระเจ้าที่กิเบอาห์ คือคนกิเบโอนต้องการจะฆ่าคนเหล่านี้ที่บ้านเกิดของพวกเขาเอง ดาวิดตอบตกลง..รับปากว่าจะเอาตัวมาให้ จากนั้นก็มีการเลือกสรรลูกหลานทั้งเจ็ดคนของซาอูล..ที่จะต้องไปรับโทษ แล้วอีกครั้งที่เมฟีโบเชท(ลูกที่เป็นง่อยของโยนาธาน)ก็รอดตัวไป..ได้รับการยกเว้น เพราะดาวิดเห็นแก่สัญญาที่ให้ไว้กับโยนาธาน ข้อที่ 9 บอกว่า ชาวกิเบโอนก็ได้แขวนคอลูกหลานซาอูลทั้งเจ็ดคนไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า ในต้นฤดูของการเกี่ยวข้าวบารลี

ดู2ซมอ.21:10-11/12 นางริสปาห์เป็นสนมของซาอูล ลูกชายสองคนของเขาถูกส่งตัวให้ชาวกิเบโอนแขวนคอด้วย คนเราอ่ะ..ลูกตายทั้งคน แล้วนี่มันเป็นการตายแบบที่น่าสลดหดหู่มาก ข้อนี้ บอกว่านางริสปาห์อยู่เฝ้าซากศพของลูกไม่ยอมไปไหน เพราะศพของทั้งเจ็ดคนนี้ไม่มีใครอาไปฝัง..ชาวกิเบโอนคงฆ่าแล้วก็ทิ้งไปเลย นางริสปาห์ทนไม่ได้ที่จะให้สัตว์ร้ายหรือนกกามาจิกกินซากศพของลูก..ก็เลยเฝ้าอยู่อย่างงั้น

พอดาวิดรู้ข่าวนี้ เขาก็รวบรวมศพของทั้งเจ็ดคน รวมทั้งไปเอากระดูกของซาอูลกับโยนาธานมาฝังรวมกันที่บ้านเกิดของพวกเขา คือที่เขตแดนของคนเบนยามิน จริงๆแล้วทั้งหมดนี้ตายแบบเดียวกัน..ถ้าเราจำได้ ซาอูลกับโยนาธานก็ถูกพวกฟิลิสเตียเอาศพไปแขวนไว้บนกำแพงเมืองเบธชานเหมือนกัน ตอนนั้นดาวิดอยู่ที่ศิกลาก..ก็เลยไม่มีโอกาสไปทำศพให้ ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นคนไปเอาศพของซาอูลกับโยนาธานกลับมาฝังที่ฝั่งตะวันออก

ท้ายข้อที่14 บอกไว้ว่า “ครั้นต่อมาพระเจ้าก็ทรงฟังคำอธิฐานเพื่อแผ่นดินนั้น” หมายความว่า พระเจ้าทรงยุติการกันดารอาหารของอิสราเอลแล้ว เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิฐาน เราอย่าคิดว่า..พอเราแก้ไขความผิดพลาดแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็จัดการทุกอย่างเอง..เราคงไม่ต้องอธิฐานแล้ว..ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เตือนสติเราในจุดนี้ ก็คือ ต่อให้เราชดใช้หรือกลับใจแล้ว..เราก็ต้องอธิฐานอยู่ดี..เด็กๆอย่าข้ามขั้นตอนการอธิฐานเด็ดขาด

ดู2ซมอ.21:15-17 พวกฟิลิสเตียยกทัพมาโจมตีอิสราเอล..อีกครั้ง ดาวิดเลยนำทัพออกไปรบด้วย แต่! ครั้งนี้ดาวิดเริ่มอ่อนกำลัง..แรงตก..ไม่เหมือนเมื่อก่อน(ก็แก่แล้วอ่ะ) เมื่อดาวิดอ่อนกำลังก็มีทหารยักษ์คนนึงของฟิลิสเตีย..ที่เป็นลูกหลานของโกลิอัท ก็ปรี่เข้ามากะจะฆ่าดาวิดให้ตาย พระคำภีร์บอกว่า”อิชบีเบโนบ” มีหอกทองสัมฤทธิ์ กับดาบใหม่เอี่ยมคาดอยู่ที่เอว..เป็นนักรบที่ฟุลออฟชั่นเหมือนโกลิอัทไม่มีผิด ข้อที่17 บอกว่า คนที่เข้ามาช่วยดาวิดก็คือ อาบีชัย..พี่ชายของโยอาบ อาบีชัยฆ่าอิชบีเบโนบตายคามือ แต่ถึงยังไง เหตุการณ์ครั้งนี้ก็สร้างความกังวลมากให้กับคนในกองทัพ เพราะไร พวกเขาเกือบเสียกษัตริย์ดาวิดไปแล้วในการรบครั้งนี้..ถ้าอาบีชัยมาไม่ทัน..ดาวิดอาจจะตายไปแล้วก็ได้ พวกเขาเลยขอร้องไม่ให้ดาวิดออกไปรบอีก เพราะดาวิดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น ช่วยอยู่เป็นมิ่งขวัญเฉยๆก็พอ..เกษียณชีวิตทหารได้แล้ว เพราะทุกคนก็มีวาระของตัวเองเสมอ

ดู2ซมอ.21:18-19/20-22 หลังจากที่ดาวิดเกษียณตัวเองไม่ออกไปรบแล้ว ฟิลิสเตียก็ยังยกทัพมาอีกหลายต่อหลายครั้งมาก แล้วอิสราเอลชนะมั๊ยเมื่อไม่มีดาวิด..แน่นอน ข้อที่18 บอกว่า สิบเบคัย..คนในตระกูลชองหุชัยได้ฆ่า”สัฟ”ที่เป็นคนยักษ์ของชาวฟิลิสเตีย ข้อที่ 19 บอกว่า สงครามที่เมืองโกบ..”เอลฮานัน”ชาวเบธเลเฮมก็ฆ่าโกลิอัทชาวกัทตาย และในข้อสุดท้าย ก็ยังบอกว่า”โยนาธาน”ลูกพี่ชายของดาวิดก็ยังฆ่าคนยักษ์ที่มี24นิ้วที่เมืองกัทได้อีก พระคำภีร์ข้อนี้สรุปตอนท้ายไว้ว่า..”เขาทั้งหลายล้มตายด้วยฝีมือดาวิดและข้าราชการของพระองค์” ไม่ว่าดาวิดจะยังรบไหวหรือไม่ไหว อิสราเอลก็ชนะศัตรูได้เสมอเพราะพระเจ้าทรงควบคุมอยู่.. แต่ถึงยังไง จุดนี้ก็ทำให้เรามองเห็นความสำเร็จในการเป็นผู้นำของดาวิดอย่างเลี่ยงไม่ได้..ต้องให้เครดิตร์เขา เพราะ..ทำไมไม่มีคนอย่างงี้ในสมัยของซาอูล ถ้าเด็กๆจำได้ ในสมัยของซาอูลไม่มีซักคนเดียวที่จะกล้าออกไปสู้กับโกลิอัท..แม้แต่ซาอูลเอง..ก็ไม่กล้าไป จนดาวิดก้าวเข้ามาแล้วเริ่มต้นชีวิตทหารด้วยการออกไปฆ่าโกลิอัท มาจนถึงวันนี้ดาวิดก็ยังสร้างคนที่มีคุณภาพขึ้นมาแทนเขา ลูกน้องของดาวิดก็ฆ่าโกลิอัทได้เหมือนกัน..นี่ถึงจะเรียกว่า”เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง” เพราะผู้นำบางคนก็ใจแคบเห็นคนอื่นเก่งกว่าก็คิดจะกำจัดอย่างเดียว..หรือไม่ก็กั๊กไว้..ไม่สนับสนุน..กลัวเขาจะเก่งกว่าแล้วมาแทนที่ตัวเอง หรือทำให้ตัวเองหมดความสำคัญไป..แต่นั่นไม่ใช่ดาวิดเพราะดาวิดเกษียณตัวเองได้อย่างสง่างามมาก

บทเพลงของดาวิดเรื่องการช่วยกู้

เราไม่รู้ชัดเจน..ว่าดาวิดเขียนเพลงสดุดีแต่ละบทตอนไหน..แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา น้าตุ๊กคิดอยู่นานว่าจะสอนบทเพลงของดาวิดยังไงดี..เด็กๆถึงจะเข้าใจได้ง่าย เพราะเพลงดาวิดไม่เหมือนเพลงเกาหลี ไม่เหมือนอาร์แอนด์บีหรือเพลงอะไรก็ตามที่เด็กๆคลั่งไคล้กันอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็นภาพใหญ่ๆ ประเด็นหลักๆ ตามสไตน์ของน้าตุ๊กก็ละกัน เรามาดูรายละเอียดกันนิดนึง

ดู2ซมอ.22:1-2/3-4 แรงบันดาลของดาวิดในการเขียนบทเพลง..แน่นอนต้องมาจากพระเจ้า ถึงจุดนึงเมื่อดาวิดมองย้อนกลับไปถึงความสำเร็จมากมายที่ตัวเองได้รับ..เขาเห็นชัดเจนว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้า เนื้อหายืดยาวที่พวกเราอ่านมาทั้งหมดนี้ น้าตุ๊กดูจริงๆแล้วหลักๆมีแค่ 3ประเด็น คือ.. 1. ดาวิดถวายโมทนา..สรรเสริญพระเจ้า

2. พระเจ้าเป็นผู้ช่วยกู้ดาวิด..(และเราด้วย) ให้พ้นจากมือของศัตรู..ในทุกสถานการณ์ด้วยรูปแบบที่ไร้ขีดจำกัด (อาจจะมีพ่วงท้ายเล็กๆ ว่าเขาเป็นผู้ที่กระทำตามพระทัยพระเจ้าและรักษาพระมรรคาของพระองค์)

และ 3.พระจ้าทรงเป็นผู้กำจัดศัตรูให้เรา

ข้อที่ 2 ดาวิดบอกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา..เป็นป้อมปราการ และเป็นผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า พวกเราคงจะคุ้นหูมากกับทั้งสามคำนี้ เพราะเป็นเนื้อหาที่มีอยู่ในเพลงสรรเสริญหลายต่อหลายเพลง แต่สำหรับดาวิด..คำว่าพระศิลา..ป้อมปราการ คงไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเทียบ แต่เป็นวิธีที่พระเจ้าช่วยกู้ดาวิดให้พ้นมือศัตรูจริงๆในสมัยนั้น พระองค์ใช้ศิลาที่กำบัง..ป้อมปราการต่างๆ รวมถึงที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดารด้วย..เพื่อช่วยดาวิดให้รอดจากมือของศัตรู..ครั้งแล้วครั้งเล่า

ดู2ซมอ.22:4-6/8-9/14-16 ข้อที่5-6 ดาวิดใช้ภาพกระแสของภัยพิบัติตามจินตนาการของเขา ถ่ายทอดให้เห็นถึงชีวิตของเขาในเวลาทุกข์ยากลำบาก รวมถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูด้วย ภาพที่ดาวิดสื่อมีทั้งเวลาที่จมอยู่ใต้คลื่นในทะเล..ถูกกระแสน้ำเชี่ยวซัดไปซัดมา และในลมหายใจเฮือกสุดท้าย ดาวิดก็ร้องทูลพระเจ้า..ขอการช่วยกู้จากพระองค์

ต่อมา ข้อที่8-16 ดาวิดจินตนาการถึงรูปแบบการเสด็จมาของพระเจ้า ซึ่งคล้ายกับที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ..ตอนที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับโมเสสที่ภูเขาซีนาย (อพย.19:16-19) ดาวิดอธิบายการเสด็จมาช่วยกู้ของพระเจ้าในหลายรูปแบบ..แต่ทุกรูปแบบสื่อให้เราเห็นว่า..พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ผ่านการควบคุมธรรมชาติอย่างยิ่งใหญ่และน่ากลัว (ทำให้เราเห็นชัดเจนเป็นพิเศษเวลาที่ดูข่าวแล้ว..ทุกวันนี้ก็เห็นภัยพิบัติกระจายไปทั่วโลก นั่นคือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า น้าตุ๊กขอโน้มนำให้ธรรมิกชนของพระเจ้าร่วมใจกันอธิฐาน เผื่อว่าพระองค์จะทรงฟังคำอธิฐานของผู้ชอบธรรมและกลับพระทัยไม่ลงโทษโลกใบนี้..) ดาวิดบอกว่า..ทรงทำให้โลกทั้งใบสะเทือน..ทรงเสด็จมาด้วยปีกของลม..ทรงบันดาลให้เกิดเพลิงเผาผลาญไปทั่ว..และทรงคะนองกึกก้องจากฟ้าสวรรค์..ทั้งฟ้าร้อง..ฟ้าผ่า ทุกอย่างก็มาจากบัญชาของพระองค์

ดู2ซมอ.22:17-18 “..แล้วพระองค์ก็ทรงเอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้าแล้วดึงขึ้นมาจากน้ำมากหลาย” ขณะที่ภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบกำลังถาโถมทั้งร่างกายและจิตใจ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือภัยพิบัติทั้งปวง..ก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์มาช่วยเราไว้ได้ทันเวลาเสมอ ไม่มีใครหรอก..ที่อยากเจอกับความทุกข์ยากลำบาก แต่ในสถานการณ์อย่างงั้น มันจะทำให้เรามีประสบการณ์และสัมพันธภาพที่เหนียวแน่นกับพระเจ้ามากขึ้น...เห็นพระองค์ชัดขึ้น

ข้อที่41-46 ดาวิดบอกว่า..พระเจ้าทรงทำลายศัตรูของเขา คือ ทุกคนที่ต่อต้านกษัตริย์ของพระเจ้าหรือผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ มาถึงตรงนี้คงไม่ได้หมายถึงดาวิดคนเดียวแล้ว แต่จุดนี้เล็งถึงพระเยซูคริสต์มากกว่า เพราะพระองค์เป็นจอมกษัตริย์แท้จริงที่พระเจ้าเตรียมไว้เพื่อพวกเรา แล้วเด็กๆลองนึกดู ถ้าศัตรูของดาวิดยังต้องถูกทำลายเพราะต่อต้านเขา แล้วคนที่ต่อต้านพระคริสต์จะมีสภาพเป็นยังไง และเกี่ยวกับการช่วยกู้นี้..หนังสือโรมจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่วันนี้เวลาหมดแล้วค่ะ..เด็กๆจำไว้ก่อนนะคะว่าเราเรียนถึงเพลงช่วยกู้ของดาวิด แล้วสัปดาห์หน้ามาดูประเด็นเดียวกันนี้ในหนังสือโรมด้วยกัน ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ